อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 212 การสอบเข้ามหาวิทยาลัยของประเทศเหยียนหวง
ตอนที่ 212 การสอบเข้ามหาวิทยาลัยของประเทศเหยียนหวง
วันจันทร์
วันนี้เป็นวันพิเศษที่หนึ่งปีมีครั้ง
บรรยากาศเคร่งเครียด เงียบสนิททั้งเมือง
มู่เถาเยาก็ไม่ได้ไปเรียน ไปส่งเจียงเฟิงเหมียนเข้าสนามสอบพร้อมเหลียงจี อาจารย์อาเล็ก อาจารย์อาสะใภ้เล็ก ศิษย์พี่ใหญ่กับภรรยา ศิษย์พี่หกกับภรรยา
ศิษย์พี่หญิงห้าท้องอยู่ อีกทั้งยังมีอาการแพ้ท้อง สถานที่แบบนี้คนเยอะไม่เหมาะให้มา
ถึงแม้เจียงเฟิงเหมียนจะดูแลตัวเองได้ แต่พวกเขาก็อยากทำให้เหมือนที่เด็กๆ คนอื่นได้รับ
กู่ย่าลูบศีรษะที่มัดผมหางม้าของลูกสาว “เสี่ยวเหมียน ไม่ต้องกดดันนะลูก ทำใจสบายๆ เหมือนตอนสอบปกติ”
“วางใจได้เลยค่ะแม่ หนูไม่กดดันเลยสักนิด”
เธอคะแนนดีขนาดนั้น อีกทั้งยังทำข้อสอบที่พี่เยาเยาเก็งให้ถูกหมด ไม่กังวลเลย!
กู่ย่าเห็นท่าทางลูกสาวไม่ทุกข์ร้อนเลยสักนิดก็ไม่รู้จะสุขหรือเศร้าดี
“จ้ะ พวกเราจะรออยู่แถวนี้นะ”
“ร้อนจะตาย ไม่ต้องรอหรอกค่ะ สอบเสร็จหนูเรียกรถกลับเองได้ พี่เยาเยา พาทุกคนกลับไปเถอะค่ะ”
“จ้ะ รีบเข้าสนามสอบเถอะ”
“อือๆ”
ทุกคนก็เหมือนกับผู้ปกครองคนอื่นๆ มองส่งเจียงเฟิงเหมียนเข้าไปเสร็จก็อยากรออยู่แถวนั้น
มู่เถาเยาเหลือบมองประตูโรงเรียนที่ปิดอยู่ “อาจารย์อาเล็ก อาจารย์อาสะใภ้เล็ก หนูกับเหลียงจีขอไปจ่ายตลาดแล้วกลับบ้านไปทำซุปรอนะคะ”
สนามสอบแห่งนี้อยู่ใกล้ตำหนักพระจันทร์ เมื่อคืนครอบครัวอาจารย์อาเล็กสามคนก็พักที่ตำหนักพระจันทร์
สอบสามวันพวกเขาจะพักอยู่ที่ตำหนักพระจันทร์
ข้อแรกคือใกล้ ข้อสองคือเงียบสงบ
“เสี่ยวเยาเยา ไม่ต้องลำบาก พวกเราจองกินในโรงแรมก็ได้”
เหลียงจียิ้มพูด “อาจารย์อาสะใภ้เล็ก ฉันทำซุปอร่อยมากเลยนะคะ!”
เพราะหัวหน้าเผ่าหมาป่าพระจันทร์ชอบกินซุป เธอกับเชฟอันดับหนึ่งก็เลยตั้งใจเรียนทำซุปเป็นพิเศษ
นี่เป็นฝีมือทำอาหารเพียงอย่างเดียวที่เธอสู้ปาอินได้
อันที่จริงโอกาสที่เธอจะได้ทำอาหารให้หัวหน้าเผ่ากินมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
ในเผ่ามีเชฟเทวดาอันดับหนึ่ง พอออกไปทำงานข้างนอกหรือไปตากอากาศก็ไม่สะดวกทำอาหาร
กู่ย่าเลยปฏิเสธไม่ได้
เมื่อวานเย็นลูกสาวกินไปไม่น้อย นี่ถ้าไม่ติดว่ากลัวท้องมีปัญหา อาจทำให้วันนี้ไม่สบายส่งผลต่อการสอบ มู่เถาเยาก็คงไม่ห้าม
“งั้นก็รบกวนเหลียงจีกับเสี่ยวเยาเยาด้วยนะ”
หลี่อวี้เสวี่ยมองเด็กสาวที่ยืนสูงสง่าอยู่ข้างๆ ยิ้มพูด “เสี่ยวเยาเยาทำอาหารไม่เก่ง ให้พี่ไปจ่ายตลาดทำอาหารกับเหลียงจีดีกว่า”
มู่เถาเยา “…” เถียงไม่ออก
กู่ย่า “ได้ พวกเธอกลับไปกันเถอะ ใครต้องเรียนก็ไปเรียน ใครต้องทำงานก็ทำงาน ไม่ต้องมาอยู่เฝ้าที่นี่หลายคนหรอก”
อาจารย์อาเล็กพยักหน้า
เฉิงหราน “ครับ ไว้เดี๋ยวใกล้ๆ เวลาพวกเราค่อยมาใหม่”
อาจารย์อาเล็ก “ไม่ต้องมาแล้ว ตรงไปที่ตำหนักพระจันทร์เลย เสี่ยวเยาเยา เดี๋ยวเลิกเรียนอาจารย์ให้อันนั่วไปรับหนูกับเสี่ยวอินกลับบ้านนะ”
“ค่ะ”
กลุ่มคนทยอยออกจากตรงนั้นยกเว้นอาจารย์อาเล็กกับภรรยา
เฉิงหรานไปส่งมู่เถาเยากลับมหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูก่อน
เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาเข้าเรียน มู่เถาเยาก็เลยนั่งรอเวลาหมดคาบที่เก้าอี้ยาวใต้ตึกก่อนค่อยเข้าห้องเรียน
“เสี่ยวเยาเยา”
มู่เถาเยาหันไป
“พี่เหยียนจื่อเย่า? มาที่มหา’ลัยแพทย์เย่ว์ตูได้ยังไง มาหาหยางซีเหรอ ตอนนี้เธอเรียนอยู่”
แม้เขาจะใส่ผ้าปิดปาก ใส่แว่นกันแดด แต่มู่เถาเยาก็จำเสียงของเขาได้
เหยียนจื่อเย่านั่งลงข้างมู่เถาเยา “มาหาเสี่ยวซีแล้วก็มาหาเธอด้วย ตอนบ่ายพี่จะไปเจียงตูดูโยวโยวกับเสี่ยวเหยียน คงไม่ได้กลับมาเร็วๆ นี้ ก็เลยมาหาพวกเธอก่อน”
“อ่อ พี่กับพี่อ้ายโยวเป็นยังไงบ้าง พี่อ้ายโยวอภัยให้พี่แล้วเหรอ”
เหยียนจื่อเย่าส่ายหน้า “โยวโยวยืนกรานจะหย่ากับพี่”
“งั้นก็…น่าเสียดายนะ”
หย่ากันเพราะไม่ได้รักเป็นเรื่องปกติ หย่ากันเพราะนิสัยเข้ากันไม่ได้ก็ไม่แปลก หย่ากันเพราะทัศนคติไม่ตรงกันก็มีไม่น้อย แต่เห็นๆ อยู่ว่าสองคนนี้ยังรักกันมาก…
เฮ้อ เรื่องของความรัก เธอเป็นคนนอกก็พูดยาก
“พี่สำนึกผิดแล้ว ไม่มีทางทอดทิ้งพวกเขาสองคนแม่ลูกแน่นอน”
“พี่อ้ายโยวคงกลัวน่ะ” ไม่ใช่ไม่รัก
“เสี่ยวเยาเยา โยวโยวคือรักเดียวของพี่ ชีวิตนี้พี่มีผู้หญิงแค่คนเดียว ถ้าโยวโยวไม่ให้อภัยพี่ พี่ก็ไม่มีทางแต่งงานใหม่ ยิ่งไม่มีทางมีลูกอีก”
“ขอให้โชคดีนะ” อวยพรจากใจ
“ขอบใจนะเสี่ยวเยาเยา ว่าแต่ทำไมเธออยู่ข้างล่างล่ะ ไม่ไปเข้าเรียนเหรอ” เด็กคนนี้ไม่เหมือนนักศึกษาที่ชอบโดดเรียนเลยนะ
“เมื่อกี้ฉันไปส่งน้องสาวสอบเข้ามหาวิทยาลัยมา”
“เธอยังมีน้องสาวด้วยเหรอ” เหยียนจื่อเย่าแปลกใจ
“เจียงเฟิงเหมียนลูกสาวของอาจารย์อาเล็กน่ะ”
“ที่แท้ก็แบบนี้”
“ในเมื่อตอนบ่ายพี่จะไปเจียงตู งั้นตอนเที่ยงพวกเรากินข้าวกัน แต่คนในครอบครัวฉันเยอะ ถ้าพี่ไม่ถือสานะ”
“ไม่เลย”
เสี่ยวเยาเยาอุตส่าห์เอ่ยปากชวนกินข้าวทั้งที เขาจะถือสาได้ยังไง
“จะได้ฝากเอาผลไม้ไปให้เสี่ยวเหยียนกินด้วย หมู่บ้านเราปลูกเอง ไม่ฉีดยาฆ่าแมลงเลยสักนิด อร่อยกว่าซื้อกินข้างนอกอีก”
เสี่ยวเหยียนเหยียนอายุเก้าเดือนแล้ว กินผลไม้ได้แล้ว
อ้ายโยวจะส่งคลิปวิดีโอกับรูปถ่ายของเสี่ยวเหยียนเหยียนให้เธอดูทุกสัปดาห์
เด็กน้อยโตขนาดไหนแล้ว นิสัยเป็นอย่างไร เธอรู้ดี แถมยัง…เรียกพี่ได้แล้ว
แม้จะติดต่อกันบ่อย แต่อ้ายโยวก็ไม่เคยพูดถึงเหยียนจื่อเย่าให้ฟัง
“ได้สิ”
“งั้นพี่กลับไปก่อน ตอนเที่ยงฉันจะพาหยางซีกลับเขตเซิ่งซื่อฉางอันด้วย”
“ให้ฉันมารับพวกเธอไหม”
เหยียนจื่อเย่ารู้นานแล้วว่าครอบครัวของมู่เถาเยามีบ้านอยู่ในเขตคฤหาสน์หรูที่เจริญที่สุดในเมืองเย่ว์ตู
เดิมทีบ้านที่พวกเขาสองสามีภรรยาจะให้มู่เถาเยาอยู่ทางด้านตะวันตก ห่างจากตำหนักพระจันทร์ที่อยู่ทางเหนือไปไม่ไกล
ในเมื่อเธอไม่เอา งั้นเขาก็จะรอภรรยากลับมาแล้วย้ายเข้าไปอยู่ จะได้สะดวกในการเดินทาง
มู่เถาเยาส่ายหน้าแล้วพูด “ไม่ต้องมารับหรอก ศิษย์หลานของฉันก็เรียนที่นี่ เขาจะไปส่งพวกเรา”
“ได้ งั้นพี่กลับไปเก็บข้าวของก่อนนะ”
“อืม”
พอเหยียนจื่อเย่าไปแล้ว ออดหมดคาบก็ดังขึ้น
มู่เถาเยาลุกขึ้น เดินขึ้นตึกอย่างไม่รีบร้อน
“เสี่ยวเยาเยา!”
“เซียวเซียว ชิ่นชิ่น ชีสยา…”
หยางซีก็เดินเข้ามาพูดด้วย “รู้สึกเหมือนไม่ได้เจอเสี่ยวเยาเยานานเลย”
หมิ่นชีสยาพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นสิ ไม่เจอกันนานเลย”
เซียวเซียว “เสี่ยวเยาเยางานยุ่งมาก! มีเวลาสนใจคนว่างแบบพวกเราที่ไหนกัน!” น้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ
หวังหมิ่นชิ่น “เสี่ยวเยาเยา ฉันขอจองตัวเธอสุดสัปดาห์นี้นะ!”
“…สุดสัปดาห์อาจารย์ฉันจะมาเย่ว์ตู…ฉันไม่ว่าง…”
หวังหมิ่นชิ่นเสียใจ
เซียวเซียว “เธอเพิ่งกลับไปไม่ใช่เหรอ หมอเทวดาหยวนยังจะมาอีกเหรอ”
“ศิษย์พี่หญิงห้าของฉันท้องแล้ว อาจารย์เลยจะมาเยี่ยม”
ทุกคนทำเสียงอ๋อ เพื่อแสดงว่าเข้าใจแล้ว
หวังหมิ่นชิ่น “เสี่ยวเยาเยา เธอไม่ได้เรียนคาบแรก ไปส่งเสี่ยวเหมียนเข้าสอบมาเหรอ”
“อืม”
เซียวเซียวถอนหายใจ “ถ้าน้องสอบเข้าที่นี่คงดี! อธิการบดีเก่งขนาดนั้น ทำไมเสี่ยวเหมียนถึงไม่ได้รับยีนพันธุกรรมอยากเป็นหมอเลยนะ”
ทุกคนพากันหัวเราะ
หยางซี “สมกับที่เรียนหมอ คำพูดแบบนี้ก็พูดออกมาได้ ความสนใจมันถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้เหรอ มันได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมกับการอบรมเลี้ยงดูต่างหากล่ะ!”
เซียวเซียวไม่ยอม “เสี่ยวเหมียนได้รับอิทธิพลด้านสภาพแวดล้อมมากกว่าใครทั้งนั้น ทำไมถึงไม่ชอบเรียนหมอล่ะ”
หวังหมิ่นชิ่น “อีกอย่างเสี่ยวเหมียนก็ไม่เห็นอยากเรียนดนตรีแบบอาจารย์กู่เลย น่าแปลกนะ”
คนอื่นๆ ก็ไม่เข้าใจ
มู่เถาเยาหัวเราะ “ความสนใจของแต่ละคนนอกจากได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมและคนอื่นแล้ว ยังได้รับอิทธิพลจากเรื่องที่ประทับใจในวัยเด็กด้วย”
หวังหมิ่นชิ่นร้องอ๋อ “ฉันเข้าใจความหมายของเสี่ยวเยาเยาแล้ว หมายความว่าถ้าตอนเด็กเราเห็นลุงตำรวจจับผู้ร้าย ก็จะจดจำความประทับใจนั้น ทำให้เกิดความรู้สึกอยากเอาแบบอย่าง”
หมิ่นชีสยาพยักหน้า “ใช่ แต่คนส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนความฝันไปเรื่อยๆ ตามอายุที่มากขึ้น โลกทัศน์ที่กว้างขึ้น”
เซียวเซียวพูดอย่างอายๆ “ฉันก็คือคนแบบนั้น ตอนเด็กๆ อยากเป็นนักดับเพลิง โตขึ้นมาหน่อยอยากเป็นนักข่าว จากนั้นก็…มีอีกเยอะมาก”
มู่เถาเยายิ้มดวงตาโค้งมน “พวกเราแทบทุกคนต่างก็เป็นแบบนั้น ก็แค่บางคนรู้ตัวเร็ว บางคนรู้ตัวช้า”
ทุกคนต่างพยักหน้า
ตอนต่อไป