อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 413 น่าเอ็นดูเหลือเกิน
ตอนที่ 413 น่าเอ็นดูเหลือเกิน
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากกินอาหารเช้ากับคนในครอบครัวเสร็จ มู่เถาเยา ลู่จือฉิน และเย่ว์จือกวงก็พาสองเทาน้อยไปป่าพิษหมาป่า
อืม อันที่จริงสองเทาก็ตัวไม่น้อยแล้ว สุขภาพก็แข็งแรงแล้ว เพียงแต่ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็เพียงพอที่จะดำรงชีวิตในป่าพิษหมาป่าได้
ก็แค่พวกมันติดมู่เถาเยา เลยยังติดตามอยู่
พอลงจากรถสองเทาน้อยก็รีบวิ่งเข้าป่า
พวกมู่เถาเยาสะพายเข่งใบน้อยตามหลังพวกมัน พอเจอสมุนไพรที่อยากเก็บก็บอกให้พวกมันหยุด
เมื่อถึงเวลารับประทานอาหารเที่ยง ทั้งสามคนก็นั่งลงกินอาหารกลางวันแบบง่ายๆ
สองเทาน้อยไปหากินกันเอง
พวกมันกินเนื้อสดได้นานแล้ว
ตอนอยู่หมู่บ้านเถาหยวนซานก็ไปล่าอาหารที่เขตป่าชั้นนอกของป่าเซียนโหยวบ่อยๆ บางครั้งวันสองวันไม่กลับมาก็มี
พอทั้งสามคนกินเสร็จสองเทาน้อยก็กลับมา
ไม่รู้ว่าพวกมันไปหาน้ำล้างปากที่ไหน ขนรอบปากถึงได้เปียกชื้นไปหมด
ตอนมู่เถาเยาป้อนเนื้อสดให้พวกมันกินครั้งแรกก็ได้สอนล้างปากหลังจากกินเสร็จด้วย ไม่อย่างนั้นมีคราบเลือดติดเดี๋ยวได้ทำคนตกใจ
สอนหลายครั้งเข้าหมาป่าก็เข้าใจ ต่อไปเวลาพวกมันไปหาอาหารกินเองก็จะติดนิสัยนี้
มู่เถาเยาหยิบผ้าขนหนูผืนใหญ่เช็ดขนให้พวกมัน
ผ้าขนหนูผืนนี้เอาไว้สำหรับเช็ดปากให้พวกมันโดยเฉพาะ
สามคนกับสองตัวพักอยู่ครึ่งชั่วโมงก็เดินหาสมุนไพรกันต่อ
สมุนไพรทำยาบำรุงหาได้ไม่ยาก เพราะสมุนไพรล้ำค่าที่ต้องใช้มีอยู่ในบ้านอยู่แล้ว
เมื่อไปถึงถ้ำของราชาหมาป่า รอบตัวทั้งสามคนก็รายล้อมไปด้วยหมาป่าฝูงใหญ่ ซึ่งทั้งหมดเดินตามมาระหว่างทาง
มู่เถาเยายิ้มตาโค้ง “เจ้าขาว เจ้าเทา ขาวน้อย”
หมาป่าทั้งสามกระโจนเข้ามาหาด้วยความดีใจ
หากเป็นคนอื่นจะต้องล้มลงไปแน่นอน แต่มู่เถาเยายังคงยืนอย่างมั่นคงรับทั้งสามตัวได้
เล่นกันสักพักก็ให้พวกมันไปใช้เวลาอยู่กับสองเทาน้อยที่ไม่ได้เจอกันมานาน
ทั้งสามคนปลดเข่งบนบ่าออกไปวางบนหินก้อนใหญ่ที่อยู่ห่างจากปากถ้ำใกล้ที่สุด จากนั้นก็ให้เย่ว์จือกวงไปชำระล้างร่างกายที่น้ำตกก่อน เอาขวดน้ำดื่มกรอกน้ำมาสำหรับไว้ใช้ล้างหน้าแปรงฟัน
สองศิษย์อาจารย์ไปทีหลัง
เนื่องจากไม่อยากก่อไฟในป่าจึงไม่ได้จับปลา ระหว่างทางเก็บผลนมหมาป่าที่สุกได้ที่กลับมาหลายผล
อาหารเย็นก็กินเนื้อแห้ง นม ขนมปัง และผลไม้
“อาจารย์สาม เสี่ยวเยาเยา ผมจะไปตัดเถาวัลย์น้ำกลับมาหน่อยนะครับ”
ทั้งสองคนพยักหน้า
หลังจากเย่ว์จือกวงไปแล้ว ลู่จือฉินก็เข้าไปหยิบภาพสมุนไพรที่คราวก่อนทิ้งไว้ตอนมากับลู่หันซู
“เสี่ยวเยาเยา ในป่าพิษหมาป่าน่าจะไม่มีดอกไม้สองชีวิตกับหญ้าพิษชีวิต”
“ค่ะ ไว้มีเวลามากหน่อยพวกเราจะเดินจากทางนี้ไปป่าเซียนโหยวกัน”
“งั้นต้องรอหลังจากเธอเข้าร่วมแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติแล้วนะ”
“…โรคของตี้อู๋เปียน…ตอนนี้ยังจนปัญญา พวกเราจะเอาแต่หวังพึ่งดอกไม้สองชีวิตกับหญ้าพิษชีวิตไม่ได้”
“นั่นสิ พวกเราเองก็ต้องคิดค้นใหม่”
มู่เถาเยาพยักหน้า “ไว้หลังตรุษจีนหนูจะไปเขาเทพจันทราอีกครั้ง ดูว่ายังมีเยี่ยนหงกับชวนไป๋อีกไหม จะเก็บเอามาศึกษาค่ะ”
“เยี่ยนหงกับชวนไป๋ก็ไม่ใช่สิ่งที่พบเจอได้ง่าย เสี่ยวเยาเยา ถ้าพวกมันเป็นสิ่งที่ระงับภูเขาไฟปะทุได้จริง ถ้าอย่างนั้นก็อย่าเก็บส่งเดชเลย”
“ค่ะ คงไม่เก็บมาเยอะแน่นอน แค่ต้นสองต้นคงไม่เป็นไร ลองเอามาวิเคราะห์ก่อนว่ามันประกอบด้วยอะไรบ้าง”
“บางครั้งดูแค่ส่วนประกอบก็ไม่มีประโยชน์ อย่างเช่นหวงเหลียนที่พวกเราพบเจอบ่อยที่สุด แพทย์สมัยใหม่สกัดหวงเหลียนบริสุทธิ์ออกมา ตอนแรกก็มีประโยชน์ แต่ใช้ไปใช้มากลับไม่ได้ผลแล้ว แต่หวงเหลียนของพวกเรากลับมีประโยชน์ตลอด…เสี่ยวเยาเยา เข้าใจไหม”
“เข้าใจค่ะอาจารย์ อาจารย์จะบอกว่าธรรมชาติเป็นหนึ่งเดียว แยกจากกันไม่ได้ เพราะเบื้องหลังยังมีพลังและข้อมูลที่พวกเราไม่รู้ นี่คือสิ่งที่พวกมันแสดงออกร่วมกัน มีทั้งแสงแดด ฝน น้ำค้าง ผืนดิน เป็นต้น”
“ใช่แล้ว บางสถานการณ์ที่เราไม่รู้ ตอบไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่จริง พวกเรามองเห็นอะตอม โมเลกุล โปรตอนได้ เห็นโปรตีน วิตามิน คาร์โบไฮเดรต เห็นจุลินทรีย์ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าได้มากมาย แต่ก็ยังต้องเห็นฟ้าดิน จักรวาล และธรรมชาติด้วย”
“ค่ะ”
“มนุษย์ฉลาดมาก แต่อยู่ในจักรวาลก็เป็นได้เพียงเศษเสี้ยวหนึ่ง โลกแห่งธรรมชาติต่างหากที่ยิ่งใหญ่ครองทุกสิ่ง…บ่มเพาะพลังแห่งสิ่งมีชีวิตทั้งปวง…ฟ้าดิน สรรพสิ่ง มีกฎเกณฑ์ของมัน…”
ลู่จือฉินอธิบาย
มู่เถาเยาพยักหน้าต่อเนื่อง
เดิมทีเธอก็หัวไวอยู่แล้ว ย่อมเข้าใจความหมายที่อาจารย์ต้องการสื่อ
ถึงแม้คำพูดเหล่านี้ฟังดูเลื่อนลอย แต่ก็มีอยู่จริง
เมื่อเย่ว์จือกวงหอบเถาวัลย์น้ำกลับมาก็เห็นอาจารย์กำลังสั่งสอนลูกศิษย์อยู่ เขาจึงอดยิ้มไม่ได้
วางเถาวัลย์น้ำไว้ข้างเข่ง เล่นกับครอบครัวราชาหมาป่าขาวพลางฟังสองศิษย์อาจารย์คุยกัน
“…คนทำตามกฎแห่งดิน ดินทำตามกฎแห่งฟ้า ฟ้าทำตามกฎแห่งเต๋า เต๋าคงอยู่และเป็นไปด้วยตนเอง…ในธรรมชาติไม่มีแข็งแกร่งอ่อนแอ ไม่มีถูกผิด มีเพียงความสมดุลและกลมกลืน…เมื่อกี้ตอนพวกเราเดินผ่านมาเห็นหมาป่ากับกวางที่ถูกล่า เธอว่ากวางตัวนั้นน่าสงสารไหม”
มู่เถาเยาพยักหน้าแล้วส่ายหน้า “หากหมาป่าไม่ล่าอาหาร มันก็ต้องอดตาย ถ้าพวกเราช่วยกวาง ก็จะทำลายความสมดุลของระบบนิเวศและความกลมกลืนของธรรมชาติ”
ไม่ใช่เพราะพวกเขาชอบหมาป่ามากกว่าถึงไม่ช่วยกวาง แต่เป็นเพราะเดิมทีสรรพสิ่งก็เป็นไปตามกลไก เรื่องที่มนุษย์ไม่ควรเข้าไปยุ่งก็อย่ายุ่ง เพราะมันเป็นกฎเกณฑ์ตามธรรมชาติ
“ใช่แล้ว มีเพียงความกลมกลืนถึงคงอยู่ได้ยาวนาน…แพทย์แผนโบราณคือการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ใช้หยินหยาง ห้าธาตุ ชีพจร วัฏจักร มาอธิบายร่างกายมนุษย์…อวัยวะภายในร่างกายต้องสามัคคีกันเท่านั้นถึงจะไม่เจ็บป่วย…”
มู่เถาเยาตอบค่ะอยู่เรื่อยๆ พลางยิ้มดวงตาโค้งมน
เย่ว์จือกวงมองน้องสาวสุดที่รักที่น่าเอ็นดูเหลือเกิน หัวใจของเขาอ่อนปวกเปียก
“…เดี๋ยวนี้มนุษย์มีความเป็นอยู่ดีขึ้น ความคิดก็พัฒนาตามไปด้วย ยิ่งเอาใจใส่เรื่องสุขภาพและการบำรุงร่างกาย…แต่ตอนนี้ยังไม่พอ พวกเรายังต้องพยายามเผยแพร่ของดีสมัยโบราณนำมาใช้ในปัจจุบันให้มากขึ้น…”
สองศิษย์อาจารย์คุยกันประมาณหนึ่งชั่วโมงฟ้าก็มืดสนิท
เย่ว์จือกวงเปิดอุปกรณ์ส่องแสงที่ใช้สำหรับข้างนอก สองศิษย์อาจารย์ถึงได้หยุด
มู่เถาเยามองแสงไฟ “ฟ้ามืดแล้วเหรอคะ”
“ใช่แล้ว เห็นคุยกันอย่างออกอรรถรสพี่ก็เลยฟังด้วย แต่ยังมีจุดที่ไม่เข้าใจอยู่หน่อยครับอาจารย์สาม วัฏจักรที่ว่านี้คืออะไรเหรอครับ ไม่น่าจะใช่วัฏจักรทั่วไปแบบที่พวกเราเข้าใจหรือเปล่าครับ”
ลู่จือฉินยิ้ม “วัฏจักรที่พวกเราหมายถึงในที่นี้คือห้าธาตุกับหกภูมิอากาศ ซึ่งก็คือทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน หรือหมายถึงฤดูที่หมุนเวียนไปในหนึ่งปีคือฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว”
มู่เถาเยา “หกภูมิอากาศคือสภาพภูมิอากาศในสี่ฤดู มีลม หนาว ร้อน ชื้น แห้ง ระอุ การเปลี่ยนแปลงของสิ่งเหล่านี้จะส่งผลเป็นอย่างมากต่อสุขภาพและอาการเจ็บป่วยของคนเราค่ะ”
ลู่จือฉินยิ้มพลางพยักหน้า “ใช่แล้ว การหมุนเวียนของสภาพอากาศเป็นปัจจัยที่ก่อเกิดสรรพสิ่งบนโลกเลยนะ เป็นสื่อกลางระหว่างทุกสิ่ง หากไม่มีมันก็ไม่มีสรรพสิ่งบนโลก…และวัฏจักรของห้าธาตุกับหกภูมิอากาศยังเป็นกฎเกณฑ์ที่สามารถคำนวณและทำนายปรากฏการณ์ท้องฟ้า สภาพภูมิอากาศ และรูปแบบการแพร่ระบาดของโรคในปีต่อๆ ไป โดยอิงตามดัชนีปฏิทินดาราศาสตร์ได้ด้วย…”
เย่ว์จือกวงฟังแล้วก็เคลิ้ม