อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 7 การทวงถามเงินเดือนที่เต็มไปด้วยเลือด
ตอนที่ 7 การทวงถามเงินเดือนที่เต็มไปด้วยเลือด
มู่เถาเยาสวมชุดกระโปรงผ้าฝ้ายและผ้าลินินสีกรมท่า เส้นผมยาวถึงกลางหลังของเธอถูกรวบขึ้นไว้ครึ่งหนึ่งด้วยปิ่นไม้ต้นท้อ ใบหน้าที่งามละเอียดดั่งหยกดูสงบและเฉยชา
“อาจารย์ใหญ่ อาจารย์เล็ก ช่วงที่หนูไม่อยู่พวกคุณก็อย่าเพิ่งเข้าไปในป่าเลย” น้ำเสียงติดเย็นชาเล็กน้อยกล่าวอำลาด้วยถ้อยคำอบอุ่น
แม้ว่าทั้งสองคนจะมีใบหน้าอ่อนเยาว์ แต่อายุจริงของพวกเขาไม่ใช่น้อยแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งหรือมีความเร็วระดับไหนย่อมไม่อาจเทียบได้กับชีวิตในช่วงวัยหนุ่มฉกรรจ์
“เยาเยา เอ็งไม่ต้องกังวลหรอก อยู่ข้างนอกเอ็งต้องดูแลตัวเองให้ดี ถ้ามีปัญหาอะไรที่แก้ไขด้วยตัวเองไม่ได้ก็ไปหาศิษย์พี่ชายหญิงของเอ็งซะ เมืองเย่ว์ตูเป็นฐานที่ตั้งหลักของสำนักแพทย์โบราณของเราไม่ต้องกลัว”
มู่เถาเยาพยักหน้า
อย่างเธอเนี่ยนะจะกลัว?
ซย่าโหวโซ่วเอ่ยเตือนซ้ำๆ ว่า “เยาเยา ผู้ชายข้างนอกบางคนก็นิสัยแย่มาก พวกเขามักจะหลอกเด็กสาวด้วยคำพูดหวานๆ เพราะงั้นห้ามเชื่อพวกเขาง่ายๆ เด็ดขาด”
มู่เถาเยาปากตอบว่าค่ะ แต่ในใจเธอไม่คิดแบบนั้นสักนิด
ในโลกนี้คนที่เก่งพอจะสามารถหลอกเธอได้ยังไม่เกิดด้วยซ้ำมั้ง
แม้ยุคสมัยจะแตกต่างกัน แต่ใจคนยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังสลับกันกำชับมู่เถาเยา ผู้อาวุโสของหมู่บ้านก็บุกเข้ามา
ลานกว้างที่เงียบสงบพลันวุ่นวายคล้ายกับตลาดสดอยู่พักใหญ่
หลังจากพูดคุยกันครู่หนึ่ง มู่เถาเยาก็โค้งคำนับทุกคนเล็กน้อยและพูดว่า “คุณลุง คุณป้า พี่น้องทุกท่าน อาจารย์และอาจารย์แม่ของหนูต้องรบกวนทุกคนช่วยดูแลแล้ว”
ลูกสะใภ้ของผู้ใหญ่บ้านชราจับมือเล็กๆ ของมู่เถาเยาและพูดว่า “เยาเยา หนูไปเรียนให้สบายใจเถอะ พวกเราชาวบ้านเถาหยวนซานจะดูแลอาจารย์และอาจารย์แม่ของหนูให้เหมือนกับว่าพวกเขาเป็นบรรพบุรุษของเราเลย”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
มู่เถาเยาโล่งใจมาก
อยู่ที่นี่มาสิบแปดปีเต็ม ย่อมรู้จักนิสัยใจคอของทุกคนเป็นอย่างดี แม้ว่าเธอจะไม่พูดอะไร คนเหล่านี้ก็จะปฏิบัติต่ออาจารย์และอาจารย์แม่เหมือนเป็นญาติในครอบครัวของพวกเขาอยู่แล้ว
ชาวบ้านที่นี่แต่เดิมก็เรียบง่ายและซื่อสัตย์ ในช่วงเวลาสิบแปดปีที่ผ่านมายังประสบกับการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจเพราะศิษย์อาจารย์อย่างพวกเธอ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือลูกๆ ของพวกเขาทุกคนมีมู่เถาเยาเป็นแบบอย่าง แต่ละคนจึงเติบโตมาอย่างโดดเด่น
ในฐานะพ่อแม่ สิ่งที่ต้องการโดยพื้นฐานแล้วย่อมเหมือนกัน นั่นคือความคาดหวังให้ลูกๆ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี
หลังจากที่กล่าวคำอำลากันด้วยความอาลัยอาวรณ์ มู่เถาเยาก็นั่งรถออกจากหมู่บ้านโดยมีมู่อี้ลูกชายของผู้ใหญ่บ้านอาสาขับรถให้ เธอนั่งรถไฟความเร็วสูงจากอำเภอเข้าไปในตัวเมือง จากนั้นก็เปลี่ยนไปขึ้นเครื่องบินเพื่อมุ่งหน้าไปยังเย่ว์ตู
มู่เถาเยามองออกไปนอกหน้าต่างและดูเหมือนจะตกอยู่ในภวังค์ขณะที่มองก้อนเมฆสีขาวซึ่งปรากฏต่อหน้าเธอ
เครื่องบินลำใหญ่ที่สามารถบรรทุกคนได้สองหรือสามร้อยคนบินได้สูงขนาดนี้ แถมยังมีความเร็วของรถไฟความเร็วสูง มันทำให้เธอหลงใหลในเทคโนโลยีของโลกนี้อย่างหมดหัวใจ
ชีวิตนี้ เกิดมาไม่เสียเปล่าจริงๆ
เครื่องบินลงจอดเป็นเวลาสองทุ่มแล้ว ครอบครัวทั้งสามคนของศิษย์พี่ใหญ่เฉิงหรานในวัยห้าสิบปีเป็นคนมารอรับเธอ
หลี่อวี้เสวี่ยภรรยาของศิษย์พี่ใหญ่นั่งอยู่ที่เบาะหลังกับมู่เถาเยา เธอจับมือเล็กๆ ของมู่เถาเยาไว้ พูดด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าว่า “เยาเยา ทำไมคืนนี้เธอไม่มาพักอยู่ที่บ้านเราก่อนสักคืนล่ะ”
“พี่สะใภ้คะ ฉันจะไปที่เรือนอุ่นรัก”
เรือนอุ่นรักเป็นสถานที่พักของอาจารย์ใหญ่ในเย่ว์ตู อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยมาก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพักในหอ
“แม้ว่าห้องหับในเรือนอุ่นรักจะถูกปัดกวาดทำความสะอาดอย่างดีแล้ว แต่ที่นั่นไม่มีคนพักอาศัยมานาน ห้องครัวไม่รู้จะยังใช้การได้ดีอยู่หรือเปล่า เอาเป็นว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะหาแม่ครัวไปช่วยทำอาหารให้” เพราะมาอย่างกะทันหันเกินไปจึงไม่มีเวลาเตรียมการล่วงหน้า
ศิษย์พี่ใหญ่ที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับหันกลับมาและพูดว่า “นั่นสิ ศิษย์น้องเล็กน่าจะไปพักที่บ้านเรา แม้ว่ามันจะค่อนข้างไกลจากมหาวิทยาลัย แต่ศิษย์พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้สามารถไปรับไปส่งเธอทุกวันได้ ให้เด็กสาวอย่างเธอออกไปอยู่ข้างนอกตัวคนเดียว พวกเราไม่ค่อยวางใจเลย”
เฉิงอันนั่วซึ่งกำลังขับรถอยู่หลุดหัวเราะดังก๊ากออกมา
“พ่อ นี่พ่อพูดเล่นใช่ไหมเนี่ย! ด้วยวรยุทธ์ระดับปรมาจารย์ที่ติดอันดับต้นๆ ของโลกของอาจารย์อาเล็ก พ่อยังจะกังวลเรื่องอะไร”
เฉิงหรานหน้าบูดบึ้ง “แกไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเป็นใบ้หรอกนะ!”
“…โอเค ผมจะไม่พูดอะไรแล้ว”
แม้ว่าอาจารย์อาเล็กจะมีลำดับอาวุโสที่สูงกว่าเขา แต่เธอเพิ่งอายุสิบแปดปีเท่านั้น มิหนำซ้ำยังมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์มาก ผิวพรรณก็เรียบเนียนราวกับเด็กทารก หากไม่ใช่ว่าบรรยากาศรอบตัวของเธอที่แผ่ออกมาซึ่งทำให้ดูเย็นชาเหมือนยอดภูเขาน้ำแข็ง เธอคงดูเหมือนเป็นเด็กนักเรียนมัธยมอายุสิบห้าสิบหกปีทั่วไป ไม่อาจมองเธอรวมเข้ากับระดับวรยุทธ์ซึ่งยากจะหยั่งถึงของตัวเธอได้
“ศิษย์พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ ไม่ต้องมองหาคนมาช่วยทำอาหารให้ฉันหรอกค่ะ ฉันทำเองได้ ก็เหมือนกับที่อันนั่วเพิ่งพูดไป ด้วยวรยุทธ์ของฉัน ศิษย์พี่กับพี่สะใภ้ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลเลย”
“แต่…”
หลี่อวี้เสวี่ยต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ถูกขัดจังหวะโดยเฉิงหรานเสียก่อน
“อวี้เสวี่ย เยาเยาชอบอยู่อย่างสันโดษ คุณก็อย่าไปบังคับเธอเลย พวกเราทำอาหารอร่อยๆ ไปให้เธอกินนานๆ ครั้งก็ได้”
อาจารย์เคยพูดไว้ ศิษย์น้องเล็กของเขาคนนี้สามารถกินข้าว อาบน้ำ เข้านอนด้วยตัวเองได้มาตั้งแต่อายุหนึ่งขวบแล้ว สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ดีขนาดนี้ บ่อยครั้งเลยทำให้คนนึกสงสัยว่าเธอใช่เด็กแน่เหรอ
ในฐานะศิษย์คนโตและผู้สืบทอดของหมอเทวดาหยวน เขาย่อมใกล้ชิดและได้ใช้เวลาร่วมกับศิษย์น้องเล็กคนนี้มากกว่าศิษย์น้องชายหญิงคนอื่นๆ จึงรู้จักนิสัยใจคอของเด็กสาวเป็นอย่างดี
ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดหลังจากที่เธอได้ตัดสินใจไปแล้ว
หลังจากไปส่งที่เรือนอุ่นรักแล้ว ครอบครัวของศิษย์พี่ใหญ่ทั้งสามคนก็กลับไป
มู่เถาเยาเคยมาพักอยู่ที่นี่กับอาจารย์ใหญ่ของเธอช่วงระยะเวลาหนึ่ง หญิงสาวเดินขึ้นไปบนชั้นสองอย่างคุ้นเคย ผลักประตูเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง จัดระเบียบสิ่งของ อาบน้ำ และพักผ่อน
เช้าวันต่อมา ทันทีที่แสงอันเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ขึ้นแตะขอบฟ้า มู่เถาเยาก็ลุกขึ้นไปสูดอากาศและเริ่มฝึกวรยุทธ์ตามที่เคยทำเป็นกิจวัตร
เมื่อถึงเวลานัดหมาย เฉิงอันนั่วก็มารับเธอเพื่อไปหา ‘หนูขาว’ อ้อ ไปที่บ้านของคนไข้ แต่รถดันติดอยู่กลางทางขยับไม่ได้
“นี่มันก็เลยชั่วโมงเร่งด่วนไปนานแล้วนะ รถไม่น่าจะติดขนาดนี้สิ แต่นี่ดันจอดนิ่งสนิท! เอ๋ ทำไมถึงมีรถพยาบาลและรถตำรวจด้วยล่ะ เกิดอะไรขึ้น”
เฉิงอันนั่วเปิดกระจกรถและมองไปที่ฝูงชน
เมื่อเห็นว่ารถไม่สามารถเคลื่อนตัวได้ มู่เถาเยาจึงเปิดประตูรถและเดินเข้าไปหาฝูงชนพร้อมกับสะพายกล่องยาขนาดเล็กไปด้วย
เธอไม่ชอบความครึกครื้น แต่ในเมื่อมีรถพยาบาลอยู่ด้วย ไปดูสักหน่อยก็ไม่เป็นไร บางทีอาจช่วยอะไรได้บ้าง
ความคิดของเธอเปลี่ยนไปอย่างมากภายใต้อิทธิพลของหยวนเหยี่ย
เฉิงอันนั่วรีบลงจากรถแล้ววิ่งตามหลังเธอไป
ที่ด้านนอกโรงแรม เนื่องจากมีผู้คนยืนล้อมกันอยู่หลายชั้น ทั้งสองคนจึงมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นตรงล็อบบี้
เฉิงอันนั่วถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ดูเหมือนพนักงานของโรงแรมนี้จะถูกคนใช้มีดปอกผลไม้จี้คอเพื่อข่มขู่ให้เถ้าแก่ของโรงแรมจ่ายเงินเดือนให้เขา!
“อย่าเข้ามา! ใครหน้าไหนก็ห้ามเข้ามาทั้งนั้น! ไม่งั้นฉันแทงเธอไส้ไหลแน่!”
ชายวัยสามสิบปีที่มีใบหน้าสุภาพแต่กลับมีท่าทางดุร้ายใช้แขนซ้ายของเขาล็อกคอพนักงานหญิงไว้และใช้มือขวาจี้ปลายมีดปอกผลไม้ไปที่เอวของเธอ
ตำรวจพยายามเกลี้ยกล่อมชายที่เกือบจะเป็นบ้า “สหาย ใจเย็นๆ! คุณต้องการแค่ค่าจ้าง ไม่ใช่ฆ่าคน รีบวางมีดลงก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวเราจะช่วยทวงเงินเดือนให้”
“ไอ้เถ้าแก่ที่นี่มันเป็นคนขี้โกง! ตกลงกันหลายครั้งแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมจ่ายเงินให้ นี่ก็ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว ทุกครั้งที่ฉันมาที่นี่มันก็เอาแต่หลบหน้าฉันตลอด หนังสือคำร้องที่ฉันยื่นต่อกรมแรงงานไปเมื่อครึ่งปีก่อนก็ยังไม่ได้รับคำตอบรับเลย”
ฝูงชนเงียบลงในทันใด
“ทุกครั้งที่ฉันไปถาม ถ้าไม่พูดว่ายังจัดการไม่เสร็จ ก็อ้างว่ามีงานใหญ่ที่เร่งด่วนกว่าต้องทำ หาคนมาคอยรับหน้าผ่อนผันเวลาไปเรื่อย เอาแต่พูดว่าเจ้านายไม่อยู่แล้วก็ไล่ฉันกลับไป…”
ชายคนนั้นมีเริ่มอารมณ์และตะโกนเสียงดังมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเขาก็เริ่มร้องไห้ขณะที่พูด
“ลูกสาวของฉันป่วยและฉันต้องรีบใช้เงิน ฉันแค่อยากได้เงินในส่วนที่สมควรได้รับ ทำไมมันถึงมีเงินเลี้ยงอีหนูพวกนั้นแต่ไม่มีปัญญาจ่ายเงินเดือนให้ฉัน! ฉันไม่เคยมาสายหรือออกจากงานก่อนเวลา งานที่ไม่ใช่ในส่วนรับผิดชอบของตัวเองฉันก็ช่วยทำ แล้วทำไม มันอาศัยอะไร อาศัยอะไรถึงไม่ยอมจ่ายเงินเดือนให้กับฉัน!”
เสียงคำรามด้วยความโกรธที่เสียดแทงหัวใจทำให้ฝูงชนที่มุงดูอยู่รู้สึกปวดร้าวไปทั้งอก
การเพิกเฉยต่อความรับผิดชอบและมองข้ามของบางหน่วยงาน คงมีเพียงคนที่เคยมีประสบการณ์เท่านั้นถึงจะรู้ว่ามันรู้สึกอย่างไร
“สหาย…”
“ฉันไม่อยากคุยกับพวกคุณ! ฉันไม่เชื่อพวกคุณ! ไปเรียกไอ้เถ้าแก่นั่นมา! ลูกสาวของฉันป่วย ฉันต้องการเงินรักษาเธอ ฉันต้องการเงิน…ฮึก ฮือ…”
ชายที่สูงเกือบหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรกำลังปล่อยเสียงร้องไห้โฮเหมือนกับเด็กๆ
“ได้ๆๆ ใจเย็นๆ นะอย่าเพิ่งตื่นเต้นไป! พวกเราบางคนไปตามตัวเถ้าแก่มาให้คุณแล้ว เขาจะมาที่นี่พร้อมกับจ่ายค่าจ้างให้คุณแน่นอน คิดถึงลูกสาวของคุณเข้าไว้ ถ้าเธอหายจากอาการป่วยว่าแล้วพบว่าคุณติดคุก…”
“ฉันเองก็ไม่อยาก…ฉันไม่อยาก…แต่ฉันไม่มีทางเลือก…ฉันเฝ้าอยู่ที่โรงแรมนี้มานานกว่าหนึ่งเดือนแล้วโดยไม่ได้พบหน้าเถ้าแก่หรือผู้ที่เกี่ยวข้องเลย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ก็ไม่ให้คำอธิบายกับฉัน…ลูกสาวของฉันรอไม่ได้แล้ว เธอต้องการการปลูกถ่ายไต…เธออายุแค่สิบขวบเอง…ฉันคิดว่าเธออาจมีชีวิตอยู่ได้อีก…”
ผู้หญิงหลายคนที่มุงดูอยู่ดวงตาเริ่มแดงก่ำ