อัศวินดำ - ตอนที่ 12
◆ อัศวินดำคุโรกิ
ผู้คนร้วมกลุ่มคุยกันในบาร์ที่ตั้งอยู่นอกเมืองสาธารณรัฐศักดิ์สิทธิ์ลีนาเรีย
ดูจากการแต่งตัวของพวกเขา บางทีพวกเขาคงเป็นคนที่อยู่ในกองพันทหาร
แต่ดูท่าทางของพวกเขาดูเหมือนนักเลงซะมากกว่า
ผมฟังพวกเขาอย่างตั้งใจ
[ เฮ้ ได้ยินบ้างไหม ว่าผู้กล้าเรย์จิล้มเหลวในการปราบราชาปีศาจล่ะ ]
[ เออ ข้าเองก็ได้ยินมา จากที่ข้ารู้มาเห็นว่าเขาได้รับบาดแผลปางตายมาด้วยแน๊ะ ]
[ ขนาดผู้กล้าที่แข็งแกร่งขนาดนั้น ข้าไม่คิดเลยว่าท่านผู้กล้าจะแพ้ได้ บางทีการกำจัดปีศาจอาจจะเกินกว่ากำลังของมนุษย์อย่างเราก็ได้ ]
[ดูสิ ขนาดผู้กล้าที่แข็งแก่งขนาดนั้นยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าพวกปีศาจเลย… ]
[ ไม่ๆ ข้าได้ยินว่าคนที่จัดการผู้กล้าไม่ใช่ราชาปีศาจหรอก ]
[ อะไรน่ะ! เอาจริงดิ!! ]
[เออ ได้ยินว่าเขาแพ้อัศวินดำ ลูกน้องของราชาปีศาจน่ะ]
[อาา นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ข้าได้ยินว่าราชาปีศาจยังมีลูกน้องที่แข็งแกร่งขนาดนั้นอยู่ด้วย ]
[ ใช่ เรื่องนั้นล่ะที่เป็นปัญหา ]
[ ปัญหา? ]
[ เพราะจนถึงเดี๋ยวนี้ราชาปีศาจไม่เคยออกมาจากนากอลเลย แต่คราวนี้มันอาจจะต่างกัน ]
[ นี่แกกำลังจะบอกว่าอัศวินดำจะมาโจมตีเรางั้นเรอะ? ]
[ ข้าเองก็ไม่มั่นใจหรอก แต่ดูเหมือนพวกปีศาจจะเริ่มเหิ่มเกริมกันมากขึ้นหลังจากผู้กล้าได้รับบาดเจ็บ มีข่าวลือด้วยนะว่าอัศวินดำนำทัพไปโจมตีเมืองต่างๆ มากมายด้วย ]
[ อัศวินดำแล้วก็ผู้กล้าอีก… เป็นโลกที่เลวร้ายอะไรแบบนี้นะ… ]
ผมไม่ได้ดื่มเหล้า เพียงแค่นั่งอยู่เก้าอี้ใกล้ๆ ฟังพวกเขา
แล้วข่าวลือกนั้นมันก็ห่างไกลจากความจริงไปเยอะเลยนะ
ผมไม่มีความคิดจะโจมตีมนุษย์เลยสักนิด ทางโมเดสเองก็ไม่ได้คิดจะกำจัดเผ่าพันธุ์มนุษย์เหมือนในข่าวลือ อย่างน้อยนั้นก็เป็นสิ่งที่เขาบอกกับผม
ผมนั่งมองแขกที่ดื่มเหล้า
เหล่าที่อยู่ในแก้วไม้ที่พวกเขากำลังดื่ม โดยที่ทำจากข้าวลาสีจะเรียกว่าเหล้า หากนำไปหมักก็จะเรียกว่าเบียร์
เบียร์ในโลกนี้เหมือนกับในโลกของผมเลยล่ะ
ถึงผมจะไม่เคยดื่มเบียร์มาก่อน เลยไม่แน่ใจเรื่องรสชาติ
แต่โลกนี้ไม่มีตู้เย็นนี่นะ
ดังนั้นเบียร์ที่นี่จึงไม่มีแบบเย็น
ยังไงผมก็ได้ยินข่าวของพวกเรย์จิมาแล้ว
ตามที่คาดไว้ เรย์จิกับพรรคพวกอยู่ที่เมืองนี้
[ ท่านไดร์ฮาร์ด… ]
ผมได้ยินเสียงจากด้านล่างของเก้าอี้
นัครวบรวมข้อมูลจากวิหารเรน่ามาให้ผม
[ ยินดีต้อนรับกลับนัค กลับไปที่ฐานลับของเรากันเถอะ ]
◆ อัศวินดำคุโรกิ
ผมกลับไปที่กระท่อมของโดซุมิพร้อมกับนัค
โดซุมิไม่อยู่ที่นี่อีกแล้ว
ดูเหมือนเขาจะออกจากประเทศนี้ไปแล้ว
ไม่สิ ไม่ใช่แค่โดซุมิ
ดูเหมือนกลุ่มทหารที่เขาเคยอยู่ก็หายตัวกันไปหมด
เพราะกลัวการแก้แค้นจากเรย์จิ
[ ท่านไดร์ฮาร์ด นี่เป็นสถานการณ์ในวิหารขอรับ ]
ผมฟังเรื่องจากที่นัคเล่า
จากที่นัคบอกก็คือวิหารนั้นถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าคนแคระ
คนแคระนั้นเก่งกาจมากเรื่องการก่อสร้าง
เป็นปกติที่วิหารนั้นจะมีการคัดเลือกอัศวินที่เก่งกาจมารักษาความปลอดภัย ทำให้การรักษาความปลอดภัยภายในสูงมาก
แต่ปัญหาก็คือสัญญาณเตือนจากอุปกรณ์เวทที่ติดตั้งในสถานที่ต่างๆ ของวิหาร ซึ่งจำนวนของมันมากกว่าจำนวนของอัศวินซะอีก
อุปกรณ์เตือนภัยนี้ถูกสร้างขึ้นจากคนแคระมีฝีมือ ซึ่งมองด้วยตาไม่เห็น ต้องมองด้วยการใช้เวทมนตร์หรือวิธีการพิเศษเท่านั้น
ผมจึงเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงทีเดียวว่าพวกเรย์จิจะอยู่ในวิหาร
เพราะการจะแอบลอบเข้าไปในวิหารมันยากมาก ผมจึงต้องให้นัคแอบลอบเข้าไปคนเดียว
[ ข้าเป็นกระผมคนเดียวก็สามารถลอบเข้าไปได้สบาย แต่ว่า… ]
นัคพูดจาโทนเสียงขอโทษ
สัญญาณเตือนไม่ดังขึ้นหากเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ เพราะเหตุนั้นนัคที่ตัวเล็กจึงสามารถเข้าไปได้โดยสัญญาณเตือนไม่ดังขึ้น
ถ้าผมใช้เวทมนตร์แปลงร่างได้ก็ดีสิ แต่น่าเสียดายที่ใช้ไม่ได้อีกนั้นล่ะ
[ ไม่เป็นไร ขอบคุณมากสำหรับข่าว มันช่วยผมได้มากเลยทีเดียว… ]
นัคไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ แต่ความรอบรู้ของเขาน่ะสุดยอดเลยล่ะ เพราะเขาเคยเป็นลูกน้องของเทพแห่งความรู้ล่ะนะ
แต่จุดขายของนัคที่แท้จริงคือความสามารถในการรวบรวมข้อมูลและการแทรกซึมไปในสถานที่ต่างๆ ต่างหาก ผมได้ยินว่านัคเคยแทรกซึมไปส่งข่าวให้เพื่อนของโมเดสที่เอลีอัสด้วยล่ะ
ถ้าไม่มีนัคเดินทางมาด้วยกัน การเดินทางของผมอาจจะไม่ได้สบายแบบนี้ก็ได้
ผมต้องขอบคุณโมเดสที่ส่งลูกน้องที่สุดยอดขนาดนี้มาเป็นคนนำทางให้ผมด้วยซ้ำ
ตอนนี้เขาได้ข่าวจากวิหารมาแล้ว
[ การแอบลอบเข้าไปดูท่าจะยากใช่มั้ย? ]
ผมถอยหายใจ
[ ครับท่านไดร์ฮาร์ด ท่านอยากฟังข้อมูลที่ผมได้ยินระหว่างที่แอบลอบเข้าไปมั้ยครับ? ]
นัคถามผม
[ แน่นอน ถ้าได้ข้อมูลจะมีประโยชน์มากเลยล่ะ ]
ไม่งั้นคงไม่มาถึงที่นี่หรอก
เดิมทีเหตุผลที่ผมมาที่นี่ก็ใช่ว่ามารวบรวมข้อมูลพวกเขาในฐานะศัตรูสักหน่อย
แต่เพื่อรวบรวมข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ต่อผมต่างหากล่ะ
บางทีนัคคงกำลังเข้าใจผิดว่าเป้าหมายของผมถือการที่นี่เพื่อฆ่าผู้กล้าให้สำเร็จ
แต่ข้อมูลที่นัครวบรวมมาถือว่ามีประโยชนืมากทีเดียว
แต่เพราะนัคไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริงของผม ข้อมูลที่นำมาเลยไม่ใช่ข้อมูลที่ผมต้องการนัก
[ ขอโทษด้วย แต่ผมอยากเห็นพวกเขาด้วยตาของตัวเอง ]
ผมปฏิเสธข้อเสนอของนัค
[ งั้นรึครับ… ]
เสียงของนัคดูมืดมน บางทีเขาอาจจะคิดว่าผมไม่ไว้ใจเขาล่ะมั้ง
[ ที่สำคัญ เรามากินอะไรกันก่อนเถอะ ]
ผมออกมาจากบาร์ แล้วไปที่กระท่อมของโดซุมิ
เส้นทางไปจนถึงกระท่อมนั้นแห้งแล้งมาก
มันแตกต่างกันแทบจะเห็นกันได้ชัดหากเทียบกับภายในกำแพง ภายนอกกำแพงไม่มีทางเดินหินปูมาหรอกนะ
นี่เป็นวันที่สองแล้ว ตั้งแต่ที่ผมมาถึงเมืองลีนาเรีย
ผมเดินไปข้างนอกในยามบ่าย ขณะที่มีกลิ่นหอมของอาหารลอยออกมาจากคอกม้า คงเป็นโจ๊กธัญพืชอะไรสักอย่างนั้นล่ะ
มีคนหลายคนที่กำลังมุ่งหน้าไปที่คอกม้า
แต่การกินอาหารที่อยู่นอกเมืองมันอันตรายมาก เพราะไม่ค่อยสะอาดนัก
เพราะความไม่เท่าเทียมกันของกฏหมาย แต่ก็ใช่ว่ากินเข้าไปแล้วจะตายทันที แต่มันก็คงเป็นพืชมีพิษผสมอยู่ล่ะนะ
นั่นล่ะเหตุผลที่ผมไม่ได้กินอะไรในบาร์เลย
สิ่งที่ผมทำก็มีเพียงแค่การรวบรวมข้อมูลเพียงเท่านั้น
นัคและผม ตัดสินใจว่าจะไปหาอะไรข้างในกำแพงกินกัน
เราผ่านประตูเมืองเข้าไปทางประตูหลัก ขณะที่ผมสวมเสื้อคลุมเงาไว้
เสื้อคลุมนี้ซ่อนไว้แม้กระทั่งใบหน้าของผม ทำให้คนอื่นๆ มองไม่เห็น หรือรู้สึกผิดแปลกใดๆ ราวกับว่าพวกเขาไม่สังเกตถึงตัวตนของผมด้วยซ้ำ
แต่ดูเหมือนถ้าเป็นคนที่มีความสามารถในการตรวจจับในระดับหนึ่งการจะมองเห็นมันก็ง่ายดายมาก
ภายในกำแพงสะอาดและสวยมาก แตกต่างจากนอกที่มีแต่ขยะทิ้งเกลื่อนกลาด
ผมมุ่งหน้าไปยังร้านเบเกอรี่ที่ผมเจอเมื่อวานทันที
ขนมปังมีอยู่สองแบบคือขนมปังที่ทำจากข้าวไรย์ (ขนมปังดำ) และขนมปังที่ทำจากข้าวสาลีชั้นดี (ขนมปังขาว)
ขนมปังขาวในโลกนี้รสชาติดีไม่แพ้ขนมปังขาวในญี่ปุ่นเลยล่ะ
โดยเอกลักษณ์จะต่างไปในแต่ละเมือง และที่เมืองนี้ก็มีขนมปังกับน้ำผึ้งแสนอร่อยด้วยล่ะ
ผมเลยเดินไปร้านขนมปังอยู่นี่ล่ะ
หลังจากเดินมาสักพักเราก็ถึงจุดหมายสักที โดยมีผู้คนมากมายอึกทึกอยู
ผมพยายามหาช่องว่างจากฝูงชนแทรกเข้าไป เห็นอัศวินสองคนในชุดเกราะเต็มตัวกำลังเฝ้าระวังอยู่
[ นั่นมันอัศวินจากวิหาร อัศวินมาทำอะไรกันที่นี่นะ? ]
ที่สาธารณรัฐศักดิ์สิทธิ์ลีนาเรีย คนที่สั่งอัศวินได้มีเพียงหัวหน้าอัศวินเท่านั้น
เพราะงานของอัศวินก็คือการรักษาความปลอดภัยบนทางหลวงและปกป้องวิหาร
แต่นัคไม่เห็นบอกสักคำ ว่าเวลาพวกเขาจะมาเดินในเมืองจะสวมชุดเกราะซะหนาขนาดนั้น
ผู้หญิงสองคนกำลังเดินอยู่ข้างหลังอัศวินเหล่านั้น
ทั้งสองคนเป็นคนสวย
ผู้หญิงที่เดินอยู่ข้างหน้า หาจำกัดความก็คือราวกับเจ้าหญิง ผมสีสดใสและรูปลักษณ์ที่น่าหลงใหลที่เข้ากันกับท่าทางดูองอาจของเธอ
ผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังนั้น มีผมไว้สั้นและมัดไว้ ขณะที่กำลังถือขนมปังที่ยาวเหนือหัวไป หน้าของเธอราวกับไร้อารมณ์ ขณะที่เด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้ากำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่คนที่อยู่ข้างหลังกลับสีหน้าไรอารมณ์
แม้จะมองจากไกลๆ ผมก็บอกได้เลยว่าชุดของพวกเธอเป็นเสื้อผ้าชั้นหนึ่ง ดูเหมือนพวกเธอจะรวยมากแน่ๆ
และดูเหมือนว่าอัศวินที่อยู่ด้านหน้าและด้านหลังก็คือคนคุ้มกันของพวกเธอ
พวกเธอเป็นใครกันแน่นะ?
[ ท่านไดร์ฮาร์โ เธอคือเจ้าหญิงระเบิดขอรับ ]
นัคชี้ไปยังผู้หญิงที่เดินอยู่ข้างหน้า
[ เจ้าหญิงระเบิด!? ]
ชื่อฉายาแปลกชะมัด หลังจากนั้นสักพัก นัคก็เริ่มอธิบายต่อ
[ เมื่อนานมาแล้ว มีชายคนนึงมาตามตื้อเธอ เพราะความรำคาญเธอจึงใช้เวทมนตร์จัดการชายคนนั้นแต่เกิดควบคุมเวทมนตร์ไม่ได้ ทำให้บ้านเรือนแถวนั้นนับไม่ถ้วนระเบิดไปหมด เธอจึงได้ฉายาว่า “เจ้าหญิงระเบิด” ครับ ]
[ อาาาา… ]
ผมปล่อยเสียงงี่เง่าออกมาหลังจากได้ยินคำอธิบายของนัค
และตอนนี้พวกอัศวินก็กำลังทำหน้าที่ของอัศวินแห่งวิหาร คือป้องกันไม่ให้ใครมาเข้าใกล้เจ้าหญิงระเบิดได้
‘นี่มันใช่ผู้คุ้มกันที่ไหนกันละโว้ยย?’ ผมอยากจะบ่นออกไป
อัศวินทั้งสี่เหมือนจะเป็นพี่เลี้ยงเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นโดนลูกหลงต่างหาก
[ นอกจากนี้เจ้าหญิงระเบิดยังเป็นน้องสาวของผู้กล้าด้วยครับ ]
ผมตกใจกับคำพูดของนัค
น้องสาวของผู้กล้า?! งั้นเธอก็เป็นน้องสาวของเรย์จิน่ะสิ
ผมรู้สึกตกใจที่เธอเป็นน้องสาวเรย์จิ แต่ที่ตกใจมากกว่าคือนี่มีคนที่ถูกอัญเชิญมาเยอะขนาดนั้นเชียว
นี่พวกเขาต้องการอะไรกันแน่ ถึงได้อัญเชิญคนมาเยอะแยะขนาดนี้?
ผมอยากจะถามจริงๆ
ขนาดผมยังโดนอัญเชิญมาแค่คนเดียวเลยนะ
แม้ว่าผมจะไม่สบอารมณ์นิดหน่อย แต่นี่ก็ถือป็นโอกาส
ผมพยายามเข้าไปใกล้ๆ เพื่อจะได้ยินที่พวกเขาคุยกัน
ผมเอียงหัวไปเพื่อแอบฟัง
แต่ไม่ได้ยินอะไรเลย
ผมที่เป็นยอดมนุษย์ในโลกนี้ ยังไม่ได้ยินเสียงเลย หูของผมดีมากเลยนะขอบอก สามารถได้ยินเสียงจากที่ไกลๆ ได้เชียวล่ะ
แต่ทำไมผมกลับไม่ได้ยินที่พวกเขาคุยกัน
ลองไปแอบฟังที่ข้างหลังดูแล้วกัน ผมตัดสินใจวางแผน
[ นัคโทษทีนะ ช่วยรออยู่ที่นี่สักพักได้มั้ย? ]
[ เข้าใจแล้วครับ ]
นัคโดดลงจากไหล่ของผม
แม้ว่าผมจะไปคุยกันแบบตรงๆ กับพวกเธอก็ทำได้ แต่ผมไม่อยากทำเพราะหลีกเลี่ยงการถูกชิโรเนะรู้เข้า
ผมสวมเสื้อคลุมเงาเพื่อแอบซ่อนตัว
ทั้งสองเดินไปยังร้านเบเกอรี่ที่ผมกำลังจะไป
โดยที่ผมแอบตามพวกเธอในระยะปลอดภัย
จนกระทั่งถึงใกล้ตัวพวกเธอ
จนได้ยินเสียงพวกเธอ
[ ฉันได้ยินมาล่ะคายะ ว่าขนมปังที่ร้านเบเกอรี่ร้านนั้นอร่อยมากเลยน้า ~ ]
นั่นเป็นเสียงน้องสาวของเรย์จิ
[ เดี๋ยวก่อนค่ะ!! คุณหนู!! ]
[ เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอคายะ? ]
เธอเรียกให้น้องสาวเรย์จิหยุดทันที
ในตอนนั้นเอง
ผมก้มหมอบลง
ในตอนนั้นได้มีบางสิ่งบางอย่างผ่านหัวผมไปด้วยความเร็วที่สูงมาก
มันเป็นการเตะแบบวงกลม
ผู้หญิงที่เตะก็คือผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังน้องสาวของเรย์จิ เธอโดนมาด้านหน้าของผม
ถ้าผมไม่หลบล่ะก็ป่านนี้คงโดนไปแล้วและเธอยังเล็งไปที่คางด้วยความแม่นยำอีกด้วย น่ากลัวจริงๆ
ถ้าผมไม่รู้สึกเร็วกว่านี้สักนิดคงนอนสลบไปแล้ว
และบางทีขากรรไกรอาจจะหัก
จากนั้นเธอก็บิดตัวและบิดร่างกาย โจมตีผมด้วยส้นเท้า
แต่ไม่เห็นด้านในกระโปรงหรอก ขอบอกก่อน
ผมหลบการเตะของเธอโดยการกลิ้งไปด้านข้าง
เธอใช้ส้นเท้าเหยียบพื้นหินจนแตกและลดระยะห่าง
เธอถีบพื้นและตามผมมาทันที
เป็นการโจมตีที่แม่นยำมาก แต่บางทีเธอคงจะรีบร้อนเกินไปหน่อย จนลืมนึกถึงเรื่องแรงโน้มถ่วง
ผมจับตัวเธอที่พรวดพราดเข้ามา
ก็คิดไว้แล้วล่ะ
ถ้าไม่จับเธอไว้ มีหวังหัวของเธอหล่นลงพื้นก่อนพอดี
ผมตามการเคลื่อนไหวของเธอตามแรงโน้มถ่วงแล้วจับแขนของเธอไว้จากข้างหลัง
[ อุ๊ก!! ]
ผู้หญิงคนนั้นกำลังร้อง
บางทีคงเพราะผมปล่อยเธอลงพื้นแรงไปหน่อย ก้นเลยไปกระแทกพื้น
[ ข-ขอโทษด้วย!! ]
ผมขอโทษเธอออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
[ คายะ! แกทำอะไรกับคายะ!! ]
น้องสาวของเรย์จิพยายามจะชกผม
แต่เธอก็ลื่นล้ม
ถ้าเธอลื่นล้มท่านั้นอาจจะหน้ากระแทกพื้นได้นะนั้น
[ อันตราย!! ]
ผมรีบไปอุ้มเธอไว้
อ๊า ความรู้สึกที่ส่งผ่านมาที่มือมันช่างนุ่มจริงๆ
[ ไปจับที่ไหนกันยะ!! ]
ดูเหมือนผมจะเผลอไปจับหน้าอกของเธอโดยไม่รู้ตัว
[ เจ้าโรคจิต!! ]
เธอตบหน้าผมอย่างแรง
แต่มือของผมก็ยังไม่ได้ออกจากหน้าอกของเธอ
ในตอนนั้นเองฮู้ดที่คลุมหัวของผมอยู่ก็หลุด
[ แย่แล้ว!! ]
ผมรีบเอาฮู้ดปิดหน้าเพื่อซ่อนใบหน้าไว้
อัศวินที่สังเกตเห็นเหตุการณ์รีบวิ่งเข้ามาพยายามจะจับผม
จากนั้นผมก็หนีไปในมุมอับของถนนหลังจากจัดการอัศวินไปคนนึง
ผมหนีออกมาไกลพอสมควร จนถึงกระท่อมนอกเมือง
จนทำให้หายใจไม่เป็นจังหวะ
จากการเคลื่อนไหวและท่าทางของเธอคนนั้น เธอน่าจะมีฝีมือด้านเคนโปะ
และมันก็เป็นเคนโปะจากโลกของผม
เธอคงเป็นคนที่ถูกอัญเชิญมาเหมือนกัน นอกจากนี้การเคลื่อนไหวนั้นยังเป็นการเคลื่อนไหวของระดับยอดฝีมือ
แต่ที่สำคัญก็คือ
[ พลาดซะแล้วสิ… ]
ผมพึมพำ
นี่อาจจะยิ่งทำให้การรวบรวมข้อมูลยากขึ้น
จากนี้ไปผมจะทำยังไงดี
[ ท่านไดร์ฮาร์ด ไม่เป็นไรนะครับ? ]
นัครีบวิ่งมาหาผม
แล้วผมก็เริ่มจำเหตุการณ์ได้ หลังจากได้เห็นหน้านัค
ผมควรบอกความจริงไปดีมั้ย?
เพราะเขาจะได้รวบรวมข้อมูลที่จำเป็นได้ง่ายขึ้นด้วย
แต่ถ้าเกิดเขาเปลี่ยนความคิด ถ้ารู้ว่าผมไม่ต้องการจะจัดการผู้กล้าขึ้นมาจะทำยังไง?
งั้นก็ไม่มีทางเลือกสินะ
ผมนั่งขบคิดของเรื่องต่างๆ
จากนั้นก็มองไปที่มือซ้ายของผมเอง
[ นุ่มจัง… ]