อัศวินดำ - ตอนที่ 13
◆ สหายของผู้กล้าจิยูกิ
เรย์จิกับชิโรเนะกำลังซ้อมกันในสนามฝึกอัศวินที่วิหารเรน่า
พวกเขาใช้ดาบไม้เพื่อฝึกการฟันดาบกันอยู่
[ เอ่อ.. คุณจิยูกิ… ]
ซาโฮโกะที่อยู่ข้างๆ ฉัน เรียกชื่อฉันด้วยน้ำเสียงกังวลใจ
[ ฉันเข้าใจว่าควรห้ามพวกเขา ก่อนที่ใครสักคนจะบาดเจ็บ ]
ฉันตอบเพื่อให้ซาโฮโกะใจเย็นลง
เรย์จิต้องการเรียนวิชาดาบจากชิโรเนะเพื่อไปต่อสู้กับไดร์ฮาร์ดอีกครั้ง
หลังจากเรย์จิฟื้นขึ้นมา เขาก็อยากจะฝึกทันที
เพราะการที่เขาหลับไปนานทำให้ไม่ค่อยดีต่อเขาเท่าไหร่
ดังนั้นเขาเลยอยากเรียนวิชาดาบจากชิโรเนะ
ตอนที่ฉันได้ยิน บอกตามตรงว่าตกใจเหมือนกัน
ฉันไม่คิดว่าชายคนนี้จะพูดออกมาเองว่าอยากฝึกวิชาดาบด้วยซ้ำ
เรย์จิที่เชียวชาญศิลปะการต่อสู้
แต่นั้นก็เพราะว่าพ่อของเรย์จิพยายามให้ลูกชายของตัวเองเก่งกาจเรื่องศิลปะการต่อสู้ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเลยที่จะสอนศิลปะการต่อสู้ให้เรย์จิเพราะตอนนั้นเขายังเด็กเกินไป
จากที่ฉันได้ยินมา เรื่องของภายในครอบครัวของเรย์จิ เขาเป็นเด็กที่ขี้แกล้งมากจากสายตาของผู้ใหญ่จึงไม่มีใครอยากสอนศิลปะการต่อสู้ให้เขา เพราะไม่มีใครอยากโดนนายจ้างทำร้ายหรอกนะ
แต่ทว่าด้วยความสามารถทางกายที่มากมายของเรย์จิ ถึงแม้จะไม่ได้ฝึกการต่อสู้มาเลยแต่เขาก็ยังเก่งกาจ
นั่นคือเหตุผลที่เรย์จิไม่เคยเรียนศิลปะการต่อสู้เลย
ที่ฉันตกใจจริงๆ ก็คือการที่เขาแข็งแกร่งขนาดนั้นแม้ว่าไม่ต้องเรียนอะไรมาก็ตาม
และที่เรย์จิยังบอกเราอีกว่า เขาอยากเรียนศิลปะการต่อสู้ นี่มันเกี่ยวข้องกับการต่อสู้กับไดร์ฮาร์ดด้วยเหรอ?
นี่ถือเป็นการพัฒนามากขึ้นในเชิงบวกสำหรับเขาล่ะนะ
พรสวรรค์ของเรย์จิทำให้เขาพัฒนาขึ้นได้เร็วมาก ตอนนี้เขาพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นแล้ว
ตั้งแต่เด็ก เรย์จิไม่เคยแพ้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
ฉันเคยอ่านจากหนังสือมาว่า “ความพ่ายแพ้จะทำให้คนเราเติบโตขึ้น”
ฉันคิดว่าถึงเขาจะเรียนศิลปะการต่อสู้ไป แต่การต่อสู้กับไดร์ฮาร์ดก็ไม่ง่ายหรอก
เพราะอัจฉริยะถึงแม้จะไม่พยายามก็สามารถเอาชนะคนอื่นได้ง่ายๆ
แต่ร่างกายของเรย์จิยังไม่อยู่ในสภาพที่พร้อม ซาโฮโกะคัดค้านออกมา
ฉันมองพวกเขาจากด้านข้างของสนาม ถ้าเกิดเห็นว่ามันอันตรายก็จะบอกให้หยุดทันที นี่คือเงื่อนไขการฝึกในครั้งนี้
ถ้ามีคนถามว่าทำไมต้องเป็นฉัน? เพราะฉันดูเหมือนหัวหน้ามากที่สุดในปาร์ตี้เรานะสิ
น่า ที่สำคัญคือซาโฮโกะต่อต้านการฝึกครั้งนี้จะตายไป ถึงขนาดบอกว่าให้แต่งตั้งคนอื่นในปาร์ตี้ไปปราบราชาปีศาจแทนเลยนะ
และคงเพราะชิโรเนะจะคิดว่าเรย์จิเป็นผู้กล้าเลยไม่ได้พิจารณาถึงความจริงว่า เรย์จิเขาอาจจะฝืนตัวเองอยู่
สุดท้ายก็มาจบที่ฉันที่ต้องเป็นคนหยุดพวกเขา
ชิโรเนะกำลังสอนวิธีจับดาบให้เรย์จิ เธอสอนให้เขาใช้แรงปานกลางจับไว้และบอกให้เขาเสริมความแข็งแกร่งให้ดาบตอนที่กวัดแกว่ง
แม้ว่าฉันจะมองจากข้างสนาม ฉันก็รู้ได้ทันทีเลยว่า
ชิโรเนะไม่ใช่ครูที่ดีนัก
ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ฉันรู้สึกไปเอง แต่ดูเหมือนว่าในด้านเคนโด้ ชิโรเนะนั้นจะไม่ได้มีฝีมือมากมายอะไร
วิธีสอนของเธอก็ยังงุ่มง่าม
และเพราะผลกระทบจากโลกนี้ ทำให้ผลของการฝึกไปได้ไม่ราบรื่นเท่าไหร่
ยังไงในโลกนี้ พวกเราก็คือยอดมนุษย์
ตัวอย่างเช่น ในเรื่องการยกน้ำหนัก
แม้กระทั่งน้ำหนัก 100 กิโลสำหรับเราในโลกนี้มันเบามาก
ขนาดคนที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเราอย่างซาโฮโกะ ยังยกน้ำหนัก 100 กิโล ได้ด้วยมือข้างเดียว
100 กิโลบนโลกนี้จึงแตกต่างกันมากกับ 100 กิโลของโลกเดิม
นั่นคือเหตุผลที่การฝึกยกน้ำหนักไม่ได้ผล
แต่หากจะพูดถึงการฝึก มันก็ต้องมีการฝึกทำนองนี้อยู่แล้ว
ในโลกนี้สมรรถภาพทางกายของเธอสูงมาก แม้จะไม่เท่าเรย์จิ แต่ในด้านฝีมือเธอไม่ได้พัฒนาขึ้นเลย
นั่นคงเพราะการห่างหายจากการฝึกถึงสองปี นับตั้งแต่ที่เธอออกจากโรงฝึกที่บ้านมา ดังนั้นสิ่งที่เธอสอนได้จึงมีจำกัด
ฉันถอนหายใจ แม้จะรู้สึกไม่ดีต่อชิโรเนะและเรยจิที่อุตส่าห์สนใจศิลปะการต่อสู้ขึ้นมา แต่หากเขาอยากจะฝึกคงต้องไปหาปรมาจารย์มากกว่า
ขั้นตอนการสอนของชิโรเนะไม่ได้เรื่อง
ถึงขนาดเรย์จิที่ฟังสิ่งที่ชิโรเนะสอนมา
ถึงกับสีหน้ากระตุกอย่างผิดปกติ
เรย์จิที่ปกติมีใบหน้าทรงเสน่ห์ ถึงกลับใบหน้าเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัวเชียวนะ
[ ขอบคุณมากนะชิโรเนะ ]
ใบหน้าของชิโรเนะแดงขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำขอบคุณจากเรย์จิและรอยยิ้มสดใสของเขา
กระทั่งซาโฮโกะที่มองดูอยู่ข้างสนาม ยังถึงขั้นอยากเข้าไปดูรอยยิ้มของเขาใกล้ๆ เลยล่ะ
ซาโฮโกะมองพวกเขาจากข้างสนามด้วยใบหน้าน่ากลัวเล็กน้อย
มันเป็นเรื่องปกติล่ะนะ ที่เธอจะกังวลว่าชิโระเนะหรือสาวๆ คนอื่นจะไปใกล้ชิดเขา
แต่ไม่ใช่ซาโฮโกะคนเดียวที่กังวลเรื่องนี้ เพราะในสนามฝึกไม่ได้มีแค่เรา มีเด็กผู้หญิงพลเมืองเกือบ 20 คน ถ่อมาที่วิหารเพื่อมาหาเรย์จิทีเดียว
เพราะพวกเธอได้ยินว่าเรย์จิหายดีแล้ว
และเพราะสนามฝึกนี้ถูกแยกออกมาจากตัวอาคารหลักของวิหาร พลเมืองธรรมดาจึงสามารถเข้ามาได้ง่ายๆ
นั่นล่ะ เหตุผลที่เด็กผู้หญิงมากมายมาที่นี่กันเยอะแยะ
และการจะไล่พวกเธอออกไปก็ยากพอดู ทำให้พวกเธอเป็นอุปสรรคต่อการฝึกของเรย์จิมาก
จะว่าไป ฉันนี่ดูเหมือนแฟนเขาที่คอยไล่แมลงร้ายที่ตอมแฟนตัวเองไปให้พ้นเลยนะ
จนถึงขั้นฉันได้ฉายาจากผู้หญิงในลีนาเรียว่ายัยขี้หึงด้วยล่ะ
แต่พวกเราที่อยู่ข้างเรย์จิเสมอนั้นไม่เป็นที่นิยมในลีนาเรียนักหรอก เพราะพวกเรามักจะอยู่ข้างเรย์จินี่ล่ะ
คนที่ผู้คนเกลียดมากที่สุดก็คือเคียวกะ
เคียวกะเป็นประเภทเกลียดผู้หญิงและกลัวผู้ชาย
ก่อนหน้านี้ เธอเคยไปถล่มเมืองโดยใช้เวทมนตร์กับพวกนักเลงมาแล้ว เรื่องมันจบลงที่คนจำนวนมากถูกลากเข้าไปเกี่ยวด้วย นั่นล่ะเหตุผลที่ผู้ชายมักจะรักษาระยะห่างจากเธอ
ส่วนคนที่เป็นที่นิยมที่สุดในกลุ่มผู้หญิงก็คือชิโรเนะ เธอถูกรู้จักกันในชื่อผู้กล้าหญิงชิโรเนะ เป็นที่นิยมมากเลยล่ะในหมู่เด็กผู้หญิง
ปัจจุบันเลยมีเด็กๆ ที่มาเรียนกับชิโรเนะอยู่มาก
ตรงกันข้าม คนที่นิยมมากที่สุดในหมู่ผู้ชายก็คือริโนะเพราะเสน่ห์และความน่ารักของเธอ
ทางซาโฮโกะก็เป็นที่นิยมใช่ย่อยเหมือนกันนะ เพราะสามารถใกล้ชิดได้ มีความน่าเคารพ และยังคอยรักษาคนป่วยและคนที่ได้รับบาดเจ้บ จนถึงขั้นถูกยกย่องว่าเป็นนักบุญเชียวล่ะ
จากที่ดูการฝึกของเรย์จิ การเคลื่อนไหวของเรย์จิดูช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
เพราะบาดแผลลึกที่หน้าอกนั้นล่ะ ถึงตอนนี้ชีวิตของเรย์จิจะปลอดภัยดีเพราะเวทรักษาของซาโฮโกะ
แต่ยังไงเขาก็ไม่ควรฝืนตัวเองอยู่ดี
การฝึกวันนี้คงจะจบแล้วล่ะมั้ง
เมื่อฉันคิดเช่นนั้น ที่สนามฝึกก็มีเสียงดังขึ้น
[ ช่วยรอเดี๋ยวค่ะ ]
จากนั้นก็มีเด็กผู้หญิงคู่หนึ่งเดินผ่านฝูงชนเหล่าเด็กสาวมาหาเรย์จิ
พวกเธอก็คือคายะกับเคียวกะนั้นเอง
ทั้งสองคนบอกว่าจะไปที่ร้านเบเกอรี่อร่อยๆ ในเมืองนี่นา
พวกเธอมาเดินด้วยท่าทางเร่งรีบแล้วรีบมาหาพวกเรา
[ เกิดอะไรขึ้นเหรอคุณเคียวกะ? ]
ซาโฮโกะถามเคียวกะ
[ เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นกับพวกเรา เธอรู้บ้างไหมห๊ะ!! ]
เคียวกะตอบกลับมา
แต่เดิมทีเคียวกะก็มีนิสัยชอบพูดอะไรเกินจริง ดังนั้นมันไม่น่าจะใช่เรื่องร้ายแรงหรอก
ฉันมองไปทางคายะ
[ มันเป็นเรื่องร้ายแรงจริงๆ ค่ะ ]
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ แฮะ
ฉันหยุดการฝึกของเรย์จิและชิโรเนะเอาไว้ จากนั้นก็ไล่ผู้ชมที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป
[ เกิดอะไรขึ้นเคียวกะ? ]
เรย์จิถาม ระหว่างที่เรากำลังเดินไปหาเรย์จิ
[ ท่านพี่ค๊า ~ หนูเจอคนโรคจิตค่ะ เคียวกะกลัวจังเลย~ ]
อ๊าา ถ้าคนโรคจิตล่ะก็ทางนี้ก็มีคนนึงนะ
[ งั้นเหรอๆ เคียวกะคงกลัวมากสินะ ปล่อยให้พี่จัดการเอง พี่จะฉีกเจ้าโรคจิตนั้นให้เป็นชิ้นๆ เลย ]
ถ้าเป็นเรย์จิอาจจะฉีกเจ้าโรคจิตนั้นเป็นชิ้นๆ จริงๆ ก็ได้ แต่นั่นยังไม่ใช่ปัญหาตอนนี้
[ มันหมายความว่ายังไงคะคุณเคียวกะ? ]
ฉันขอให้เคียวกะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
[ เจ้าโรคจิตนั้นมันจับหน้าอกฉัน ]
หมายความว่าเจ้าโรคจิตนั้นแอบคลานเข้าไปจับหน้าอกของเคียวกะงั้นเหรอ? นี่อัศวินคุ้มกันพวกนั้นมัวไปทำอะไรที่ไหนกัน?
[ แล้วต่อจากนั้นล่ะ? ]
ฉันถามเรื่องราวต่อจากนั้น
[ จากนั้นมันก็นวดคลึงหน้าอกฉัน แล้วก็หนีไป ]
นั่นไม่ใช่ที่ฉันอยากรู้ยะ
[ แล้วเธอได้ใช้เวทมนตร์มั้ย? เมืองยังปลอดภัยใช่มั้ย? ]
เพราะเคียวกะเคยใช้เวทมนตร์ทำลายเมืองมาแล้วครั้งก่อน ทำให้ฉันกังวลมาก ว่าคราวนี้จะเสียหายขนาดไหน
[ ท่านจิยูกิ คุณหนูไม่ได้ใช้เวทมนตร์เลยค่ะ ]
คายะเป็นคนตอบคำถามนั้นแทน
ฉันรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น
ดูเหมือนว่าเมืองจะปลอดภัยดีล่ะนะ
[ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าโรคจิตนั้นล่ะ? จับเขามาได้แล้วส่งตัวให้อัศวินแล้วใช่มั้ย? ]
[ ไม่ค่ะ เขาหนีไปได้ ]
[ หนีไปได้? จากคุณคายะนี่นะ? แปลกจังนะ ]
ถ้าคายะเอาจริงล่ะก็ เธอคงไม่มีทางปล่อยให้เจ้าโรคจิตนั้นหนีรอดไปได้เด็ดขาด
[ ค่ะ ฉันจับเขาไว้ไม่ได้เพราะฉันถูกคนๆ นั้นโยนทุ่มกลับหลังนะคะ ]
[เอ่อ… ?]
ตาของฉันเปิดกว้างด้วยความตกใจหลังจากได้ยินคำพูดของเธอ
คุณคายะถูกโยน?
คุณคายะคนนั้นที่ทำหน้าที่คอยคุ้มกันเคียวกะ เธอที่เก่งศิลปะการต่อสู้เคนโปะและคาราเต้ถึงขั้นปรมาจารย์เนี่ยนะ
เธอฝีมือดีมากจนขนาดผู้ใหญ่หรือผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้ในโลกเดิมยังชนะไม่ได้
ไม่พูดมากเกินความเป็นจริงเลย ที่คุณคายะสามารถเอาชนะผู้ใหญ่เป็นร้อยคนในโลกนี้ได้
แต่คุณคายะคนนั้นกลับถูกโยนโดยคนโรคจิต นี่มันอันตรายเลยไม่ใช่เหรอ
ฉันพยายามคิดอย่างถี่ถ้วน รวมถึงเรื่องแปลกๆ ที่คุณเคียวกะเล่ามาด้วย
ถ้าคุณเคียวกะตบด้วยแรงเต็มที่ ถึงจะเป็นผู้ใหญ่ในโลกนี้ หัวของเขาก็น่าจะปลิวไปแล้ว
แต่เจ้าโรคจิตนั้นกลับไม่เป็นอะไรเลย
[ ทุกคนรวมพล!! เรามีเหตุฉุกเฉิน!! ]