CatNovel
  • หน้าหลัก
  • นิยายทั้งหมด
Advanced
  • หน้าหลัก
  • นิยายทั้งหมด
  • โดจิน
  • นิยายทั้งหมด
  • จบแล้ว
  • นิยายวาย Yaoi
ตอนก่อน
ตอนต่อไป
สล็อตเว็บตรง

อัศวินดำ - ตอนที่ 10

  1. Home
  2. อัศวินดำ
  3. ตอนที่ 10
ตอนก่อน
ตอนต่อไป

◆ พ่อค้าเร่ ราอุส

 

[ ต้องขอโทษจริงๆ ครับท่านราอุสที่ต้องให้ท่านต้องมาเจออะไรแบบนี้… ตอนที่กำลังเดินทางไปยังอาณาจักรพาเทส ]

 

ตัวข้าที่กำลังเดินไปค้าขายที่อาณาจักรพาเทส ระหว่างเดินทางข้าเจอกับก๊อปลินที่ทางหลวงจึงหนีเข้ามาในป่า

 

สงสัยต้องไปร้องเรียนอีกครั้งซะแล้ว

 

[ มัวทำอะไรกันอยู่ อัศวินของอาณาจักรพาเทส? ]

 

เหล่าอัศวินที่ควรปกป้องพื้นที่รอบนอกปราสาทอย่างทางหลวงจากเหล่าปีศาจกับละเลยหน้าที่ แล้วปล่อยให้เจ้าพวกปีศาจมาเดินเพ่นพ่านที่ทางหลวงซะได้

 

แต่ถึงข้าจะโกรธไปก็ช่วยอะไรไม่ได้

 

[ นี่ข้าวิ่งมามาจากทางหลวงมาขนาดไหนแล้วนะ แล้วตอนนี้ข้าอยู่ที่ไหนกันแน่… ]

 

ป่าเป็นอาณาเขตของปีศาจ

 

ในป่าเราไม่รู้หรอกว่าจะถูกปีศาจอย่างก๊อปลินลอบโจมตีเมื่อไหร่

 

ข้าต้องรีบกลับไปที่ทางหลวงแล้วสิ เพราะหากมืดซะก่อน นั้นจะเป็นเวลาของเหล่าปีศาจ

 

และข้าก็ต้องเดินทางไปที่ปราสาทด้วย

 

ข้าเดินต่อไปเรื่อยๆ

 

แต่นี่ก็เดินมาไกลแล้วแต่ก็ไม่ถึงทางหลวงสักที

 

[ คอแห้งเผือกเลย… ]

 

ลำคอของข้าแห้งเผือกเพราะรีบหนีจากพวกก๊อบลินมา

 

[ แต่ทำไมพวกมันถึงไม่ตามข้ามาแล้วล่ะ? ]

 

ถึงแม้ว่าก๊อบลินจะขาสั้นแต่มันก็ว่องไวมาก ข้าไม่คิดว่าชายรูปร่างอวบอ้วน อายุกว่าสี่สิบจะหนีจากพวกมันได้

 

แต่ก็ดีแล้ว ก็ถือว่าสบายไปแล้วกัน เหมือนการต่อชีวิตให้ข้าหนีรอดออกมาได้

 

[…เพลง?]

 

เพราะได้ยินเสียงเพลง ข้าจึงเดินต่อไปตามเสียงเพลงนั้น

 

โดยทางข้างหน้านั้นมีน้ำพุขนาดใหญ่อยู่

 

และมีสาวสวยที่เปลือยครึ่งล่างอยู่ใต้น้ำพุ

 

หญิงสาวคนนั้นเป็นผู้ร้องเพลงนี้

 

เสียงของเธอช่างไพเราะจนข้าหลงใหลโดยไม่รู้ตัว

 

ข้าที่จะเดินเข้าไปใกล้ เผลอก้าวเหยียบกิ่งไม้เท้าจนเกิดเสียง

 

[ นั่นใคร? ]

 

บางทีคงเพราะความไพเราะของเพลงเธอจึงไม่ระวังตัว เธอคนนั้นมองมาทางข้า

 

[ ข ข้าไม่ได้มีเจตนาแอบมองนะ! แต่เพราะได้ยินเสียงเพลงที่ไพเราะนั้นถึงได้… ]

 

ข้าขอโทษด้วยความรีบร้อน

 

[ ไม่เป็นไร ฉันเองที่ผิดที่มาอาบน้ำในสถานที่แบบนี้ แล้วคุณจะมาอาบน้ำกับฉันรึยังไง? ]

 

สาวงามคนนั้นยิ้มให้ฉันโดยไม่ปกปิดร่างกายแม้แต่นิด

 

หัวของข้าราวกับไร้สติสัมปชัญญะเมื่อเธอยิ้มให้

 

[ม ไม่มีทาง ที่คนอย่างข้าจะไปอาบน้ำร่วมกับสาวงามอย่างเธอได้หรอก! แต่ข้าแค่กระหายน้ำมาก… ]

 

ข้าเข้าไปใกล้น้ำพุ

 

[ งั้นเหรอ น้ำพุนี่ก็ไม่มีเจ้าของหรอกนะ อยากดื่มก็ดื่มเลยสิ ]

 

[ งั้นข้าขออนุญาต ]

 

มันช่างรู้สึกดีที่สามงามคนนั้นพูดว่า “เชิญเลย” ตอบกลับมา

 

อีกอย่างข้าแค่กระหายน้ำจริงๆ นะ ดังนั้นข้าไม่รู้สึกผิดอะไรหรอก ไม่ใช่ว่าอยากเห็นเธอใกล้ๆ หรอก ข้าบอกกับตัวเอง

 

เธอยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

 

จากนั้นข้าก็เข้าไปใกล้น้ำพุแล้วก้มหัวลง แต่ดวงตาของข้าไม่ละสายตาจากเธอเลย

 

ข้าตักน้ำพุขึ้นมาด้วยมือสองข้างแล้วดื่ม แต่ในตอนนั้นเองที่ร่างกายข้ารู้สึกแปลกๆ

 

[ ร่างกายข้า… ]

 

ร่างกายข้าเป็นอัมพาตไป ข้าไม่สามารถขยับมือได้ และจากนั้นข้าก็มองไปที่น้ำพุ

 

[ นั่นมันอะไรกัน…!! ]

 

ใต้น้ำพุมีใบหน้าขนาดใหญ่ของปีศาจอยู่ ใบหน้านั้นกำลังจ้องมองมาที่ข้า

 

ทันทีที่ข้าได้เห็นใบหน้านั้น สติของข้าก็กลับคืนมา

 

ใช่แล้ว ทำไมถึงได้มีสาวงามมาอยู่ในที่แบบนี้ได้ ป่านี้เต็มไปด้วยปีศาจประเภทนี้กันทั้งนั้น

 

บางทีเหตุผลที่ข้าไม่นึกเอะใจถึงความผิดปกติเลยเพราะ

 

ข้าเอาแต่เงยหน้าไปมองสาวงามคนนั้น

 

เธอยิ้มราวกับกำลังสนุกที่เห็นข้าขยับไม่ได้

 

ปีศาจตัวนั้นออกมาจากน้ำพุ จากนั้นก็อ้าปาก

 

[ อ๊ากกก… ]

 

ข้าทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว

 

ใบหน้าของปีศาจตัวนั้นกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

 

และแล้วข้าก็ถูกกินหายไปในความมืดมิด

 

◆ อัศวินดำ คุโรกิ

 

[ เฮ้อ… วันนี้ก็ยังไปไม่ถึงแฮะ ]

 

นี่ก็ผ่านไปสี่วันแล้วนับตั้งแต่เราออกจากนากอล

 

ผมเดินทางโดยไม่ได้แวะเมืองไหนเลย

 

ตอนนี้เรากำลังเดินทางไปยังสาธารณัฐศักดิ์สิทธิ์ลีนาเรียที่พวกเรย์จิอยู่

 

ระยะทางจากนากอลไปถึงสาธารณะรัฐศักดิ์สิทธิ์ลีนาเรียนั้นไกลมาก แต่เพราะความสามารถของผมทำให้วิ่งได้เร็วกว่าม้าซะอีก ในช่วงระยะเวลา 4 วันเราเดินทางไปได้ถึงสองในสามแล้ว

 

แม้ว่าจะไม่ได้วัดความเร็ว แต่ก็น่าจะมากกว่า 200 กม. / ชม. อีกล่ะมั้งเนี่ย

 

ผมกลายเป็นยอดมนุษย์ไปแล้ว

 

ยอดมนุษย์เหมือนกับในหนัง ถ้าเทียบกับคนในโลกนี้ผมก็คือยอดมนุษย์ตัวจริงเสียงจริงเลยล่ะ

 

ในระหว่างทางผมก็ดูว่าผู้คนบนโลกนี้อยู่อาศัยกันแบบไหน

 

เพราะผมจะใช้ที่โลกเดิมเป็นมาตรฐานก็ไม่ได้ด้วยสิ

 

ที่โลกนี้มีเมืองที่คล้ายกับกรีกยุคโบราณอยู่นับไม่ถ้วน

 

มีกำแพงอยู่นอกเมืองคอยป้องกันไม่ให้ปีศาจเข้ามา

 

โดยมนุษย์จะอาศัยอยู่ที่ชานเมืองและภายในกำแพงที่ล้อมรอบนั้น

 

โดยจะมีทางหลวงที่คอยเชื่อมต่อไปยังเมืองอื่นไว้ด้วย

 

มีตั้งแต่เมืองที่เล็กเท่าหมู่บ้าน จนถึงขนาดเมืองใหญ่ๆ เองก็ยังมี

 

รูปแบบการปกครองจะแตกต่างกันระหว่างสาธารณรัฐกับอาณาจักร

 

สรุปก็นายกเทศมนตรีของเมืองนั้นจะได้รับการแต่งตั้งจากการลงคะแนนไม่ก็ลูกหลานซะ

 

มีประเทศที่มีชนชั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งนายก รองนายกหรือหัวหน้าส่วนต่างๆ ก็ต้องมาจากการแต่งตั้งจากนายกเท่านั้น ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติในประเทศสาธารณรัฐ

 

ศาสนาก็เป็นไปตามที่คิด เทพแห่งเอลีอัสนั้นเอง

 

จากที่นัคบอกมา กระทั่งคนที่อาศัยที่เขตพรมแดนที่เป็นชนเผ่าป่าเถื่อนยังนับถือเทพแห่งเอลีอัสด้วยเลย

 

จะว่าไป ตอนนี้ผมกำลังแวะชมเมืองที่ชื่อว่าพาเทส ซึ่งพาเทสประชากรประมาณ 20,000 คน

 

โดย 20,000 คนที่บอกนั้น รวมเฉพาะคนที่มีสถานะเป็นชาวเมืองเท่านั้น ถ้านับคนที่ไม่มีสัญชาติแบบผมเข้าไปด้วยก็จะเพิ่มขึ้นมาอีกมาก

 

มีเพียงคนที่เป็นคนเมืองนั้นที่จะนับเป็นชาวเมือง นอกนั้นก็นับเป็นพวกไร้สัญชาติ

 

และการที่คนต่างด้าวจะเข้ามาในกำแพงนี้มันไม่ง่ายเลย

 

เพราะจะทำอะไรก็ต้องใช้เงินและเพราะสนธิสัญญาระหว่างประเทศทำให้คนที่มีสัญชาติ ไม่ว่าจะเข้าประเทศไหนก็ง่ายดาย การเดินทางของมนุษย์มีเสรีมากขึ้นเพราะสนธิสัญญาพวกนั้น

 

ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะมีประเทศที่ปกครองตนเองโดยมีนโยบายเศรษฐกิจแบบปิดและแยกตัวออกมาจากประเทศอื่น เพื่อนที่จะไม่ต้องมีสนธิสัญญาอะไรผูกมัด

 

และเพราะผมไม่ได้มีสาธาณะเป็นพลเมือง จึงเข้าเมืองแบบถูกกฏหมายไม่ได้

 

ถ้ามีคนถามว่า “แล้วอาหารกับน้ำจนถึงตอนนี้ทำยังไง?”

 

ก็ในป่านะสิ ป่าของโลกนี้อุดมสมบูรณ์มาก มีของให้ผมกินอยู่เยอะแยะอย่างทับทิมก็กินเท่าที่อยากกินเลย

 

และยังมีผลไม้อีกมากมาย เพราะปกติมนุษย์ไม่เข้ามาในอาณาเขตของปีศาจกันหรอก

แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ ถ้าอยากกินอะไรที่มันเป็นอาหารผมก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเข้าไปในกำแพง

 

โดยการแอบเข้าไปด้วยเวทมนตร์บินแล้วขโมยเนื้อสักนิดมา ต้องขอโทษคุณเจ้าของร้านจริงๆ ครับ

 

แต่มันช่วยไม่ได้ เพราะผมไม่มีเงินนี่นา โมเดสเองก็ไม่มีสกุลเงินของพวกมนุษย์ด้วยสิ

 

ถึงผมจะได้รับอัญมณีที่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้มา แต่เพราะผม (นัคด้วย) ไม่รู้วิธีเอาไปมันแลกเปลี่ยนเป็นเงินนี่นา สุดท้ายก็เลยไม่ได้เอามาใช้สักที

 

[ งั้นวันนี้เราจะทำอะไรกันดีล่ะนัค? ]

 

ผมถามนัคที่เป็นเพื่อนร่วมทางของผม

 

[ แอบเข้าเมืองโดยสวมเสื้อคลุมเงาเป็นยังไงครับ? ]

 

แม้ว่าผมจะเข้าเมืองอย่างถูกกฏหมายจากด้านหน้าไม่ได้ แต่ตราบใดที่ผมใช้เสื้อคลุมเงาที่ได้จากโมเดสก็แอบลอบเข้าไปได้สบายมาก

 

เสื้อคลุมเงา มันก็คือฮู้ดคลุมทั้งตัว ผมเลยเรียกว่ามันเสื้อคลุมเงา ซึ่งมันมีเวทมนตร์ล่องหนและซ่อนใบหน้าของผมที่อยู่ใต้หมวกด้วย

 

เวทมนตร์ล่องหนก็คือเวทมนตร์ที่ลยตัวตนของผู้ใช้และทำให้คนอื่นไม่รับรู้

 

แต่เวทมนตร์ล่องหนมันใช้ไม่ได้ผลกับคนที่ใช้เวทมนตร์ตรวจจับได้หรือมีสกิลตรวจจับ เพราะถ้าโดนเห็นเวทมนตร์ล่องหนมันจะไปมีความหมายอะไร

 

และนั่นก็คือเสื้อคลุมเงา

 

[ ไม่ เดี๋ยวสิ เราต้องไปหาข้อมูลของพวกเรย์จิต่างหากล่ะ ]

 

ตอนนี้เป้าหมายของเราก็คือรวบรวมข้อมูลของพวกเรย์จิและเมืองที่เรากำลังจะไปสาธารณรัฐศักดิ์สิทธิ์ลีนาเรีย

 

ซึ่งมีข่าวของพวกเรย์จิอยู่มากพอดู

 

ทั้งได้ยินว่ามีคนหลายคนที่ถูกพวกเรย์จิช่วยเอาไว้โดยการปราบปีศาจให้

 

ก็เป็นธรรมดาที่ใครหลายคนจะรู้สึกดีๆ ด้วย

 

แต่ก็ยังมีคนที่กลัวพวกเขาอยู่

 

เพราะมนุษย์ย่อมเกรงกลัวคนที่มีพลังอยู่แล้ว

 

และในหมู่คนมากมายยังมีคนที่ต้องบาดเจ็บเพราะพวกเรย์จิด้วย

 

ผมคิดว่าเรื่องข่าวของพวกเรย์จิถึงแม้จะเป้นในอาณาจักรพาเทสก็คงไม่แตกต่างกันหรอก

 

แต่เพราะผมไม่มีเงินเลยไม่สามารถพักในโรงแรมที่พาเทสได้

 

[ นัค เราไปหาที่ตั้งแคมป์ของวันนี้กันเถอะ ]

[ งั้นกระผมจะหาอาหารให้นะครับ ]

[ อืม ได้เลย ]

 

เราหาที่พักแรมก่อนที่ฟ้าจะมื

 

โชคดีที่ป่าแถวนี้อุดมสมบูรณ์ จึงไม่มีทางที่เราจะขาดแคลนอาหาร

 

และปีศาจก็เข้ามาไม่ได้ตราบใดที่ผมใช้บาเรียอยู่

 

ผมเดินเข้าไปในป่าเพื่อหาอาหารและน้ำ

 

โดยเดินไกลนิดหน่อยจากพื้นที่ตั้งแคมป์

 

แต่จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงเพลงดังมาจากในป่าลึก

 

[…เสียงเพลง? ]

 

ผมเอียงหัวด้วยความสงสัย

 

ที่ป่าแห่งนี้เป็นอาณาเขตของปีศาจ จึงมีมอนสเตอรืวิ่งพลุ่งพล่านเต็มไปหมด ผมจึงคิดว่ามันแปลกที่ได้ยินเสียงคนร้องเพลงในสถานที่แบบนี้

 

[ เป็นเสียงเพลงที่ไพเราะดีนะครับ…]

 

นัคพูดออกมาด้วยเสียงหลงใหล ราวกับหัวของเขาว่างเปล่า

 

[ลองไปตามเสียงเพลงดูมั้ยครับ? ท่านไดร์ฮาร์ด]

 

นัคพูดขึ้นแล้วเดินมุ่งหน้าไปทิศทางของเสียงเพลง

 

สภาพของนัคดูแปลกไปและยังการตัดสินใจนี้อีก

 

หรือว่าเป็นเพราะเขาได้ยินเสียงเพลงนี้

 

[ เข้าใจแล้ว ไปกันเถอะ ]

 

ผมเองก็อยากเจอกับเจ้าของเสียงเพลงนี้เหมือนกัน

 

ทันทีที่เดินมาได้ระยะหนึ่ง เราก็เจอกับสถานที่ว่างๆ โดยมีน้ำพุขนาดใหญ่อยู่

 

ซึ่งมีหญิงสาวเปลือยกายแช่น้ำอยู่ในน้ำพุนั้น โดยที่ครึ่งล่างของเธออยู่ใต้น้ำพุ ดูเหมือนคนที่ร้องเพลงจะเป็นผู้หญิงคนนี้นี่ล่ะ

 

[ นั่นใคร? ]

 

เพราะเธอสังเกตเห็นพวกเรา เธอจ้องมองมายังทิศทางที่เราเดินมา

 

[อา ขอโทษด้วย… ผมไม่ได้ตั้งใจมารบกวนตอนที่คุณกำลังร้องเพลงหรอกครับ ก็แค่สงสัยว่าใครกันที่เป็นเจ้าของเสียงเพลงอันไพเราะนี้ ]

 

ผมขอโทษเธอ ที่จริงผมกำลังคิดว่า “ขอบคุณความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองจริงๆ ที่ทำให้ได้เห็นอะไรดีๆ”

 

[ ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ จะมาอาบน้ำด้วยกันมั้ย?]

[ไม่ล่ะ เราขอปฏิเสธคำเชิญดีกว่าครับ งั้นพวกเราขอตัวก่อน เชิญร้องเพลงต่อไปได้เลยครับ ]

 

ผมทำท่าจะเดินกลับ

 

[ ท่านไดร์ฮาร์ด น้ำนี่ใสมากเลยครับ ถ้าเราเอาน้ำนี้ไปจะไ่ม่ดีเหรอครับ?]

 

นัคยังคงพูดจาโดยไม่ได้รู้อะไร

 

[ นัค น้ำนั้นดื่มไม่ได้นะ มันมีพิษ ]

[ เอ๊ะ พิษ!! ]

 

นัคตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจ

 

มีพิษที่สร้างขึ้นจากเวทมนตร์ผสมอยู่ในน้ำนี้ ดูเหมือนจะเป็นพิษที่ทำให้ร่างกายเป็นอัมพาต

 

[ พิษอะไรกันคะ… พักกันสักหน่อยสิ ]

 

หญิงสาวพูดออกมา

 

เฮ้อ ผมล่ะเพลียกับคำพูดของเธอคนนี้จริงๆ

 

เธอคนนี้คงเหมือนนักล่าที่กำลังล่อเหยื่อให้เข้ามา

 

ตั้งแต่ผมมาที่โลกนี้ ความรู้สึกของผมก็ไวขึ้น ผมรู้สึกได้ถึงจิตชั่วร้ายและความประสงค์ร้ายที่ส่งมา

 

ถึงแม้ตอนนี้เราจะอยู่ห่างกันกว่าหลายสิบเมตร แต่ผมรู้สึกได้เลยว่าจิตชั่วร้ายนั้นกำลังมุ่งตรงมาที่ผม จากที่ลูคัสบอกมา ดูเหมือนว่าผมจะรับรู้ไ้ว่าใครเป็นศัตรูและกำลังประสงค์ร้ายกับผมอยู่รึไม่

 

นอกจากนี้ผู้หญิงคนนี้ยังใช้เวทมนตร์เสน่ห์ล่อพวกเรามายังที่นี่

 

ซึ่งนัคเองก็โดนเพลงนี้ล่อมา นี่ล่ะสาเหตุของความรู้สึกประหลาดที่ผมรู้สึกได้

 

ผู้หญิงคนนี้คงเป็นปีศาจเพราะถึงผมจะเห็นร่างเปลือยเธอแต่ผมกลับไม่รู้สึกอะไรเลย

 

เธอเป็นมอนสเตอรืที่ใช้เสน่และร่างกายที่เหมือนกับหญิงสาวและเสียงเพลงล่อเหยื่อมากิน

 

ผมไม่อยากถูกเธอกินหรอกนะ

 

และก็ใช่ว่าจะมีอารมณ์ไปต่อสู้กับเธอด้วย

 

ดังนั้นผมเลยคิดจะปล่อยเธอไว้และเดินออกมาจากที่นั้นซะ

 

ผมเองก็ส่งจิตสังหารไปขู่เธอเพื่อไปแล้วนะ เดิมทีตลอดการเดินทางเราก็ต้องพบเจอกับปีศาจมามากมาย แต่ปีศาจส่วนใหญ่มักจะหนีไปหลังจากที่ผมขู่พวกมันไป

 

แต่ดูท่านี้จะไม่ดีแล้ว พอผมส่งจิตสังหารใส่เธอกลับยิ่งกลายเป็นศัตรูของผมหนักเข้าไปอีก

 

[ แก!! ]

 

หญิงสาวท่าทางโกรธมาก จากนั้นปีศาจสัตว์ก็โผล่ออกมาจากในน้ำพุ เป็นสัตว์ร้ายหกตัวที่กำลังวิ่งเข้ามาจู่โจมผม ด้วยการยืดคอเข้ามาพยายามจะกัด

 

ดูท่าพวกมันคงไม่คิดจะปล่อยผมไปและการเคลื่อนไหวของพวกมันช่างเร็วไม่เข้ากับรูปร่างเอาซะเลย

 

[ ฮา!! ]

 

ผมหลบหัวที่พยายามเข้ามาโจมตีแล้วก็ฆ่ามันด้วยการตวัดดาบ

 

[ แกกกกก! กล้าดียังไงเจ้ามนุษย์!! ]

 

หญิงสาวโกรธมาก จนใบหน้าสวยๆ นั้นไม่เหลือรูปเค้าโครงเดิ

 

[ ใครมันจะไปยอมให้เธอกินกันล่ะ!! ]

 

น้ำพุลอยขึ้นไปในอากาศ จากนั้นบอลน้ำขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้น

 

[ กระสุนน้ำ !! ]

 

หลังจากเธอร่ายคาถา บอลน้ำขนาดใหญ่ก็หล่นลงมาใส่ผม

 

[ โล่เวทมนตร์!! ]

 

โล่แสงทรงผมปรากฏขึ้นรอบตัวผม ทำให้น้ำกระเด็นออกไปไม่ถึงตัวผม

 

จากนั้นเธอก็หยุดยิงกระสุนน้ำแล้วออกมากจากน้ำผุ

 

ครึ่งร่างที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำพุของเธอโผล่ออกมาแล้ว โดยมันมีหนวดและหัวขนาดใหญ่หกหัวเป็นส่วนล่างของร่างกายและส่วนบนเป็นลำตัวเหมือนผู้หญิง

 

เป็นรูปลักษณ์ที่น่าเกลียดจังแฮะ

 

ปีศาจตัวนั้นพยายามเข้ามาใกล้ผม

 

ดูท่ามันจะขยับตัวบนบกไม่ได้เร็วนักนะ

 

[ ปลอดภัยมั้ยนัค? ]

 

[ ครับ… ก็ยังพอไหว ]

 

ดูเหมือนนัคจะยังไม่ค่อยฟื้นตัวเท่าไหร่

 

[ หมอบลงนัค ]

 

นัคหมอบลงราบไปพื้นกับพื้นแล้วมาหลบข้างหลังผม

 

[ ก-แกกล้าทำกับหนึ่งในหัวของข้า!! ]

 

ปีศาจจ้องมองผมด้วยสายตาเกรี้ยวกรา เลือดสีดำไหลจากหัวที่ถูกตัดไหลลงมาบนพื้น จนทำให้พื้นเกิดการละลายไปทีละนิดและมีควันสีขาวขึ้นจากพื้นที่เลือดนั้นไปโดนเข้า พืชที่โดนเลือดกระเด็นไปโดนนั้นถึงกับเหี่ยวแห้งทันที บางทีเลือดของปีศาจตัวนี้คงจะมีพิษสินะ

 

แม้ว่าผมจะเห็นว่ามันคงตามผมไม่ทันแน่ ถ้าผมหนีไป แต่ดูจากสภาพตอนนี้แล้วมันคงจะไล่ล่าผมจนกว่าผมจะตายแน่ๆ

 

มันคงจะยุ่งยากน่าดู ดังนั้นจัดการมันไปซะเลยดีกว่า

 

[ เจ้ามนุษย์!!! ]

 

ปีศาจวิ่งมาทางผม แต่มันช่างช้าเหลือกัน

 

หัวของสัตว์ร้ายและหนวดพยายามโจมตีมา

 

แต่ผมบิดตัวเพื่อหนีแล้วตัดหนวดและหัวที่สองที่เป็นสัตว์ร้ายไป

 

[ ไม่จริง!! ]

 

มันตกใจราวกับไม่อยากเชื่อสายตา

 

ผมกระโดดไปข้าวหลังปีศาจและทำเหมือนเดิม ผมฆ่ามันโดยฟันส่วนท่อนบนที่เป็นผู้หยิง

 

[ มะ… ไม่จริง…!! ]

 

ปีศาจตัวนั้นล้มลง

 

และมันก็เงยหน้ามองมาที่ผม

 

[ ง-งั้นเองหรอกเหรอ… กะ แกคือเทพงั้นเองหรอกเหรอ… เพราะฉันนึกว่าแกเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา… ช่างน่าขายหน้า… ]

 

หลังจากพูดจบปีศาจตัวนั้นก็ตายไป

 

[ …ผมไม่ใช่เทพสักหน่อย ]

 

ผมเองก็อยากปฏิเสธอยู่หรอกนะ

 

แต่เพราะปีศาจมันหายไปกลายเป็นควันสีขาวไปแล้ว เพราะผมฆ่ามันไปเรียบร้อยแล้ว

 

[ ท่านไดร์ฮาร์ดปลอดภัยรึเปล่าครับ? ]

 

นัคเดินอ้อมๆ ที่ที่ปีศาจตัวนั้นตายแล้ววิ่งมาหาผม

 

[ จนถึงตอนนี้เพิ่งเคยได้ศัตรูที่เก่งขนาดนี้มาก่อนเป็นครั้งเลยนะ ]

 

เพราะตั้งแต่ผมออกเดินทางก็เจอแค่ก็อบลินไม่ก็ยักษ์เท่านั้น ไม่เคยเจอปีศาจแบบนี้เลย

 

[ ครับ… กระผมเองก็เพิ่งเคยเห็นปีศาจแบบนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน ]

 

ผมยิ่งรู้สึกตกใจเข้าไปอีกที่รู้ว่านัคเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ดูเหมือนมันจะเป็นปีศาจหายาก

 

ดีล่ะ ไปถามเรื่องเจ้าปีศาจนี้จากอีกคนที่อยู่ที่นี่ดีกว่า

 

ผมมองไปที่จุดหนึ่งของป่า

 

มีใครบางคนกำลังมองพวกเราอยู่ แต่ผมไม่รู้สึกถึงความประสงค์ร้ายจากสายตา ดูเหมือนจะไม่ใช่ปีศาจหรือปีศาจ แล้วเป็นใครกันนะ

 

[ใครอยู่ตรงนั้น?]

 

ผมถามออกไป

 

เมื่อผมถามคำถามนั้น ผู้หญิงคนหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมาจากเงาของต้นไม้

 

อายุของเธอน่าจะน้อยกว่าผมนิดหน่อย เธอเป็นสาวสวยผมสีฟ้า ผิวขาว

 

ทำไมเด็กสาวอย่างเธอถึงมาอยู่ที่อาณาเขตของพวกปีศาจได้ หรือว่าเธอเองก็เป็นปีศาจเหมือนกัน

 

แต่ผมกลับไม่รู้สึกถึงจิตประสงค์ร้ายจากเธอเลยสักนิดและสายตาของเธอก็ไม่ได้น่ารังเกียจเหมือนเจ้าปีศาจก่อนหน้านี้อีกด้วย

 

[ ท่านไดร์ฮาร์ด นั่นคือเอลฟ์ครับ ]

 

[ เอลฟ์ ]

 

ผมมองไปที่หูของเธอและเพิ่งรู้สึกตัวว่ามันยาวกว่าหูของคนทั่วไป นั่นล่ะคุณสมบัติของเผ่าเอลฟ์

 

ลูคัสเองก็บอกผมก่อนหน้านี้แล้วว่าเผ่าเอลฟ์นั้นมีแต่ผู้หญิงและมีอายุขัยที่ยาวนานมากเทียบกับมนุษย์ นอกจากนี้เอลฟ์ยังมีพลังเวทมากมายกว่ามนุษย์ซะอีก นั่นคือเหตุผลที่ทำให้พวกเขาสามารถอาศัยอยู่ในป่าที่มีแต่พวกปีศาจได้โดยไม่ต้องพึ่งพากำแพง

 

และดูเหมือนเอลฟ์จะลักพาตัวมนุษย์ผู้ชายที่ตัวเองชอบเพื่อสืบพันธุ์ด้วย

 

ผมมองไปที่เธอ ผมไม่คิดว่าจะไม่ผู้ชายคนไหนคิดว่ามันแย่หรอกถ้าโดนเธอลักพาตัว น่า ยังไงเธอก็คงไม่คิดจะทำอะไรกับผมหรอก

 

แล้วเอลฟ์มีธุระอะไรกับผมกันนะ

 

[เอ่อ… คุณเป็นเทพเหรอ? ]

 

สาวเอลฟ์ถามผมด้วยเสียงอ่อนแรง

 

[ ไม่ใช่หรอก ก็แค่มนุษย์ ]

 

ผมตอบออกไป

 

ความจริงผมก็กังวลนิดหน่อย เป็นไปได้ไหมว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ในโลกนี้กับในโลกของผมจะคนละเผ่าพันธุ์กันนะ?

 

เพราะแบบนี้ผมกับพวกเรย์จิถึงได้มีพลังเหนือมนุษย์เกินขอบเขตของมนุษย์ในโลกนี้ สิ่งเดียวที่เราไม่ต่างจากคนบนโลกนี้ก็มีแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น

 

[ไม่มีทางที่มนุษย์จะปราบซิลล่าได้หรอก ไม่สิ กระทั่งเผ่าเอลฟ์ของเราก็สู้มันไม่ได้ นี่คุณไม่ใช่เทพจริงๆ เหรอ? ]

 

ดูเหมือนปีศาจที่ผมจัดการไปก่อนหน้านี้จะเรียกว่าซิลล่า

 

[ อืม ผมไม่ใช่เทพจริงๆ … ]

 

ผมไม่ใช่คนที่ถึงขนาดจะเป็นเทพได้หรอกน่า

 

[ งั้นเหรอ ]

 

เธอเข้ามาใกล้ๆ ผม และมาหยุดยืนอยู่ที่ตรงหน้าผม เธอมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

 

[ แล้วทำไมมนุษย์ของคุณถึงได้… มาอยู่ในสถานที่แบบนี้ล่ะ? ]

 

ใบหน้าของเธอเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ

 

จนผมเห็นตัวเองสะท้อนในดวงตาของเธอ หัวใจของผมเต้นแรงไม่หยุดเพราะตั้งแต่สมัยที่อยู่ญี่ปุ่นแล้วล่ะ ที่ไม่มีผู้หญิงคนไหนเข้าใกล้ผมเลยนอกจากชิโรเนะ

 

[ผ ผมก็แค่นักเดินทางธรรมดาและกำลังหาที่ค้างแรมเท่านั้นเอง]

 

ผมตอบด้วยเสียงกระวนกระวาย

 

[ เอ๊ะ แล้วคุณไม่ไปพักที่อยู่ของพวกมนุษย์งั้นเหรอ? ]

 

“ที่อยู่ของมนุษย์” เธอคงหมายถึงในกำแพงสินะ ผมพยักหน้าตอบคำถามสาวเอลฟ์

 

[ อะ อืม… ผมอยู่ในสถานการณ์ที่พิเศษนิดหน่อยนะ… ]

 

[ หืมม งั้นถ้าไม่มีที่ไหน มาค้างที่บ้านฉันเป็นไงล่ะ? ]

 

[เอ๊ะ!?]

 

ผมสับสนไปหมด ผมเองก็เคยได้ยินหรอกนะว่าเผ่าเอลฟ์จะตกหลุมรักกับมนุษย์ แต่พวกเขาก็ไม่ได้เป็นมิตรกับมนุษย์นักหรอก

 

แต่สายตาที่เธอมองมาที่ผมไม่มีความประสงค์ร้ายหรือสายตาน่าขนลุกอยู่เลย

 

หลังจากผมคิดอยู่พักนึง

 

[ ได้เหรอ งั้นเอาไว้คราวหน้าผมจะตอบแทนทีหลังแล้วกัน ]

 

ผมเองก็อยากรู้ด้วยว่าบ้านของเอลฟ์จะเป็นแบบไหน

 

[ ไม่เป็นไรหรอก ]

 

สาวเอลฟ์นำทางผมไปในป่าด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น

 

[ ท่านชอบเธอเข้าแล้วเหรอครับ? ]

 

นัคพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียน

 

แน่นอนสิ ในเมื่อเธอหวังดีผมก็ต้องตอบรับความหวังดีของเธออยู่แล้ว

 

เธอยังคงเดินต่อไป

 

และแล้วก็เกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้นที่ตรงหน้าเรา

 

แม้ว่ามันจะยังดูเหมือนป่าปกติ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันต่างออกไป

 

[ คุณเห็นบาเรียเมื่อกี้ใช่มั้ยคะ?]

 

[ บาเรีย? ]

 

[ ค่ะ มันเป็นเวทมนตร์ที่ทำให้ผู้ที่คิดจะเข้ามาในดินแดนของเราหลงทาง ฉันถึงบอกให้ตามมายังไงล่ะค่ะ ]

 

เธอยังคงเดินต่อไปหลังจากอธิบายจบ

 

และแล้วเราก็มาถึงยังสถานที่ที่มีต้นไม้ต้นใหญ่

 

บนต้นไม้นั้นมีบ้านอยู่หลายหลังอยู่บนกิ่งก้าน

 

พอผมมองดูก็นึกสงสัยไปโดยไม่รู้ตัว นี่มันบ้านต้นไม้เหมือนที่เคยเห็นในทีวีนี่นา

 

ความจริงผมอยากมีบ้านแบบนี้มานานแล้ว เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนกับฐานลับเลยล่ะ

 

[ ที่นี่คือบ้านของฉันค่ะ ]

 

เธอพูดออกมา

 

[ เทส!! ]

 

มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมาจากบ้านต้นไม้หลังหนึ่ง เธอลงมาจากบนต้นไม้

 

อายุเธอเหมือนจะแก่กว่าผมแค่นิดหน่อยเท่านั้น

 

[ แม่คะ! หนูกลับมาแล้ว! ]

 

ผมกลับยิ่งตกใจเมื่อสาวเอลฟ์เรียกผู้หญิงคนนั้นว่า “แม่” ผมนึกว่าเป็นพี่สาวของเธอซะอีก

 

[ เดี๋ยวสิเทส!! ไม่ใช่กลับมาแล้วนะ นี่หายหัวไปไหนมากันห๊ะ… ]

 

แม่ของเด็กสาวมองมาที่พวกเรา

 

[ แล้วเด็กหนุ่มคนนี้ล่ะเป็นใคร? ]

 

แม่ของเด็กสาวจ้องมาที่เรา

 

เธอสวยเหมือนลูกสาวเลยล่ะ ดังนั้นตอนที่เธอมองผมถึงกับเขิลไปโดยไม่รู้ตัว

 

[ เขาเป็นคนที่ยอดมากเลยค่ะแม่! เขาสามารถจัดการซิลล่าได้ด้วยตัวคนเดียวเชียวนะคะ! ]

 

สาวเอลฟ์แนะนำผมให้แม่ของเธอ ในขณะที่เธอกอดอกแขนผม

 

ผมรู้สึกของส่วนนุ่มนิ่มของร่างกายผู้หญิงกำลังสัมผัสกับตัวของผมด้วยล่ะ

 

[ ซิลล่า… ซิลล่าแห่งน้ำพุน่ะเหรอ? ]

 

แม่ของเธอกวาดตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

 

[ เขา… ไม่เห็นจะดูแข็งแกร่งอะไรเลยนี่ ]

 

แล้วเธอก็พูดคำนั้นออกมา

 

[ แม่คะ! อย่าหยาบคายกับเขาสิ!! ]

 

สาวเอลฟ์ว่าแม่ของเธอ

 

[เอ่อ ก็จริงของลูกล่ะนะ ต้องขอโทษด้วย ยินดีที่ได้รู้จักเด็กหนุ่มชาวมนุษย์ ฉันคือเดเวียแห่งป่าฮาร์ดี้และเป็นแม่ของเทส เด็กคนที่อยู่ข้างๆ เธอน่ะ ]

 

เดเวียทักทายผม ดูเหมือนว่าชื่อของสาวเอลฟ์คนนี้จะเป็นเทสสินะ

 

[ ครับ เช่นกัน… ผมชื่อคุโระ กำลังอยู่ระหว่างการเดินทาง ]

 

ผมหยุดไปชั่วขณะแล้วแนะนำตัวด้วยนามแฝง แม้ว่าผมจะใช้ชื่อจริงก็ได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่ชื่อจริงของผมอาจจะไปเข้าหูชิโรเนะได้ ผมจึงต้องใช้นามแฝงแทน

 

[ แม่คะ คุโระกำลังอยู่ระหว่างเดินทาง ให้เขาพักที่บ้านเราได้มั้ยคะ? ]

 

เทสพยายามขอนุญาตแม่ของเธอให้ผมเข้าไปพักที่บ้านของเธอ

 

[ เอ่อ… คุณเทส ]

 

มันจะดีจริงๆ เหรอ แล้วแม่เธอจะอนุญาตงั้นเหรอ?

 

[ ช่วยไม่ได้นะ ยินดีต้อนรับสู่บ้านของเรานะ คุณคุโระ ]

 

เธอดันอนุญาตง่ายๆ ซะอย่างนั้น

 

มันเป็นเรื่องปกติงั้นเหรอที่ให้คนไม่รู้จักเข้าไปในบ้านนะ? หรือว่าเป็นวัฒนธรรมของพวกเขา?

 

จากที่ลูคัสบอกดูเหมือนเอลฟ์จะไม่เป็นมิตรกับมนุษย์นี่นา แล้วก็ไม่มีทางที่ข้อมูลของลูคัสจะผิดพลาดหรอก

 

บ้านของเทสอยู่บนยอดสูงบนต้นไม้ยักษ์ ไม่มีบันไดขึ้นไปที่บ้านเธอเลยสักแห่ง

 

แล้วเราจะปีนขึ้นไปได้ยังไง? ในตอนที่ผมกำลังนึกว่าจะขึ้นไปได้ยังไงอยู่นั้น เทสก็ค่อยๆ ลอยขึ้นจนไปถึงบ้านของเธอ ดูเหมือนความสูงจะไม่มีปัญหาอะไรเลยกับเอลฟ์ เพราะเอลฟ์เก่งเรื่องเวทมนตร์อยู่แล้วไงล่ะ

 

[ มาสิคุโระ! คุณก็น่าจะบินได้ใช่มั้ยล่ะ? ]

 

เทสยิ้มออมา

 

แน่นอนความสูงไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมหรอก

 

แล้วผมก็สนใจในบ้านต้นไม้อยู่แล้วด้วย

 

ผมบินไปที่บ้านต้นไม้ขณะที่กำลังระงับอาการตื่นเต้นไว้

 

“ว้าว” ผมเผลอปล่อยเสียงออกไปเมื่อได้เห็นข้างในของบ้านต้นไม้

 

บ้านต้นไม้หลังนี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นแต่เหมือนจะเป็นการเกิดขึ้นเอง มันเป็นบ้านที่ต้นไม้สร้างขึ้นมานั้นเอง เป็นบ้านที่ลึกลับจริงๆ

 

ทุกอย่างโตขึ้นมาเองตามธรรมชาติ ผมมองเข้าไปข้างในบ้าน แสงที่ส่องสว่างดูเหมือนนั้นจะไม่ได้เกิดจากไฟ แต่เป็นแสงสว่าง ผมจำได้ว่ามนุษย์บนโลกนี้ส่วนใหญ่จะใช้โคมไฟน้ำมันเป็นแหล่งกำเนิดแสงสว่างกัน แต่จากเท่าที่ดู เอลฟ์จะใช้พลังจากเวทมนตร์มากกว่า

 

เฟอร์นิเจอร์ในบ้านสวยงาม ต่างจากของมนุษย์ลิบลับ ดูเหมือนพวกเขาพัฒนากันมาจนถึงขั้นว่าการใช้เวทมนตร์คือชีวิตประจำวันไปแล้ว

 

แม้ว่าบ้านของเอลฟ์จะดูเรียบง่าย แต่การตกแต่งภายในก็ดูจะสะดวกสบายกว่าที่อยู่ของมนุษย์บนโลกนี้ซะอีก

 

โลกนี้พัฒนาขึ้นมาในแบบของตัวเองจากเวทมนตร์

 

บางทีถ้าโลกของผมมีเวทมนตร์ ก็คงจะพัฒนามาเป็นประมาณนี้ก็ได้

 

[ เชิญนั่งก่อนสิคุณคุโระ เดี๋ยวฉันจะไปชงชาให้ เทสมาช่วยแม่หน่อยสิ ]

[ ค๊าาา ]

 

หลังจากเข้ามาในบ้านต้นไม้ เทสและเดเวียก็ไปที่ห้องครัว

 

จากป้ายด้านหน้า ดูท่าคนที่อาศัยในบ้านหลังนี้จะมีเพียงพวกเธอสองคน

 

หลังจากนั้นทั้งสองก็กลับมาพร้อมน้ำชาและขนมบนถาดไม้

 

เธอวางถาดไว้บนโต๊ะข้างหน้าผม

 

มีกลิ่นหอมลอยโชยออกมาจากชาสีแดง ขนมนั้นเป็นขนมปังขนาดใหญ่และซุปที่มีไว้คู่กัน ในซุปมีทั้งผักกระหล่และผักหั่นต้มชิ้นเล็กชิ้นเล็กอยู่มากมาย และสุดท้ายก็คือเค้กที่มีผลไม้แห้ง

 

[ เชิญเลยค่ะคุณคุโระ ]

 

ผมลองจิบชาดู รสชาติแบบนี้ผมเพิ่งเคยดื่มเป็นครั้งแรก แต่มันก็อร่อยมาก

 

จากนั้นผมก็ลองซุปผักดูบ้าง ความจริงมันก็อร่อยล่ะนะ แต่มันคงเป็นเพราะมันไม่ค่อยได้กินอะไรอร่อยเลย ตั้งมาที่นี่มากกว่าล่ะมั้ง

 

[ เป็นยังไงบ้างคะ? ]

 

เดเวียถามผม

 

[ จนถึงตอนนี้ผมไม่ได้กินอะไรอร่อยมานานมากแล้ว อาหารมื้อนี้อร่อยมากเลยครับ ]

 

อาหารของเอลฟ์อร่อยกว่าของมนุษย์บนโลกนี้ซะอีก เพราะตอนที่ผมไปเมืองพาเทสน่ะนะ พวกยามทำเหมือนกับผมเป็นคนน่าสงสัยเลยอ่ะ ถึงผมจะน่าสงสัยจริงๆ ก็เถอะ แต่ไม่อยากถูกปฏิบัติแบบนั้นเลย

 

แต่เทสและแม่ของเธอกลับต้อนรับผมอย่างอบอุ่น ซึ้งจนเกือบจะร้องไห้แล้วเนี่ย

 

[ ถ้าเช่นนั้นขอให้อร่อยนะคะ ]

 

เดเวียบอกให้ผมกินอาหารต่อ

 

ผมเองก็ชอบกินของอร่อยอยู่แล้วล่ะ

 

ขณะที่เทสมองผมด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร

 

◆ อัศวินดำคุโรกิ

 

[ ในที่สุดก็จะได้นอนสักที ]

 

เมื่อถึงตอนกลางคืน เธอก็พาผมไปที่ห้องนอน

 

[ นี่มันจะแปลกเกินไปแล้ว… ]

 

นัคพูดด้วยน้ำเสียงสงสัย

 

[ ทั้งที่ผมเองก็ไม่รู้จักคนของเผ่าเอลฟ์เลยสักคน ทำไมพวกเขาถึงได้ตอนรับเรา? นี่มันยากจะเข้าใจจริงๆ ]

 

ผมเองก็สงสัยแบบเดียวกับนัค

 

พวกเขาเพิ่งเจอเราวันนี้ ในเมืองของมนุษย์ที่เราแวะพักที่ผ่านมา ทุกคนต่างเย็นชา แต่ทำไมเอลฟ์ที่ไม่ใช่คนของเผ่าเดียวกันกลับต้อนรับผมกัน

 

แล้วก็ การที่เอลฟ์จะมาตกหลุมรักมนุษย์น่ะมันหาได้ยากมาก โดยปกติแล้วพวกเขาไม่เป็นมิตรกันหรอก

 

[ แต่นายก็รู้นี่นัค ว่าฉันไม่รู้สึกจิตประสงค์ร้ายจากพวกเธอเลย ]

 

ผมไม่รู้สึกอะไรเลยจากเด็กผู้หญิงที่ชื่อเทส ถ้าเธอคิดจะทำร้ายผม ผมคงจะรู้สึกตัวไปแล้วล่ะ

 

[ ไม่ใช่ว่าพวกเขาใช้เวทมนตร์รึครับ? ]

 

[…. ไม่เลย เธอไม่ได้ใช้หรอก ]

 

เป็นปกติที่นัคจะถาม แต่เพราะพลังเวทมนตร์ของผมมีมากมายกว่านัคมาก

 

หากพวกเขาใช้เวทมนตร์ สภาพของนัคก็ต้องแปลกไปเหมือนคร่าวของซิลล่า

 

แต่มันก็จะต่างกันหากเธอใช้เวทมนตร์กับผมแค่คนเดียว แต่เทสก็คุยกับนัคด้วยนี่นา ผมไม่เห็นว่าเธอจะมีอะไรผิดปกติเลย แล้วถ้าเธอใช้เวทมนตร์กับผมแค่คนเดียวจริงๆ มันมีเหตุผลอะไรให้ทำแบบนั้นด้วย?

 

[ บางทีเธออาจจะต้องการอะไรบางอย่าง… จากตัวผม]

 

ถึงผมจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร ดังนั้นเลยกินให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้และนอนหลับให้สบาย

 

[ เธอต้องการอะไรกันแน่? ]

 

[ หรือเพราะเธอเห็นว่าผมชนะซิลล่าได้ เลยอยากให้ผมไปจัดการปีศาจตัวอีก ]

 

[… มีความเป็นไปได้ครับ ]

 

นัคพยักหน้าเห็นด้วย

 

จากนั้นเราก็ล้มตัวลงบนเตียง ผมรู้สึกตกใจไปเลยล่ะถึงความนุ่มของเตียง

 

[ สุดท้าย แม้กระทั่งโลกของผมยังไม่มีเตียงที่นุ่มขนาดนี้เลย ]

 

ผมอาจจะแค่คิดไปเอง เพราะผมไม่เคยนอนบนเตียงดีๆ ที่โลกเดิมมาก่อนซะด้วย

 

เทสเตรียมกระทั่งเตียงไว้ให้นัคด้วยล่ะ

 

[ ฝันดีนะนัค… ]

 

[ ฝันดีครับ ]

 

ช่างราวกับความรู้สึกที่ไม่ได้รู้สึกมานาน ความรู้สึกของการนอนบนเตียง

 

เพราะตลอดการเดินทางผมนอนไม่ค่อยจะหลับเลย ถึงแม้ว่าเหนื่อยล้าก็ตาม

 

และแล้วผมก็ค่อยๆ ปิดตาแล้วหลับไป

 

◆ สาวเอลฟ์ เทส

 

[ เทส ดูเหมือนคุณคุโระจะหลับไปแล้วนะ ]

 

แม่บอก

 

[ เอาล่ะ เล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณพ่อที่รักคนนี้ฟังหน่อยได้มั้ย? ]

 

ฉันอยู่ที่ห้องของพ่อแม่

 

และกำลังจะเล่าเรื่องของคุโระให้พ่อฟัง

 

พ่อฉันนอนอยู่บนเตียงที่ฉันนั่งอยู่ ตั้งแต่ฉันเกิดมาก็ไม่เคยเห็นพ่อลุกขึ้นจากเตียงเลยสักครั้ง

 

ใบหน้าของพ่อหล่อมากเลยล่ะ เพราะงั้นแม่ถึงได้ตกหลุมรักสินะ

แต่คุโระเองก็ไม่แพ้หรอกนะ

 

พ่อไม่เคยตื่นขึ้นมาเลย

 

พ่อฉันเป็นมนุษย์ ในกรณีที่ลูกเกิดมาเป็นผู้หญิงจะเป็นเอลฟ์ แต่ถ้าเป็นผู้ชายก็จะเป็นมนุษย์

 

และเพราะพวกเราเอลฟ์ไม่ชอบการมีสัมพันธ์กับพวกน่าเกลียดอย่างปีศาจ ส่วนใหญ่เพศผู้จึงมีเพียงมนุษย์เท่านั้น

 

ฉันได้ยินว่าพี่ชายกับน้องชายฉันถูกส่งไปที่อยู่ของมนุษย์ทันทีเลยล่ะ

 

แม้ตอนนี้พวกพี่น้องของฉันก็อยู่อาศัยในที่อยู่ของมนุษย์กัน

 

และหากเอลฟ์ถูกใจชายคนไหนเข้า ก็มักจะลักพาตัวมาทำให้เกิดการทะเลาะกันกับมนุษย์ผู้หญิงทุกที

 

แม้แต่แม่ของฉันตอนที่ลักพาตัวพ่อมานั้นก็ไปทะเลาะกับมนุษย์ผู้หญิงคนนึงเหมือนกัน สุดท้ายพวกเธอก็ตัดสินกันด้วยการต่อสู้โดยไม่ใช้เวทมนตร์และแม่ของฉันก็ชนะมาได้ จึงได้พ่อมาครอง

 

แต่การที่พ่อเป็นมนุษย์ทำให้อายุขัยของเขาสั้นมาก จึงเป็นเรื่องปกติที่พ่อจะอยู่ได้ไม่นาน

 

โดยมนุษย์นั้นจะสามารถขยายอายุขัยของตัวเองได้ โดยใช้เวทมนตร์ที่ใช้แค่เพียงราชินีเอลฟ์เท่านั้น แต่ราชินีจะเลือกเฉพาะคนที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นอัศวินแห่งเอลฟ์ได้เท่านั้น

 

ดังนั้นการยืดอายุขัยด้วยเวทหลับนิรันดร์จึงเป็นวิธีการที่นิยมกันมากที่สุด

 

พ่อเองก็ถูกใช้เวทมนตร์นี้ใส่จึงมักจะหลับอยู่ที่เตียงตลอดเวลา

 

เพราะการนอนหลับ ทำให้พ่อมีชีวิตอยู่ตอไปได้ ร่างกายของพ่อเองก็ราวกับแค่หลับไปเหมือนเด็กคนนึง

 

หากเราจะคุยกัน ก็ต้องเข้าไปในฝันของพ่อด้วยเวทมนตร์ควบคุมฝัน ซึ่งตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในความฝันของพ่อและกำลังเล่าเรื่องของคุโระให้ฟัง

 

[ หน้าตาตอนนอนของเขาก็ดูน่ารักดีนะ ฉันเคยแอบมองไปในหัวใจของเขาดูแล้วค่ะ โดยรวมแล้วเขาก็เป็นคนใจดีและมีไหวพริบที่ยอดเยี่ยมเหมือนฉันเลยล่ะ ]

 

ฉันพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของแม่

 

[ แน่นอนสิค่ะ เพราะเขาเป็นคนที่หนูเลือกนี่นา ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน หนูรู้สึกว่าคุโระนี่แหละคือคนของโชคชะตาของหนู ]

 

ตั้งแต่ที่พบกับคุโระครั้งแรก หัวใจของฉันก็เต้นแรง ฉันอยากให้เขาเป็นสามีของฉัน

 

และแม่เองก็บอกว่าสัญชาตญาณในตัวเอลฟ์นั่นถือเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเราชาวเอลฟ์ เพราะสัญชาตญาณนี่ล่ะที่ทำให้แม่ถึงกับใช้เวทมนตร์เพื่อลักพาตัวพ่อมา

 

ซึ่งแม่เองก็ไม่ได้คัดค้านฉัน เพราะเขาเองก็ดูน่ารักดี ดีกว่าเจ้าพวกมนุษย์จิตใจสกปรกบางคนล่ะนะ

 

ฉันถึงได้ดีใจมาก เท่านี้ฉันก็จะได้อยู่กับคุโระตลอดไปแล้ว เขาเองก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจอะไรฉันด้วยสิ

 

เป็นเรื่องปกติล่ะมั้ง เพราะฉันก็มั่นใจนะ ว่าตัวเองสวยกว่าผู้หญิงตามค่าเฉลี่ยนทั่วไปนะ

 

[ แม่คะ งั้นหนูไปห้องของคุโระก่อนนะ ]

 

ฉันออกจากห้องนอนของพ่อแม่แล้วเปลี่ยนสถานที่กับแม่

 

ฉันอยากคุยกับคุโระในฝันมากกว่า

 

เพราะหากเป็นในฝันเชาจะปกป้องตัวเองไม่ได้และยังมีเรื่องอีกหลายเรื่องที๋ฉันอยากได้ยินจากปากคุโระเอง

 

ฉันรีบไปยังห้องนอนของฉันที่ที่คุโระนอนหลับอยู่ทันที

 

◆ อัศวินดำ คุโรกิ

 

[ ต้องขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจมากครับ ]

 

นัคและผมขอบคุณต่อเดเวียและเทส

 

เทสมองหน้าผมด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

 

มันทำให้ผมมองหน้าเธอไม่ติด เมื่อคืนนี้ผมฝันว่าผมได้กลายเป็นคนรักของเธอ มันเป็นความฝันเหมือนจริงจนรู้สึกแปลก ถึงแม้จะเป็นความฝันแต่ผมก็ยังอายอยู่ดี

 

[ เดินทางระวังด้วยนะคะ ]

 

เดเวียทำสีหน้าเศร้า

 

[ ต้องขอโทษด้วยครับ แต่เพราะผมที่ที่ต้องไปให้ได้อยู่… ]

 

จนถึงสุท้ายเทสและเดเวียก็ไม่ได้บอกผมว่าพวกเธอต้องการอะไรกันแน่

 

ดูเหมือนว่าพวกเธอแค่อยากต้อนรับพวกเราเฉยๆ ซะมากกว่า

 

แต่มันมีเรื่องที่ทำให้ผมกังวล พอผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเทสก็ดูแปลกไปจากเมื่อวาน ทำให้ผมเป็นห่วงเอามากๆ

 

แต่ยังไงผมก็ต้องไป

 

[ ขอบคุณมากครับ สำหรับการต้อนรับและอาหารเมื่อวานนี้ ]

 

ผมพูดจบแล้ว ขณะที่กำลังจะเดินออกจากบ้านต้นไม้

 

[ คุโรกิ!! ]

 

เทสเรียกผม

 

[ เทส?]

 

[ คุโรกิ… เราจะได้พบกันอีก… ใช่มั้ย?]

 

ดวงตาของเทสเปอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา

 

[ แน่นอน เราต้องได้พบกันอีกครั้งแน่เทส ]

 

ผมเอามือปาดแก้มของเทสที่เต็มไปด้วยน้ำตา นี่มันทำให้ผมตายได้เลยนะขอบอก การทำเรื่องน่าอายแบบนี้ช่างไม่เหมาะกับผมเอาซะเลย แต่ก็ดีกว่าถ้าเทียบกับในฝันเมื่อคืนล่ะนะ

 

จากนั้นผมก็เดินจากมา แล้วโบกมือให้เทสอยู่หลายครั้ง

 

หลังจากออกจากหมู่บ้านเอลฟ์ ผมก็เพิ่งเอ๊ะใจถึงเรื่องบางอย่าง

 

[ มาคิดดูแล้ว ทำไมเทสถึงได้รู้จักชื่อจริงของผมล่ะ? ]

 

◆ เอลฟ์สาว เทส

 

[ จะดีเหรอเทส? ]

 

ฉันส่ายหัวเมื่อได้ยินคำถามจากแม่

 

[… มันช่วยไม่ได้หรอกค่ะ เพราะหนูเองก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนของต่างโลก… และคุโรกิก็ยังมีหน้าที่ในโลกนี้เหลืออยู่ ดังนั้นหนูคงรั้งตัวเขาเอาไว้ที่นี่ไม่ได้… ]

 

ค่ำคืนที่ฉันได้สนุกกับคุโรกิ นั่นจะถือเป็นความทรงจำอันล้ำค่าตลอดชีวิตของฉันเลย

 

ฉันได้รู้ตัวจริงของคุโรกิในความฝัน

 

พลังของคุโรกิที่มหาศาลเหมือนกับเทพ แต่ด้วยเวทมนตร์ของฉัน ถ้าเขาเป็นแค่คนธรรมดาฉันก็คงใช้เวทมนตร์กับเขาไปแล้ว แต่เวทมนตร์ของฉันกลับไม่ได้ผลกับคุโรกิ

 

ฉันไม่รู้เลยว่าตัวเองจะต้องทำยังไง เมื่อเห็นคุโรกิกำลังจะเดินจากไป

 

ฉันมองไปที่แผ่นหลังของคุโรกิ

 

คุโรกิหันกลับมาโบกมือให้หลายครั้ง อย่างน้อยก็รู้ล่ะนะว่าเขาไม่ได้เกลียดฉัน

 

บางทีเราอาจจะได้เจอกันครั้ง

 

[ ไว้พบกันใหม่นะ คุณอัศวินดำที่รักของฉัน ]

 

◆ อัศวินดำ คุโรกิ

 

[ ท่านไดร์ฮาร์ด นั่นคือสาธารณรัฐศักดิ์สิทธิ์ลีนาเรียครับ ]

 

ผมยืนมองเมืองขนาดใหญ่จากบนเนินเขา

 

ประเทศที่ตั้งอยู่บนปากแม่น้ำที่ตัดกันของแม่น้ำและแม่น้ำที่ไหลมาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเอลีอัส

 

นี่ก็ผ่านไปสองวันแล้วตั้งแต่ที่ผมแยกทางจากเทส ในที่สุดเราก็ถึงจุดหมายสักที

 

[ ไปกันเถอะนัค ]

 

ตอนก่อน
ตอนต่อไป

ความคิดเห็นทั้งหมดของ "ตอนที่ 10"

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

*

*

  • อ่านนิยาย
  • แทงหวย24

© 2020 cat-novel.com
เว็บอ่านนิยาย นิยาย pdf เว็บ “cat-novel.com” เว็บอ่านนิยายสนุกๆ เพลิดเพลินไปกับนิยายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นิยายวาย, นิยายจีน, นิยายรัก, แฟนตาซี, กำลังภายใน, ผจญภัย สุดยอดวิชากำลังภายใน อัพเดททุกวัน พร้อมรองรับการอ่านบนมือถือ คอมพิวเตอร์ ไอแพด หรือแท็บเล็ต อ่านได้ตลอดเวลา ไม่มีโฆษณา อ่านนิยายฟรีต้อง เว็บ ”cat-novel.com”
นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์