อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 238 การหายตัวที่เป็นปริศนา
ตอนที่ 238 การหายตัวที่เป็นปริศนา
ลู่จือฉินอาบน้ำจนสะอาด เป่าผมให้แห้งเสร็จก็ลงไปชั้นล่าง
พวกของบำรุงผิวจะทาบ้างไม่ทาบ้างก็ไม่เป็นไร
มู่เถาเยาจูงลู่จือฉินไปแนะนำให้ทุกคนรู้จักอย่างเป็นทางการ
ตอนนี้รู้จักกันหมดแล้ว ต่อไปอาจารย์ก็สามารถอยู่กับเธอและท่านแม่ได้อย่างเปิดเผยแล้ว
ลู่จือฉินสูงหนึ่งร้อยหกสิบสองเซนติเมตร แม้จะไม่ถือว่าสูงในบรรดาผู้หญิงด้วยกัน แต่ก็ไม่ถือว่าเตี้ย ทว่าพอมาอยู่ในห้องนี้กลับดูตัวเล็กอย่างเห็นได้ชัด
แม้แต่พวกเด็กสาวก็ยังสูงกว่าเธอหน่อย
อาจารย์อาเล็กกับเจียงเฟิงเหมียนไม่ได้เตี้ย ที่ลู่จือฉินตัวไม่สูงเป็นเพราะตอนเด็กๆ ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ
หากไม่ใช่เพราะเธอเรียนแพทย์แล้วบำรุงร่างกายตัวเอง คงไม่มีทางสูงและแข็งแรงได้เท่าตอนนี้
“คุณอาสวยจังเลย!”
เจียงเฟิงเหมียนคล้องแขนลู่จือฉิน ดวงตากลมโตโค้งมนเหมือนจันทร์เสี้ยว แสดงให้เห็นว่าดีใจขนาดไหน
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดบนใบหน้าของลู่จือฉินคือดวงตาที่คล้ายกับอาจารย์อาเล็กและเจียงเฟิงเหมียน ทั้งกลมทั้งใส ประหนึ่งมีดวงดาวระยิบระยับอยู่ในดวงตา
ถึงแม้ถ้าแยกดูแต่ละอวัยวะของเธอจะไม่มีความโดดเด่น แต่เมื่อรวมกันแล้วกลับชวนให้รู้สึกสบายตาเป็นอย่างมาก
นี่ก็คือผู้หญิงแบบที่คนมักบอกว่ายิ่งดูยิ่งสวย
เนื่องจากต้องเดินทางอยู่ตลอด ผิวของเธอจึงค่อนข้างคล้ำ แต่ละเอียดผ่องใส ไม่มีริ้วรอยแม้แต่น้อย
แม้จะอยู่ในวัยใกล้ห้าสิบ แต่โดยรวมแล้วเหมือนคนอายุสามสิบต้นๆ ใบหน้าอ่อนเยาว์มาก
ลู่จือฉินมองเจียงเฟิงเหมียนที่ยิ้มหน้าบาน เธอก็ยิ้มพูดด้วย “เสี่ยวเหมียนสวยกว่านะ”
ไม่ว่าหน้าตาจะเป็นอย่างไร ความสวยในวัยเยาว์ก็สะดุดตาทั้งนั้น ดุจดวงอาทิตย์ ดุจหยาดฝน มีพลังและอิสระ
“อาคะ หนูปิดเทอมหน้าร้อนแล้ว จะอยู่ที่หมู่บ้านเถาหยวนกับอาจารย์ลุง อยากเรียนทำอาหารด้วย อาจะอยู่ที่นี่หรือไปเย่ว์ตูคะ”
เจียงเฟิงเหมียนไม่เคยมีความคิดที่ว่าลู่จือฉินจะไม่อยากอยู่กับครอบครัวตัวเอง
ลู่จือฉินยิ้มมุมปาก “อาต้องกลับเมืองฉินตูหน่อย พรุ่งนี้ไปเย่ว์ตูกับพวกเสี่ยวเยาเยาก่อน จากนั้นค่อยไปฉินตู”
เมื่อก่อนเธอเคยซื้อบ้านไว้ที่ฉินตูตอนทำงาน ไม่ได้กลับไปดูนานแล้ว
ตอนนี้มีเสี่ยวเยาเยากับเย่ว์เลี่ยงแล้ว เธอก็ไม่อยากอยู่ที่ฉินตูทางตะวันตกคนเดียว
พวกเธอสามคน คนหนึ่งอยู่ตะวันตกสุด คนหนึ่งอยู่ใต้สุด อีกคนอยู่ต่างประเทศ อยากเจอกันไม่ง่าย
อย่างไรเสียเธอก็ตัวคนเดียว อยากอาศัยอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ แล้วทำไมถึงจะไม่ไปอยู่ใกล้ๆ ลูกศิษย์ล่ะ
ดังนั้นเธอจะกลับไปขายบ้าน!
ใบหน้าของกู่ย่ามีรอยยิ้ม “เสี่ยวเหมียน อย่ากวนคุณอาสิ ผู้ใหญ่มีเรื่องต้องทำ เราน่ะอยู่เล่นสนุกกับทุกคนที่หมู่บ้านเถาหยวนไปเถอะ”
หยวนเหยี่ยหัวเราะ “พวกเรากินข้าวก่อนดีกว่า เวลานี้น่าจะหิวกันแล้ว”
เลยเวลากินข้าวยามปกติมาแล้ว
แม้จะรู้ว่าเสี่ยวเยาเยากับเย่ว์เลี่ยงอาจกลับช้า แต่พวกเขาก็ยังอยากรอให้กลับจากเขตป่าชั้นในแล้วกินพร้อมกันอยู่ดี
มู่เถาเยาพูดต่อจากอาจารย์ใหญ่ “กินข้าวเสร็จหนูกับอาจารย์สามจะไปที่ห้องปรุงยาสักพัก อาจารย์สามเก็บสมุนไพรกลับมาเยอะเลยค่ะ”
“ได้ งั้นพวกเรายกกับข้าวออกไปกินด้านนอกกัน”
คนเยอะ ตั้งโต๊ะยาวกินข้างนอกดีกว่ากินสองโต๊ะในห้องอาหาร
อีกทั้งตอนนี้เป็นฤดูร้อน กินตรงลานบ้านเย็นสบายกว่า
ลมจากแอร์หรือจะสู้ลมธรรมชาติได้
สายลมของหมู่บ้านเถาหยวนผสมผสานไปด้วยกลิ่นของดอกไม้ใบหญ้าจากในป่า แทรกซึมเข้าไปในจิตใจได้ ช่วยบรรเทาความกลัดกลุ้ม แตกต่างจากลมในเมืองที่เจือปนไปด้วยกลิ่นท่อไอเสีย ควันเสียจากโรงงาน
ทุกคนเห็นด้วยกับความคิดของหยวนเหยี่ย
ครั้นแล้วจึงพากันไปยกอาหารจากในห้องอาหาร
ตรงลานบ้านมีโต๊ะยาวเก้าอี้ยาวที่ทำจากไม้อยู่แล้ว แค่ยกมาตั้งก็กินได้เลย
ไม่ว่าจะผู้ใหญ่หรือเด็กต่างชอบบรรยากาศแบบนี้ โรแมนติก อบอุ่น และครึกครื้น
เจียงเฟิงเหมียนกับมู่เถาเยานั่งประกบซ้ายขวาของลู่จือฉิน
“อาคะ กินเห็ดนี่สิคะ อร่อยมากค่ะ!”
เจียงเฟิงเหมียนใช้ตะเกียบของตัวเองที่ยังไม่ได้คีบอะไรกินมาคีบกับข้าวให้ลู่จือฉิน ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“ขอบใจจ้ะเสี่ยวเหมียน หลานก็รีบกินเข้า”
“ค่า”
อาหารเย็นกินกันถึงสามทุ่มก็แยกย้าย
มู่เถาเยาบอกทุกคนว่าไม่ต้องรอ จากนั้นก็ไปที่ห้องข้างๆ พร้อมลู่จือฉิน
“อาจารย์สามคะ หนูวานให้ลู่หันซูส่งข้อความหาอาจารย์ด้วย เดี๋ยวลองดูที่โทรศัพท์มือถือนะคะ”
“ได้ โทรศัพท์ชาร์จไฟอยู่ในห้อง”
เมื่อชาติก่อนลู่จือฉินกับมู่เถาเยาคลุกคลีอยู่ด้วยกันมาเกือบสามสิบปี คำพูดแฝงความนัยไม่ต้องบอกก็เข้าใจ
ถึงแม้ตรงนี้จะมีแค่พวกเธอสองคน แต่โดยรอบล้วนเป็นคนที่มีวรยุทธ์สูงส่ง คำพูดบางอย่างไม่เหมาะที่จะพูดออกมา ป้องกันใครเผลอได้ยินเข้า
เนื่องจากเมื่อชาติก่อนเคยเจอทั้งศึกภายในและภายนอก ไหนจะความขัดแย้งในวังอีก พวกเธอจึงระมัดระวังเป็นพิเศษ
“อาจารย์สามอยู่ในเขตป่าชั้นในเคยเจอ ‘หญ้าร้อยรส’ ไหมคะ”
ทั้งสองคนจัดการกับสมุนไพรพลางคุยเรื่องที่พูดได้
“เสี่ยวเยาเยา หันซูเคยพูดเรื่องแม่ตัวเองให้ฟังเหรอ”
“ค่ะ หันซูบอกว่าอาการป่วยของแม่ยื้อไปได้อีกไม่นานแล้ว”
ลู่จือฉินถอนหายใจ “ก็อาจจะมีอยู่ตรงไหน แต่อาจารย์หาแล้วไม่เจอ เขตป่าชั้นในกว้างมาก ต่อให้มี ‘หญ้าร้อยรส’ ขึ้นอยู่ตรงไหนพวกเราก็ไม่อาจรู้ได้”
“นั่นสิคะ”
บางครั้งก็จนปัญญา
ก็เหมือนกับเราทำอาหารเป็น แต่ไม่มีข้าวสารให้หุง
“ไว้หนูจะหาเวลาไปดู ถ้าฝังเข็มยื้อได้ก็ทำค่ะ”
“อืม เสี่ยวเยาเยา เล่าเรื่องตัวเองให้อาจารย์ฟังบ้างสิ”
“ค่ะ หนูถูกอาจารย์ใหญ่เก็บได้จากใต้ต้นท้อใหญ่ต้นนั้นตอนอายุได้เดือนกว่า…เจอพี่รองที่เมืองเย่ว์ตูโดยบังเอิญ…ได้รู้ว่าตัวเองเป็นคนของเผ่าหมาป่าพระจันทร์…ได้รู้จักกับคุณอา…และก็คนเผ่าหมาป่าพระจันทร์…”
มู่เถาเยาเล่าให้ลู่จือฉินฟังตั้งแต่ต้น
“พี่เลี้ยงที่ชื่อเหมียวอวี้ก็หายตัวไปด้วยกันเหรอ”
“ค่ะ ไม่เจอตัว ถ้าตายก็ไม่เจอศพ เมื่อวานอากับพี่ใหญ่ยังบอกหนูอีกว่าเหมียวฉีเป็นพี่สาวของเหมียวอวี้ เหมียวฉีเป็นแม่แฟนของหลานชายศิษย์พี่ใหญ่หนูค่ะ…”
เธอเล่าเรื่องที่คุยกับเย่ว์เลี่ยงและเย่ว์จือเหิงเมื่อวานให้ลู่จือฉินฟัง
ลู่จือฉินขมวดคิ้วพูด “มันดูไม่สมเหตุสมผลจริงๆ เหมียวอวี้พาเธอออกมาได้ยังไงกันแน่”
“นั่นสิคะ พวกเราคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ เหมียวอวี้ไม่ได้มีฝีมือแบบพวกเราเสียหน่อย ที่จะบุกป่าสองแห่งที่อันตรายมากได้”
ถ้าเก่งขนาดนั้นจริง เธอคงไม่มีทางถูกเป่ยซีเก็บกลับมาจากป่าพิษหมาป่า
“เสี่ยวเยาเยาเกิดได้ไม่นานก็หายตัวไป ตอนอาจารย์ใหญ่เก็บได้ก็เพิ่งจะเดือนกว่า ต่อให้เหมียวอวี้มีฝีมือแบบพวกเราก็ไม่มีทางใช้เวลาเดือนเดียวบุกป่าทั้งสองแห่งได้ เรื่องนี้ขนาดพวกเรายังทำไม่ได้”
“นั่นสิคะ พวกเราก็เลยไม่เข้าใจ”
“เป็นไปได้ไหมว่าจะใช้เครื่องบินส่วนตัวบินออกไป”
คนของเผ่าหมาป่าพระจันทร์ร่ำรวย หลายคนมีเครื่องบินส่วนตัว
มู่เถาเยาส่ายหน้า “พี่ใหญ่บอกว่าบันทึกการเข้าออกเขตแดนในวันนั้น รวมถึงวันก่อนหน้าและหลัง ไม่พบความผิดปกติค่ะ”
“มันแปลกมาก เหมียวอวี้ออกไปได้ยังไงกันแน่”
“อาจารย์สามคะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน เมื่อถึงเวลาที่จะได้รู้ ความจริงย่อมปรากฏออกมาเอง”
“อันตรายที่ว่านี้เหมือนระเบิดเวลา ไม่รู้ว่าพุ่งเป้าไปที่เผ่าหรือแค่อยากเล่นงานแม่ของเธอหรือใคร”
ไม่มีทางจงใจเล่นงานเด็กทารก
“อาจารย์สามไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ ไม่ว่ายังไงหนูก็รับมือได้ค่ะ”
“อืม ยังมีพวกเราอีกนะ”
มู่เถาเยายิ้ม