อัศวินดำ - ตอนที่ 10
◆ พ่อค้าเร่ ราอุส
[ ต้องขอโทษจริงๆ ครับท่านราอุสที่ต้องให้ท่านต้องมาเจออะไรแบบนี้… ตอนที่กำลังเดินทางไปยังอาณาจักรพาเทส ]
ตัวข้าที่กำลังเดินไปค้าขายที่อาณาจักรพาเทส ระหว่างเดินทางข้าเจอกับก๊อปลินที่ทางหลวงจึงหนีเข้ามาในป่า
สงสัยต้องไปร้องเรียนอีกครั้งซะแล้ว
[ มัวทำอะไรกันอยู่ อัศวินของอาณาจักรพาเทส? ]
เหล่าอัศวินที่ควรปกป้องพื้นที่รอบนอกปราสาทอย่างทางหลวงจากเหล่าปีศาจกับละเลยหน้าที่ แล้วปล่อยให้เจ้าพวกปีศาจมาเดินเพ่นพ่านที่ทางหลวงซะได้
แต่ถึงข้าจะโกรธไปก็ช่วยอะไรไม่ได้
[ นี่ข้าวิ่งมามาจากทางหลวงมาขนาดไหนแล้วนะ แล้วตอนนี้ข้าอยู่ที่ไหนกันแน่… ]
ป่าเป็นอาณาเขตของปีศาจ
ในป่าเราไม่รู้หรอกว่าจะถูกปีศาจอย่างก๊อปลินลอบโจมตีเมื่อไหร่
ข้าต้องรีบกลับไปที่ทางหลวงแล้วสิ เพราะหากมืดซะก่อน นั้นจะเป็นเวลาของเหล่าปีศาจ
และข้าก็ต้องเดินทางไปที่ปราสาทด้วย
ข้าเดินต่อไปเรื่อยๆ
แต่นี่ก็เดินมาไกลแล้วแต่ก็ไม่ถึงทางหลวงสักที
[ คอแห้งเผือกเลย… ]
ลำคอของข้าแห้งเผือกเพราะรีบหนีจากพวกก๊อบลินมา
[ แต่ทำไมพวกมันถึงไม่ตามข้ามาแล้วล่ะ? ]
ถึงแม้ว่าก๊อบลินจะขาสั้นแต่มันก็ว่องไวมาก ข้าไม่คิดว่าชายรูปร่างอวบอ้วน อายุกว่าสี่สิบจะหนีจากพวกมันได้
แต่ก็ดีแล้ว ก็ถือว่าสบายไปแล้วกัน เหมือนการต่อชีวิตให้ข้าหนีรอดออกมาได้
[…เพลง?]
เพราะได้ยินเสียงเพลง ข้าจึงเดินต่อไปตามเสียงเพลงนั้น
โดยทางข้างหน้านั้นมีน้ำพุขนาดใหญ่อยู่
และมีสาวสวยที่เปลือยครึ่งล่างอยู่ใต้น้ำพุ
หญิงสาวคนนั้นเป็นผู้ร้องเพลงนี้
เสียงของเธอช่างไพเราะจนข้าหลงใหลโดยไม่รู้ตัว
ข้าที่จะเดินเข้าไปใกล้ เผลอก้าวเหยียบกิ่งไม้เท้าจนเกิดเสียง
[ นั่นใคร? ]
บางทีคงเพราะความไพเราะของเพลงเธอจึงไม่ระวังตัว เธอคนนั้นมองมาทางข้า
[ ข ข้าไม่ได้มีเจตนาแอบมองนะ! แต่เพราะได้ยินเสียงเพลงที่ไพเราะนั้นถึงได้… ]
ข้าขอโทษด้วยความรีบร้อน
[ ไม่เป็นไร ฉันเองที่ผิดที่มาอาบน้ำในสถานที่แบบนี้ แล้วคุณจะมาอาบน้ำกับฉันรึยังไง? ]
สาวงามคนนั้นยิ้มให้ฉันโดยไม่ปกปิดร่างกายแม้แต่นิด
หัวของข้าราวกับไร้สติสัมปชัญญะเมื่อเธอยิ้มให้
[ม ไม่มีทาง ที่คนอย่างข้าจะไปอาบน้ำร่วมกับสาวงามอย่างเธอได้หรอก! แต่ข้าแค่กระหายน้ำมาก… ]
ข้าเข้าไปใกล้น้ำพุ
[ งั้นเหรอ น้ำพุนี่ก็ไม่มีเจ้าของหรอกนะ อยากดื่มก็ดื่มเลยสิ ]
[ งั้นข้าขออนุญาต ]
มันช่างรู้สึกดีที่สามงามคนนั้นพูดว่า “เชิญเลย” ตอบกลับมา
อีกอย่างข้าแค่กระหายน้ำจริงๆ นะ ดังนั้นข้าไม่รู้สึกผิดอะไรหรอก ไม่ใช่ว่าอยากเห็นเธอใกล้ๆ หรอก ข้าบอกกับตัวเอง
เธอยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
จากนั้นข้าก็เข้าไปใกล้น้ำพุแล้วก้มหัวลง แต่ดวงตาของข้าไม่ละสายตาจากเธอเลย
ข้าตักน้ำพุขึ้นมาด้วยมือสองข้างแล้วดื่ม แต่ในตอนนั้นเองที่ร่างกายข้ารู้สึกแปลกๆ
[ ร่างกายข้า… ]
ร่างกายข้าเป็นอัมพาตไป ข้าไม่สามารถขยับมือได้ และจากนั้นข้าก็มองไปที่น้ำพุ
[ นั่นมันอะไรกัน…!! ]
ใต้น้ำพุมีใบหน้าขนาดใหญ่ของปีศาจอยู่ ใบหน้านั้นกำลังจ้องมองมาที่ข้า
ทันทีที่ข้าได้เห็นใบหน้านั้น สติของข้าก็กลับคืนมา
ใช่แล้ว ทำไมถึงได้มีสาวงามมาอยู่ในที่แบบนี้ได้ ป่านี้เต็มไปด้วยปีศาจประเภทนี้กันทั้งนั้น
บางทีเหตุผลที่ข้าไม่นึกเอะใจถึงความผิดปกติเลยเพราะ
ข้าเอาแต่เงยหน้าไปมองสาวงามคนนั้น
เธอยิ้มราวกับกำลังสนุกที่เห็นข้าขยับไม่ได้
ปีศาจตัวนั้นออกมาจากน้ำพุ จากนั้นก็อ้าปาก
[ อ๊ากกก… ]
ข้าทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว
ใบหน้าของปีศาจตัวนั้นกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
และแล้วข้าก็ถูกกินหายไปในความมืดมิด
◆ อัศวินดำ คุโรกิ
[ เฮ้อ… วันนี้ก็ยังไปไม่ถึงแฮะ ]
นี่ก็ผ่านไปสี่วันแล้วนับตั้งแต่เราออกจากนากอล
ผมเดินทางโดยไม่ได้แวะเมืองไหนเลย
ตอนนี้เรากำลังเดินทางไปยังสาธารณัฐศักดิ์สิทธิ์ลีนาเรียที่พวกเรย์จิอยู่
ระยะทางจากนากอลไปถึงสาธารณะรัฐศักดิ์สิทธิ์ลีนาเรียนั้นไกลมาก แต่เพราะความสามารถของผมทำให้วิ่งได้เร็วกว่าม้าซะอีก ในช่วงระยะเวลา 4 วันเราเดินทางไปได้ถึงสองในสามแล้ว
แม้ว่าจะไม่ได้วัดความเร็ว แต่ก็น่าจะมากกว่า 200 กม. / ชม. อีกล่ะมั้งเนี่ย
ผมกลายเป็นยอดมนุษย์ไปแล้ว
ยอดมนุษย์เหมือนกับในหนัง ถ้าเทียบกับคนในโลกนี้ผมก็คือยอดมนุษย์ตัวจริงเสียงจริงเลยล่ะ
ในระหว่างทางผมก็ดูว่าผู้คนบนโลกนี้อยู่อาศัยกันแบบไหน
เพราะผมจะใช้ที่โลกเดิมเป็นมาตรฐานก็ไม่ได้ด้วยสิ
ที่โลกนี้มีเมืองที่คล้ายกับกรีกยุคโบราณอยู่นับไม่ถ้วน
มีกำแพงอยู่นอกเมืองคอยป้องกันไม่ให้ปีศาจเข้ามา
โดยมนุษย์จะอาศัยอยู่ที่ชานเมืองและภายในกำแพงที่ล้อมรอบนั้น
โดยจะมีทางหลวงที่คอยเชื่อมต่อไปยังเมืองอื่นไว้ด้วย
มีตั้งแต่เมืองที่เล็กเท่าหมู่บ้าน จนถึงขนาดเมืองใหญ่ๆ เองก็ยังมี
รูปแบบการปกครองจะแตกต่างกันระหว่างสาธารณรัฐกับอาณาจักร
สรุปก็นายกเทศมนตรีของเมืองนั้นจะได้รับการแต่งตั้งจากการลงคะแนนไม่ก็ลูกหลานซะ
มีประเทศที่มีชนชั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งนายก รองนายกหรือหัวหน้าส่วนต่างๆ ก็ต้องมาจากการแต่งตั้งจากนายกเท่านั้น ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติในประเทศสาธารณรัฐ
ศาสนาก็เป็นไปตามที่คิด เทพแห่งเอลีอัสนั้นเอง
จากที่นัคบอกมา กระทั่งคนที่อาศัยที่เขตพรมแดนที่เป็นชนเผ่าป่าเถื่อนยังนับถือเทพแห่งเอลีอัสด้วยเลย
จะว่าไป ตอนนี้ผมกำลังแวะชมเมืองที่ชื่อว่าพาเทส ซึ่งพาเทสประชากรประมาณ 20,000 คน
โดย 20,000 คนที่บอกนั้น รวมเฉพาะคนที่มีสถานะเป็นชาวเมืองเท่านั้น ถ้านับคนที่ไม่มีสัญชาติแบบผมเข้าไปด้วยก็จะเพิ่มขึ้นมาอีกมาก
มีเพียงคนที่เป็นคนเมืองนั้นที่จะนับเป็นชาวเมือง นอกนั้นก็นับเป็นพวกไร้สัญชาติ
และการที่คนต่างด้าวจะเข้ามาในกำแพงนี้มันไม่ง่ายเลย
เพราะจะทำอะไรก็ต้องใช้เงินและเพราะสนธิสัญญาระหว่างประเทศทำให้คนที่มีสัญชาติ ไม่ว่าจะเข้าประเทศไหนก็ง่ายดาย การเดินทางของมนุษย์มีเสรีมากขึ้นเพราะสนธิสัญญาพวกนั้น
ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะมีประเทศที่ปกครองตนเองโดยมีนโยบายเศรษฐกิจแบบปิดและแยกตัวออกมาจากประเทศอื่น เพื่อนที่จะไม่ต้องมีสนธิสัญญาอะไรผูกมัด
และเพราะผมไม่ได้มีสาธาณะเป็นพลเมือง จึงเข้าเมืองแบบถูกกฏหมายไม่ได้
ถ้ามีคนถามว่า “แล้วอาหารกับน้ำจนถึงตอนนี้ทำยังไง?”
ก็ในป่านะสิ ป่าของโลกนี้อุดมสมบูรณ์มาก มีของให้ผมกินอยู่เยอะแยะอย่างทับทิมก็กินเท่าที่อยากกินเลย
และยังมีผลไม้อีกมากมาย เพราะปกติมนุษย์ไม่เข้ามาในอาณาเขตของปีศาจกันหรอก
แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ ถ้าอยากกินอะไรที่มันเป็นอาหารผมก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเข้าไปในกำแพง
โดยการแอบเข้าไปด้วยเวทมนตร์บินแล้วขโมยเนื้อสักนิดมา ต้องขอโทษคุณเจ้าของร้านจริงๆ ครับ
แต่มันช่วยไม่ได้ เพราะผมไม่มีเงินนี่นา โมเดสเองก็ไม่มีสกุลเงินของพวกมนุษย์ด้วยสิ
ถึงผมจะได้รับอัญมณีที่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้มา แต่เพราะผม (นัคด้วย) ไม่รู้วิธีเอาไปมันแลกเปลี่ยนเป็นเงินนี่นา สุดท้ายก็เลยไม่ได้เอามาใช้สักที
[ งั้นวันนี้เราจะทำอะไรกันดีล่ะนัค? ]
ผมถามนัคที่เป็นเพื่อนร่วมทางของผม
[ แอบเข้าเมืองโดยสวมเสื้อคลุมเงาเป็นยังไงครับ? ]
แม้ว่าผมจะเข้าเมืองอย่างถูกกฏหมายจากด้านหน้าไม่ได้ แต่ตราบใดที่ผมใช้เสื้อคลุมเงาที่ได้จากโมเดสก็แอบลอบเข้าไปได้สบายมาก
เสื้อคลุมเงา มันก็คือฮู้ดคลุมทั้งตัว ผมเลยเรียกว่ามันเสื้อคลุมเงา ซึ่งมันมีเวทมนตร์ล่องหนและซ่อนใบหน้าของผมที่อยู่ใต้หมวกด้วย
เวทมนตร์ล่องหนก็คือเวทมนตร์ที่ลยตัวตนของผู้ใช้และทำให้คนอื่นไม่รับรู้
แต่เวทมนตร์ล่องหนมันใช้ไม่ได้ผลกับคนที่ใช้เวทมนตร์ตรวจจับได้หรือมีสกิลตรวจจับ เพราะถ้าโดนเห็นเวทมนตร์ล่องหนมันจะไปมีความหมายอะไร
และนั่นก็คือเสื้อคลุมเงา
[ ไม่ เดี๋ยวสิ เราต้องไปหาข้อมูลของพวกเรย์จิต่างหากล่ะ ]
ตอนนี้เป้าหมายของเราก็คือรวบรวมข้อมูลของพวกเรย์จิและเมืองที่เรากำลังจะไปสาธารณรัฐศักดิ์สิทธิ์ลีนาเรีย
ซึ่งมีข่าวของพวกเรย์จิอยู่มากพอดู
ทั้งได้ยินว่ามีคนหลายคนที่ถูกพวกเรย์จิช่วยเอาไว้โดยการปราบปีศาจให้
ก็เป็นธรรมดาที่ใครหลายคนจะรู้สึกดีๆ ด้วย
แต่ก็ยังมีคนที่กลัวพวกเขาอยู่
เพราะมนุษย์ย่อมเกรงกลัวคนที่มีพลังอยู่แล้ว
และในหมู่คนมากมายยังมีคนที่ต้องบาดเจ็บเพราะพวกเรย์จิด้วย
ผมคิดว่าเรื่องข่าวของพวกเรย์จิถึงแม้จะเป้นในอาณาจักรพาเทสก็คงไม่แตกต่างกันหรอก
แต่เพราะผมไม่มีเงินเลยไม่สามารถพักในโรงแรมที่พาเทสได้
[ นัค เราไปหาที่ตั้งแคมป์ของวันนี้กันเถอะ ]
[ งั้นกระผมจะหาอาหารให้นะครับ ]
[ อืม ได้เลย ]
เราหาที่พักแรมก่อนที่ฟ้าจะมื
โชคดีที่ป่าแถวนี้อุดมสมบูรณ์ จึงไม่มีทางที่เราจะขาดแคลนอาหาร
และปีศาจก็เข้ามาไม่ได้ตราบใดที่ผมใช้บาเรียอยู่
ผมเดินเข้าไปในป่าเพื่อหาอาหารและน้ำ
โดยเดินไกลนิดหน่อยจากพื้นที่ตั้งแคมป์
แต่จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงเพลงดังมาจากในป่าลึก
[…เสียงเพลง? ]
ผมเอียงหัวด้วยความสงสัย
ที่ป่าแห่งนี้เป็นอาณาเขตของปีศาจ จึงมีมอนสเตอรืวิ่งพลุ่งพล่านเต็มไปหมด ผมจึงคิดว่ามันแปลกที่ได้ยินเสียงคนร้องเพลงในสถานที่แบบนี้
[ เป็นเสียงเพลงที่ไพเราะดีนะครับ…]
นัคพูดออกมาด้วยเสียงหลงใหล ราวกับหัวของเขาว่างเปล่า
[ลองไปตามเสียงเพลงดูมั้ยครับ? ท่านไดร์ฮาร์ด]
นัคพูดขึ้นแล้วเดินมุ่งหน้าไปทิศทางของเสียงเพลง
สภาพของนัคดูแปลกไปและยังการตัดสินใจนี้อีก
หรือว่าเป็นเพราะเขาได้ยินเสียงเพลงนี้
[ เข้าใจแล้ว ไปกันเถอะ ]
ผมเองก็อยากเจอกับเจ้าของเสียงเพลงนี้เหมือนกัน
ทันทีที่เดินมาได้ระยะหนึ่ง เราก็เจอกับสถานที่ว่างๆ โดยมีน้ำพุขนาดใหญ่อยู่
ซึ่งมีหญิงสาวเปลือยกายแช่น้ำอยู่ในน้ำพุนั้น โดยที่ครึ่งล่างของเธออยู่ใต้น้ำพุ ดูเหมือนคนที่ร้องเพลงจะเป็นผู้หญิงคนนี้นี่ล่ะ
[ นั่นใคร? ]
เพราะเธอสังเกตเห็นพวกเรา เธอจ้องมองมายังทิศทางที่เราเดินมา
[อา ขอโทษด้วย… ผมไม่ได้ตั้งใจมารบกวนตอนที่คุณกำลังร้องเพลงหรอกครับ ก็แค่สงสัยว่าใครกันที่เป็นเจ้าของเสียงเพลงอันไพเราะนี้ ]
ผมขอโทษเธอ ที่จริงผมกำลังคิดว่า “ขอบคุณความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองจริงๆ ที่ทำให้ได้เห็นอะไรดีๆ”
[ ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ จะมาอาบน้ำด้วยกันมั้ย?]
[ไม่ล่ะ เราขอปฏิเสธคำเชิญดีกว่าครับ งั้นพวกเราขอตัวก่อน เชิญร้องเพลงต่อไปได้เลยครับ ]
ผมทำท่าจะเดินกลับ
[ ท่านไดร์ฮาร์ด น้ำนี่ใสมากเลยครับ ถ้าเราเอาน้ำนี้ไปจะไ่ม่ดีเหรอครับ?]
นัคยังคงพูดจาโดยไม่ได้รู้อะไร
[ นัค น้ำนั้นดื่มไม่ได้นะ มันมีพิษ ]
[ เอ๊ะ พิษ!! ]
นัคตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจ
มีพิษที่สร้างขึ้นจากเวทมนตร์ผสมอยู่ในน้ำนี้ ดูเหมือนจะเป็นพิษที่ทำให้ร่างกายเป็นอัมพาต
[ พิษอะไรกันคะ… พักกันสักหน่อยสิ ]
หญิงสาวพูดออกมา
เฮ้อ ผมล่ะเพลียกับคำพูดของเธอคนนี้จริงๆ
เธอคนนี้คงเหมือนนักล่าที่กำลังล่อเหยื่อให้เข้ามา
ตั้งแต่ผมมาที่โลกนี้ ความรู้สึกของผมก็ไวขึ้น ผมรู้สึกได้ถึงจิตชั่วร้ายและความประสงค์ร้ายที่ส่งมา
ถึงแม้ตอนนี้เราจะอยู่ห่างกันกว่าหลายสิบเมตร แต่ผมรู้สึกได้เลยว่าจิตชั่วร้ายนั้นกำลังมุ่งตรงมาที่ผม จากที่ลูคัสบอกมา ดูเหมือนว่าผมจะรับรู้ไ้ว่าใครเป็นศัตรูและกำลังประสงค์ร้ายกับผมอยู่รึไม่
นอกจากนี้ผู้หญิงคนนี้ยังใช้เวทมนตร์เสน่ห์ล่อพวกเรามายังที่นี่
ซึ่งนัคเองก็โดนเพลงนี้ล่อมา นี่ล่ะสาเหตุของความรู้สึกประหลาดที่ผมรู้สึกได้
ผู้หญิงคนนี้คงเป็นปีศาจเพราะถึงผมจะเห็นร่างเปลือยเธอแต่ผมกลับไม่รู้สึกอะไรเลย
เธอเป็นมอนสเตอรืที่ใช้เสน่และร่างกายที่เหมือนกับหญิงสาวและเสียงเพลงล่อเหยื่อมากิน
ผมไม่อยากถูกเธอกินหรอกนะ
และก็ใช่ว่าจะมีอารมณ์ไปต่อสู้กับเธอด้วย
ดังนั้นผมเลยคิดจะปล่อยเธอไว้และเดินออกมาจากที่นั้นซะ
ผมเองก็ส่งจิตสังหารไปขู่เธอเพื่อไปแล้วนะ เดิมทีตลอดการเดินทางเราก็ต้องพบเจอกับปีศาจมามากมาย แต่ปีศาจส่วนใหญ่มักจะหนีไปหลังจากที่ผมขู่พวกมันไป
แต่ดูท่านี้จะไม่ดีแล้ว พอผมส่งจิตสังหารใส่เธอกลับยิ่งกลายเป็นศัตรูของผมหนักเข้าไปอีก
[ แก!! ]
หญิงสาวท่าทางโกรธมาก จากนั้นปีศาจสัตว์ก็โผล่ออกมาจากในน้ำพุ เป็นสัตว์ร้ายหกตัวที่กำลังวิ่งเข้ามาจู่โจมผม ด้วยการยืดคอเข้ามาพยายามจะกัด
ดูท่าพวกมันคงไม่คิดจะปล่อยผมไปและการเคลื่อนไหวของพวกมันช่างเร็วไม่เข้ากับรูปร่างเอาซะเลย
[ ฮา!! ]
ผมหลบหัวที่พยายามเข้ามาโจมตีแล้วก็ฆ่ามันด้วยการตวัดดาบ
[ แกกกกก! กล้าดียังไงเจ้ามนุษย์!! ]
หญิงสาวโกรธมาก จนใบหน้าสวยๆ นั้นไม่เหลือรูปเค้าโครงเดิ
[ ใครมันจะไปยอมให้เธอกินกันล่ะ!! ]
น้ำพุลอยขึ้นไปในอากาศ จากนั้นบอลน้ำขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้น
[ กระสุนน้ำ !! ]
หลังจากเธอร่ายคาถา บอลน้ำขนาดใหญ่ก็หล่นลงมาใส่ผม
[ โล่เวทมนตร์!! ]
โล่แสงทรงผมปรากฏขึ้นรอบตัวผม ทำให้น้ำกระเด็นออกไปไม่ถึงตัวผม
จากนั้นเธอก็หยุดยิงกระสุนน้ำแล้วออกมากจากน้ำผุ
ครึ่งร่างที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำพุของเธอโผล่ออกมาแล้ว โดยมันมีหนวดและหัวขนาดใหญ่หกหัวเป็นส่วนล่างของร่างกายและส่วนบนเป็นลำตัวเหมือนผู้หญิง
เป็นรูปลักษณ์ที่น่าเกลียดจังแฮะ
ปีศาจตัวนั้นพยายามเข้ามาใกล้ผม
ดูท่ามันจะขยับตัวบนบกไม่ได้เร็วนักนะ
[ ปลอดภัยมั้ยนัค? ]
[ ครับ… ก็ยังพอไหว ]
ดูเหมือนนัคจะยังไม่ค่อยฟื้นตัวเท่าไหร่
[ หมอบลงนัค ]
นัคหมอบลงราบไปพื้นกับพื้นแล้วมาหลบข้างหลังผม
[ ก-แกกล้าทำกับหนึ่งในหัวของข้า!! ]
ปีศาจจ้องมองผมด้วยสายตาเกรี้ยวกรา เลือดสีดำไหลจากหัวที่ถูกตัดไหลลงมาบนพื้น จนทำให้พื้นเกิดการละลายไปทีละนิดและมีควันสีขาวขึ้นจากพื้นที่เลือดนั้นไปโดนเข้า พืชที่โดนเลือดกระเด็นไปโดนนั้นถึงกับเหี่ยวแห้งทันที บางทีเลือดของปีศาจตัวนี้คงจะมีพิษสินะ
แม้ว่าผมจะเห็นว่ามันคงตามผมไม่ทันแน่ ถ้าผมหนีไป แต่ดูจากสภาพตอนนี้แล้วมันคงจะไล่ล่าผมจนกว่าผมจะตายแน่ๆ
มันคงจะยุ่งยากน่าดู ดังนั้นจัดการมันไปซะเลยดีกว่า
[ เจ้ามนุษย์!!! ]
ปีศาจวิ่งมาทางผม แต่มันช่างช้าเหลือกัน
หัวของสัตว์ร้ายและหนวดพยายามโจมตีมา
แต่ผมบิดตัวเพื่อหนีแล้วตัดหนวดและหัวที่สองที่เป็นสัตว์ร้ายไป
[ ไม่จริง!! ]
มันตกใจราวกับไม่อยากเชื่อสายตา
ผมกระโดดไปข้าวหลังปีศาจและทำเหมือนเดิม ผมฆ่ามันโดยฟันส่วนท่อนบนที่เป็นผู้หยิง
[ มะ… ไม่จริง…!! ]
ปีศาจตัวนั้นล้มลง
และมันก็เงยหน้ามองมาที่ผม
[ ง-งั้นเองหรอกเหรอ… กะ แกคือเทพงั้นเองหรอกเหรอ… เพราะฉันนึกว่าแกเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา… ช่างน่าขายหน้า… ]
หลังจากพูดจบปีศาจตัวนั้นก็ตายไป
[ …ผมไม่ใช่เทพสักหน่อย ]
ผมเองก็อยากปฏิเสธอยู่หรอกนะ
แต่เพราะปีศาจมันหายไปกลายเป็นควันสีขาวไปแล้ว เพราะผมฆ่ามันไปเรียบร้อยแล้ว
[ ท่านไดร์ฮาร์ดปลอดภัยรึเปล่าครับ? ]
นัคเดินอ้อมๆ ที่ที่ปีศาจตัวนั้นตายแล้ววิ่งมาหาผม
[ จนถึงตอนนี้เพิ่งเคยได้ศัตรูที่เก่งขนาดนี้มาก่อนเป็นครั้งเลยนะ ]
เพราะตั้งแต่ผมออกเดินทางก็เจอแค่ก็อบลินไม่ก็ยักษ์เท่านั้น ไม่เคยเจอปีศาจแบบนี้เลย
[ ครับ… กระผมเองก็เพิ่งเคยเห็นปีศาจแบบนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน ]
ผมยิ่งรู้สึกตกใจเข้าไปอีกที่รู้ว่านัคเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ดูเหมือนมันจะเป็นปีศาจหายาก
ดีล่ะ ไปถามเรื่องเจ้าปีศาจนี้จากอีกคนที่อยู่ที่นี่ดีกว่า
ผมมองไปที่จุดหนึ่งของป่า
มีใครบางคนกำลังมองพวกเราอยู่ แต่ผมไม่รู้สึกถึงความประสงค์ร้ายจากสายตา ดูเหมือนจะไม่ใช่ปีศาจหรือปีศาจ แล้วเป็นใครกันนะ
[ใครอยู่ตรงนั้น?]
ผมถามออกไป
เมื่อผมถามคำถามนั้น ผู้หญิงคนหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมาจากเงาของต้นไม้
อายุของเธอน่าจะน้อยกว่าผมนิดหน่อย เธอเป็นสาวสวยผมสีฟ้า ผิวขาว
ทำไมเด็กสาวอย่างเธอถึงมาอยู่ที่อาณาเขตของพวกปีศาจได้ หรือว่าเธอเองก็เป็นปีศาจเหมือนกัน
แต่ผมกลับไม่รู้สึกถึงจิตประสงค์ร้ายจากเธอเลยสักนิดและสายตาของเธอก็ไม่ได้น่ารังเกียจเหมือนเจ้าปีศาจก่อนหน้านี้อีกด้วย
[ ท่านไดร์ฮาร์ด นั่นคือเอลฟ์ครับ ]
[ เอลฟ์ ]
ผมมองไปที่หูของเธอและเพิ่งรู้สึกตัวว่ามันยาวกว่าหูของคนทั่วไป นั่นล่ะคุณสมบัติของเผ่าเอลฟ์
ลูคัสเองก็บอกผมก่อนหน้านี้แล้วว่าเผ่าเอลฟ์นั้นมีแต่ผู้หญิงและมีอายุขัยที่ยาวนานมากเทียบกับมนุษย์ นอกจากนี้เอลฟ์ยังมีพลังเวทมากมายกว่ามนุษย์ซะอีก นั่นคือเหตุผลที่ทำให้พวกเขาสามารถอาศัยอยู่ในป่าที่มีแต่พวกปีศาจได้โดยไม่ต้องพึ่งพากำแพง
และดูเหมือนเอลฟ์จะลักพาตัวมนุษย์ผู้ชายที่ตัวเองชอบเพื่อสืบพันธุ์ด้วย
ผมมองไปที่เธอ ผมไม่คิดว่าจะไม่ผู้ชายคนไหนคิดว่ามันแย่หรอกถ้าโดนเธอลักพาตัว น่า ยังไงเธอก็คงไม่คิดจะทำอะไรกับผมหรอก
แล้วเอลฟ์มีธุระอะไรกับผมกันนะ
[เอ่อ… คุณเป็นเทพเหรอ? ]
สาวเอลฟ์ถามผมด้วยเสียงอ่อนแรง
[ ไม่ใช่หรอก ก็แค่มนุษย์ ]
ผมตอบออกไป
ความจริงผมก็กังวลนิดหน่อย เป็นไปได้ไหมว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ในโลกนี้กับในโลกของผมจะคนละเผ่าพันธุ์กันนะ?
เพราะแบบนี้ผมกับพวกเรย์จิถึงได้มีพลังเหนือมนุษย์เกินขอบเขตของมนุษย์ในโลกนี้ สิ่งเดียวที่เราไม่ต่างจากคนบนโลกนี้ก็มีแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น
[ไม่มีทางที่มนุษย์จะปราบซิลล่าได้หรอก ไม่สิ กระทั่งเผ่าเอลฟ์ของเราก็สู้มันไม่ได้ นี่คุณไม่ใช่เทพจริงๆ เหรอ? ]
ดูเหมือนปีศาจที่ผมจัดการไปก่อนหน้านี้จะเรียกว่าซิลล่า
[ อืม ผมไม่ใช่เทพจริงๆ … ]
ผมไม่ใช่คนที่ถึงขนาดจะเป็นเทพได้หรอกน่า
[ งั้นเหรอ ]
เธอเข้ามาใกล้ๆ ผม และมาหยุดยืนอยู่ที่ตรงหน้าผม เธอมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
[ แล้วทำไมมนุษย์ของคุณถึงได้… มาอยู่ในสถานที่แบบนี้ล่ะ? ]
ใบหน้าของเธอเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ
จนผมเห็นตัวเองสะท้อนในดวงตาของเธอ หัวใจของผมเต้นแรงไม่หยุดเพราะตั้งแต่สมัยที่อยู่ญี่ปุ่นแล้วล่ะ ที่ไม่มีผู้หญิงคนไหนเข้าใกล้ผมเลยนอกจากชิโรเนะ
[ผ ผมก็แค่นักเดินทางธรรมดาและกำลังหาที่ค้างแรมเท่านั้นเอง]
ผมตอบด้วยเสียงกระวนกระวาย
[ เอ๊ะ แล้วคุณไม่ไปพักที่อยู่ของพวกมนุษย์งั้นเหรอ? ]
“ที่อยู่ของมนุษย์” เธอคงหมายถึงในกำแพงสินะ ผมพยักหน้าตอบคำถามสาวเอลฟ์
[ อะ อืม… ผมอยู่ในสถานการณ์ที่พิเศษนิดหน่อยนะ… ]
[ หืมม งั้นถ้าไม่มีที่ไหน มาค้างที่บ้านฉันเป็นไงล่ะ? ]
[เอ๊ะ!?]
ผมสับสนไปหมด ผมเองก็เคยได้ยินหรอกนะว่าเผ่าเอลฟ์จะตกหลุมรักกับมนุษย์ แต่พวกเขาก็ไม่ได้เป็นมิตรกับมนุษย์นักหรอก
แต่สายตาที่เธอมองมาที่ผมไม่มีความประสงค์ร้ายหรือสายตาน่าขนลุกอยู่เลย
หลังจากผมคิดอยู่พักนึง
[ ได้เหรอ งั้นเอาไว้คราวหน้าผมจะตอบแทนทีหลังแล้วกัน ]
ผมเองก็อยากรู้ด้วยว่าบ้านของเอลฟ์จะเป็นแบบไหน
[ ไม่เป็นไรหรอก ]
สาวเอลฟ์นำทางผมไปในป่าด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น
[ ท่านชอบเธอเข้าแล้วเหรอครับ? ]
นัคพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียน
แน่นอนสิ ในเมื่อเธอหวังดีผมก็ต้องตอบรับความหวังดีของเธออยู่แล้ว
เธอยังคงเดินต่อไป
และแล้วก็เกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้นที่ตรงหน้าเรา
แม้ว่ามันจะยังดูเหมือนป่าปกติ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันต่างออกไป
[ คุณเห็นบาเรียเมื่อกี้ใช่มั้ยคะ?]
[ บาเรีย? ]
[ ค่ะ มันเป็นเวทมนตร์ที่ทำให้ผู้ที่คิดจะเข้ามาในดินแดนของเราหลงทาง ฉันถึงบอกให้ตามมายังไงล่ะค่ะ ]
เธอยังคงเดินต่อไปหลังจากอธิบายจบ
และแล้วเราก็มาถึงยังสถานที่ที่มีต้นไม้ต้นใหญ่
บนต้นไม้นั้นมีบ้านอยู่หลายหลังอยู่บนกิ่งก้าน
พอผมมองดูก็นึกสงสัยไปโดยไม่รู้ตัว นี่มันบ้านต้นไม้เหมือนที่เคยเห็นในทีวีนี่นา
ความจริงผมอยากมีบ้านแบบนี้มานานแล้ว เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนกับฐานลับเลยล่ะ
[ ที่นี่คือบ้านของฉันค่ะ ]
เธอพูดออกมา
[ เทส!! ]
มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมาจากบ้านต้นไม้หลังหนึ่ง เธอลงมาจากบนต้นไม้
อายุเธอเหมือนจะแก่กว่าผมแค่นิดหน่อยเท่านั้น
[ แม่คะ! หนูกลับมาแล้ว! ]
ผมกลับยิ่งตกใจเมื่อสาวเอลฟ์เรียกผู้หญิงคนนั้นว่า “แม่” ผมนึกว่าเป็นพี่สาวของเธอซะอีก
[ เดี๋ยวสิเทส!! ไม่ใช่กลับมาแล้วนะ นี่หายหัวไปไหนมากันห๊ะ… ]
แม่ของเด็กสาวมองมาที่พวกเรา
[ แล้วเด็กหนุ่มคนนี้ล่ะเป็นใคร? ]
แม่ของเด็กสาวจ้องมาที่เรา
เธอสวยเหมือนลูกสาวเลยล่ะ ดังนั้นตอนที่เธอมองผมถึงกับเขิลไปโดยไม่รู้ตัว
[ เขาเป็นคนที่ยอดมากเลยค่ะแม่! เขาสามารถจัดการซิลล่าได้ด้วยตัวคนเดียวเชียวนะคะ! ]
สาวเอลฟ์แนะนำผมให้แม่ของเธอ ในขณะที่เธอกอดอกแขนผม
ผมรู้สึกของส่วนนุ่มนิ่มของร่างกายผู้หญิงกำลังสัมผัสกับตัวของผมด้วยล่ะ
[ ซิลล่า… ซิลล่าแห่งน้ำพุน่ะเหรอ? ]
แม่ของเธอกวาดตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
[ เขา… ไม่เห็นจะดูแข็งแกร่งอะไรเลยนี่ ]
แล้วเธอก็พูดคำนั้นออกมา
[ แม่คะ! อย่าหยาบคายกับเขาสิ!! ]
สาวเอลฟ์ว่าแม่ของเธอ
[เอ่อ ก็จริงของลูกล่ะนะ ต้องขอโทษด้วย ยินดีที่ได้รู้จักเด็กหนุ่มชาวมนุษย์ ฉันคือเดเวียแห่งป่าฮาร์ดี้และเป็นแม่ของเทส เด็กคนที่อยู่ข้างๆ เธอน่ะ ]
เดเวียทักทายผม ดูเหมือนว่าชื่อของสาวเอลฟ์คนนี้จะเป็นเทสสินะ
[ ครับ เช่นกัน… ผมชื่อคุโระ กำลังอยู่ระหว่างการเดินทาง ]
ผมหยุดไปชั่วขณะแล้วแนะนำตัวด้วยนามแฝง แม้ว่าผมจะใช้ชื่อจริงก็ได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่ชื่อจริงของผมอาจจะไปเข้าหูชิโรเนะได้ ผมจึงต้องใช้นามแฝงแทน
[ แม่คะ คุโระกำลังอยู่ระหว่างเดินทาง ให้เขาพักที่บ้านเราได้มั้ยคะ? ]
เทสพยายามขอนุญาตแม่ของเธอให้ผมเข้าไปพักที่บ้านของเธอ
[ เอ่อ… คุณเทส ]
มันจะดีจริงๆ เหรอ แล้วแม่เธอจะอนุญาตงั้นเหรอ?
[ ช่วยไม่ได้นะ ยินดีต้อนรับสู่บ้านของเรานะ คุณคุโระ ]
เธอดันอนุญาตง่ายๆ ซะอย่างนั้น
มันเป็นเรื่องปกติงั้นเหรอที่ให้คนไม่รู้จักเข้าไปในบ้านนะ? หรือว่าเป็นวัฒนธรรมของพวกเขา?
จากที่ลูคัสบอกดูเหมือนเอลฟ์จะไม่เป็นมิตรกับมนุษย์นี่นา แล้วก็ไม่มีทางที่ข้อมูลของลูคัสจะผิดพลาดหรอก
บ้านของเทสอยู่บนยอดสูงบนต้นไม้ยักษ์ ไม่มีบันไดขึ้นไปที่บ้านเธอเลยสักแห่ง
แล้วเราจะปีนขึ้นไปได้ยังไง? ในตอนที่ผมกำลังนึกว่าจะขึ้นไปได้ยังไงอยู่นั้น เทสก็ค่อยๆ ลอยขึ้นจนไปถึงบ้านของเธอ ดูเหมือนความสูงจะไม่มีปัญหาอะไรเลยกับเอลฟ์ เพราะเอลฟ์เก่งเรื่องเวทมนตร์อยู่แล้วไงล่ะ
[ มาสิคุโระ! คุณก็น่าจะบินได้ใช่มั้ยล่ะ? ]
เทสยิ้มออมา
แน่นอนความสูงไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมหรอก
แล้วผมก็สนใจในบ้านต้นไม้อยู่แล้วด้วย
ผมบินไปที่บ้านต้นไม้ขณะที่กำลังระงับอาการตื่นเต้นไว้
“ว้าว” ผมเผลอปล่อยเสียงออกไปเมื่อได้เห็นข้างในของบ้านต้นไม้
บ้านต้นไม้หลังนี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นแต่เหมือนจะเป็นการเกิดขึ้นเอง มันเป็นบ้านที่ต้นไม้สร้างขึ้นมานั้นเอง เป็นบ้านที่ลึกลับจริงๆ
ทุกอย่างโตขึ้นมาเองตามธรรมชาติ ผมมองเข้าไปข้างในบ้าน แสงที่ส่องสว่างดูเหมือนนั้นจะไม่ได้เกิดจากไฟ แต่เป็นแสงสว่าง ผมจำได้ว่ามนุษย์บนโลกนี้ส่วนใหญ่จะใช้โคมไฟน้ำมันเป็นแหล่งกำเนิดแสงสว่างกัน แต่จากเท่าที่ดู เอลฟ์จะใช้พลังจากเวทมนตร์มากกว่า
เฟอร์นิเจอร์ในบ้านสวยงาม ต่างจากของมนุษย์ลิบลับ ดูเหมือนพวกเขาพัฒนากันมาจนถึงขั้นว่าการใช้เวทมนตร์คือชีวิตประจำวันไปแล้ว
แม้ว่าบ้านของเอลฟ์จะดูเรียบง่าย แต่การตกแต่งภายในก็ดูจะสะดวกสบายกว่าที่อยู่ของมนุษย์บนโลกนี้ซะอีก
โลกนี้พัฒนาขึ้นมาในแบบของตัวเองจากเวทมนตร์
บางทีถ้าโลกของผมมีเวทมนตร์ ก็คงจะพัฒนามาเป็นประมาณนี้ก็ได้
[ เชิญนั่งก่อนสิคุณคุโระ เดี๋ยวฉันจะไปชงชาให้ เทสมาช่วยแม่หน่อยสิ ]
[ ค๊าาา ]
หลังจากเข้ามาในบ้านต้นไม้ เทสและเดเวียก็ไปที่ห้องครัว
จากป้ายด้านหน้า ดูท่าคนที่อาศัยในบ้านหลังนี้จะมีเพียงพวกเธอสองคน
หลังจากนั้นทั้งสองก็กลับมาพร้อมน้ำชาและขนมบนถาดไม้
เธอวางถาดไว้บนโต๊ะข้างหน้าผม
มีกลิ่นหอมลอยโชยออกมาจากชาสีแดง ขนมนั้นเป็นขนมปังขนาดใหญ่และซุปที่มีไว้คู่กัน ในซุปมีทั้งผักกระหล่และผักหั่นต้มชิ้นเล็กชิ้นเล็กอยู่มากมาย และสุดท้ายก็คือเค้กที่มีผลไม้แห้ง
[ เชิญเลยค่ะคุณคุโระ ]
ผมลองจิบชาดู รสชาติแบบนี้ผมเพิ่งเคยดื่มเป็นครั้งแรก แต่มันก็อร่อยมาก
จากนั้นผมก็ลองซุปผักดูบ้าง ความจริงมันก็อร่อยล่ะนะ แต่มันคงเป็นเพราะมันไม่ค่อยได้กินอะไรอร่อยเลย ตั้งมาที่นี่มากกว่าล่ะมั้ง
[ เป็นยังไงบ้างคะ? ]
เดเวียถามผม
[ จนถึงตอนนี้ผมไม่ได้กินอะไรอร่อยมานานมากแล้ว อาหารมื้อนี้อร่อยมากเลยครับ ]
อาหารของเอลฟ์อร่อยกว่าของมนุษย์บนโลกนี้ซะอีก เพราะตอนที่ผมไปเมืองพาเทสน่ะนะ พวกยามทำเหมือนกับผมเป็นคนน่าสงสัยเลยอ่ะ ถึงผมจะน่าสงสัยจริงๆ ก็เถอะ แต่ไม่อยากถูกปฏิบัติแบบนั้นเลย
แต่เทสและแม่ของเธอกลับต้อนรับผมอย่างอบอุ่น ซึ้งจนเกือบจะร้องไห้แล้วเนี่ย
[ ถ้าเช่นนั้นขอให้อร่อยนะคะ ]
เดเวียบอกให้ผมกินอาหารต่อ
ผมเองก็ชอบกินของอร่อยอยู่แล้วล่ะ
ขณะที่เทสมองผมด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
◆ อัศวินดำคุโรกิ
[ ในที่สุดก็จะได้นอนสักที ]
เมื่อถึงตอนกลางคืน เธอก็พาผมไปที่ห้องนอน
[ นี่มันจะแปลกเกินไปแล้ว… ]
นัคพูดด้วยน้ำเสียงสงสัย
[ ทั้งที่ผมเองก็ไม่รู้จักคนของเผ่าเอลฟ์เลยสักคน ทำไมพวกเขาถึงได้ตอนรับเรา? นี่มันยากจะเข้าใจจริงๆ ]
ผมเองก็สงสัยแบบเดียวกับนัค
พวกเขาเพิ่งเจอเราวันนี้ ในเมืองของมนุษย์ที่เราแวะพักที่ผ่านมา ทุกคนต่างเย็นชา แต่ทำไมเอลฟ์ที่ไม่ใช่คนของเผ่าเดียวกันกลับต้อนรับผมกัน
แล้วก็ การที่เอลฟ์จะมาตกหลุมรักมนุษย์น่ะมันหาได้ยากมาก โดยปกติแล้วพวกเขาไม่เป็นมิตรกันหรอก
[ แต่นายก็รู้นี่นัค ว่าฉันไม่รู้สึกจิตประสงค์ร้ายจากพวกเธอเลย ]
ผมไม่รู้สึกอะไรเลยจากเด็กผู้หญิงที่ชื่อเทส ถ้าเธอคิดจะทำร้ายผม ผมคงจะรู้สึกตัวไปแล้วล่ะ
[ ไม่ใช่ว่าพวกเขาใช้เวทมนตร์รึครับ? ]
[…. ไม่เลย เธอไม่ได้ใช้หรอก ]
เป็นปกติที่นัคจะถาม แต่เพราะพลังเวทมนตร์ของผมมีมากมายกว่านัคมาก
หากพวกเขาใช้เวทมนตร์ สภาพของนัคก็ต้องแปลกไปเหมือนคร่าวของซิลล่า
แต่มันก็จะต่างกันหากเธอใช้เวทมนตร์กับผมแค่คนเดียว แต่เทสก็คุยกับนัคด้วยนี่นา ผมไม่เห็นว่าเธอจะมีอะไรผิดปกติเลย แล้วถ้าเธอใช้เวทมนตร์กับผมแค่คนเดียวจริงๆ มันมีเหตุผลอะไรให้ทำแบบนั้นด้วย?
[ บางทีเธออาจจะต้องการอะไรบางอย่าง… จากตัวผม]
ถึงผมจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร ดังนั้นเลยกินให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้และนอนหลับให้สบาย
[ เธอต้องการอะไรกันแน่? ]
[ หรือเพราะเธอเห็นว่าผมชนะซิลล่าได้ เลยอยากให้ผมไปจัดการปีศาจตัวอีก ]
[… มีความเป็นไปได้ครับ ]
นัคพยักหน้าเห็นด้วย
จากนั้นเราก็ล้มตัวลงบนเตียง ผมรู้สึกตกใจไปเลยล่ะถึงความนุ่มของเตียง
[ สุดท้าย แม้กระทั่งโลกของผมยังไม่มีเตียงที่นุ่มขนาดนี้เลย ]
ผมอาจจะแค่คิดไปเอง เพราะผมไม่เคยนอนบนเตียงดีๆ ที่โลกเดิมมาก่อนซะด้วย
เทสเตรียมกระทั่งเตียงไว้ให้นัคด้วยล่ะ
[ ฝันดีนะนัค… ]
[ ฝันดีครับ ]
ช่างราวกับความรู้สึกที่ไม่ได้รู้สึกมานาน ความรู้สึกของการนอนบนเตียง
เพราะตลอดการเดินทางผมนอนไม่ค่อยจะหลับเลย ถึงแม้ว่าเหนื่อยล้าก็ตาม
และแล้วผมก็ค่อยๆ ปิดตาแล้วหลับไป
◆ สาวเอลฟ์ เทส
[ เทส ดูเหมือนคุณคุโระจะหลับไปแล้วนะ ]
แม่บอก
[ เอาล่ะ เล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณพ่อที่รักคนนี้ฟังหน่อยได้มั้ย? ]
ฉันอยู่ที่ห้องของพ่อแม่
และกำลังจะเล่าเรื่องของคุโระให้พ่อฟัง
พ่อฉันนอนอยู่บนเตียงที่ฉันนั่งอยู่ ตั้งแต่ฉันเกิดมาก็ไม่เคยเห็นพ่อลุกขึ้นจากเตียงเลยสักครั้ง
ใบหน้าของพ่อหล่อมากเลยล่ะ เพราะงั้นแม่ถึงได้ตกหลุมรักสินะ
แต่คุโระเองก็ไม่แพ้หรอกนะ
พ่อไม่เคยตื่นขึ้นมาเลย
พ่อฉันเป็นมนุษย์ ในกรณีที่ลูกเกิดมาเป็นผู้หญิงจะเป็นเอลฟ์ แต่ถ้าเป็นผู้ชายก็จะเป็นมนุษย์
และเพราะพวกเราเอลฟ์ไม่ชอบการมีสัมพันธ์กับพวกน่าเกลียดอย่างปีศาจ ส่วนใหญ่เพศผู้จึงมีเพียงมนุษย์เท่านั้น
ฉันได้ยินว่าพี่ชายกับน้องชายฉันถูกส่งไปที่อยู่ของมนุษย์ทันทีเลยล่ะ
แม้ตอนนี้พวกพี่น้องของฉันก็อยู่อาศัยในที่อยู่ของมนุษย์กัน
และหากเอลฟ์ถูกใจชายคนไหนเข้า ก็มักจะลักพาตัวมาทำให้เกิดการทะเลาะกันกับมนุษย์ผู้หญิงทุกที
แม้แต่แม่ของฉันตอนที่ลักพาตัวพ่อมานั้นก็ไปทะเลาะกับมนุษย์ผู้หญิงคนนึงเหมือนกัน สุดท้ายพวกเธอก็ตัดสินกันด้วยการต่อสู้โดยไม่ใช้เวทมนตร์และแม่ของฉันก็ชนะมาได้ จึงได้พ่อมาครอง
แต่การที่พ่อเป็นมนุษย์ทำให้อายุขัยของเขาสั้นมาก จึงเป็นเรื่องปกติที่พ่อจะอยู่ได้ไม่นาน
โดยมนุษย์นั้นจะสามารถขยายอายุขัยของตัวเองได้ โดยใช้เวทมนตร์ที่ใช้แค่เพียงราชินีเอลฟ์เท่านั้น แต่ราชินีจะเลือกเฉพาะคนที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นอัศวินแห่งเอลฟ์ได้เท่านั้น
ดังนั้นการยืดอายุขัยด้วยเวทหลับนิรันดร์จึงเป็นวิธีการที่นิยมกันมากที่สุด
พ่อเองก็ถูกใช้เวทมนตร์นี้ใส่จึงมักจะหลับอยู่ที่เตียงตลอดเวลา
เพราะการนอนหลับ ทำให้พ่อมีชีวิตอยู่ตอไปได้ ร่างกายของพ่อเองก็ราวกับแค่หลับไปเหมือนเด็กคนนึง
หากเราจะคุยกัน ก็ต้องเข้าไปในฝันของพ่อด้วยเวทมนตร์ควบคุมฝัน ซึ่งตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในความฝันของพ่อและกำลังเล่าเรื่องของคุโระให้ฟัง
[ หน้าตาตอนนอนของเขาก็ดูน่ารักดีนะ ฉันเคยแอบมองไปในหัวใจของเขาดูแล้วค่ะ โดยรวมแล้วเขาก็เป็นคนใจดีและมีไหวพริบที่ยอดเยี่ยมเหมือนฉันเลยล่ะ ]
ฉันพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของแม่
[ แน่นอนสิค่ะ เพราะเขาเป็นคนที่หนูเลือกนี่นา ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน หนูรู้สึกว่าคุโระนี่แหละคือคนของโชคชะตาของหนู ]
ตั้งแต่ที่พบกับคุโระครั้งแรก หัวใจของฉันก็เต้นแรง ฉันอยากให้เขาเป็นสามีของฉัน
และแม่เองก็บอกว่าสัญชาตญาณในตัวเอลฟ์นั่นถือเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเราชาวเอลฟ์ เพราะสัญชาตญาณนี่ล่ะที่ทำให้แม่ถึงกับใช้เวทมนตร์เพื่อลักพาตัวพ่อมา
ซึ่งแม่เองก็ไม่ได้คัดค้านฉัน เพราะเขาเองก็ดูน่ารักดี ดีกว่าเจ้าพวกมนุษย์จิตใจสกปรกบางคนล่ะนะ
ฉันถึงได้ดีใจมาก เท่านี้ฉันก็จะได้อยู่กับคุโระตลอดไปแล้ว เขาเองก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจอะไรฉันด้วยสิ
เป็นเรื่องปกติล่ะมั้ง เพราะฉันก็มั่นใจนะ ว่าตัวเองสวยกว่าผู้หญิงตามค่าเฉลี่ยนทั่วไปนะ
[ แม่คะ งั้นหนูไปห้องของคุโระก่อนนะ ]
ฉันออกจากห้องนอนของพ่อแม่แล้วเปลี่ยนสถานที่กับแม่
ฉันอยากคุยกับคุโระในฝันมากกว่า
เพราะหากเป็นในฝันเชาจะปกป้องตัวเองไม่ได้และยังมีเรื่องอีกหลายเรื่องที๋ฉันอยากได้ยินจากปากคุโระเอง
ฉันรีบไปยังห้องนอนของฉันที่ที่คุโระนอนหลับอยู่ทันที
◆ อัศวินดำ คุโรกิ
[ ต้องขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจมากครับ ]
นัคและผมขอบคุณต่อเดเวียและเทส
เทสมองหน้าผมด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
มันทำให้ผมมองหน้าเธอไม่ติด เมื่อคืนนี้ผมฝันว่าผมได้กลายเป็นคนรักของเธอ มันเป็นความฝันเหมือนจริงจนรู้สึกแปลก ถึงแม้จะเป็นความฝันแต่ผมก็ยังอายอยู่ดี
[ เดินทางระวังด้วยนะคะ ]
เดเวียทำสีหน้าเศร้า
[ ต้องขอโทษด้วยครับ แต่เพราะผมที่ที่ต้องไปให้ได้อยู่… ]
จนถึงสุท้ายเทสและเดเวียก็ไม่ได้บอกผมว่าพวกเธอต้องการอะไรกันแน่
ดูเหมือนว่าพวกเธอแค่อยากต้อนรับพวกเราเฉยๆ ซะมากกว่า
แต่มันมีเรื่องที่ทำให้ผมกังวล พอผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเทสก็ดูแปลกไปจากเมื่อวาน ทำให้ผมเป็นห่วงเอามากๆ
แต่ยังไงผมก็ต้องไป
[ ขอบคุณมากครับ สำหรับการต้อนรับและอาหารเมื่อวานนี้ ]
ผมพูดจบแล้ว ขณะที่กำลังจะเดินออกจากบ้านต้นไม้
[ คุโรกิ!! ]
เทสเรียกผม
[ เทส?]
[ คุโรกิ… เราจะได้พบกันอีก… ใช่มั้ย?]
ดวงตาของเทสเปอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา
[ แน่นอน เราต้องได้พบกันอีกครั้งแน่เทส ]
ผมเอามือปาดแก้มของเทสที่เต็มไปด้วยน้ำตา นี่มันทำให้ผมตายได้เลยนะขอบอก การทำเรื่องน่าอายแบบนี้ช่างไม่เหมาะกับผมเอาซะเลย แต่ก็ดีกว่าถ้าเทียบกับในฝันเมื่อคืนล่ะนะ
จากนั้นผมก็เดินจากมา แล้วโบกมือให้เทสอยู่หลายครั้ง
หลังจากออกจากหมู่บ้านเอลฟ์ ผมก็เพิ่งเอ๊ะใจถึงเรื่องบางอย่าง
[ มาคิดดูแล้ว ทำไมเทสถึงได้รู้จักชื่อจริงของผมล่ะ? ]
◆ เอลฟ์สาว เทส
[ จะดีเหรอเทส? ]
ฉันส่ายหัวเมื่อได้ยินคำถามจากแม่
[… มันช่วยไม่ได้หรอกค่ะ เพราะหนูเองก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนของต่างโลก… และคุโรกิก็ยังมีหน้าที่ในโลกนี้เหลืออยู่ ดังนั้นหนูคงรั้งตัวเขาเอาไว้ที่นี่ไม่ได้… ]
ค่ำคืนที่ฉันได้สนุกกับคุโรกิ นั่นจะถือเป็นความทรงจำอันล้ำค่าตลอดชีวิตของฉันเลย
ฉันได้รู้ตัวจริงของคุโรกิในความฝัน
พลังของคุโรกิที่มหาศาลเหมือนกับเทพ แต่ด้วยเวทมนตร์ของฉัน ถ้าเขาเป็นแค่คนธรรมดาฉันก็คงใช้เวทมนตร์กับเขาไปแล้ว แต่เวทมนตร์ของฉันกลับไม่ได้ผลกับคุโรกิ
ฉันไม่รู้เลยว่าตัวเองจะต้องทำยังไง เมื่อเห็นคุโรกิกำลังจะเดินจากไป
ฉันมองไปที่แผ่นหลังของคุโรกิ
คุโรกิหันกลับมาโบกมือให้หลายครั้ง อย่างน้อยก็รู้ล่ะนะว่าเขาไม่ได้เกลียดฉัน
บางทีเราอาจจะได้เจอกันครั้ง
[ ไว้พบกันใหม่นะ คุณอัศวินดำที่รักของฉัน ]
◆ อัศวินดำ คุโรกิ
[ ท่านไดร์ฮาร์ด นั่นคือสาธารณรัฐศักดิ์สิทธิ์ลีนาเรียครับ ]
ผมยืนมองเมืองขนาดใหญ่จากบนเนินเขา
ประเทศที่ตั้งอยู่บนปากแม่น้ำที่ตัดกันของแม่น้ำและแม่น้ำที่ไหลมาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเอลีอัส
นี่ก็ผ่านไปสองวันแล้วตั้งแต่ที่ผมแยกทางจากเทส ในที่สุดเราก็ถึงจุดหมายสักที
[ ไปกันเถอะนัค ]