อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 242 หาคำตอบจากเจียงเย่ว์
ตอนที่ 242 หาคำตอบจากเจียงเย่ว์
ตอนที่มู่เถาเยา ลู่จือฉิน และเหลียงจีไปถึงบ้านอาจารย์อาเล็ก คนอื่นๆ ยังไปไม่ถึงยกเว้นกู่ย่ากับหลี่อวี้เสวี่ย แม้แต่อาจารย์อาเล็กก็ยังไม่กลับมา
กู่ย่าโทรเร่งให้เขากลับบ้าน
“จือฉิน อย่าถือสาเลยนะ พี่ชายเธอคงเขินน่ะ”
ลู่จือฉินยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่หรอกค่ะ”
ถ้าเธอเป็นเขาก็อาจเป็นแบบนี้
ไม่ใช่ไม่ยอมรับว่าตัวเองมีญาติพี่น้อง แต่เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าห้าสิบปีแล้วยังจะเจอคนสายเลือดเดียวกัน
เนื่องจากเหนือความคาดหมายมากเกินไปก็เลยยากที่จะเชื่อ นี่เป็นเรื่องปกติ
ถ้าไม่มีประสบการณ์เมื่อชาติก่อน เธอคงไม่ใจเย็นยอมรับได้ง่ายขนาดนี้
เสี่ยวเยาเยาก็เหมือนกัน เพราะมีเย่ว์เลี่ยง ถึงได้ยอมรับตระกูลเย่ว์อย่างไม่เคลือบแคลงใจ
มู่เถาเยายิ้มมุมปาก “อาสะใภ้ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ อาจารย์สามของหนูไม่มีทางคิดมาก”
“จ้ะ พวกเธอนั่งพักก่อนนะ พี่กับอวี้เสวี่ยจะไปทำอาหาร”
เหลียงจียิ้มพูด “ฉันช่วยนะคะ”
“จ้ะ งั้นเหลียงจีมาด้วยกัน”
พอทั้งสามคนเพิ่งเข้าไปในครัว เฉิงอันนั่วกับปาอินก็มาถึง ทั้งสองเข้าไปช่วยในครัวด้วย
อาจารย์อาเล็กกับเฉิงหรานมาถึงสุดท้าย
ลู่จือฉินรับผลตรวจดีเอ็นเอมาจากอาจารย์อาเล็กแล้วก้มอ่าน
ไม่เหนือความคาดหมาย ทั้งสองคนเป็นพี่น้องกันจริงๆ
ลู่จือฉินยื่นเอกสารที่มีไม่กี่หน้าให้มู่เถาเยา
มู่เถาเยาดูเสร็จก็วางไว้บนโต๊ะ
“อาจารย์อาเล็กคะ ต่อไปอาจารย์สามจะพักอยู่กับหนูที่ตำหนักพระจันทร์ก่อนนะคะ”
เนื่องจากต้องสอน ‘วิชาลักฟ้าสับเปลี่ยนสุริยัน’ ให้พ่อบ้านจง ระยะนี้เธอจึงไม่ได้กลับไปนอนที่เรือนอุ่นรัก
เดี๋ยวพอปิดเทอมหน้าร้อน พ่อบ้านจงก็ต้องตามไปที่เผ่าด้วยอยู่ดี
ตอนนี้ยังปล่อยให้เขาฝึกเองไม่ได้
“ได้ กลับมาพักที่บ้านนี้ได้ตลอดเวลานะ” อาจารย์อาเล็กไม่ติดอะไร
ถึงจะเป็นน้องสาวแท้ๆ แต่ก็โตกันขนาดนี้แล้ว เธอย่อมมีสิทธิ์เลือกว่าจะอยู่กับใคร พักที่ไหน
ลู่จือฉินพยักหน้า
ถึงแม้จะไม่มีทางมาอยู่กับพวกเขา แต่ก็รับน้ำใจไว้แล้ว
“จะกลับเมืองฉินตูเมื่อไรเหรอ ให้พี่กับพี่สะใภ้ไปด้วยไหม”
“ไม่ต้องค่ะ ของฉันน้อย ครึ่งวันก็เก็บเสร็จ หลักๆ คือขายบ้านต้องใช้เวลา พรุ่งนี้พอกลับไปฉันจะเอาไปฝากขายที่บริษัทนายหน้าค่ะ”
เมืองฉินตูก็เป็นเมืองใหญ่ ถึงแม้บ้านของเธอจะเริ่มเก่าแล้ว แต่ได้เปรียบเรื่องทำเล อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลฉินตู ละแวกนั้นยังมีโรงเรียน ต่อให้เก่าหน่อยก็ไม่มีทางขายออกยาก
“ถ้าเธอไม่อยากพักอยู่กับพวกเรา พี่กับพี่สะใภ้จะซื้อบ้านให้เธอในเย่ว์ตู”
ลู่จือฉินยิ้มพลางส่ายหน้า “ฉันมีเงินค่ะ ไว้เจอบ้านที่ถูกใจค่อยว่ากันอีกทีว่าจะซื้อไหมขอบคุณพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่นะคะ”
“อืม ติดขัดอะไรก็บอกได้นะ พยายามอย่าไปซื้ออยู่ไกลล่ะ ว่างๆ ก็แวะมากินข้าวบ่อยๆ”
อาจารย์อาเล็กพูดคุยกับน้องสาวแท้ๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติแล้ว
แม้จะไม่สนิทเท่าไร แต่ก็ไม่ห่างเหิน
ลู่จือฉินยิ้มพลางพูด “ค่ะ”
อันที่จริงเธอพักในตำหนักพระจันทร์ไปตลอดก็ได้ เย่ว์เลี่ยงกับเสี่ยวเยาเยาเป็นคนใกล้ชิดของเธอ ต่อให้เธออยากอยู่ไปตลอดชีวิตก็ย่อมได้ แต่เพื่อไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นสงสัย เธอซื้อบ้านในเย่ว์ตูสักหลังจะดีกว่า ต่อให้ไม่ไปอยู่บ่อยก็ตาม
บ้านในเมืองเย่ว์ตูหายาก การมีบ้านอยู่ในเมืองโบราณอายุหมื่นปีที่ทิวทัศน์และอากาศดีแบบนี้ นอกจากคนในพื้นที่แล้วส่วนใหญ่ก็คนร่ำรวยทั้งนั้น
อยากหาบ้านที่ค่อนข้างเหมาะสมในทุกด้านย่อมไม่ง่าย เว้นเสียแต่ดวงดี บังเอิญมีคนอยากขายพอดี
เมืองเย่ว์ตูในตอนนี้ไม่มีพื้นไหนที่สามารถบุกเบิกสร้างตึกพักอาศัยได้อีกแล้ว
มู่เถาเยายิ้มมุมปากเล็กน้อย “เรื่องซื้อบ้านไม่รีบค่ะ”
เฉิงหรานพูด “พวกเรายังมีบ้านที่ไม่ได้ตกแต่งอีกหลัง…”
มู่เถาเยาพูดขัดจังหวะ “ศิษย์พี่ใหญ่คะ อันนั่วอายุยี่สิบห้าแล้ว อีกไม่กี่ปีคงแต่งงาน บ้านหลังนั้นต้องเก็บไว้เป็นเรือนหอของเขา ฉันยังต้องหารือกับอาจารย์สามเรื่องอาการป่วยของตี้อู๋เปียน ดังนั้นให้อาจารย์สามพักอยู่กับฉันจะสะดวกกว่า ไม่ต้องรีบร้อนซื้อบ้าน”
ลู่จือฉินอมยิ้มพยักหน้า “เสี่ยวเยาเยาพูดถูก อันนั่วถึงวัยแต่งงานได้แล้ว เก็บบ้านไว้เป็นเรือนหอของเขาดีกว่า ระยะนี้ฉันจะไปพักกับเสี่ยวเยาเยาก่อน”
สำหรับเธอเสี่ยวเยาเยาไม่ได้เป็นแค่ลูกศิษย์ ยังเป็นเหมือนลูกสาว การไปพักกับเสี่ยวเยาเยาจึงไม่มีทางทำให้เธอเกิดความรู้สึกเหมือนไปขออยู่อาศัย
อาจารย์อาเล็กก็ยิ้มพลางพยักหน้า “อาหราน เดิมทีบ้านหลังนั้นนายก็กะซื้อให้เป็นเรือนหอของอันนั่วอยู่แล้ว ตอนนี้ไม่ตกแต่งก็เพราะกำลังรอนายหญิงปรากฏตัว ตกแต่งตามความชอบของลูกสะใภ้”
เฉิงหรานหันไปมองทางห้องครัวแล้วกระซิบถามทุกคน “ทุกคนว่าอันนั่วกับเสี่ยวอินจะเป็นไปได้ไหม”
อาจารย์อาเล็กก็พูดเสียงเบา “เป็นไปได้นะ พวกเขาเหมาะสมกันมาก! เสี่ยวอินมีพรสวรรค์สูง นิสัยก็ดี โดดเด่นทุกด้าน”
“ใช่ครับ เสี่ยวอินเพียบพร้อมมาก ผมกลัวครอบครัวปาจะรังเกียจอันนั่ว ตระกูลปาเป็นหมอกันหมดทุกคน”
เขากับเมียอยากได้เสี่ยวอินมาเป็นลูกสะใภ้มาก!
มู่เถาเยาพูดเตือน “ศิษย์พี่ใหญ่ ต่อไปอันนั่วจะเป็นเจ้าสำนักแพทย์โบราณ ปาอินไม่มีทางไม่พอใจหรอกค่ะ”
หากว่ากันด้วยเรื่องอิทธิพล สำนักแพทย์โบราณอยู่เหนือกว่าสกุลปาเยอะ
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะสกุลปาด้อยกว่าสำนักแพทย์โบราณ แต่เป็นเพราะเผ่าหมาป่าพระจันทร์ถ่อมตัว สกุลปาย่อมไม่มีทางโอ้อวดวิชาการแพทย์
สกุลปาอยู่ในเผ่ามีสถานะเทียบเท่าสำนักแพทย์โบราณของเหยียนหวง
ต่อให้เผ่าหมาป่าพระจันทร์จะใหญ่เพียงหนึ่งในห้าของเหยียนหวง แต่หลายร้อยประเทศในโลกก็ไม่มีประเทศไหนกล้าดูถูกเผ่าหมาป่าพระจันทร์
เรียกได้ว่าทั้งสองคนเป็นคู่ที่เหมาะสม
แต่เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือพวกเขาสองคนรักกันด้วยใจจริงหรือเปล่า เรื่องอื่นล้วนสร้างได้
พอได้ยินพวกเขาคุยกัน ลู่จือฉินก็มองไปทางห้องครัวแล้วหันกลับมาถามด้วยความสงสัย “อันนั่วกับเสี่ยวอินไม่ใช่แฟนกันเหรอ”
เฉิงหรานดีใจมาก
ดูสิ ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าลูกชายเขากับปาอินเหมาะสมกันมาก!
เขามีความหวังจะได้อุ้มหลานแล้ว!
มู่เถาเยาอธิบายให้ลู่จือฉินฟัง “อาจารย์สามคะ อันนั่วกับเสี่ยวอินรู้จักกันได้ไม่นาน เสี่ยวอินย้ายจากเผ่ามาเรียนทางนี้ก็เพราะหนู ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้คิดไปทางนั้นหรือเปล่า”
“…อาจารย์ว่าพวกเขาดูเข้ากันได้ดีนะ เลยคิดว่าเป็นแฟนกันเสียอีก นึกไม่ถึงว่าจะไม่ใช่”
อาจารย์อาเล็ก “เด็กสองคนนี้เหมาะสมกันมากจริงๆ…”
หัวข้อสนทนาของพวกเขาจากเรื่องพี่น้องยอมรับกันและกันเปลี่ยนไปเป็นเรื่องแฟนแล้ว
เดิมทีในห้องครัวมีเสียงสารพัดอยู่แล้ว กอปรกับพวกเขาจงใจลดเสียงลง คนที่อยู่ในครัวจึงไม่ได้ยินว่าข้างนอกคุยอะไรกัน
เมื่อถึงเวลากินข้าว เฉิงอันนั่วกับปาอินก็ถูกคนอื่นๆ มองด้วยสีหน้ามีเลศนัย
กู่ย่ากับหลี่อวี้เสวี่ยอาบน้ำร้อนมาก่อน เข้าใจสายตาของทุกคนในทันที
“มีอะไรเหรอคะ กับข้าวไม่อร่อยเหรอ”
ปาอินเห็นทุกคนเอาแต่ชำเลืองมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ จึงคิดว่าตัวเองฝีมือตก
หลี่อวี้เสวี่ยคีบปีกไก่ราดซอสที่ตัวเองทำใส่ชามปาอินหนึ่งชิ้นแล้วยิ้มพลางพูด “เปล่าจ้ะ เสี่ยวอิน ลองกินของที่พี่ทำดูสิจ๊ะ มีอะไรต้องปรับปรุงไหม”
“ค่ะ”
ปาอินกินปีกไก่เสร็จก็ชมหลี่อวี้เสวี่ยรัวๆ “เนื้อนุ่มมาก ไม่มันไม่เลี่ยน…พี่สะใภ้ทำปีกไก่ราดซอสอร่อยมากค่ะ!”
พูดชมไม่หยุดหย่อนจนคนฟังคนอื่นๆ เกือบน้ำลายไหล อดคีบปีกไก่มากินไม่ได้
หลี่อวี้เสวี่ยดีใจมาก
เธอเป็นคนเมืองเซียงตู อาหารที่ถนัดคืออาหารเมืองเซียงตูที่มีรสจัด ส่วนอาหารเมืองเย่ว์ตูก็ถนัดแค่ไม่กี่อย่างที่สามีกับลูกชายชอบกิน อย่างอื่นฝีมือธรรมดามาก
ลู่จือฉิน “ทำไมเสี่ยวอินเรียกอวี้เสวี่ยว่าพี่สะใภ้ล่ะ ไม่ใช่ควรเรียกว่าคุณน้าเหรอ”
ปาอินยิ้มหวาน “อาจารย์สามคะ หนูเรียกตามเสี่ยวเยาเยาค่ะ”
ก็แค่เสี่ยวเฉิงไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่ยอมเรียกเธอว่าอา
ขนาดเสี่ยวเยาเยายังเป็นถึงย่าแล้วเธอยังไม่ถูกเรียกแม้กระทั่งอาเลย ล้มเหลว…
ลู่จือฉินแอบชำเลืองมองเฉิงอันนั่ว
เขาไม่มีท่าทีอะไร เห็นได้ชัดว่าชินแล้ว
ดูท่าทางสองคนนี้จะไม่เคยคิดกันไปในทางนั้นจริงๆ
ปาอิน “เสี่ยวเยาเยา วันนี้เจียงเย่ว์ดูเศร้าๆ นะ ไม่ค่อยสนใจใครเท่าไร”
เฉิงอันนั่ว “อาจเพราะพ่อแม่กลับไปแล้วหรือเปล่า”
คนเป็นลูก ต่อให้พ่อแม่เย็นชาก็ยังรู้สึกโหยหาไหม
มู่เถาเยาถาม “นอกจากเศร้าแล้วยังมีอะไรที่แตกต่างจากเมื่อก่อนไหม”
“อืม…เหม่อบ่อยนับไหม แบบที่ว่าตอนเรียนยังนั่งเหม่อ”
เฉิงอันนั่วแกล้งแซว “นักศึกษาปาอิน เธอไม่ตั้งใจเรียน!”
ถึงขั้นที่รู้ว่าคนอื่นเหม่อขณะเรียน งั้นก็แสดงว่าเธอก็ไม่สนใจเรียนเหมือนกัน
“เอ่อ…ก็ไม่เชิง วันนี้คาบแรกอาจารย์เรียกเจียงเย่ว์หลายครั้งแต่เธอไม่ตอบ ฉันถึงได้คอยสังเกตเธอตอนเรียน”
มู่เถาเยาครุ่นคิดแล้วก็ไม่รู้สึกผิดแปลกตรงไหน แต่คิดดูอีกครั้งก็รู้สึกเหมือนมองข้ามอะไรไปหน่อย
“ความสัมพันธ์ของพ่อแม่กับเจียงเย่ว์ไม่ถือว่าสนิทกัน เธอไม่น่าจะเศร้ามากแค่เพราะพ่อแม่กลับเมืองหลวง…ศิษย์พี่ใหญ่คะ เดี๋ยวลองถามเหลยถิงดูนะคะว่าวันนี้เขาบอกเจียงเย่ว์เรื่องไปทำงานหรือยัง”
“เสี่ยวเยาเยา เจียงเย่ว์ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้อาถิงกลับเมืองหลวงอีกเหรอ งั้นอาถิงไปทำงานก็เรื่องปกติสิ! รู้แล้วก็เหมือนกันหรือเปล่า”
เฉิงหรานไม่เข้าใจ
อาจารย์อาเล็กก็พูดขึ้น “คนหนุ่มแบบนั้นต้องไปทำงานอยู่แล้ว เจียงเย่ว์รู้แล้วทำไมเหรอ”
“เดี๋ยวนะคะ ขอฉันคิดก่อน…เสี่ยวอิน ถ้าว่างลองหยั่งเชิงดูว่าเจียงเย่ว์มีความรู้เรื่องสมุนไพรพิษยาพิษเยอะหรือเปล่า”
ปาอิน “ได้”
เฉิงอันนั่วขมวดคิ้วเล็กน้อยพูดวิเคราะห์ “พี่ชายผมถูกวางยาหลังจากไปส่งพ่อแม่เจียงเย่ว์ที่สถานีรถไฟ จากนั้นเขาก็ไปหาเจียงเย่ว์ที่มหาวิทยาลัย…ถ้าเจียงเย่ว์รู้พวกการใช้พิษ งั้นเธอก็น่าจะรู้ว่าพี่ชายผมถูกพ่อของเธอวางยาอีกแล้ว…อาจารย์อาเล็กครับ เจียงเย่ว์อาจไม่ได้ไม่รู้เรื่องนะครับ…”
มู่เถาเยาตอบอืมแล้วพูดต่อ “ความเป็นไปได้มากที่สุดคือ เจียงเย่ว์รู้ แต่ห้ามไม่ได้ ถึงได้ขอให้เหลยถิงกลับมา แบบนี้จะได้แยกทั้งสองคนได้…ศิษย์พี่ใหญ่คะ ไว้วันไหนลองถามเหลยถิงดูว่าเป็นความคิดของเขาเองหรือเจียงเย่ว์เสนอก่อน”
เฉิงอันนั่วถามด้วยความไม่เข้าใจ “แต่เธอไม่ได้ชอบพี่ชายผมไม่ใช่เหรอครับ จะหวังดีอยากให้พี่ผมไม่ถูกพ่อเธอวางยาทำไม”
ปาอิน “อันที่จริง…ฉันรู้สึกว่าเจียงเย่ว์ก็ชอบเหลยถิงอยู่บ้าง เวลาพวกเพื่อนๆ คุยกันเธอไม่เคยเลี่ยงการพูดถึงแฟนตัวเองเลย…”
มู่เถาเยา “หลังจากเห็นเหมียวฉีแม่ของเจียงเย่ว์ก็รู้แล้วว่านิสัยเจียงเย่ว์ได้มาจากไหน น่าจะมีใจให้อยู่บ้าง แต่เพราะนิสัยเป็นแบบนั้น ไม่ชอบแสดงความรู้สึกออกมา”
เป็นคนเก็บอารมณ์ ต่อให้ชอบก็ยากที่จะมองออก
มีแค่ตัวเธอเองที่ทำได้!
อาจารย์อาเล็ก “ไม่ว่าเจียงเย่ว์จะรู้หรือไม่รู้ แต่มีพ่อแม่แบบนั้นอยู่ตรงกลาง เหลยถิงกับเจียงเย่ว์ก็ยากที่จะสมหวัง”
เจียงจี๋วางยาเหลยถิง พวกเขาไม่มีทางทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้
หากเหมียวฉีเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเสี่ยวเยาเยา งั้นเธอก็ไม่มีทางจบลงด้วยดีแน่
สองปัญหาใหญ่นี้คั่นกลางอยู่ แล้วทั้งสองคนยังจะคบต่อยังไงได้อีก
เฉิงหราน “ต่อให้ตอนนี้เจียงเย่ว์ยอม แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับพ่อแม่ของเธอ เธออาจโกรธที่อาถิงไม่ยอมปล่อยพ่อแม่ของเธอ แม้เรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับอาถิงเลยก็ตาม”
ความสัมพันธ์แย่แค่ไหนก็ยังเป็นพ่อแม่ลูกกันอยู่วันยังค่ำ ลูกที่ยังมีคุณธรรมอยู่บ้างย่อมไม่มีทางเพิกเฉย
เสี่ยวเยาเยาเป็นคนใกล้ชิดกับเขา อาถิงก็เหมือนกัน ดังนั้นอาถิงกับเสี่ยวเยาเยาจึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันแบบอ้อมๆ โดยผ่านเขา
หากพ่อแม่ของเจียงเย่ว์เกิดเรื่อง เธอต้องให้อาถิงมาขอร้องเขาแน่ เพื่อฝากไปถึงเสี่ยวเยาเยา
มู่เถาเยายิ้มบาง “ตอนนี้พวกเราได้แต่คาดเดา รอดูไปก่อนค่ะ ศิษย์พี่ใหญ่คะ ในเมื่อเหลยถิงไปทำงานแล้ว งั้นก็หาเวลาถอนพิษในตัวเขาเลยแล้วกันค่ะ หากจำเป็น ฉันอาจทำให้เขามีอาการเหมือนถูกพิษ”
ลู่จือฉินแค่รู้คร่าวๆ ยังไม่รู้รายละเอียด จึงถามขึ้น “เสี่ยวเยาเยา เหลยถิงถูกพิษอะไรเหรอ”
“พิษเมล็ดกลับสู่ถิ่นค่ะ”
“เจียงจี๋นั่นทำไมถึงได้ลงทุนลงแรงสกัดพิษกลับสู่ถิ่นล่ะ” ลู่จือฉินตะลึงมาก
“อาจเพราะเขาอยากเอาเหลยถิงให้ตายจริงๆ พิษกลับสู่ถิ่นสลายไปเร็ว ต่อให้คนตายอย่างกะทันหันก็สืบไม่พบร่องรอย เขาแค้นสำนักแพทย์โบราณจนถึงขั้นกล้าเอาชีวิตคนบริสุทธิ์”
อาจารย์อาเล็ก “เจียงจี๋มีประวัติมาก่อน”
มู่เถาเยา “หนูสืบได้แล้วค่ะว่าเขาเอาเมล็ดกลับสู่ถิ่นจำนวนมากมาจากไหน ไว้รอสืบได้ก่อนว่ามีการทำร้ายคนอื่นอีกไหม สกัดพิษอื่นไว้ทำร้ายคนอีกหรือเปล่า ค่อยว่ากันค่ะ” ถ้าโหดเหี้ยมอำมหิตมากจะเอาให้ถึงตาย
เฉิงหราน “เสี่ยวเยาเยา คลินิกของเจียงจี๋ที่เมืองหลวงเป็นยังไงบ้าง”
“ชื่อเสียงดีมากในละแวกนั้นค่ะ มีแต่คนชมว่าเขาฝีมือดี รักษาไม่แพง”
อาจารย์อาเล็กถอนหายใจเล็กน้อย “คนแบบนี้ถ้าเดินในทางที่ถูกอนาคตสดใสแน่นอน แต่น่าเสียดายที่…”
มู่เถาเยา “รอดูก่อนแล้วกันค่ะว่ามีใครถูกทำร้ายอีกไหม พี่เขยเหลยเป็นทนาย เขารู้ดีว่าความผิดแบบนี้ต้องโทษกี่ปี”
ถ้าลำพังแค่เรื่องเหลยถิงเรื่องเดียวก็ขึ้นอยู่กับเหลยถิงแล้วว่าจะให้อภัยไหม ยังไงสำนักแพทย์โบราณก็ไม่มีทางช่วยออกหน้าแทนเจียงจี๋
แต่เรื่องติดคุกคงแน่นอน
ทำผิดก็ต้องรับโทษ
“ยังมีอีกหน่อยที่ต้องพูดค่ะ หลังจากเหมียวฉีออกจากเผ่าก็ไปเรียนที่เมืองหลวง ตอนนี้ทำงานตรวจสอบคุณภาพในบริษัทยาแห่งหนึ่งของเมืองหลวง มีใบประกอบวิชาชีพเภสัชกรค่ะ”
หลี่อวี้เสวี่ย “เสี่ยวเยาเยาหมายความว่าเหมียวฉีก็อาจรู้เรื่องที่เจียงจี๋วางยาอาถิงด้วยงั้นเหรอ”
“ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เหมียวฉีรอบรู้เรื่องยา อีกทั้งยังเป็นคนเคียงหมอนของเจียงจี๋ ถ้าเธอเกี่ยวข้องกับการหายไปของฉันเมื่อตอนเด็ก แบบนั้นด้วยความสามารถและไหวพริบของเธอไม่มีทางที่จะไม่สังเกตเห็นว่าเจียงจี๋วางยา แล้วก็เธอไม่ได้ออกจากเมืองหลวงมายี่สิบกว่าปีแล้ว ทำไมครั้งนี้ถึงออกมาล่ะ”
กู่ย่าพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เดาทางเหมียวฉีไม่ถูกเลยจริงๆ”
หลี่อวี้เสวี่ย “ผิดปกติมาก! คนคนนี้ไม่ชอบมาพากลแน่นอน!”
ทุกคนต่างพยักหน้า
ลู่จือฉินเสนอ “เสี่ยวเยาเยา อาจารย์จะไปสืบดูพวกเขาที่เมืองหลวง”
เธอรู้วิชาการแพทย์ แถมวรยุทธ์ยังสูง สองคนนั้นก็ไม่รู้จักเธอ เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมมาก
มู่เถาเยาส่ายหน้าแล้วพูด “หนูมีคนอยู่ทางนั้นค่ะอาจารย์สาม หนูอยากสืบจากเจียงเย่ว์ค่ะ”
เฉิงหรานรีบถาม “เสี่ยวเยาเยาคิดจะทำยังไงเหรอ”
“หากว่ากันตามเหตุผล ถ้าเจียงเย่ว์ไม่รู้เรื่องนี้ เธออาจไม่มีทางขอให้เหลยถิงกลับมา ยังไงซะเธอเรียนจบก็ต้องกลับไป เธอเป็นลูกสาวคนเดียว ไม่มีทางไม่กลับไปหรือเปล่า เธอไม่รักเหลยถิงยิ่งไม่มีทางแคร์ว่า เหลยถิงจะกลับมาไหม…”
เฉิงอันนั่ว “อาจารย์อาเล็กครับ งั้นก็หมายความว่า เจียงเย่ว์รู้เรื่องนี้ ถึงได้จงใจขอให้พี่ผมกลับมาเพื่อแยกพวกเขาให้ห่างกัน”
“ตอนแรกแค่สงสัย ตอนนี้พอจะแน่ใจแล้วว่าเจียงเย่ว์รู้เรื่อง ดังนั้นเจียงเย่ว์จะไขคำตอบให้พวกเราได้”
หลี่อวี้เสวี่ยขมวดคิ้วพูด “เจียงเย่ว์แผนสูงจริงๆ”
มู่เถาเยายิ้มพูด “ทุกคนไม่ต้องรีบร้อนค่ะ พวกเขาย่ามใจไปได้อีกไม่นานหรอก พวกเรากินข้าวก่อนดีกว่าค่ะ”
ทุกคนพยักหน้าแล้วกินข้าวต่อ