อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 391 ตระกูลน่าหลานขอการรักษา
ตอนที่ 391 ตระกูลน่าหลานขอการรักษา
เดือนกันยายน ตามหลักแล้วได้เข้าสู่ช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง แต่สำหรับทางใต้กลับยังเป็นหน้าร้อนอบอ้าว
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อดอกกุ้ยฮวาที่หอมอบอวลอยู่ในมหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตู ดอกเบญจมาศบานสะพรั่ง สีเหลืองละลานตา
มู่เถาเยาย้ายมาอยู่คลาสเรียนปริญญาเอกสาขานิติเวชศาสตร์
นักศึกษาปริญญาเอกอายุสิบเก้าปีครึ่ง ถือว่าอายุน้อยที่สุดในสถาบันที่มีชื่อเสียงอย่างมหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูที่มีคนเก่งคับคั่ง
มู่เถาเยาฟังอาจารย์สอนพลางถูกกลิ่นดอกกุ้ยฮวาที่นอกหน้าต่างรบกวนความคิดเล็กน้อย
นอกจากดอกท้อที่ชอบเพราะแม่แล้วก็มีดอกกุ้ยฮวาที่เธอชอบที่สุด
นึกถึงขนมดอกกุ้ยฮวาที่อ่อนนุ่มรสชาติหวานแต่ไม่เลี่ยน เหล้าดอกกุ้ยฮวาที่สีเหลืองนวล และยังมีขนมบัวลอยแช่เหล้ากุ้ยฮวาที่กลิ่นหอมชุ่มคอ…
แค่คิดมู่เถาเยาก็น้ำลายจะไหลแล้ว
ทันใดนั้นเธอก็ถูกอาจารย์หน้าชั้นเรียนเรียกชื่อ
“นักศึกษามู่เถาเยา สรุปเนื้อหาของคาบนี้หน่อย”
มู่เถาเยายืนขึ้น สรุปเนื้อหาหลักของพิษที่เรียนในคาบนี้ พร้อมทั้งตั้งคำถามอีกเล็กน้อย
ศาสตราจารย์วัยห้าสิบกว่าตอบเธอเสร็จใบหน้าก็มีรอยยิ้ม
ทำมือโบกลงเพื่อบอกให้เธอนั่งลง
ไม่ถึงสองนาทีก็เลิกเรียนพอดี
มู่เถาเยาถูกศาสตราจารย์คนนั้นเรียกขณะลงจากตึก
“นักศึกษามู่เถาเยา เห็นท่านอธิการบดีบอกว่าเธออยากใช้เวลาหนึ่งปีเก็บหน่วยกิตป.เอกให้หมดเหรอ”
“ค่ะ”
“ทำไมรีบขนาดนั้นล่ะ”
“ปีหน้าต้องไปเมืองหลวงค่ะ”
“จะเรียนปริญญาเอกใบที่สองเหรอ”
“…เป็นไปได้ค่ะ หลักๆ คือหนูอยากลงแข่งกีฬาระดับนานาชาติครั้งถัดไป อยากเป็นตัวแทนประเทศคว้าเหรียญทองเยอะๆ ค่ะ”
ศาสตราจารย์สงสัยว่าตัวเองฟังผิด
“เมื่อกี้เธอว่าไงนะ”
“หนูรับปากโค้ชเถียนไว้ค่ะว่าจะลงแข่งกีฬาระดับนานาชาติครั้งถัดไป ก็เลยต้องไปฝึก”
ศาสตราจารย์อึ้งไปสักพักถึงพูดขึ้นอีกครั้ง “คนในครอบครัวเธอกับอธิการบดีเจียงรู้หรือเปล่า”
“ทราบค่ะ ทุกคนเห็นด้วย”
ศาสตราจารย์ “…”
เอาเถอะ ขนาดผู้ปกครองยังไม่ยุ่ง แล้วเขาจะทำอะไรได้
มู่เถาเยายิ้มบาง “ศาสตราจารย์ไม่ต้องห่วงนะคะ วันหน้าหนูก็ยังมุ่งเน้นไปที่ด้านการแพทย์ค่ะ”
มีศาสตราจารย์หลายคนที่อยากจะเตือนเธอทั้งทางตรงและทางอ้อม แทบอยากจะเอาความรู้ทั้งชีวิตยัดใส่หัวสมองของเธอ พร้อมทั้งแสดงออกเป็นนัยๆ ว่าวันหน้าเธอจะโด่งดัง อย่าปล่อยให้อย่างอื่นมาทำเสียเวลา
“งั้นก็ดี มีอะไรก็มาหาอาจารย์ได้นะ เธอกลับไปกินข้าวเถอะ”
“ค่ะ แล้วเจอกันค่ะ”
ศาสตราจารย์พยักหน้า โบกมือให้เธอไป
มู่เถาเยาไปถึงลานจอดรถ ขับรถไปกินข้าวบ้านศาสตราจารย์หลินที่สอนเธอตอนเรียนปริญญาตรี
เหลียงจีไปลงคอร์สเรียนแล้ว ทิศทางตรงกันข้ามกับมหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตู เธอจึงขับรถเองตั้งแต่เทอมนี้ มาเรียนและเลิกเรียนพร้อมศิษย์น้อง
วันนี้เธอมีธุระจึงให้ศิษย์น้องสแกนใช้รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าขี่กลับไปเอง
เมื่อไปถึงบ้านศาสตราจารย์หลิน นอกจากในบ้านจะมีครอบครัวศาสตราจารย์หลินสามคนกับอาจารย์อาเล็กแล้ว ยังมีคู่สามีภรรยาที่อายุราวสามสิบกว่าสี่สิบอยู่ด้วย
ภรรยาอาจารย์หลินใบหน้ายิ้มแย้มจูงมู่เถาเยาไปตรงหน้าคู่สามีภรรยา “พี่คะ พี่เขย จะแนะนำให้รู้จักนะคะ นี่เสี่ยวเยาเยา ตอนนี้เรียนปริญญาเอกอยู่ค่ะ”
“ยังเด็กขนาดนี้เรียนปริญญาเอกแล้วเหรอ เฮ่าชุนอายุสิบเจ็ดเรียนมหา’ลัยก็ว่าเด็กแล้วนะ เด็กคนนี้เพิ่งจะอายุเท่าไรเอง ถึงสิบหกไหม” ผู้หญิงที่มีใบหน้างดงามแต่ดูเด็ดเดี่ยวแสดงความตกใจ
มู่เถาเยายิ้ม “สิบเก้าแล้วค่ะ”
หน้าอ่อน ช่วยไม่ได้ จะให้ศัลยกรรมก็ไม่ถูก
“นักศึกษาปริญญาเอกอายุสิบเก้า ทั่วทั้งโลกมีไม่มาก ลูกชายที่บ้านก็สิบเก้าเหมือนกัน แต่นั่นเพิ่งอยู่ปีสอง”
อาจารย์อาเล็กภาคภูมิใจ
ภรรยาอาจารย์หลินก็มีสีหน้าภาคภูมิใจ “พี่คะ อายุสิบเก้าเรียนปริญญาตรีต่างหากที่ปกติ เสี่ยวเยาเยาเป็นเด็กอัจฉริยะที่หาได้ยาก”
ศาสตราจารย์หลินยิ้มพลางพยักหน้า “เสี่ยวเยาเยาเป็นเด็กมากความสามารถจริงๆ”
อาจารย์อาเล็กพูดอย่างไม่เคอะเขิน “เสี่ยวเยาเยาของผมฉลาดตั้งแต่เด็ก…” บลาๆๆ
มู่เถาเยา “…”
ยกยอลูกหลานตัวเองจนติดลมอย่างนั้นเหรอ พอสบโอกาสก็ใส่ไม่ยั้ง
พออาจารย์อาเล็กโอ้อวดเสร็จภรรยาศาสตราจารย์หลินถึงแนะนำต่อ “เสี่ยวเยาเยาจ๊ะ นี่พี่สาวของน้าเอง ชื่อสวีเสี่ยวเจิง พี่เขยชื่อน่าหลานรั่วเซิง”
มู่เถาเยากะพริบตาปริบๆ “น่าหลาน?”
ภรรยาอาจารย์หลินยิ้ม “น่าหลานทำไมเหรอจ๊ะ มีแค่หนูคนเดียวที่สู้เก่งเหรอ”
ศาสตราจารย์หลินยิ้มตาม
สวีเสี่ยวเจิงอึ้งเล็กน้อยแล้วถามขึ้น “เสี่ยวอวิ๋น เสี่ยวเยาเยาก็ฝึกยุทธ์เหรอ”
ภรรยาศาสตราจารย์หลินพูดเกินจริง “ใช่แล้ว! ถ้วยชาอยู่ในมือก็กลายเป็นผุยผงได้!”
มู่เถาเยา “…”
มิน่าตอนนั้นศาสตราจารย์หลินกับภรรยาถึงแค่ตกใจเล็กน้อย ต่อมาก็ล้อเธอเล่นว่าอยากนับถือเป็นอาจารย์
ที่แท้ก็มีญาติอยู่ตระกูลน่าหลานทางตะวันตก เห็นจนไม่แปลกใจแล้ว
ตอนนั้นความตกใจของพวกเขาน่าจะเป็นเพราะไม่คาดคิดว่าเธอจะมีวิทยายุทธ
น่าหลานรั่วเซิงยิ้มถาม “เสี่ยวเยาเยาเป็นศิษย์สำนักไหนเหรอ”
“ซย่าโหวค่ะ”
“อ้อ ผู้อาวุโสซย่าโหวกับคุณนายยังสบายดีไหม”
“อาจารย์รองกับอาจารย์แม่รองสบายดีค่ะ ขอบคุณคุณน่าหลานที่เป็นห่วงค่ะ”
“ผู้อาวุโสซย่าโหวเป็นอาจารย์ของหนูเหรอ” น่าหลานรั่วเซิงประหลาดใจมาก
เขายังแอบคิดว่าเป็นรุ่นศิษย์หลานแล้ว เพราะด้วยวัยของเธอ เป็นเหลนของของผู้อาวุโสซย่าโหวยังได้
“ใช่ค่ะ หนูเป็นลูกศิษย์คนเล็กสุดของอาจารย์รอง นับถือเป็นอาจารย์ตั้งแต่หนึ่งขวบค่ะ”
น่าหลานรั่วเซิงทำท่าคารวะคนรุ่นอาวุโสแบบโบราณให้มู่เถาเยา “รั่วเซิงสำนักน่าหลานคารวะอาจารย์อาเล็ก!”
ถึงแม้ตระกูลซย่าโหวจะยากจนมาก แต่กลับเป็นอันดับหนึ่งในยุทธภพมายาวนาน!
มู่เถาเยาไม่รอให้น่าหลานรั่วเซิงทำความเคารพเสร็จก็ใช้กำลังภายในหยุดเขาที่กำลังจะโน้มตัวลง
น่าหลานรั่วเซิงถูกยันตัวขึ้นมาตั้งตรง เขาแอบตกใจ
กำลังภายในของเด็กคนนี้…
“คุณน่าหลานไม่ต้องเกรงใจค่ะ ตระกูลซย่าโหวไม่ได้ติดต่อกับตระกูลอื่นเลย ไม่กล้ารับคำว่าอาจารย์อาเล็กไว้หรอกค่ะ”
“ในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่ประจำสี่ทิศ สำนักซย่าโหวเก็บตัวมากที่สุด พวกเราไม่กล้าไปรบกวน”
“ได้ยินมาว่าตระกูลน่าหลานมีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลตี้อู่ ตระกูลจั่ว”
น่าหลานรั่วเซิงยิ้มพูด “อาจารย์อาเล็กรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอครับ ไหนว่าไม่สนใจโลกภายนอกไงครับ”
มู่เถาเยายิ้มตาโค้ง “อาจารย์กับพวกศิษย์พี่ของฉันไม่สนใจโลกภายนอก แต่ฉันพาพวกศิษย์หลาน ออกนอกลู่นอกทางแล้วค่ะ”
น่าหลานรั่วเซิงพูดแซว “แสดงว่าตอนนี้สำนักซย่าโหวไม่จนแล้วใช่ไหมครับ”
มู่เถาเยา “…อืม ไม่จนแล้วค่ะ” ดูท่าความจนของสำนักซย่าโหวจะเป็นที่จดจำมาก!
คนที่อยู่ตรงนั้นพากันหัวเราะ
ภรรยาศาสตราจารย์หลินยิ้มพูด “พวกเรากินข้าวกันก่อนเถอะ เดี๋ยวเสี่ยวเยาเยากับเฮ่าชุนยังต้องไปเรียนอีก ท่านอธิการบดีก็ยังมีงาน”
ศาสตราจารย์หลินพยักหน้า “ใช่ กินก่อนเถอะ”
หลังกินเสร็จมู่เถาเยาก็ถามขึ้นขณะจิบชา “คุณน้าคะ เรียกหนูกับอาจารย์อาเล็กมากินข้าวมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ” คงไม่ใช่แค่เพื่อแนะนำตระกูลน่าหลานให้รู้จักหรือเปล่า
ภรรยาศาสตราจารย์หลินจับมือมู่เถาเยา “เสี่ยวเยาเยา เดิมทีน้าอยากรอหนูเลิกเรียนตอนบ่ายค่อยพูด ในเมื่อหนูถามขึ้นมาตอนนี้งั้นน้าจะพูดตามตรงเลยแล้วกัน คือพี่สาวน้ากับพี่เขยอยากขอให้หมอเทวดาหยวนไปช่วยรักษาคนที่บ้านหน่อย พวกเราก็เลยไปหาอธิการบดีเจียง ท่านอธิการบดีฟังอาการแล้วก็ฟันธงว่าถูกพิษ รู้ว่าหมอเทวดาหยวนเกษียณแล้ว ก็เลยอยากขอให้หนูช่วยหน่อยจ้ะ”
พี่สาวกับพี่เขยเชื่อพวกเธอ และก็ย่อมเชื่อใจหมอที่พวกเธอหาให้ แม้หมอคนนี้จะอายุเพียงสิบเก้าก็ตาม
อาจารย์อาเล็กพยักหน้า “ใช่แล้ว เมื่อวานเย็นศาสตราจารย์หลินมาหาอาจารย์”
มู่เถาเยาตอบอืมแล้วมองน่าหลานรั่วเซิงกับภรรยา เธอถาม “ตระกูลน่าหลานมีใครป่วยเหรอคะ”
“แม่ผมเอง เมื่อเดือนที่แล้ว…” น่าหลานรั่วเซิงเล่าอาการที่เกิดขึ้นกะทันหันเมื่อเดือนก่อนให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง
สวีเสี่ยวเจิง “พวกเราเชิญหมอมาตรวจหลายคนก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ เลยต้องขอให้น้องเขยช่วย”
มู่เถาเยาฟังจบก็พอจะเข้าใจแล้ว แต่ก็ต้องเห็นกับตาถึงจะฟันธงได้
“จากที่เล่ามา คุณย่าน่าจะถูกพิษจริงๆ พรุ่งนี้เป็นสุดสัปดาห์พอดี หนูจะไปดูอาการให้ค่ะ”
น่าหลานรั่วเซิงกับภรรยาขอบคุณมู่เถาเยาด้วยความดีใจ