อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 89 มีกำลังภายในระดับสูงคุ้มกันตัวอยู่
ตอนที่ 89 มีกำลังภายในระดับสูงคุ้มกันตัวอยู่
ในตอนเที่ยงมู่เถาเยานั่งรถของศาสตราจารย์หลินออกจากลานจอดรถและตามเขากลับไปที่บ้านพักอาจารย์
เมื่อทั้งสองเดินเข้าประตูมา พวกเขาก็ได้กลิ่นหอมของอาหารปรุงสุกทันที
สำหรับมู่เถาเยาที่คุ้นเคยกับวัตถุดิบสดใหม่และอาหารเลิศรส กลิ่นหอมประเภทนี้ไม่เพียงพอที่จะดึงดูดต่อมน้ำลายของเธอได้ แต่ในด้านอารมณ์นั้นเธอให้คะแนนเต็ม
เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน
เมื่อได้กลิ่นหอมของอาหารที่ปรุงเองในบ้านแบบนี้ เธอก็อดคิดถึงหมู่บ้านเถาหยวนซานไม่ได้
ทักษะการทำอาหารของอาจารย์ทั้งสามนั้นไม่สูงนัก ไม่ว่าวัตถุดิบจะดีแค่ไหน แต่สำหรับคนธรรมดาอย่างพวกเขา ปรุงออกมาได้เพียงอาหารธรรมดาๆ เท่านั้น ซึ่งกลิ่นหอมของมันก็เหมือนกับที่เธอได้กลิ่นอยู่ในตอนนี้
ศาสตราจารย์หลินเชิญให้มู่เถาเยานั่งลง ส่วนเขาก็ตะโกนไปทางห้องครัวว่า “ที่รัก ผมกับเสี่ยวเยาเยากลับมาแล้วนะ”
เขาโทรบอกภรรยาตั้งแต่จบคาบเรียนของมู่เถาเยาว่าเขาจะพามู่เถาเยากลับมากินข้าวเที่ยงที่บ้านด้วย เธอจึงทำอาหารพิเศษเพิ่มอีกสองสามอย่าง
เมื่อได้ยินเสียงตะโกน ผู้หญิงสูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรรูปร่างผอมเกินไปแต่มีบรรยากาศรอบตัวที่โดดเด่นก็เดินออกมาจากห้องครัว เธอดูเหมือนผู้หญิงในวัยสามสิบต้นๆ จริงๆ
“อาจารย์แม่หลิน รบกวนแล้วค่ะ”
“เด็กคนนี้ทำไมถึงได้สุภาพมากขนาดนี้นะ! คุณคะ ไปดูที่ห้องครัวหน่อยสิว่าอาหารจานสุดท้ายที่ฉันตุ๋นไว้ใช้ได้หรือยัง ถ้าไม่รออีกสองนาทีคุณก็ยกลงและดับไฟได้เลย”
ศาสตราจารย์หลินวางถุงบรรจุผลนมหมาป่าครึ่งถุงลงบนโต๊ะ ชงชาเขียวให้มู่เถาเยา จากนั้นก็เดินเข้าไปในครัวพร้อมกับถลกแขนเสื้อขึ้น
มู่เถาเยาหัวเราะเมื่อเห็นโลโก้บนกล่องชาเขียวบนโต๊ะชา
“เกิดอะไรขึ้น เสี่ยวเยาเยา ชานี้มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ฉันไม่ได้ใช้มันมากว่าหนึ่งเดือนแล้ว ดังนั้นมันคงยังไม่หมดอายุใช่ไหม” อาจารย์แม่หลินหยิบกล่องชาขึ้นมาเพื่อตรวจสอบ
“อาจารย์แม่ ชาเถาหยวนอวิ๋นอู้นี้ไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ แค่ว่ามันผลิตในไร่ชาในหมู่บ้านของเรา”
“ช่างบังเอิญจริงๆ ! ชานี้รสชาติสดชื่น พวกเราทั้งคู่ต่างก็ชอบมันมาก เพียงแต่ว่ามันไม่เหมาะกับฉันในตอนนี้…”
“อาจารย์แม่ ไม่รู้สึกอยากอาหารแม้แต่นิดเดียวเลยเหรอคะ”
อาจารย์แม่หลินส่ายหัว
“ไม่แม้แต่นิดเดียวจ้ะ ตอนนี้ฉันกินผลไม้ได้เพียงไม่กี่คำเท่านั้น อ้อ ก็ผลนมหมาป่าที่เธอฝากเหล่าหลินนำกลับมาเป็นของขวัญให้ฉันนั่นแหละ ส่วนผลไม้อื่นฉันกัดไม่ลงแม้แต่คำเดียว”
มู่เถาเยาพยักหน้ามองไปที่หน้าของอาจารย์แม่หลินแล้วถามว่า “อาจารย์แม่หลินเริ่มไม่อยากกินข้าวตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“น่าจะประมาณหนึ่งเดือนก่อนจ้ะ ก่อนหน้านี้ยังพอกินได้บ้าง ไม่ได้มีอาการเบื่ออาหารรุนแรงแบบนี้…ถึงไม่อยากกิน อย่างน้อยทุกวันยังกินโจ๊กได้เล็กน้อย แม้จะรู้สึกอยากอ้วกเป็นบางครั้งก็ตาม”
“อื้ม”
มู่เถาเยาหยิบหมอนรองชีพจรออกมาจากกล่องยาขนาดเล็กของเธอ
อาจารย์แม่หลินยิ้มและพูดว่า “เสี่ยวเยาเยาพกกล่องยาไปเรียนที่มหา’ลัยทุกครั้งเลยเหรอจ๊ะ”
“ใช่ค่ะ ขอเพียงแค่ออกไปข้างนอกก็จะพกไปด้วยเสมอ” เผื่อต้องใช้ในยามจำเป็น…เหมือนตอนนี้
อาจารย์แม่หลินวางข้อมือของเธอลงบนหมอนรองชีพจร
มู่เถาเยาจับชีพจรให้เธอด้วยนิ้วมือเรียวเล็กทั้งสามนิ้ว
อาจารย์แม่หลินกลั้นหายใจอย่างประหม่า
“อาจารย์แม่คะ ผ่อนคลายค่ะ”
“…”
มู่เถาเยาดึงมือกลับมาอย่างรวดเร็ว
“มีอาการเบื่ออาหารที่รุนแรงมากทีเดียว ตอนนี้แม้แต่กระเพาะอาหารก็ได้รับผลกระทบแล้ว”
“ถ้างั้นเสี่ยวเยาเยา โรคของฉันจะรักษาหายหรือเปล่า”
“อาจารย์แม่อย่ากังวลไปเลยค่ะ โรคเบื่ออาหารไม่ใช่โรคร้ายแรงที่รักษาไม่หาย มันสามารถรักษาให้หายได้แน่นอน เดี๋ยวตอนบ่ายนี้ฉันจะไปเก็บสมุนไพรมาต้มยาให้นะคะ”
เมื่อศาสตราจารย์หลินออกมาจากห้องครัวและได้ยินเกี่ยวกับการเก็บสมุนไพร เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามไปว่า “เก็บสมุนไพรเหรอ แค่ไปซื้อสมุนไพรที่มีอยู่ในโรงพยาบาลก็ใช้ได้แล้วไม่ใช่เหรอ”
มู่เถาเยาอธิบายให้พวกเขาฟังว่า “สมุนไพรสดๆ มีฤทธิ์ในการรักษาที่สูงและให้ผลรวดเร็วยิ่งกว่าค่ะ สำหรับบางโรค ผลของสมุนไพรสดนั้นดีกว่าสมุนไพรตากแห้งมาก”
อาจารย์แม่หลิน “มีแบบนี้ด้วย!”
“ค่ะ เพราะในกระบวนการเก็บรวบรวมวัตถุดิบยา บางครั้งก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องลดประสิทธิภาพของมันลงเพื่อการเก็บรักษาที่ยาวนานยิ่งกว่า นอกจากนี้บางโรคเรายังจำเป็นต้องบังคับปรับลดฤทธิ์ของสมุนไพรลงด้วย”
“โอ้!” สองสามีภรรยาแสดงสีหน้าเหมือนกัน
อาจารย์แม่หลิน “ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะจ๊ะ”
“เพราะสมุนไพรสดๆ จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ เช่นแสงและความร้อนในระหว่างกระบวนการแปรรูปและการเก็บรักษาทำให้เซลล์แห้งและหดตัวลงยังไงล่ะคะ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมี ซึ่งทำให้องค์ประกอบของสมุนไพรนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงไป อาจมีฤทธิ์ยาบางส่วนที่ถูกทำให้ลดลงหรือหายไป…”
ทั้งสามีและภรรยานั่งฟังคำบรรยายจากเด็กสาวอย่างหลงใหล และเมื่อมันจบลง พวกเขาก็ปรบมือให้เธอเหมือนเด็กนักเรียน
“เสี่ยวเยาเยาเธอน่าทึ่งมาก!”
มู่เถาเยา “…”
ศาสตราจารย์หลินถามว่า “เพราะงั้นการที่กระบวนการรักษาของแพทย์โบราณมักใช้เวลานาน ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะปัญหาด้านสมุนไพรด้วยสินะ”
“ใช่แล้วค่ะ สมุนไพรตากแห้งต้องมีการพองตัว แตกตัว และสลายตัวระหว่างการแปรรูป…ดังนั้นฤทธิ์ของมันจึงไม่ได้ส่งผลรวดเร็วเท่ากับสมุนไพรสดๆ ตามธรรมชาติ”
“ฉันเคยเห็นในละครพีเรียด หมอเทวดาพวกนั้นน่ะเด็ดสมุนไพรปุ๊บก็ใช้ปั๊บเลย เมื่อพวกเขาได้รับบาดเจ็บ แค่ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรมาบดๆๆ และทามันลงไปที่แผลเดี๋ยวเดียวแผลก็หายแล้ว ซึ่งมันรวดเร็วมาก!” อาจารย์แม่หลินเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเหมือนกับเด็กๆ
“ปัจจุบันก็ยังมีหมอบางส่วนที่ใช้สมุนไพรสดในการรักษาโรคอยู่นะคะ อย่างเช่นหมอในแถบชายแดนตะวันออกซึ่งพวกเขานิยมใช้สมุนไพรสดมากกว่า”
ศาสตราจารย์หลินพยักหน้าอย่างเข้าใจแจ่มแจ้ง “คุณสมบัติตามธรรมชาติวิเศษที่สุดแล้ว”
“ใช่ค่ะ สมุนไพรสดสามารถรักษาคุณสมบัติตามธรรมชาติของยาได้ดีที่สุด ดังนั้นผลลัพธ์ในการรักษาจึงยากที่จะหาที่ใดเปรียบเทียบได้”
ศาสตราจารย์หลินพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันจำได้ว่าในสมัยโบราณราชายาแซ่ซุนก็ให้ความสำคัญต่อการใช้สมุนไพรสดอย่างมาก”
“อาจารย์ของหนูเองก็เก่งเรื่องการใช้สมุนไพรสดในการรักษาเหมือนกันนะคะ ดังนั้นหลังจากปลดภาระของเจ้าสำนักแล้ว อาจารย์จึงชอบไปอยู่แถบป่าเขาจะได้เข้าป่าไปเก็บสมุนไพรได้สะดวก”
เพราะแบบนี้เธอถึงได้ถูกอาจารย์เก็บกลับมา
“ในเมื่อผลของสมุนไพรสดนั้นดี แล้วทำไมโรงพยาบาลและร้านขายยาถึงใช้แต่สมุนไพรตากแห้งในการรักษาโรคทั้งนั้นเลยล่ะ” อาจารย์แม่หลินรู้สึกงงงวย
“เพราะคนสมัยใหม่มักเจ็บป่วยจากนิสัยที่ไม่ดีต่างๆ สมุนไพรสดไม่ตรงความต้องการของตลาด สมุนไพรตากแห้งจึงใช้แทนได้ เนื่องจากต้นทุนในการจัดเก็บและขนส่งสมุนไพรสดนั้นสูงมาก ในขณะที่ราคาของยาสมุนไพรธรรมดานั้นก็มีราคาต่ำ หากรวมต้นทุนเหล่านี้ เช่นการจัดเก็บและการขนส่ง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการพบแพทย์และการจ่ายยา เพียงเท่านี้ประชาชนทั่วไปก็เอื้อมไม่ถึงแล้ว”
ดังนั้นการรักษาโดยการใช้สมุนไพรสด จึงไม่แพร่หลายในแพทย์คลินิกสมัยใหม่
อาจารย์แม่หลินพยักหน้า “ฉันเข้าใจแล้ว”
“โชคดีที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว และเทคโนโลยีการแปรรูปก็พัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเราจึงสามารถรักษาคุณสมบัติของสมุนไพรสดได้มากที่สุดผ่านการสกัดและการบำบัดทางชีวเคมี เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการใช้สมุนไพรสดได้จริงๆ”
ดวงตาทั้งสองข้างของอาจารย์แม่หลินเปล่งแสงระยิบระยับ “เสี่ยวเยาเยา เธอคือเทพธิดาตลอดกาล!”
มู่เถาเยา “…”
“ไม่ใช่ ที่รัก ตอนคุณแต่งงานกับผมไหนคุณบอกว่าผมจะเป็นเทพเจ้าเพียงหนึ่งเดียวในใจของคุณตลอดไปไง ผ่านไปเพียงไม่กี่ปี คุณก็เปลี่ยนไปแล้ว!”
ศาสตราจารย์หลินสีหน้าดูตัดพ้อน้อยใจ
มู่เถาเยา “…” เอิ่ม ยังไม่ทันกินข้าวเที่ยงแต่ก็รู้สึกอิ่มซะแล้ว!
อาจารย์แม่หลินดุเขาด้วยรอยยิ้ม “คุณไม่ดูบ้างล่ะว่าตอนแต่งงานใหม่ๆ กับคุณในตอนนี้ต่างกันแค่ไหน ท้องคุณนั่นน่ะกำลังตั้งท้องใช่ไหม! คุณต้องการคลอดลูกคนที่สองให้กับฉันใช่หรือเปล่า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ศาสตราจารย์หลินก็รีบยืดอกและแขม่วหน้าท้องทันที พยายามซ่อนหน้าท้องที่ยื่นออกมาเล็กน้อยนั้นกลับเข้าไป
“ยังจะซ่อนอีก! คุณซ่อนได้เหรอ! อีกเดี๋ยวตอนกินข้าว…อ๊ะ จริงสิ พวกเรามัวแต่คุยกันเพลินจนลืมไปเลยว่าเรายังไม่ได้กินข้าวเที่ยง! เสี่ยวเยาเยากำลังโต การเผาผลาญของเธอเร็วมาก เธอน่าจะหิวแล้ว”
ไม่หิวค่ะ กินอาหารสุนัขกินจนอิ่มแล้ว!
“ใช่ๆๆ กินข้าวก่อน ฉันจัดโต๊ะไว้ให้แล้ว ก็ว่าจะออกมาเรียกทุกคนไปกินข้าวนี่แหละ ดันคุยเพลินซะได้”
ทั้งสามล้างมือและเริ่มรับประทานอาหาร
ฝีมือการทำอาหารของอาจารย์แม่หลินนั้นไม่ได้แย่ มู่เถาเยายังคงกินมันอย่างเอร็ดอร่อย
สำหรับอาหารบางมื้อสิ่งที่คุณกินไม่ใช่รสชาติ แต่เป็นความรู้สึก
อาจารย์แม่หลินไม่มีความอยากอาหารในตอนแรก แต่เมื่อเธอเห็นเด็กสาวตัวเล็กๆ กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย เธอก็อดไม่ได้คีบกับข้าวเข้าปากสองสามคำ
ศาสตราจารย์หลินดีใจมาก
“เสี่ยวเยาเยา ทำไมเธอไม่มากินข้าวเย็นที่บ้านเราทุกวันเลยล่ะ บางทีอาจารย์แม่เห็นเธอกินข้าวแล้วอาจไม่ต้องกินยาด้วยซ้ำ!”
อาจารย์แม่หลินพยักหน้า
มู่เถาเยากล่าวกับคู่รักแปลกประหลาดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ยังต้องกินยาค่ะ!”
ศาสตราจารย์หลิน “พูดถึงยา เสี่ยวเยาเยาเธอจะไปเก็บสมุนไพรที่ไหน ฉันเองก็พอรู้เรื่องสมุนไพรพื้นฐานอยู่บ้าง ให้ฉันไปเก็บเองก็ได้นะ เธอยังมีเรียน”
“ภูเขาที่อยู่ตรงจุดเชื่อมระหว่างเมืองเย่ว์ตูกับเซิ่งตูน่ะค่ะ หนูไปเองจะเร็วกว่า ยังกลับมาทันกินข้าวเย็น”
กับคนที่ต้องรีบกลับมากินข้าว ไม่ว่าทำอะไรก็เร็วทั้งนั้น!
อาจารย์แม่หลินพูดอย่างเป็นกังวล “เสี่ยวเยาเยา แต่การขับรถด้วยระยะทางที่ไกลแบบนี้ยังต้องใช้เวลามากกว่าสองชั่วโมงและต้องใช้เวลาขึ้นเขาเพื่อเก็บสมุนไพรอีก ฉันเกรงว่าเธอจะต้องลงจากเขาตอนดึก ไว้ไปพรุ่งนี้ดีไหมจ๊ะ ฉันไม่รีบหรอก”
“หนูไปเองเร็วกว่าค่ะ ไม่ต้องให้ศาสตราจารย์ไปด้วยหรอก”
ศาสตราจารย์หลิน “…” นี่คือเขากำลังถูกรังเกียจใช่ไหม
“เสี่ยวเยาเยา เธอจดรายการสมุนไพรที่เธอต้องใช้มา แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะจ้างคนสองสามคนไปเก็บ เด็กสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะให้ไปที่ไกลๆ แบบนั้นคนเดียวได้ยังไง”
มู่เถาเยายิ้มและพูดว่า “ศาสตราจารย์ ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ หนูขึ้นเขามาตั้งแต่เด็ก แค่ลัดไปตามเส้นทางของเขาชิงซิ่วเดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้ว มันเร็วมาก”
เขาชิงซิ่วตั้งอยู่ด้านหลังของเขตเซิ่งซื่อฉางอัน มันคือเทือกเขาที่ใหญ่ที่สุดที่ตั้งอยู่ระหว่างสองเมือง
“แต่เด็กสาวตัวเล็กๆ แบบเธอขึ้นเขาตามลำพังได้เหรอ! เกิดเจองูพิษขึ้นมาจะทำยังไง”
“งูพิษต่างหากล่ะคะที่ต้องกลัวหนู”
อาจารย์แม่หลิน “…”
เมื่อเห็นว่าทั้งคู่ยังคงต้องการเกลี้ยกล่อมเธอ มู่เถาเยาจึงวางฝ่ามือซ้ายลงบนถ้วยชาที่เธอใช้ดื่มชา วินาทีต่อมา น้ำในถ้วยก็ไม่หลงเหลืออยู่แม้แต่หยดเดียว และแม้แต่ใบชาก็ยังกลับมาแห้งเหมือนเพิ่งแกะออกจากถุง
สองสามีภรรยางงงวย
“ที่รัก เสี่ยวเยาเยากำลังทำอะไรอยู่”
“ไม่รู้สิ แต่ผมได้กลิ่นหอมของใบชาแรงมาก อย่างกับว่าเป็นชาอบใหม่ที่เพิ่งออกจากหม้อ”
มู่เถาเยาหยิบถ้วยขึ้นมาแล้วเอียงให้ทั้งคู่ดู
“!!!”
อาจารย์แม่หลินจำได้ว่าเธอเติมน้ำให้เสี่ยวเยาเยาก่อนรับประทานอาหาร และตอนที่เธอยกมา อย่างน้อยๆ มันก็น่าจะมีอยู่ราวครึ่งแก้ว!
มู่เถาเยาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ศาสตราจารย์ อาจารย์แม่ หนูมีกำลังภายในระดับสูงคุ้มกันตัวอยู่ ดังนั้นไม่ต้องกังวลจริงๆ ค่ะ”
อุ๊ป…
“ที่รัก เสี่ยวเยาเยา ทำไมเธอถึงได้น่ารักขนาดนี้!”
อาจารย์แม่หลินอดไม่ได้ที่จะหยิกใบหน้าที่เต็มไปด้วยความนุ่มนิ่มของมู่เถาเยา
การแสดงออกของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ในเวลานี้เป็นเหมือนรูปลักษณ์ของสัตว์ตัวเล็กที่กำลังแสดงออกว่า ‘ฉันเก่งที่สุด’ เหมือนกับเด็กอายุอายุสามหรือสี่ขวบที่มักจะยืดอกและชื่นชมตัวเอง
ซึ่งมันน่ารักมากจริงๆ !
มู่เถาเยากะพริบตา
ไหงกลายเป็นว่าถูกชมว่าน่ารักซะงั้น
ศาสตราจารย์หลินพูดด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวเยาเยา เธออาศัยอยู่กับหมอเทวดาหยวนมาตลอดสิบแปดปี เขาคงจะสอนอะไรเธอหลายๆ อย่างสินะอย่างเช่นพาเธอขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรด้วยกัน แต่ว่าเธอยังเป็นเด็ก แถมตอนนี้ยังไปคนเดียว…”
หวืด!!!
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ถ้วยชาในมือของเด็กสาวก็หายไปเหลือเพียงผงสีเทาที่นอนอยู่บนฝ่ามือที่ขาวผ่องและนุ่มนวลของเธอ
ทั้งคู่ขยี้ตาพร้อมกัน
แต่ไม่ว่าจะดูอีกสักกี่ครั้ง มันก็ยังคงเป็นผงสีเทาอยู่ดี!
“เสี่ยวเยาเยา นี่คือ”
“กำลังภายในค่ะ”
ทั้งคู่มองหน้ากัน
เมื่อมู่เถาเยาเห็นว่าตัวเองทำให้พวกเขาตกใจได้สำเร็จ มุมปากของเธอก็อดไม่ได้ที่จะยกขึ้นน้อยๆ
ที่นี้พวกเขาคงวางใจได้แล้วสินะ!
ไม่สำคัญว่าวิธีการพิสูจน์นี้จะหยาบกระด้างเกินไปหน่อยไหม ก็เหมือนกับตอนที่เธอพิสูจน์มันต่อหน้าถังถัง ตราบเท่าที่บรรลุเป้าหมายก็เพียงพอแล้ว
อาจารย์แม่หลิน “เสี่ยวเยาเยา เธอรับลูกศิษย์หรือเปล่า ดูหน่อยสิว่าอย่างฉันนี่พอจะฝึกวรยุทธได้ไหม”
ศาสตราจารย์หลิน “เสี่ยวเยาเยา ฉันพอจะเป็นตัวเลือกที่ดีในการฝึกวรยุทธหรือเปล่า”
“ฉันเป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่”
“ตกลง งั้นผมเป็นศิษย์พี่รอง”
“เจ้าลูกชายก็ให้เป็นศิษย์น้องเล็กไป”
ครอบครัวเดียวกันก็ต้องอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าสิ
มู่เถาเยามีสีหน้าเหมือนถูกฟ้าผ่า
ใครก็ได้บอกเธอทีว่าการแลกเปลี่ยนระหว่างสองสามีภรรยาตรงหน้าเธอนี้ถูกต้องแล้วใช่ไหม
เป็นไปได้ไหมว่าตอนนี้เธอกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงและยังไม่ได้ลุกขึ้นมา หรือเพราะมันเป็นผลมาจากบัตเตอร์ฟลายเอฟเฟกต์เลยทำให้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปในทิศทางแบบนี้?
คืนนี้ย้ายกลับไปนอนที่วิลล่าตระกูลเย่ว์ดีไหมนะ
มู่เถาเยามองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนกับเครื่องจักรแข็งๆ เพื่อดูว่าท้องฟ้าข้างนอกเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือไม่
อุ๊ป…
ทั้งคู่หัวเราะฮ่าฮ่าย่างมีความสุข
สาวน้อยคนนี้ตลกจริงๆ !
รอจนกระทั่งหัวเราะจนพอใจแล้ว อาจารย์แม่หลินถึงค่อยยกมือขึ้นหมุนศีรษะของมู่เถาเยาให้หันกลับมา และพูดว่า “เสี่ยวเยาเยา ในเมื่อพวกเราไปมีแต่จะถ่วงแข้งถ่วงขาเธอ งั้นอาจารย์แม่ขอฝากเธอด้วยนะ”
“อื้ม”
ศาสตราจารย์หลิน “ฉันไม่รู้ว่าจะตอบแทนเธอยังไงดี แค่เพียงคำพูดคงไม่เพียงพอ ในอนาคตตราบใดที่เธอต้องการและตราบใดที่เราสามารถทำมันให้เธอได้ เสี่ยวเยาเยาพูดออกมาได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจ”
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ แต่ก็ขอบคุณนะคะศาสตราจารย์”
อาจารย์แม่หลินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอีกครั้ง
“เสี่ยวเยาเยาเราต่างหากล่ะจ๊ะที่ต้องขอบคุณ เพียงแต่คำว่าขอบคุณนี้ ยังไม่เพียงพอที่จะแสดงความซาบซึ้งใจของเราที่มีต่อเธอ นี่ฉันยกหลินเฮ่าชุนลูกชายฉันให้เป็นสามีอุปถัมภ์ของเธอเป็นไง เขาอายุสิบหกปี ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่สาม ส่วนสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ทั้งแซ่บและน่าหยิกในเวลาเดียวกัน”
“แซ่บและน่าหยิกแปลว่าอะไรเหรอคะ”
ฮ่าๆๆๆ …
ทั้งคู่มีความสุขมากจริงๆ
“เสี่ยวเยาเยา ปกติหนูดูทีวีหรืออ่านนิยายบ้างหรือเปล่าจ๊ะ”
“ไม่ค่อยดูทีวีค่ะ นิยายพออ่านบ้าง”
สำหรับเธอทีวีไม่สามารถดึงดูดความสนใจได้อีกต่อไป เธอจึงดูทีวีเป็นครั้งคราวเท่านั้น ส่วนใหญ่ดูเป็นเพื่อนอาจารย์
“เด็กคนนี้…ทำตัวไม่เหมือนเด็กสาวสมัยนี้เลย!” ดวงตาของอาจารย์แม่หลินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ศาสตราจารย์หลิน “เสี่ยวเยาเยา งานอดิเรกยามว่างของเธอคืออะไรเหรอ”
“อ่านหนังสือนับไหมคะ”
อาจารย์แม่หลิน “แล้วชอปปิงกับดูหนังล่ะ”
“ออกไปกับเพื่อนร่วมชั้นเป็นครั้งคราวค่ะ”
“ยังดีๆ ไม่ใช่เด็กเนิร์ดโดยสมบูรณ์”
“หนูยังสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ขี่ม้า เล่นเกม ขับเรือยอร์ช เล่นกอล์ฟ…ไม่ใช่พวกเด็กเนิร์ดแน่นอนค่ะ”
เพียงแต่ว่าสิ่งเหล่านี้เรียนรู้ได้ง่ายและเมื่อรู้แล้ว ก็ไม่เหมือนกับวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด
สองสามีภรรยามองหน้ากันอีกครั้ง
“เสี่ยวเยาเยา ใครสอนให้เธอสูบบุหรี่และดื่มเหล้าเหรอ” อาจารย์แม่หลินรู้สึกโกรธเล็กน้อย
“หนูเห็นคนจำนวนมากเขาสูบบุหรี่และซิการ์กัน อยากรู้ว่ารสชาติเป็นยังไงก็เลยลองสูบดู หนูรู้ด้วยนะคะว่าจะหาซิการ์ชั้นเยี่ยมได้จากที่ไหน
“…แล้วเหล้าล่ะจ๊ะ”
“หมู่บ้านเถาหยวนซานผลิตไวน์ค่ะ ดังนั้นหนูจึงจำเป็นต้องเรียนรู้เทคโนโลยีด้านนี้ รวมถึงต้องชิมไวน์และประเมินราคาได้”
ทั้งคู่รู้สึกว่าพวกเขาไม่ควรถามคำถามใดๆ ต่อไปอีก มิฉะนั้นพวกเขาอาจจะรู้สึกต่ำต้อยจนอยากตาย!
เด็กสาวอายุสิบแปดปีคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม แต่ยังรู้ไปซะทุกอย่าง!
เมื่อเทียบกับคนแก่ที่อายุเท่าพวกเขา ดูแล้วเหมือนพวกเขาจะไม่รู้อะไรเลยนอกจากสาขาวิชาชีพของตัวเอง!
“กินข้าวกันเถอะ” อาจารย์แม่หลินเติมซุปให้มู่เถาเยา
มู่เถาเยาทิ้งเศษขี้เถ้าลงในถังขยะก่อนจะล้างมือและกลับมานั่งรับประทานอาหารต่อไป
ข้าวสองชาม ซุปสองชาม กับข้าวจานเนื้อและผักบางส่วน เธอกินมากกว่าศาสตราจารย์หลินเสียอีก
ทั้งคู่ถูกทำให้ประหลาดใจอีกครั้ง
“เสี่ยวเยาเยา นี่ไม่กินเยอะไปหน่อยเหรอ ถ้าอิ่มแล้วก็พอได้นะจ๊ะ อย่าให้จุกเกินไป ไม่ต้องฝืน เดี๋ยวครั้งหน้าอาจารย์แม่ทำให้เธอกินอีก”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะอาจารย์แม่ หนูเป็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นความอยากอาหารของหนูจึงมากกว่าคนทั่วไป”
“…” อาจารย์แม่หลินถือตะเกียบ
เสี่ยวเยาเยายังกินมากขนาดนี้ เธอก็ต้องกินบ้าง
“อาจารย์แม่คะ อย่าฝืนตัวเองเลยนะคะ ถ้ากินไม่ได้ก็ไม่ต้องกินหรอกค่ะไม่งั้นจะอาเจียนเอา วันนี้กินผลนมหมาป่าไปก่อน ตราบใดที่คุณไม่อาเจียนอีก ค่อยเริ่มกินข้าวสักสองสามคำ หนูเอาไปตรวจมาแล้วคุณค่าทางโภชนาการของผลนมหมาป่านั้นสูงมาก หลังจากหนูเก็บสมุนไพรกลับมาและต้มให้ดื่มแล้ว อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงต่อมาอาจารย์แม่ก็จะสามารถทานข้าวต้มได้”
“ตกลงจ้ะ”
มู่เถาเยาวางตะเกียบลงเหมือนกัน
“เสี่ยวเยาเยา อิ่มแล้วเหรอ”
“อื้ม”
“งั้นไปนั่งที่ห้องนั่งเล่นเถอะ ฉันจะเคลียร์โต๊ะเอง”
“หนูช่วย…”
อาจารย์แม่หลินไม่รอให้เธอพูดจบ ก็ดึงเธอออกไป
“เหล่าหลินคุ้นเคยกับงานหยาบๆ พวกนั้นแล้ว อย่าไปแย่งกับเขาเลย เขามักจะเลิกงานเร็ว ดังนั้นเขาจึงดูแลครัวที่บ้านเป็นหลัก”
มู่เถาเยา “…”
เอาเถอะ คำว่า ‘บุรุษมิเฉียดใกล้ห้องครัว’ ในยุคนี้ไม่มีอีกต่อไป
แบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน!