อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม - บทที่ 933 หลบออกไปจากสถานการณ์อันดุเดือด
- Home
- อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม
- บทที่ 933 หลบออกไปจากสถานการณ์อันดุเดือด
พระชายา?
เช่นนั้นเขาก็คือท่านอ๋อง?
แคว้นน้ำแข็งมีท่านอ๋องเช่นนี้อยู่ผู้หนึ่งด้วยหรือ?
ทำไมพวกเขาถึงไม่รู้?
ทว่าราศีอันสูงสง่ามีอำนาจรอบตัวของเขาที่เหมือนดั่งเทพเซียนลงมาจุติบนโลกนั้น ยังไงก็ทำให้คนจำเป็นต้องเชื่อว่า เขาก็คือบุคคลระดับท่านอ๋องผู้หนึ่ง
หรือเป็นท่านอ๋องน้อยของจูโหวหวัง(ฮ่องเต้ผู้ครองแคว้น)สินะ
“มอบน้ำค้างแห่งสวรรค์ออกมา” เย่จิ่งหานกล่าว
มือของมู่ซินเคลื่อนไหวทันที คิดจะล้วงน้ำค้างแห่งสวรรค์ออกมาจากตรงหน้าอก
กู้ชูหน่วนช่วยประคองร่างกายของเขา ปิดบังการเคลื่อนไหวของเขาไว้อย่างไร้ร่องรอย ปากก็กล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรไป ไม่สบายอีกแล้วหรือ?”
“ลูกสาว ไม่งั้น……”
“ไม่งั้นท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะนะ ที่นี่มอบให้ข้า”
“แต่ว่า…….”
ฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งขนาดนั้น หากว่าเขาอยากจะสังหารพวกเขาจริงๆ เหลือน้ำค้างแห่งสวรรค์ไว้จะมีประโยชน์อะไร เอาน้ำค้างแห่งสวรรค์มาแลกชีวิตยังจะดีซะกว่า
กู้ชูหน่วนกล่าว “ระหว่างทางที่ข้ากลับมาได้เอาน้ำค้างแห่งสวรรค์ทิ้งไปแล้ว ตอนนี้น้ำค้างแห่งสวรรค์ไม่ได้อยู่ในมือของข้า”
เจ้าบ้านรองกล่าวด้วยความร้อนใจ “อะไร น้ำค้างแห่งสวรรค์ของสำคัญขนาดนั้น เจ้าทิ้งไปได้อย่างไร? เจ้าเอาไปทิ้งที่ไหนแล้ว?”
“ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าทิ้งที่ไหน หากว่าข้ารู้ก็วนกลับไปเก็บมานานแล้ว”
“เจ้า…….”
ทุกคนแทบอยากจะฉีกกู้ชูหน่วนแล้ว
น้ำค้างแห่งสวรรค์เป็นถึงยาวิเศษที่สามารถเพิ่มวิทยายุทธได้อย่างรวดเร็วเชียวนะ
นางทำหายแล้ว ยังจะพูดอย่างมีเหตุเหตุผลหลักการเช่นนี้อีก?
“ตัดหัวของนางซะ”
เย่จิ่งหานไม่อยากจะพูดจาไร้สาระกับนางแม้แต่คำเดียว
ชิงเฟิงเจี่ยงเสวียรับคำสั่ง ขวางนางไว้อยู่ด้านหน้าคนหนึ่งด้านหลังคนหนึ่ง
ขณะที่กู้ชูหน่วนกำลังกลอกตาไปมา คิดหาวิธีสลัดตัวให้หลุดพ้น ทั้งยังสามารถปกป้องตระกูลมู่ไว้ให้ได้ ฉับพลันนั้นแสงสว่างแสงหนึ่งก็จมเข้าสู่ใจกลางระหว่างคิ้วของนาง
กู้ชูหน่วนสั่นเทาขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ร่างกายถอยหลังไปสองสามก้าว
นางลูบระหว่างคิ้วของตัวเองด้วยความงงงัน มักจะรู้สึกว่ามีของอะไรเจาะเข้าไปตรงระหว่างคิ้วของนางอยู่เสมอ
ความทรงจำอันเลือนรางช่วงหนึ่งปรากฏขึ้นในสมองอย่างฉับพลัน กู้ชูหน่วนตกใจจนแทบทนไม่ไหว
แสงไฟจุดนี้…..
คล้ายกับแสงไฟในไหกักวิญญาณที่นางทุบแตกไปเมื่อตอนกลางวันเหลือเกิน
ในความเลือนราง นางได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งอีกด้วย
ผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตางดงามเป็นเลิศงามล่มเมือง
เพียงแต่เหมือนกับว่าผู้หญิงคนนี้จะมีวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ ลอยอยู่ในความเลอะเลือน ดวงตาทั้งคู่ดูสับสน
ไม่เพียงแต่กู้ชูหน่วนเท่านั้นที่ตกใจ
เย่จิ่งหานก็ตกใจเช่นกัน
หากไม่ใช่เพราะขาทั้งสองข้างของเขาพิการ ไม่สามารถยืนได้ เกรงว่าเขาก็คงจะลุงขึ้นยืนไปนานแล้ว
อาหน่วน…..
นั่นอาหน่วนหรือ?
เย่จิ่งหานหยิบกระจกส่องวิญญาณออกมาด้วยความสั่นเทา เขากัดนิ้ว หยดเลือดลงบนกระจกส่องวิญญาณ ต่อจากนั้นก็ใช้กำลังภายในกระตุ้นกระจกส่องวิญญาณ ส่องไปทางกู้ชูหน่วน
ในกระจก นอกจากมู่หน่วนแล้ว ยังมีดวงจิตวิญญาณของกู้ชูหน่วนอีกดวงจิตหนึ่งอยู่ด้วย
ดวงจิตวิญญาณของกู้ชูหน่วนเข้าไปในร่างของมู่หน่วน ยืมร่างกายของนางเพื่อพักพิง
ไม่…..
ไม่ใช่ดวงจิตเดียว
เหมือนจะเป็นสองดวงจิต
เพียงแต่ดวงจิตหนึ่งค่อนข้างชัดเจน
ดวงจิตหนึ่งกลับเลือนรางมาก ราวกับทับซ้อนกัน และดูไม่ออกว่าเป็นดวงจิตเดียวหรือสองดวงจิตกันแน่
เย่จิ่งหานตื่นเต้นจนควบคุมตัวไว้ไม่อยู่
หาดวงจิตวิญญาณของอาหน่วนพบแล้ว…..
และ……และคิดไม่ถึงว่าร่างกายของนางก็พอที่จะสามารถเลี้ยงบำรุงจิตวิญญาณของอาหน่วนได้อีกด้วย
แม้แต่ไหกักวิญญาณก็ไม่มีทางรักษาวิญญาณของอาหน่วนได้ แต่ร่างกายของผู้หญิงคนนี้กลับทำได้
ไม่ว่าเย่จิ่งหานจะควบคุมระงับไว้เพียงใด แต่ความตื่นเต้นของเขาก็ยังถูกคนอื่นเห็นได้
ทุกคนล้วนรู้สึกประหลาดใจ
เมื่อครู่เขายังมีแรงสังหารอย่างดุดันอยู่ไม่ใช่หรือ มีความคิดมุ่งแต่จะตัดหัวมู่หน่วน ทำไมถึงได้……
การเคลื่อนไหวของชิงเฟิงเจี่ยงเสวียชะงักเล็กน้อย
พวกเขาล้วนไม่เห็นอะไรในกระจกส่องวิญญาณ
ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ผู้ที่สามารถทำให้นายท่านตื่นเต้นได้เช่นนี้ นอกจากพระชายา ก็ไม่มีผู้อื่นอีก
กระจกอันนี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่สืบทอดมาตั้งแต่รุ่นสู่รุ่นของเผ่าหยก ผู้อาวุโสใหญ่ และก็คือหัวหน้าเผ่าของเผ่าหยกในตอนนี้ได้มอบกระจกนี่ให้นายท่าน หวังว่ากระจกส่องวิญญาณจะพอสามารถส่องดวงจิตวิญญาณสุดท้ายของพระชายาออกมาได้ ใช้เพื่อหาวิญญาณทั้งหมดกลับมา
ไม่เพียงเท่านี้ เผ่าหยกทุ่มเทแรงของทั้งเผ่าเพื่อดึงดูดพลังวิญญาณต้องห้าม ส่วนหนึ่งให้นายท่าน
วิชาต้องห้ามประเภทนี้ เพียงพอที่จะสามารถสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณของพระชายา
“นายท่าน……” เจี่ยงเสวียสื่อความหมายด้วยสายตา ผู้หญิงเบื้องหน้าผู้นี้จะสังหารอีกหรือไม่
เย่จิ่งหานโบกมือ
เจี่ยงเสวียเข้าใจได้ รีบถอยไปอยู่อีกข้าง
ชิงเฟิงตะลึงเล็กน้อย และถอยไปอยู่อีกข้างเช่นกัน
ไป๋หลี่เจิ้นกล่าว “ฆ่าไก่ใช้มีดฆ่าวัวไม่คุ้มค่า แค่ชีพจรยุทธ์ตัวเล็กๆผู้หนึ่ง ข้าช่วยสังหารนางแทนท่านก็ได้”
“หากว่าเจ้าฆ่าข้า เกรงว่าคนแรกที่เขาจะฆ่าก็คือเจ้า”
กู้ชูหน่วนลูบลูกผมที่หน้าผาก และยิ้มอย่างมั่นใจ
หากเมื่อครู่นางกำลังกลัดกลุ้มกับเส้นทางชีวิตของนาง
เช่นนั้นตอนนี้ นางไม่ต้องเป็นห่วงแม้สักนิดแล้ว
“ข้าจะช่วยท่านตามวิญญาณทั้งหมดกลับมา ท่านปล่อยตระกูลมู่ไป และห้ามไถ่ถามถึงความรับผิดชอบของข้าอีก ว่ายังไง?” กู้ชูหน่วนมองไปทางเย่จิ่งหาน รอคำตอบจากเย่จิ่งหาน
เย่จิ่งหานไม่พูด ดวงตาลึกล้ำเลือนรางคู่นั้นเพ่งมองที่กู้ชูหน่วนอยู่ตลอด
เพ่งมองจนทุกคนไม่แน่ใจ
คนของตระกูลมู่ไม่รู้ว่าเขาจะฆ่าหรือไม่ฆ่ากันแน่
ไป๋หลี่เจิ้นเกรงว่าเขาจะกลับคำอย่างกะทันหัน ปล่อยผู้หญิงตรงหน้านี้ไป
กู้ชูหน่วนก็กำลังเดิมพันเช่นกัน
เดิมพันว่าผู้หญิงคนนี้ที่ลอยเข้าไปตรงระหว่างคิ้วของนาง มีความสำคัญกับเขามาก
ผ่านไปเป็นเวลานาน เย่จิ่งหานเค้นประโยคหนึ่งออกมาจากซอกฟัน “หนึ่งเดือน มากที่สุดเวลาหนึ่งเดือน หากว่าเจ้าตามวิญญาณทั้งหมดของนางกลับมาไม่ได้ ไม่เพียงแค่เจ้า ทั้งเก้าชั่วโคตรของตระกูลมู่ก็ล้วนต้องตายไปพร้อมกับเจ้า”
หากว่าไม่มีน้ำค้างแห่งสวรรค์ แม้ว่าจะมีไหกักวิญญาณ อย่างมากที่สุดวิญญาณของอาหน่วนก็รักษาได้เพียงสามเดือนเท่านั้น
หากไม่มีไหกักวิญญาณบรรจุไว้ อย่างมากที่สุดวิญญาณของอาหน่วนก็จะสามารถอยู่ในโลกได้ไม่เกินสองเดือนเท่านั้น
เขายังต้องเหลือเวลาไว้หาดวงจิตวิญญาณดวงสุดท้าย รวมทั้งน้ำค้างแห่งสวรรค์อีก
“ได้ หนึ่งเดือนก็หนึ่งเดือน แต่เดือนนี้ท่านต้องคุ้มครองความปลอดภัยให้ข้า ยังไงซะ….หากว่าข้าตาย ข้าก็ไม่สามารถรับรองได้ว่านางจะยังมีชีวิตได้อีกหรือไม่”
ขณะเดียวกับที่กู้ชูหน่วนพูดก็มองไปที่ไป๋หลี่เจิ้น ความหมายในคำพูดไม่ต้องเอ่ยก็ชัดเจน
ไป๋หลี่เจิ้นโมโห
หากว่าไม่ใช่เพราะเย่จิ่งหานอยู่ เขาจะทำลายจวนมู่ทั้งหมดไปซะเร็วๆ
เย่จิ่งหานเปล่งเสียงไม่พอใจทีหนึ่ง ไม่ได้ตกลงและไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแค่พูดอย่างเย็นชาประโยคหนึ่งว่า “หากเจ้าตาย จวนมู่ทั้งเก้าชั่วโคตรก็อย่าคิดที่จะรอด”
“จึจึจึ ท่านนี่ชั่งโหดเหี้ยมจริงๆ ไม่ทันกระดิกก็ลากมาทั้งเก้าชั่วโคตร”
“ไป”
ไปคำหนึ่ง ชิงเฟิงเจี่ยงเสวียก็เข็นเย่จิ่งหานจากไป
ทุกคนต่างมองหน้ากัน
จากไปเช่นนี้แล้ว?
พวกเขาไม่ได้ดูผิดไปหรอกนะ?
ทำไมเย่จิ่งหานถึงได้ปล่อยมู่หน่วนไปอย่างกะทันหันได้?
ไป๋หลี่เจิ้นไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
แต่ก็ไม่สามารถทำลายตระกูลมู่ได้อย่างโจ่งแจ้ง ทำได้เพียงจากไปอย่างโกรธเคือง เตรียมลอบลงมือ
เจ้าบ้านรองและเจ้าบ้านสามปาดเหงื่อเย็นๆออก
เกือบไปแล้ว
เกือบไปนิดเดียวทั้งจวนมู่ของพวกเขาก็ไม่เหลือแล้ว
มู่ซินหน้านิ่วขมวดคิ้ว กังวลแทนลูกสาวของตัวเองอยู่ลึกๆ
หัวหน้าตระกูลมู่กล่าวว่า “เจ้าชั่งทำให้คนอื่นเป็นห่วงจริงๆ บุคคลที่เก่งกาจขนาดนั้น เจ้ากล้าล่วงเกินได้อย่างไร”
เจ้าบ้านรองกล่าวว่า “หัวหน้าตระกูล มู่หน่วนก็คือคนที่ชอบสร้างปัญหา พวกเราตัดขาดความสัมพันธ์กับนางให้เร็วหน่อยยังจะดีซะกว่า ไม่เช่นนั้นช้าเร็วสักวันหนึ่ง จวนมู่ก็คงจะถูกนางทำให้ติดร่างแหไปด้วย”
“แม้จะตัดขาดความสัมพันธ์กับข้า แต่หากพวกเขาคิดจะจัดการกับพวกท่านก็ยังจะจัดการกับพวกท่านอยู่ดี”
กู้ชูหน่วนหมุนตัวออกไปจากจวนมู่
“เจ้าจะไปไหน?”
“ในเมื่อที่นี่ไม่ต้อนรับข้า ข้าก็จะหลบออกไปจากสถานการณ์นี่”
เจ้าบ้านสามตะโกนเรียกนางไว้ “น้ำค้างแห่งสวรรค์นั่น เจ้าทำหายไปแล้วจริงหรือ?”
“ไม่เช่นนั้นล่ะ?”
“สารเลว เจ้าเห็นจวนมู่เป็นสถานที่ใด บอกว่าจะกลับมาก็กลับมา บอกว่าไปจะไปก็ไป เจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้”