อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 97 ต้องการผู้สืบทอด
ตอนที่ 97 ต้องการผู้สืบทอด
วันรุ่งขึ้น หลังจากเย่ว์จือกวงจัดการกับงานของเขาเสร็จ เขาก็พาเป่ยซีไปลาดตระเวนภูเขาพร้อมกับชาวบ้าน
ผ่านทุ่งนา ลัดเลาะภูเขาเขียวและแม่น้ำใสสะอาด ชาวบ้านแนะนำสวนของพวกเขาให้สองแม่ลูกฟังอย่างกระตือรือร้น
“เสี่ยวเยาเยาบอกว่าไม้กฤษณามีส่วนช่วยในการปรับสมดุลของพลังชี่ สมานแผลและส่งเสริมการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ ปกป้องไตและตับ ทำให้นอนหลับสบาย แถมยังมีส่วนช่วยในการบำบัดรักษาโรคซึมเศร้า…”
แม่และลูกชายฟังคำอธิบายจากปากของชาวบ้านคำต่อคำด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
คำพูดที่ขึ้นต้นว่า ‘เสี่ยวเยาเยาบอกว่า’ ทำให้พวกเขามีความสุขอย่างแท้จริง
เดินผ่านอีกหลายจุด ในที่สุดก็มาถึงสวนท้อ
หมู่บ้านเถาหยวนซานได้ชื่อมาจากสวนท้อตรงหน้านี้
ก่อนที่ทั้งสองอาจารย์และมู่เถาเยาจะมาที่หมู่บ้านเถาหยวนซาน คนหมู่บ้านเถาหยวนซานอาศัยลูกท้อที่ทั้งใหญ่ทั้งหวานและมีสีสันสวยงามในสวนท้อนี้เพื่อสร้างรายได้เสริม
อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นยังไม่มีถนนที่คุณภาพดีขนาดนี้ และต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการลงจากเขา มีเพียงมอเตอร์ไซค์และจักรยานเท่านั้นที่สามารถผ่านไปได้
“ลูกท้อในสวนเรา ไม่ว่าจะเป็นคนนอกหรือชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ไม่มีใครไม่ชอบกินผลไม้นี้ แต่หลังจากที่เสี่ยวเยาเยาและคนอื่นๆ มา เราก็แทบไม่ได้ขายมันอีกเลย…”
เย่ว์จือกวงถาม “พี่สามมู่ เสี่ยวเยาเยาชอบกินลูกท้อพวกนี้ไหมครับ”
“แน่นอนสิ! เสี่ยวเยาเยาไม่เลือกกิน เธอชอบกินทุกอย่างในหมู่บ้านนี้…” บราๆๆ
เป่ยซีคิดว่าเมื่อเธอกลับไปที่เผ่าหมาป่าพระจันทร์ เธอจะเปิดสวนท้อสำหรับลูกสาวของเธอโดยเฉพาะ
“คุณผู้หญิง ประธานเย่ว์ ผมจะบอกอะไรให้พวกคุณฟัง ที่นี่พวกเราไม่ได้มีแค่สวนท้อเท่านั้น แต่ยังมีสวนลูกแพร์ สวนแอปเปิล…มีผลไม้มากมายในหมู่บ้านของเราและเราก็กินมันไม่หมด ดังนั้นเราเลยเอาพวกมันเชื่อมส่งขาย…”
เป่ยซี “ไม่ใช่ว่าพวกคุณมีไวน์ดอกไม้ด้วยเหรอ ถ้าเด็ดดอกไม้จนหมดก็ไม่ติดผลแล้ว…” เธอเคยดื่มไวน์ดอกท้อของหมู่บ้านนี้
“ถูกต้อง เพียงแต่ว่าผลไม้เชื่อมของหมู่บ้านเราไม่เน้นทำเงิน เป็นเพราะเสี่ยวเยาเยาและเด็กๆ ชอบกินมัน ดังนั้นจึงไม่ได้ผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก จึงไม่จำเป็นต้องมีผลไม้มากเกินไป เราเน้นเก็บดอกไม้เอาไว้หมักไวน์กันมากกว่า…”
เย่ว์จือกวง “ใครเป็นคนจัดหาเทคโนโลยีการหมักไวน์พวกนี้เหรอครับ ผมได้ดื่มมันมาบ้างแล้ว มันถูกกลั่นด้วยวิธีโบราณ”
“ก็ต้องเป็นเสี่ยวเยาเยาอยู่แล้วสิ! ต่อมาเมื่อกิจการขยายใหญ่โตขึ้น พวกเราถึงได้เริ่มจ้างมืออาชีพ เสี่ยวเยาเยาถึงได้วางมือ”
เป่ยซี “เสี่ยวเยาเยาทำงานหนักเกินไปแล้ว!” เธอปวดใจจริงๆ !
“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ! เสี่ยวเยาเยาเป็นคนที่ยุ่งที่สุดในหมู่บ้านของเรา แต่เธอเป็นประเภทที่อยู่เฉยไม่ได้ ถ้าคุณต้องการให้เธอพักผ่อนมากๆ คุณก็ต้องคอยจับตาดูเธอไว้ ไม่อย่างนั้นเธอก็จะสรรหาอะไรทำได้ตลอดเวลา…”
“พี่สามมู่ ผมพบว่าทุกคนในหมู่บ้านเถาหยวนซานเรียนศิลปะการต่อสู้ด้วยกันหมด ทำไมกัน”
ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกล แต่ทำไมทุกคนถึงดูไม่เหมือนชาวบ้านธรรมดา หยิบเครื่องมือทำนาเป็นชาวนาแต่พอถืออาวุธก็กลายร่างเป็นนักรบ?
สิ่งนี้คล้ายกับเผ่าหมาป่าพระจันทร์ของพวกเขามาก!
โรงเรียนของเผ่าหมาป่าพระจันทร์จะสอนทั้งความรู้และวรยุทธให้กับนักเรียน
พี่สามมู่และชาวบ้านที่มาลาดตระเวนภูเขาด้วยกันหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
คุณแม่และลูกชาย “…”
“คุณผู้หญิง ประธานเย่ว์ พวกกคุณดูออกสินะครับว่าหมู่บ้านของเราค่อนข้างพิเศษ”
สองแม่ลูกพยักหน้า
“นี่คือสิ่งที่เปลี่ยนไปอันดับแรกหลังจากเสี่ยวเยาเยาและอาจารย์ของเธอมาที่นี่! ก่อนหน้านี้ พวกเราเองก็รู้จักแต่แค่ก้มหน้าก้มตาดำนาทำสวน…เสี่ยวเยาเยาน่ะทรงพลังมากๆ ไม่เพียงแต่เด็กๆ เท่านั้นที่ฟังเธอ พวกเราทุกคนในหมู่บ้านล้วนฟังคำสั่งของเธอ…” บราๆๆ
พี่สามมู่เล่าให้สองแม่ลูกฟังถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในหมู่บ้านเถาหยวนซานในช่วงสิบปีที่ผ่านมา โดยเน้นไปที่ความแข็งแกร่งของเสี่ยวเยาเยาและเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงรู้ศิลปะการต่อสู้
เย่ว์จือกวงและเป่ยซีรู้สึกเป็นปลื้มอย่างถึงที่สุด
ทำไมเสี่ยวเยาเยาของพวกเขาถึงได้เก่งกาจ มีน้ำใจ และกตัญญูขนาดนี้…
หลังจากเดินลาดตระเวนบนภูเขามาหนึ่งวันเต็ม สองแม่ลูกก็กลับบ้านพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
ถังถังซึ่งนั่งอยู่ใต้ซุ้มองุ่นในสวนยิ้มกว้างเมื่อเห็นทั้งสองคน “คุณป้า ประธานเย่ว์ ทั้งสองคนกลับมาแล้ว”
“เสี่ยวถังถังวันนี้กลับมาเร็วเหมือนกันนะจ๊ะ”
“อื้มๆ วันนี้ที่กองถ่าย ถ่ายทำได้ราบรื่นดีค่ะ ฉากตอนบ่ายที่ต้องถ่ายในป่าเลยเสร็จเร็ว! คุณป้าและประธานเย่ว์ไปลาดตระเวนบนภูเขามาเหรอคะ” ถังถังเห็นว่ารองเท้าที่พวกเขาสวมอยู่เต็มไปด้วยโคลน
เป่ยซีพยักหน้าและพูดว่า “ใช่จ้ะ หมู่บ้านเถาหยวนซานสวยงามมากจริงๆ !” ทิวทัศน์ยิ่งสวยจนแทบละสายตาไม่ได้!
ลูกสาวของเธอมีชีวิตที่ดีมากที่นี่! สิ่งนี้ปลอบใจพวกเขาได้มากกว่าคำพูดใดๆ !
“อาจารย์ใหญ่ อาจารย์เล็ก อาจารย์แม่เล็ก ไม่มีใครอยู่บ้านเลยเหรอ” เย่ว์จือกวงถามถังถังที่มีรอยยิ้มงดงามยิ่งกว่าภาพพระอาทิตย์ตกดินข้างหลัง
“ไปบ้านผู้ใหญ่บ้านกันหมดแล้วล่ะค่ะ ฉันรอไปกินข้าวเย็นที่บ้านผู้ใหญ่บ้านพร้อมกันกับทั้งสองคน ได้ยินมาว่าวันนี้จะเชือดหมูด้วย!”
“โอเค งั้นพวกเราขึ้นไปเปลี่ยนรองเท้าที่ชั้นบนก่อนเดี๋ยวลงมา”
“อื้มๆ”
สองแม่ลูกเดินผ่านลานบ้าน เปลี่ยนใส่รองเท้าแตะที่วางไว้ที่เฉลียงก่อนเข้าไปในห้องนั่งเล่นแล้วขึ้นไปบนชั้นสอง
ใช้เวลาไม่นานทั้งคู่ก็ออกมา
ถังถังเดินไปคล้องแขนเป่ยซีอย่างออดอ้อน ส่วนเย่ว์จือกวงก็เดินอยู่อีกข้างหนึ่งของเป่ยซี
“เสี่ยวถังถัง หนูกับเสี่ยวเยาเยารู้จักกันได้ยังไงเหรอจ๊ะ”
“พวกเรารู้จักกันผ่านแพลตฟอร์มหนึ่งบนอินเทอร์เน็ตค่ะ คุณป้า อยากรู้หรือเปล่าว่าเสี่ยวเยาเยาใช้ชื่อแอคเคาท์ของเธอว่าอะไรในแพลตฟอร์ม!”
“ชื่ออะไรเหรอจ๊ะ”
“ตาแก่!”
เย่ว์จือกวงหลุดขำออกมาเบาๆ
น้องสาวเขาชอบทำอะไรให้คนคาดไม่ถึงอยู่เรื่อย!
เป่ยซี “ทำไมเสี่ยวเยาเยาถึงใช้ชื่อว่าตาแก่ล่ะ นี่ดูไม่เหมือนชื่อที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งจะตั้งได้เลย”
“นั่นสิคะ แถมตอนนั้นเธอเพิ่งอายุเพียงสิบขวบเท่านั้น!”
“หนูรู้จักกับเสี่ยวเยาเยามาแปดปีแล้วเหรอ”
ถังถังพยักหน้า “ใช่ค่ะ แต่เราเพิ่งพบหน้ากันครั้งแรกเมื่อไม่นานมานี้เอง”
“แล้วทำไมหนูถึงยอมถ่ายโฆษณาให้หมู่บ้านเถาหยวนซานฟรีๆ ล่ะ”
“เพราะเสี่ยวเยาเยาเรียกหนูว่าพี่สาว!”
สองแม่ลูก “…”
“คุณป้า ประธานเย่ว์ เสี่ยวเยาเยาคือคนที่หนูชื่นชมมากที่สุดนอกจากบรรพบุรุษของหนู พรสวรรค์ทางการแพทย์และพิษของเธอไม่มีใครในโลกนี้อีกแล้วที่สามารถเทียบเคียงได้ มีคนแบบนี้มาเรียกหนูว่าพี่สาว คิกคิก…”
เย่ว์จือกวงถามอย่างใจเย็นว่า “ทักษะทางด้านพิษของเสี่ยวเยาเยา เป็นยังไงเมื่อเทียบกับของเธอ”
“มีแต่สูงกว่าไม่ด้อยกว่าอย่างแน่นอน เธอถึงขนาดที่อาจไล่เลี่ยกับบรรพบุรุษของฉันได้เลยด้วยซ้ำ แต่บรรพบุรุษของฉันอายุหนึ่งร้อยยี่สิบสามปีแล้ว ส่วนเสี่ยวเยาเยาเพิ่งอายุสิบแปดปี!”
นี่เป็นเรื่องที่น่ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย!
“หนูเพิ่งอายุยี่สิบสามปีไม่ใช่เหรอ ทำไมบรรพบุรุษของหนูถึงอายุหนึ่งร้อยยี่สิบสามปีแล้วล่ะ นี่มีคนกี่รุ่นกันที่อาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน คนสมัยก่อนไม่ใช่ว่าแต่งงานกันเร็วหรือ”
“คุณป้าคะ ตระกูลถังของเรามีลูกยาก บรรพบุรุษของหนูแต่งงานตอนอายุยี่สิบปี และมีคุณปู่ของหนูตอนที่เขาอายุสามสิบปีแล้ว”
ในสมัยนั้นการมีลูกตอนอายุสามสิบถือว่าช้ามากๆ แล้ว
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้”
“ตระกูลของเรายิ่งคนที่เก่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีลูกยากมากขึ้นเท่านั้น”
ดังนั้นเธอเลยไม่คิดชอบประธานเย่ว์
เธอจะชอบประธานเย่ว์ได้อย่างไร
เป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลเย่ว์จะไม่ใส่ใจเรื่องการมีลูกหลานสืบทอดใช่ไหม
ตระกูลยิ่งร่ำรวยยิ่งทรงอำนาจ ก็ยิ่งใส่ใจเรื่องการมีทายาทไว้สืบสกุล เหมือนกับตระกูลถังแต่พวกเขาแค่ทำอะไรไม่ได้
แต่ตระกูลถังต้องการทายาทมาก ดังนั้นลูกของเธอจึงใช้ได้เพียงแซ่ถังเท่านั้น
ในอนาคต…อย่างมากสุดเธอคงมีลูกได้แค่คนเดียวใช่ไหม
ดังนั้นไม่ว่าตระกูลเย่ว์จะดีแค่ไหน เธอก็แต่งเข้าตระกูลนี้ไม่ได้ และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่ประธานเย่ว์จะแต่งเข้าตระกูลถังของเธอแทน
โชคยังดีที่เธอไม่ได้ชอบเย่ว์จือกวงมากเท่าที่คนอื่นๆ คิดกัน
ไม่อย่างนั้นคงลำบากใจทั้งตัวเองและทำให้คนอื่นลำบากไปด้วย
เป่ยซีถามว่า “เป็นไปได้ไหมว่าการใช้พิษเป็นเวลานานทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของยีนในร่างกาย”
ถังถังส่ายหัว “พวกเราทุกรุ่นมักจะตรวจร่างกายกันเป็นประจำ แต่ไม่พบการกลายพันธุ์ของยีนเลยค่ะ”
เป่ยซีอดไม่ได้หันไปมองลูกชายของเธอ
ได้ยินมาว่าถังถังจะต้องขึ้นเป็นผู้นำตระกูลในอนาคต ดังนั้นเธอจึงไม่สงสัยเลยว่าความสามารถของถังถังนั้นสูงแค่ไหน แต่ทายาทสืบทอด…ถังถังสามารถให้กำเนิดได้หรือไม่ หลังคลอดแล้วเด็กคนนั้นควรใช้แซ่ถังหรือว่าแซ่เย่ว์กันล่ะ
ถ้าใช้แซ่เย่ว์ ก็เท่ากับต้องเติบโตขึ้นในตระกูลเย่ว์ แบบนี้แล้วหากถังถังไม่อาจให้กำเนิดทายาทคนที่สองได้ตระกูลถังจะทำอย่างไร
แต่ถ้าใช้แซ่ถัง เป่ยซีก็ไม่ต้องการให้ลูกหลานของเธอมีลูกยากในอนาคต…
ไม่คิดมีลูกกับมีลูกยากเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันมาก
อันแรกคือเชิงรุก ส่วนอันหลังคือเชิงรับ คุณสมบัติต่างกันโดยสิ้นเชิง
ลืมมันไปซะเถอะ ปล่อยให้พวกเขาเลือกเส้นทางของพวกเขาเองก็แล้วกัน
“แม่ครับ มีอะไรหรือเปล่า” ทำไมถึงได้ใช้สายตาแปลกๆ แบบนั้นมองเขา
“…ไม่มีอะไร”