อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 32 น้ำลายไหลแล้ว
ตอนที่ 32 น้ำลายไหลแล้ว
มู่เถาเยาเคลื่อนตัวจากจุดที่เธอยืนอยู่ไปยังจุดที่ทารกตกลงมาทันที
ในเวลานี้มีรถแล่นผ่านมา เธอจึงใช้ทักษะวิชาตัวเบาลอยขึ้นไปในอากาศ แตะหลังคารถ แล้วกระโดดขึ้นไปบนราวระเบียงชั้นสอง จับทารกน้อยที่ตกลงมาจากชั้นที่สิบห้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะร่อนลงสู่พื้นอย่างมั่นคง
เจ้าตัวเล็กไม่รู้ถึงอันตราย เมื่อเห็นคนแปลกหน้าก็ไม่ร้องไห้หรือสร้างปัญหา แต่กลับโชว์ฟันซี่เล็กๆ สองซี่ของเขาให้มู่เถาเยาเห็น
มู่เถาเยาสะกิดแก้มย้วยของเขาเบาๆ “เธอน้ำลายไหลหมดแล้ว รีบปิดปากเร็วเข้า”
แต่แทนที่ทารกน้อยจะหุบปาก เขากลับหัวเราะคิกคักสนุกสนาน
มู่เถาเยา “…”
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กทารก ผู้คนรอบข้างก็มีปฏิกิริยากลับมาและรีบพุ่งไปหามู่เถาเยาและเด็กทารก
“สาวน้อย เธอกับเด็กโอเคใช่ไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ เขาไม่ตกใจเลยด้วยซ้ำ” ฟังจากเสียงหัวเราะก็รู้แล้ว!
สิ่งเล็กๆ ในอ้อมแขนเธอยังเล็กเกินไป และเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเกือบจะได้ไปพบกับท่านยมราชแล้ว
เด็กชายตัวเล็กดูเหมือนอายุห้าหรือหกเดือน ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองผู้คนที่เข้ามารุมดูเขาอย่างอยากรู้อยากเห็น จากนั้นเขาก็หัวเราะอย่างไร้หัวใจ “เอิ้กๆ เอิ้กๆ…”
เสียงหัวเราะของทารกนั้นช่วยเยียวยาหัวใจได้มาก ประสาทของคนรอบข้างที่ตึงเครียดผ่อนคลายลงอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อครู่นี้อันตรายเกินไปแล้ว!
ถ้าไม่ใช่เพราะสาวน้อยคนนี้ โศกนาฏกรรมที่น่าสลดใจจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!
หลังจากช็อก ทุกคนก็เริ่มไม่พอใจพ่อแม่ของเด็กทารก เด็กตัวเล็กขนาดนี้ปล่อยให้ตกลงมาได้อย่างไร!
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้คนจำนวนมากก็หลั่งไหลออกมาจากอาคารที่พัก
ผู้หญิงที่ถูกชายหนุ่มผมยาวอุ้มลงมาจากตัวอาคารเสื้อผ้าหน้าผมยับยู่ยี่ มุมปากยังมีคราบสีแดงติดอยู่เล็กน้อย
เมื่อทุกคนเห็นสภาพของผู้หญิงที่ถูกอุ้มออกมา เสียงในใจก็ร้องขึ้นทันทีว่านี่แหละแม่ของเด็ก!
เดิมทีพวกเขารู้สึกเกลียดชังอีกฝ่ายที่ดูแลลูกไม่ดีและเกือบทำให้เกิดโศกนาฏกรรม แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นสภาพคุณแม่ยังสาวที่ใบหน้ามีแต่ความหวาดกลัว ตื่นตระหนกและแทบสิ้นสติ พวกเขาก็พูดอะไรไม่ออกอีก
กลุ่มคนที่ยืนมุงอยู่ขยับเปิดทางให้อย่างรู้งาน ปล่อยให้พวกเขาเดินเข้าใกล้มู่เถาเยา
“เสี่ยวเหยียน…”
เจ้าตัวเล็กดูเหมือนจะไวต่อเสียงของคนเป็นแม่มาก เมื่อเขาได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ดวงตากลมโตก็กลอกไปหาใครบางคน
มู่เถาเยาวางทารกไว้ในอ้อมแขนของคุณแม่ยังสาว “ในอนาคตต้องระวังให้มากกว่านี้นะคะ อวัยวะภายในของคุณได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นหากมีเวลาก็ไปหายามากินสักหน่อยเถอะค่ะ”
ดูจากสีหน้าของเธอในตอนนี้ คงจะตกใจกลัวและโกรธมากจนกระอักเลือดออกมา
อารมณ์ดีใจมีผลเสียต่อหัวใจ อารมณ์โกรธมีผลเสียต่อตับ อารมณ์ครุ่นคิดมีผลเสียต่อม้าม อารมณ์เศร้ามีผลเสียต่อปอด อารมณ์กลัว มีผลเสียต่อไต และอารมณ์ตระหนกมีผลเสียต่อถุงน้ำดี…
แต่คุณแม่ยังสาวคนนี้ดูเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่มู่เถาเยาพูดเลย เธอเพียงกอดลูกชายของเธอที่เกือบจะสูญเสียไปและร้องไห้เสียงดัง
ชายผมยาวที่อุ้มเธอไว้มองภรรยาและลูกชายในอ้อมแขน น้ำตาลูกผู้ชายไหลพรากทันที
“โยวโยว เสี่ยวเหยียน…”
เมื่อคุณแม่ยังสาวได้ยินเสียงของเขา ความโกรธของเธอก็ปะทุขึ้นเต็มอก เธออุ้มทารกไว้และพยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนของชายคนนั้นแล้วลงยืนบนพื้น
“หย่า! เหยียนจื่อเย่า ฉันต้องการหย่ากับคุณ!”
เธอผละตัวไปเข้าห้องน้ำแค่ครู่เดียว และเมื่อเธอออกมา เธอก็ได้เห็นฉากที่น่าสยดสยองนี้
“ที่รัก ผมผิดไปแล้ว” เขาไม่ควรสนใจแต่การเขียนเพลง
เห็นได้ชัดว่าเมื่อภรรยาของเขาไปเข้าห้องน้ำและขอให้เขาดูลูกสักครู่ หลังจากที่เขาตอบตกลงอย่างส่งๆ เขาก็หันกลับไปหมกมุ่นกับการแต่งเพลงต่อและลืมมันไป
ในขณะนั้นจิตใจของเขาเต็มไปด้วยเสียงเพลง
“คุณสามารถอยู่กับเพลงโง่ๆ ของคุณได้เต็มที่ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป!”
“ที่รัก ให้โอกาสผมอีกครั้งเถอะ ผมสาบานว่าจะไม่มีครั้งต่อไปแล้ว!” เขาหมกมุ่นกับงานมากเกินไปและมักจะปิดกั้นทุกอย่างจากโลกภายนอก
ซึ่งครั้งนี้มันเกือบจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมและทำให้เขาเหมือนถูกทุบที่ศีรษะอย่างรุนแรง
“เหยียนจื่อเย่า ถ้าฉันเสียเสี่ยวเหยียนไป ฉันจะฆ่าคุณ!” สีหน้าของเธอไม่ได้บ่งบอกว่าพูดเล่นเลย
“คุณไม่จำเป็นต้องทำให้มือตัวเองเปื้อนหรอก ผมจะขอไปตายเอง เพราะงั้นโยวโยว ให้โอกาสผมอีกครั้งเถอะนะ ได้โปรด แค่ครั้งนี้เท่านั้น”
หัวใจของเหยียนจื่อเย่าเหมือนถูกมีดเฉือน
อ้ายโยวอุ้มเด็กไว้ในมือข้างหนึ่ง และยกมืออีกข้างปัดมือของสามีที่ประคองเอวเธอไว้อยู่
“ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ”
อ้ายโยวพยายามอย่างเต็มที่เพื่อกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอออกมา ไม่มองไปที่ชายคนรักอีกต่อไป แต่มองหาผู้ช่วยชีวิตลูกชายของเธอจากฝูงชน
ความตื่นตระหนกเมื่อสักครู่นี้ทำให้เธอลืมหมดทุกอย่าง เธอจึงยังไม่ได้เอ่ยขอบคุณผู้ช่วยชีวิตทันที
ตอนนี้อยากจะหาคนก็หาไม่เจอแล้ว
“พี่สาวท่านนี้ คุณเห็นบ้างไหมคะว่าผู้ช่วยชีวิตลูกชายฉันเธอไปไหนแล้ว”
“อ่า…ฉันไม่เห็นเลย จริงสิ สาวน้อยคนนั้นล่ะอยู่ที่ไหน เมื่อครู่ยังเห็นอยู่ตรงนี้อยู่เลย เธอเดินออกไปตั้งแต่เมื่อไรกัน”
“เอ๋ สาวน้อยคนนั้นไปไหนแล้ว เมื่อกี้นี้ฉันยังยืนอยู่ข้างๆ เธอ…”
“ไม่รู้สิ แต่ว่าแรงกระโดดของเธอทำไมถึงได้มากขนาดนี้ ฉันเห็นเธอกระโดดจากหลังคารถขึ้นไปบนระเบียงชั้นสอง…”
“เป็นรถของผม มันคือรถของผม! เมื่อสักครู่นี้เกิดอะไรขึ้น เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กระโดดจากระเบียงลงมาพร้อมกับเด็กในอ้อมแขนได้อย่างไร”
เขากำลังขับรถอยู่จึงไม่ทันสังเกตว่าทารกตกลงมาจากชั้นบนและถูกรับไว้ เขาเห็นเพียงหญิงสาวที่อุ้มทารกอยู่กระโดดลงมาจากระเบียงชั้นที่สองของตึกทำให้เขาตกใจจนแทบเบรกรถไว้ไม่อยู่!
ไม่มีใครให้คำตอบใดๆ แก่เขา เพราะทุกคนกำลังพูดถึงทักษะของสาวน้อยคนนั้น
“เธอเคยเรียนปาร์กัวร์ [1] มาก่อนหรือเปล่า มันน่าทึ่งมาก!”
“ฉันคิดว่าสาวน้อยคนนี้ดูคุ้นๆ นะ”
“อ๊า ฉันจำได้แล้ว! เธอก็คือซูเปอร์เกิร์ลคนนั้นไง!”
“ซูเปอร์เกิร์ลไหน”
“เมื่อสองสามวันก่อนไม่ใช่ว่าเพิ่งมีรายงานข่าวว่าโรงแรมแห่งหนึ่งค้างค่าจ้างพนักงาน พนักงานต้อนรับเลยถูกอดีตพนักงานถือมีดขู่ให้เถ้าแก่ชดใช้เงินที่ค้างไว้เหรอ”
“มีข่าวนี้ด้วยเหรอ ไม่เห็นเคยได้ยินเลย แล้วสาวน้อยคนนั้นเกี่ยวอะไรด้วย”
“สาวน้อยคนนั้นเธอรู้วิชาสกัดจุดชีพจร! เธอเป็นคนจับพนักงานที่ถือมีดจี้เพื่อเรียกเงินเดือนคืน ไม่อย่างนั้น ถ้าพนักงานสาวคนนั้นถูกแทงด้วยมีด เธอจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ก็เสียชีวิต”
“พูดอย่างนี้ สาวน้อยคนนั้นหรือว่าเธอจะเป็นศิลปะการต่อสู้โบราณ! วิชาสกัดจุดชีพจรก็เป็นทักษะการป้องกันตัวในตำนานไม่ใช่หรือ!”
“เราก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”
“…”
อ้ายโยว ฟังอยู่นานแต่ยังไม่ได้ยินชื่อผู้ช่วยชีวิตของลูกชายของเธอ จึงอดไม่ได้ที่จะถามชายหนุ่มคนแรกที่เอ่ยถึงหญิงสาวผู้มีพลังน่าอัศจรรย์ว่า “เธอชื่ออะไรเหรอคะ มาจากครอบครัวไหน พรุ่งนี้ฉันจะได้พาลูกชายไปถึงหน้าประตูบ้านเพื่อแสดงความขอบคุณ”
“อ่า…นี่…ฉันไม่รู้ชื่อเธอหรอก แต่ตอนนั้นเธออยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกันหรือเปล่า”
“ใช่ๆๆ ฉันจำได้ว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นนักศึกษาปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตู เขาบอกว่าพ่อของเขาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลผิงคัง!”
“เฮ้อ ก็ไม่รู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้วในตอนนี้ ไม่รู้ว่าศาลพอจะอนุโลมเมตตาให้พ่อของเธอบริจาคไตเพื่อช่วยชีวิตเธอก่อนเข้าคุกหรือเปล่า”
“ทุกอย่างเป็นความผิดของไอ้เถ้าแก่หน้าด้านนั่น! ถ้าเขาไม่ค้างค่าจ้าง พ่อคนนั้นก็คงไม่เดินมาถึงจุดนี้”
“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ! สิ่งที่น่าสงสารที่สุดคือเด็กหญิงตัวน้อยที่ป่วย! อนิจจา หากกฎหมายไม่เมตตา ฉันไม่รู้ว่าโรงพยาบาลประชาชนเมืองเย่ว์ตูกับโรงพยาบาลผิงคังจะหาแหล่งไตที่เหมาะสมได้หรือไม่”
“อีกเดี๋ยวผมจะไปสอบถามสถานการณ์ที่โรงพยาบาลดู ถ้าต้องการเงินบริจาค ผมยังมีเงินเก็บอยู่นิดหน่อย”
“ฉันจะไปกับคุณด้วย”
“ฉันไปด้วย”
“ฉันด้วย”
“…”
กลุ่มคนที่ไม่เคยพบกันมาก่อนไปที่โรงพยาบาลด้วยกันพร้อมกับหัวใจที่งดงามของพวกเขา
อ้ายโยวมองตามแผ่นหลังฝูงชนที่แยกย้ายกันไป เธอก้มศีรษะลงจูบลูกชายของเธอ จากนั้นก็หันไปหาสามีของเธอแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้คุณกับฉันไปหาผู้อำนวยการที่โรงพยาบาลผิงคังด้วยกัน ส่วนเรื่องอื่นๆ ไว้ค่อยหารือกันในภายหลัง”
“ได้”
ไม่ว่าเธอจะเป็นลูกสาวของผู้อำนวยการหรือไม่ แต่ถ้าสามารถเดินกับลูกชายของผู้อำนวยการได้ เช่นนั้นเพียงหาผู้อำนวยการพบก็จะหาผู้มีพระคุณคนนั้นเจออย่างแน่นอน
พวกเขาไม่รู้เลยว่า ‘ใครบางคน’ กำลังเดินเอื่อยๆ ลิ้มรสไอศกรีมโยเกิร์ตอยู่ไม่ไกล!
อืมๆ ทิศใต้ของเมืองไม่เลวจริงๆ ครั้งหน้าฉันจะกลับมาใหม่
[1] ปาร์กัวร์ [1] คือการวิ่งไปทุกที่ เน้นการเคลื่อนไหวของร่างกายด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ ผ่านการวิ่ง ปีน กระโดด หรือกลิ้ง โดยไม่มีอุปกรณ์กีฬาหรืออุปกรณ์เสริมใดๆ เพื่อผ่านทุกสิ่งกีดขวางจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งโดยเร็วที่สุด