อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 81 ความเข้าใจในศาสตร์ที่ลึกซึ้ง
ตอนที่ 81 ความเข้าใจในศาสตร์ที่ลึกซึ้ง
ด้านนี้คนตระกูลเย่ว์และตระกูลตี้กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ทางฝั่งของมู่เถาเยา เย่ว์เลี่ยง หลี่อวี้เสวี่ยและกู่ย่าเองก็กำลังคุยกันอย่างออกรสออกชาติไม่แพ้กัน
หลี่อวี้เสวี่ยและกู่ย่าไม่เคยคาดหวังว่าจะมีโอกาสได้พบกับหัวหน้าเผ่าเย่ว์เลี่ยงจริงๆ ยิ่งคิดไม่ถึงว่ามู่เถาเยากับเย่ว์เลี่ยงจะเข้ากันได้ดีขนาดนี้ อย่างกับเป็นแม่กับลูกสาวกันจริงๆ
ทั้งสองคนรู้สึกมีความสุขกับมู่เถาเยาจากก้นบึ้งของหัวใจ
หลังจากไถ่ถามและแสดงความยินดีกันครู่หนึ่ง มู่เถาเยาก็ตรงเข้าหัวข้อหลัก “อาจารย์อาสะใภ้เล็ก พี่สะใภ้ พาพวกเราไปที่ฉากจำลองได้ไหมคะ”
“ได้สิ”
ฉากจำลองของวงดนตรีสำหรับแสดงในงานเชื่อมสัมพันธ์ทางการทูต ตกแต่งโดยผสมผสานความงามระหว่างทิวทัศน์ของประเทศในสมัยโบราณกับประเทศสมัยใหม่ไว้ได้อย่างลงตัว เครื่องดนตรีประเภททอง หิน ดิน หนัง ไหม ไม้ น้ำเต้า และไม้ไผ่ก็จัดเตรียมไว้ได้อย่างครบครันไม่มีขาด
มู่เถาเยาและเย่ว์เลี่ยงหันมาสบตากัน
แปดประเภทเครื่องดนตรีมีครบครันก็จริง แต่การจัดวางพวกมันลงไปในฉากนั้นทำให้ฉากดูไม่สมบูรณ์เล็กน้อย
อ้างอิงจากแผ่นดินจงโจว ในงานเลี้ยงที่สำคัญอย่างงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูต กฎเกณฑ์พื้นฐานอย่าง ‘ศักดิ์ดินาสูงต่ำ ลำดับอาวุโสมากน้อย’ จะให้ผิดเพี้ยนไม่ได้เด็ดขาด ทุกอย่างต้องเรียงตามลำดับอย่างเคร่งครัด
และไม่ว่าจะเป็นการรับมอบเครื่องบรรณาการ การประชุมพันธมิตร หรือการส่งผู้แทนออกไปต้อนรับคณะทูต ก็ล้วนแต่ต้องอิงตามธรรมเนียมปฏิบัติ จรรยาบรรณพื้นฐานจะให้บกพร่องไม่ได้แม้แต่เสี้ยวเดียว
แต่จากฉากที่เห็นในปัจจุบัน เป็นที่เข้าใจว่าได้มีการเพิ่มองค์ประกอบของสมัยใหม่เข้าไปเพื่อแสดงถึงวิวัฒนาการของระเบียบพิธีกรรม แต่ที่ทำให้สะดุดก็อยู่ที่เครื่องดนตรีที่ถูกจัดวางในฉากนั้นยังคงเป็นรูปแบบเก่าทั้งหมด ซึ่งไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยแต่อย่างใด
บทสนทนาระหว่างมู่เถาเยาและเย่ว์เลี่ยง ทำให้หลี่อวี้เสวี่ยและกู่ย่าตระหนักได้ในทันที
อย่างที่คิดคนที่ยืนอยู่วงนอกเห็นได้ชัดกว่าจริงๆ
แต่แล้วก็เกิดคำถามใหม่ขึ้นว่า “พวกเราเป็นวงที่บรรเลงเครื่องดนตรีโบราณ ถ้าใส่เครื่องดนตรีสมัยใหม่เข้าไปด้วยมันจะไม่ดูขัดกันเหรอ”
ริมฝีปากสีเชอร์รี่ของเย่ว์เลี่ยงอ้าออกเล็กน้อย “ถึงแม้ว่าการใช้เครื่องดนตรีเก่าทั้งหมดก็สามารถแสดงได้ แต่มันก็เหมือนกับการสวมชุดลำลองไปงานเลี้ยงต้อนรับทางการ หรือการสวมชุดราตรีไปนั่งดื่มที่บาร์ ไม่ใช่ว่าใช้ไม่ได้ แค่ไม่เหมาะสมเล็กน้อย”
มู่เถาเยาพยักหน้าและพูดว่า “ฉันแนะนำให้ลบองค์ประกอบสมัยใหม่พวกนั้นออกไปทั้งหมดดีไหมคะ ให้เหลือแค่ดนตรีโบราณเท่านั้น แบบนี้ไม่เพียงแต่จะสอดคล้องกับธีมของงาน แต่ยังไม่ต้องคิดมากตอนที่ปรับเปลี่ยนฉาก นักแสดงก็สามารถหลอมรวมเข้ากับฉากหลังได้ง่ายขึ้นด้วย”
มุมปากของเย่ว์เลี่ยงยกขึ้นน้อยๆ เธอยิ้มและพูดว่า “เพียงแต่ว่าการใช้เสียงดนตรีเพียงอย่างเดียวเพื่อแสดงออกถึงการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยและระบอบธรรมเนียมที่เปลี่ยนไปนั้นค่อนข้างยากนิดหน่อย”
กู่ย่าขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอพูดด้วยความหนักใจ “เราเหลือเวลาอีกไม่ถึงสัปดาห์ก็ต้องไปแสดงที่ฮอลล์ดนตรีระดับประเทศแล้ว ปรับเปลี่ยนตอนนี้มันจะทันเหรอ แล้วถ้าหากเราไม่เปลี่ยน พอมีหนทางอื่นไหมที่จะพาเราย้อนเข้าสู่สายน้ำแห่งประวัติศาสตร์อันยาวนาน”
เห็นๆ อยู่ว่าตอนแยกแสดง การแสดงนั้นสมบูรณ์แบบมาก แต่พอรวมพวกมันเข้าด้วยกัน กลับไม่ให้อารมณ์แบบนั้น
“พี่สะใภ้คะ ช่วยรวมนักแสดงทุกคนมาเล่นให้พวกเราดูสักครั้งได้ไหมคะ”
“แน่นอนจ้ะ”
หลี่อวี้เสวี่ยเรียกตัวนักแสดงที่จะแสดงในรอบปฐมทัศน์นี้ทั้งหมดเข้ามา
หลังจากที่นักแสดงในชุดโบราณเข้าประจำตำแหน่งพร้อมกับเครื่องดนตรีของพวกเขา กู่ย่าก็บรรเลงกู่ฉินเปิดนำ
เสียงกู่ฉินชัดเจน เรียบง่าย ก้องกังวาน และให้องค์ประกอบทางเสียงดนตรีที่ทะลุทะลวง แต่ก็มีความเป็นศิลปะที่ชัดเจนมาก
ในบรรดาเครื่องดนตรีทั้งแปดประเภท ประเภทเครื่องสายถือเป็นที่สุด และในบรรดาเครื่องสาย ‘กู่ฉิน’ ก็คือราชาของทั้งมวล ไม่อย่างนั้นจะมีคำนิยามที่ว่า ‘เสียงกู่ฉินเชื่อมต่อสรวงสวรรค์ ขับไล่ภูตผีร้าย’ ‘ผู้บรรเลงกู่ฉินคือผู้บรรเลงเสียงแห่งสวรรค์และโลก’ หรอกเหรอ ทั้งหมดนี้ล้วนกล่าวถึง ‘กู่ฉิน’ ทั้งนั้น
ดังนั้น ‘กู่ฉิน’ จึงครองอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
หลังจากเสียงกู่ฉินของกู่ย่าแสดงอารมณ์ออกมาในระดับหนึ่ง ทอง หิน ดิน หนังสัตว์ ไหม ไม้ น้ำเต้า และไม้ไผ่ เครื่องดนตรีที่เกิดจากเสียงทั้งแปดเหล่านี้ก็เริ่มบรรเลงขึ้นตาม
บทเพลงราชพิธีแห่งแคว้นเป็นบทเพลงในงานราชพิธีต้อนรับทูตในสมัยโบราณที่ไพเราะที่สุด มันไม่เพียงแต่ทำให้เลือดในกายของผู้คนเดือดพล่าน แต่ยังทำให้เกิดความจงรักภักดีขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจพวกเขา ทำให้รู้สึกอยากโอบกอดผู้คนรอบข้างเพื่อแสดงถึงมิตรภาพอันแน่นแฟ้น
หลังจากฟังจบ มู่เถาเยาและเย่ว์เลี่ยงก็หันไปมองหน้ากัน
กู่ย่าลุกขึ้นจากตำแหน่งของเธอและเดินเข้าไปหาทั้งสองด้วยสายตาคาดหวัง
เย่ว์เลี่ยงค่อยๆ เปิดเผยปัญหาที่พบให้ฟัง “เสียงบรรเลงจากเครื่องดนตรีทั้งแปดผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ท่วงทำนองในแต่ละท่อนก็สมบูรณ์แบบ เพียงแต่ความแตกต่างระหว่างสองยุคสมัย หรือก็คือช่วงตรงกลางในท่อนที่แสดงออกถึงการเปลี่ยนผ่านของยุคนั้นยังขาดหายไปอยู่ ยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไรนัก”
มู่เถาเยากล่าวเสริมว่า “เพราะในท่อนที่ยุคสมัยเปลี่ยนผ่าน อารมณ์ของผู้แสดงยังไม่ได้หล่อหลอมเข้าไปในท่วงทำนองอย่างสมบูรณ์ ระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่านจึงเกิดอารมณ์ที่ชะงักไปชั่วคราว”
เห็นกู่ย่าขมวดคิ้วครุ่นคิดหนัก มู่เถาเยาก็กล่าวต่อไปว่า “สรุปแล้วก็วกกลับมาที่ปัญหาเดิม คือการเชื่อมต่อยังไม่ดีเพียงพอ อารมณ์จึงยังเข้าไม่ถึงบทเพลงอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ได้แสดงออกถึงการเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์ แนวความคิด วิถีชาวบ้านจากยุคเก่าเข้าสู่ยุคใหม่”
หลี่อวี้เสวี่ยถามด้วยความสับสนว่า “แต่แนวคิดแบบนี้เกี่ยวข้องกับบทเพลงยังไง”
เย่ว์เลี่ยงอธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “ดนตรีในบทเพลงพิธีทางการทูตคือสิ่งที่ใช้สะท้อนถึงการปลูกฝังจากภายนอกสู่ภายใน เป็นสื่อกลางที่มีหน้าที่ช่วยถ่ายทอดให้เห็นถึงศีลธรรม จริยธรรม การเมือง คติเตือนใจ การศึกษาและอื่นๆ ที่กลุ่มคนในยุคสมัยนั้นๆ ปฏิบัติ…”
มู่เถาเยาสรุปคำพูดของเย่ว์เลี่ยงให้ฟัง “กล่าวคือการผสมผสานระหว่างอารยธรรม พิธีกรรม และดนตรี ก่อให้เกิดองค์รวมที่เป็นธรรมชาติของระบบสังคมหนึ่ง ซึ่งสามารถช่วยให้ราชวงศ์ใหม่หรือยุคใหม่ดำเนินไปในเส้นทางที่ดียิ่งขึ้น นี่คือความสัมพันธ์ระหว่างดนตรีกับการปลูกฝังทางสังคม”
กู่ย่าและหลี่อวี้เสวี่ยเข้าใจแล้ว
“อ้อ ก่อนหน้านี้ที่อาจารย์อาสะใภ้เล็กบอกว่าไม่สามาถหลอมรวมไปกับฉากได้ ไม่ใช่เพราะปัญหาทางเทคนิคส่วนตัวและก็ไม่ใช่เพราะการบรรเลงโดยรวมไม่ดีหรอกนะคะ เพียงแต่ว่าอารมณ์ที่ซับซ้อนของการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยนั้นไม่สามารถแสดงออกมาได้ ท้ายที่สุดเราเพียงสัมผัสถึงมันได้ แต่ยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดตรงๆ”
ทั่วทั้งลานเงียบกริบ
พวกเขาเข้าใจถึงจุดบกพร่องของการแสดงรอบปฐมทัศน์นี้แล้ว
แต่ถ้าจะให้แทรกเครื่องดนตรีสมัยใหม่เข้ามาในวงดนตรีโบราณเพื่อแสดงให้เห็นถึงยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่านชัดเจนยิ่งขึ้น พวกเขาคิดว่ามันไม่ค่อยกลมกลืนเท่าไหร่นัก ถ้าอย่างนั้นคงมีแต่ต้องลบองค์ประกอบสมัยใหม่ออกไปทั้งหมด และใช้เครื่องดนตรีเก่าถ่ายทอดดนตรีโบราณแบบบริสุทธิ์ออกมาเท่านั้นใช่ไหม
กู่ย่าลูบเส้นผมยาวสีดำขลับที่ปล่อยสยายถึงเอวของมู่เถาเยาและถามเธอด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวเยาเยาพอจะมีคำแนะนำอะไรให้พวกเราหรือเปล่า เธอคิดว่าพวกเราควรจะเปลี่ยนมันยังไงดี”
มู่เถาเยาชำเลืองมองเย่ว์เลี่ยงก่อนตอบว่า “ทำไมไม่ลองให้ฉันกับอาร่วมบรรเลงเพลง ราชพิธีแห่งแคว้นกับทุกคนสักรอบล่ะคะ”
หลี่อวี้เสวี่ยถามด้วยความตกใจว่า “แค่ฟังครั้งเดียวเธอก็จำเนื้อเพลงได้หมดแล้วเหรอ”
มู่เถาเยายิ้ม “ลองดูก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอคะ”
“ตกลง ถ้าอย่างนั้นเธอต้องการเครื่องดนตรีประเภทไหน”
“ประเภทสายค่ะ ขอเป็นกู่ฉินกับเส้อ[1]”
กู่ย่าพยักหน้า “ได้ ถ้าอย่างนั้นเธอใช้กู่ฉินของฉันได้เลย”
นักแสดงก้าวเข้าประจำที่อีกครั้ง
โดยทั่วไปแล้วเครื่องดนตรีของนักดนตรีคนหนึ่งจะไม่อนุญาตให้คนอื่นแตะต้องได้ง่ายๆ แต่เพราะหัวหน้าวงของพวกเขาเชื่อใจ พวกเขาจึงวางใจให้ยืม
มู่เถาเยานั่งอยู่หน้ากู่ฉิน ส่วนเย่ว์เลี่ยงก็ไปประจำตำแหน่งเส้อ
หลังจากที่ทั้งสองมองหน้ากันแล้วยิ้มให้กัน เสียงกู่ฉินก็ค่อยๆ ดังขึ้นเป็นจังหวะเร่งและหยุด ตามมาด้วยเสียงเส้อที่บรรเลงคล้อยตามอย่างอ่อนช้อย เพียงท่วงทำนองเริ่มต้น เสียงดนตรีทั้งสองก็ประสานกันได้อย่างลงตัวไร้ที่ติ เหมือนกับเสียงที่เกิดจากธรรมชาติ ไร้ร่องรอยใดๆ ให้ชวนขัดใจ
เมื่อการบรรเลงเพลงราชพิธีแห่งแคว้นรอบใหม่จบลงอีกครั้ง ครั้งนี้ทุกคนไม่สามารถดึงอารมณ์ออกมาจากฉากได้เป็นเวลานาน
เสียงดนตรีอื่นๆ ที่บรรเลงประกอบเสียงกู่ฉินและเส้อของคนทั้งสอง ทำให้ฉากถูกตัดเข้าสู่งานเลี้ยงต้อนรับคณะราชทูตต่างแคว้นของราชสำนักโบราณ รับฟังองค์ชายและเหล่าขุนนาง ทูตและคนอื่นๆ สนทนากันด้วยภาษาที่เปี่ยมไปด้วยมารยาทเคร่งครัด กลิ่นของสุราในจอกลอยตลบอบอวลไปทั่ว…
การเดินทางข้ามเวลาย้อนกลับสู่อดีต ฟังนักดนตรีของวังหลวงบรรเลงเพลงประกอบฉากงานเลี้ยงต้อนรับที่คึกคัก ทำให้ทุกคนจมดิ่งไม่รู้จะกลับสู่ยุคปัจจุบันอย่างไร
มู่เถาเยายิ้มอย่างช่วยไม่ได้ นิ้วเรียวเลื่อนไปบนสายกู่ฉินสีเงิน และเพียงดีดมันเบาๆ ฉากก็ถูกตัดกลับสู่ช่วงเวลาปัจจุบัน
นักแสดงทุกคนเหมือนเพิ่งเข้าสู่ฝันอันยาวนาน ฝันที่งดงามและชวนหลงใหลจนแทบไม่อยากตื่นขึ้นมา
กู่ย่ายังคงดึงอารมณ์กลับมาไม่หมด “เสี่ยวเยาเยา เมื่อกี้นี้อย่างกับว่าฉันได้ย้อนกลับไปในงานเลี้ยงต้อนรับคณะราชทูตในสมัยโบราณเลย”
หลี่อวี้เสวี่ยมองไปรอบๆ และพูดด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนทุกคนเองก็เพิ่งกลับจากงานเลี้ยงในวังหลวงเหมือนกัน”
มู่เถาเยายิ้มเบาๆ และพูดว่า “อาจารย์อาสะใภ้เล็กกับพี่สะใภ้คิดว่าเปลี่ยนเป็นแบบนี้ดีไหมคะ”
“ดีมาก!”
ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันลบองค์ประกอบสมัยใหม่ทิ้งไปทั้งหมด จากนั้นก็ให้มู่เถาเยาและเย่ว์เลี่ยงช่วยพวกเขาจัดเนื้อเพลงและฉากใหม่
ในเวลานี้ นักแสดงทุกคนมีไอดอลร่วมกัน
เด็กสาวตัวเล็กๆ คนนี้เข้าใจศาสตร์ในด้านนี้ลึกซึ้งมาก!
ถ้าเธอยอมมาเข้าวงดนตรีของพวกเขา พวกเขาจะประคบประหงมและยกเธอขึ้นหิ้งอย่างแน่นอน!
อืม เอาไว้ค่อยไปพูดกับหัวหน้าวงทีหลัง ขอให้เธอชวนไอดอลตัวน้อยไปทัวร์แสดงดนตรีด้วยกัน ยกเธอเป็นวาทยกรเลยก็ได้
อย่างไรก็ตามเด็กสาวตัวเล็กๆ คนนี้ยังต้องเข้าเรียน พวกเขาจึงไม่กล้าตั้งความหวังใดๆ ไว้นัก
[1] เส้อ เป็นเครื่องดนตรีจีนโบราณ มีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มี 25 สาย