อัศวินดำ - ตอนที่ 22
◆ เทพธิดาแห่งความปัญญาและชัยชนะ เรน่า
โมน่า
นั่นคือชื่อเทพธิดาปลอมที่สร้างมาจากเส้นผมของผม สรุปสั้นๆ ก็คือโคลนนิ่งของฉัน
ถ้าถามว่าทำไมฉันถึงได้รู้ถึงการคงอยู่ของเธอ แม้ว่าโมเดสจะพยายามปกปิดเรื่องของเธอไว้
แม้ฉันจะไมรู้เหตุผล แต่วันหนึ่งภาพในฝันนั้นก็ปรากฏขึ้นโดยเป็นในมุมมองของตัวเธอ(โมน่า)
บางทีสาเหตุคงเพราะเธอเป็นโคลนนิ่งของฉัน
นอกจากนี้ฉันสามารถรับรู้ถึงข้อมูลจากตัวเธอได้ แต่เธอไม่สามารถรับรู้ถึงทางฝั่งฉันได้ บางทีคงเป็นความแตกต่างระหว่างตันแบบกับโคลนนิ่ง โมน่าจึงไม่รู้ว่าฉันสามารถสืบข้อมูลจากตัวเธอได้
ดังนั้นแม้ฉันจะอยู่ที่เอลีอีสก็สามารถรู้ข้อมูลทุกก้าวของนากอลได้
แต่มันก็มีข้อมูลที่ฉันไม่อยากรู้อยู่เหมือนกัน
มันยิ่งเลวร้ายขึ้น เพราะเหมือนฉันถูกบังคับให้ดูโมน่ากับโมเดส **** กันทุกคืน ด้วยเหตุนี้ฉันจึงมองเห็นร่างกายเปลือยเปล่าอันน่าเกลียดของโมเดสทุกคืนในความฝัน ให้ตายสิ นี่มันฝันร้ายชัดๆ ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ได้…
ด้วยเหตุนี้ฉันจึงทำการอัญเชิญเรย์จิมาเพื่อปราบโมเดส
แต่แผนการของฉันเหมือนรถไฟที่ตกรางกลางคัน เพราะโมเดสอัญเชิญไดร์ฮาร์ดออกมา
แม้ฉันจะไปปรึกษากับคาซ่า เทพธิดาที่สามารถมองเห็นอนาคตได้ ว่าช่วยทำอะไรสักอย่างกับไดร์ฮาร์ดทีได้มั้ย พลังของคาซ่าทำให้เธอมองเห็นอนาคตอันสั้นและทางเลือกนับไม่ถ้วนได้ แทนที่จะเรียกว่าการมองเห็นอนาคต น่าจะเรียกว่าคาดการณ์อนาคตจะดีกว่า
แต่เธอไม่สามารถมองเห็นอนาคตที่ไม่มีทางเกิดขึ้นหรือไม่มีอยู่ได้ ความสามารถนี้ทั้งไม่สมดุลและอันตราย ทำให้ฉันพึ่งพาแต่คาซ่ามากไม่ได้
ไม่มีทางเลือก ฉันคงมีแต่ต้องลงมือด้วยตัวเองซะแล้ว
ฉันรู้ข้อมูลนากอลมาจากโมน่า แต่ดูเหมือนบางครั้งโมเดสก็ไม่ได้บอกอะไรมากกับโมน่า ข้อมูลจึงเชื่อถือไม่ค่อยได้
ส่วนการอัญเชิญไดร์ฮาร์ด โมน่าเองก็ไม่รู้จนกระทั่งถึงเวลานาทีสุดท้าย นี่คงเพราะโมเดสไม่ไว้ใจโมน่านั่นเอง โมเดสก็แค่อยากจะทำให้โมน่าสบายใจและใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ดังนั้นโมเดสจึงไม่ได้บอกเรื่องปัญหาต่างๆ ในนากอลกับโมน่าเลย
มีเพียงบางครั้งเท่านั้นที่เขาจะบอกข้อมูลสำคัญให้รู้
ดังนั้นฉันเลยรู้ว่าไดร์ฮาร์ดกำลังเอาเขาของราชันย์มังกรศักดิ์สิทธิ์เพื่อสร้างโคลนนิ่งของฉันขึ้นมา
เพื่อการนั้น ฉันต้องทำลายแผนการของพวกเขาให้ได้
แต่ไดร์ฮาร์ดแข็งแกร่งเกินไป คงยากที่จะหยุดเขา แม้ฉันจะมีวาลคิเรียที่เป็นลูกน้องของฉันก็ตาม
พลังต่อสู้ของพวกเธอก็ยังด้อยกว่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์อยู่มาก ดังนั้นคงไม่พอจะไปต่อสู้กับไดร์ฮาร์ดที่จัดการภาคีอัศวินศักดิ์สิทธิ์ได้หรอก
ฉันจึงใช้ได้เรย์จิ
นั่นล่ะแผนดั่งเดิมของฉัน
ฉันทำการสร้างบาเรียปกคลุมทางเข้าของถ้ำราชันย์มังกรศักดิ์สิทธิ์เพื่อที่จะได้รู้เมื่อไดร์ฮาร์ดเข้าไปในถ้ำ
และหลังจากที่ไดร์ฮาร์ดตัดเขาจากราชันย์มังกรศักดิ์สิทธิ์ได้
ก็ต้องถูกเรย์จิที่รออยู่ที่ปากถ้ำหยุดเอาไว้
ในช่วงชลมุล วาลคิเรียของฉันก็จะไปขโมยเขามังกรมาจากเขาซะ
กระดิ่งที่ฉันมอบให้เรย์จินั้นจะเคลื่อนย้ายพวกเขาไปที่ถ้ำทันทีที่กระดิ่งดังขึ้น
จากนั้นฉันก็ได้รับการติดต่อจากวาลคิเรียว่า ไดร์ฮาร์ดมาถึงอาณาจักรร็อกแล้ว เราจึงมุ่งหน้าไปที่ดินแดนนี้ด้วยเรือบิน
ฉันได้รับการติดต่อว่าพวกเขามาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ในช่วงเวลานั้นพวกเขาทำอะไรกันอยู่นะ
ฉันรู้ถึงพลังของพวกเขาดี ดังนั้นถึงได้รีบบอกให้มากันโดยเร็ว
เรย์จิเป็นคนที่มาจากต่างโลกและยังแข็งแกร่งมาก พลังของเขาคงจะพอจะต่อกรกับเทพของเอลีอัสได้เลยล่ะนะ
ถึงตอนนี้จะปฏิบัติกับพวกเขาเหมือนมนุษย์ แต่ก็ยังลังเลว่าจะไม่เป็นไรเหรอ ถ้าให้พวกเขาอยู่กับพวกมนุษย์?
ซึ่งการจะปฏิบัติกับพวกเขาเหมือนเทพก็ไม่ได้ซะทีเดียว เพราะการจะเป็นเทพต้องมีผู้เสนอชื่อมาและมีเทพจำนวนหนึ่งของเอลีอัสยอมรับจึงจะถูกได้รับการยินยอมว่าเป็นเทพของเอลีอัส
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ถูกปฏิบัติเป็นเผ่าพันธุ์ที่เหนือกว่านางฟ้าหรือเอลฟ์ เพราะพวกเขาไม่มีลักษณะพิเศษเหมือนทั้งสองเผ่าพันธุ์นั้น สุดท้ายจึงต้องปฏิบัติกับพวกเขาเช่นเดียวกับมนุษย์ที่เป็นเผ่าพันธุ์ที่ชั้นต่ำกว่า ถึงแม้พวกเขาจะมีพลังเหมือนเทพแต่ก็ยังเป็นมนุษย์ อา เป็นเรื่องน่าปวดหัวจริงๆ ว่าจะปฏิบัติตัวกับพวกเขายังไงดี
เอาล่ะ คราวนี้มานึกถึงสาเหตุที่ทำให้พวกเขาอึดอัดใจกัน จิยูกิปฏิเธไอเดียของเรย์จิที่จะไปต่อสู้กับไดร์ฮาร์โ ถึงขนาดทำให้การเดินทางล่าช้า
ฉันน่ะสิที่จะมีปัญหาถ้าพวกเขาไม่ต่อสู้กัน งั้นจะมีเหตุผลอะไรให้ฉันต้องอัญเชิญพวกเขามาด้วย?
ถ้าเธอกลายเป็นก้างขวางคอ คงไม่มีทางเลือกแล้วสินะ … ฉันหยิบขวดๆ ออกมาจากหน้าอก
ยาเสน่ห์
คนที่ดื่มยาขวดนี้จะทำให้ตกหลุมรักคนๆ แรกที่เจอ มันเป็นยาเวทมนตร์ที่มีฤทธิ์แรงมากจนแทบจะไร้เหตุผล ฉันจะให้จิยูกิดื่มยาขวดนี้ซะ
นี่เป็นยาที่อันตรายมากถึงขั้นเปลี่ยนคนที่ดื่มให้กลายเป็นทาสได้ทีเดียว
แม้ว่าจะมีเวทมนตร์ที่ทำให้กลายเป็นทาสได้อยู่ แต่ผลข้างเคียงของมันคือทำให้พลังเวทมนตร์ของอีกฝ่ายลดลงเป็นค่าตอบแทน… เพราะต้องใช้งานเธออยู่ จึงไม่อยากลดความสามารถของเธอลงล่ะนะ
ซึ่งเจ้ายาเสน่ห์นี้จะทำให้ควบคุมคนได้โดยไม่ลดความสามารถลง
ที่จริงฉันเตรียมยานี้เอาไว้ใช้กับเรย์จิ เพราะคนที่ถูกอัญเชิญจริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของผู้อัญเชิญก็ได้
ฉันจึงเตรียมยาเสน่ห์ไว้ใช้ในกรณีนั้น
แต่สุดท้ายก็ไม่มีโอกาสได้ใช้ยานี้กับเรย์จิ เพราะเขายอมทำตามที่ฉันขออย่างง่ายดาย ดังนั้นเอายานี้ไปใช้กับจิยูกิแทนตั้งแต่เริ่มเลยดีกว่า
แต่ยาเสน่ห์เองก็มีข้อจำกัดอยู่
ประการแรก จะต้องให้เป้าหมายเห็นเป็นคนแรกที่พบหลังดื่มยาและยาจะไม่มีผลหากรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายผิดแปลกเกินไป เช่นหากให้ลิงดื่มยานี้เข้าไปก็จะไม่ตกหลุมรักหมา แต่อาจมีผลข้างเคียงแปลกๆ เกิดขึ้นบ้าง หากคนที่พบนั้นผิดแปลกจากที่ควรเกินไป แต่สุดท้ายพวกเขาก็จะกลายเป็นเพื่อนสนิทกันนั้นล่ะ
ฉันควรจะหยุดการขัดขวางของจิยูกิโดยให้เธอดื่มเจ้านี้ซะ เพราะตราบใดที่ไม่มีใครหยุดเรย์จิ เท่านี้ฉันก็สบายแล้ว
ประการที่สอง ยานี้จะไม่มีผลหากเป้าหมายตกหลุมรักอีกฝ่ายอยู่แล้ว กล่าวก็คือการเอายานี้ไปให้คู่รักที่รักกันดีดื่มมันใช้ไม่ได้ผล ในขณะเดียวกันทำให้เป้าหมายไม่รักคนอื่นนอกจากผู้ที่ดื่ม ดังนั้นสำหรับคนที่รักเดียวใจเดียวอยู่แล้วยานี้จะไม่มีผล
นอกจากนี้ผลของยาจะขึ้นอยู่กับปริมาณที่ดื่มเข้าไปและการต้านทานเวทมนตร์ของอีกฝ่ายด้วย ยาจะไม่มีผลหากอีกฝ่ายมีพลังต้านทานเวทมนตร์เพียงพอ
เอาล่ะ สงสัยจังนะว่าต้องให้จิยูกิดื่มยานี้ไปมากแค่ไหน ยาในมือฉันตอนนี้เป็นของพิเศษที่มีประสิทธิภาพอย่างเหลือเชื่อ แค่หยดเดียวก็สามารถทำให้มนุษย์ธรรมดารักใครสักคนไปได้ตลอดชีวิตเลยล่ะ
แล้วในกรณีที่อีกฝ่ายถึงขนาดต้านทานเวทมนตร์ของเทพได้นะ ต้องให้ดื่มไปขนาดไหนดีนะ?
นี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ฉันใช้ยาเสน่ห์ ยานี้เป็นสิ่งต้องห้ามที่เอลีอัสเพราะมันเป็นยาที่มีผลรุนแรงมาก
และเพราะไม่สามารถยกเลิกผลของยาได้เมื่อเป้าหมายดื่มเข้าไป จึงมีแต่ต้องพึ่งพาความต้านทานเวทมนตร์ของอีกฝ่าย เพื่อทำให้ยาไร้ผลเท่านั้น
ถ้ามีใครรู้เข้าละก็คงไม่จบแค่ถูกเนรเทศแน่ และหากรู้อีกว่าเทพแห่งเอลีอัสเป็นผู้ใช้ยานี้กับมนุษย์ล่ะก็…. อันตรายจริงๆ เลย
และยังไม่รู้ว่ายาเสน่ห์จะมีผลยังไงกับคนที่มีพลังเวทมหาศาลเหมือนเทพด้วย เพราะเดิมทีก็ไม่เคยใช้กับเทพด้วยสิ
แต่การต่อสู้ของเรย์จิกับไดร์ฮาร์ด ฉันจะต้องทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้
แน่นอน ฉันไม่ยอมให้เขาตัดเขาของราชันย์มังกรศักดิ์สิทธิ์ไปได้หรอก
แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้ไดร์ฮาร์ดก็ยังไม่เคลื่อนไหว ขนาดเขามาที่อาณาจักรนี้ก่อนหน้าแต่ก็ยังไม่ได้ตัดเขามังกรไป แถมเรย์จิยังมาช้ากว่ากำหนดการณ์อีก แต่สถานการณ์ตอนนี้มันก็ยังไม่สายเกินแก้
แต่ฉันไม่อาจรู้ได้ว่าไดร์ฮาร์ดกำลังซ่อนตัวอยู่ที่ไหน
เพราะลูกน้องของฉันไม่ค่อยเก่งเรื่องการตามหาใครเท่าไหร่ จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนักถ้าจะให้พวกเธอออกค้นหา
ตอนนี้พวกเธอเลยอยู่ที่เรือบินเพื่อซ่อนตัวไม่ให้ไดร์ฮาร์ดเห็น ซึ่งนอกเหนือจากนี้ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว
ด้วยเหตุนี้ฉันจึงแอบลอบเข้าไปในอาณาจักรร็อกเพื่อดูสถานการณ์และให้จิยูกิดื่มยาเสน่ห์
แม้ว่าเหล่าไมเดรนจะอยากติดตามไปด้วย แต่พวกเธอตามมาด้วย มันก็ไม่ใช่การเคลื่อนไหวแบบลับๆ นะสิ ดังนั้นฉันจึงมาคนเดียว อย่างน้อยก็ทำให้ไม่เด่นล่ะนะ
แม้ฉันจะไม่เก่งเรื่องการแอบลอบเข้าไป แต่อย่างน้อยก็คงไม่ถูกมนุษย์เจอตัวหรอก
ปัญหาก็คือไดร์ฮาร์ด ฉันไม่รู้ว่าความสามารถด้านการตรวจจับของเขาดีขนาดไหน ถ้าเขามีพลังมากเท่ากับนาโอะที่เป็นเพื่อนของเรย์จิ อาจจะค้นหาฉันเจอได้ง่ายๆ เลยก็ได้
ถึงความสามารถการตรวจจับของเขาจะดีไม่ถึงระดับนาโอะก็ยังหาฉันเจอได้ง่ายๆ อยู่ดี ถ้าสามารถตรวจจับพลังเวทมนตร์ได้ระดับเดียวกับชิโรเนะหรือคายะ เพราะที่ฉันปิดบังไว้ก็มีแค่พลังเวทมนตร์เท่านั้น
ฉันเข้ามาในอาณาจักรร็อกอย่างระมัดระวัง
เดินตรงไปโดยรับรู้จากกระดิ่งที่มอบให้เรย์จิเป็นตัวนำทาง
แต่และตรงหน้าฉันก็มีคนยืนขวางอยู่
ฉันรู้สึกตกใจมากที่ได้เห็นใบหน้าของคนๆ นั้น
ใบหน้าที่ฉันเคยเห็นที่วิหาร
ดวงตาสีน้ำตาลเหมือนคริสตัลและผมสีดำ คนๆ นั้นกำลังจ้องมองมาที่ฉัน
[ ด… ไดร์ฮาร์ด!!? ]
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันก็คือไดร์ฮาร์ด
ไม่จริง นี่เขาหาฉันเจอได้ง่ายๆ เลยงั้นเหรอ?
[ ไม่พบกันนานนะครับ ท่านเทพธิดาเรน่า ]
ไดร์ฮาร์ดพูดทักทายให้กับฉัน
◆ ปราชญ์ผมดำ จิยูกิ
บ่อน้ำพุร้อนที่คฤหาสน์ช่างกว้างขวางและสะดวกสบาย
แม้ว่าบ่อน้ำพุร้อนที่คายะได้รับมาจะมีขนาดเล็ก ในระดับที่แช่ได้ไม่กี่คน แต่ก็เพียงพอสำหรับลงแช่พร้อมกัน 6 คนและกว้างพอจะว่ายน้ำได้
[ มีอะไรงั้นเหรอนาโอะ? ]
จู่ๆ นาโอะก็จ้องมองมาที่ฉัน ขณะที่กำลังแช่น้ำอยู่
[ แค่คิดนะคะ ว่าผมของคุณจิยูกิสวยจังเลยน้า ]
[ งั้นเหรอ ขอบคุณนะ ]
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนชมเรื่องผมของฉัน ใครจะรู้สึกไม่ดีบ้างล่ะ ถ้ามีคนชมน่ะ
ในทางกลับกัน เส้นผมคงเป็นอย่างเดียวแล้วล่ะที่คนเดียวชมฉันล่ะ
[ อย่างที่คิดเลย สมกับผู้มีสมญานามว่านักปราชญ์ผมดำเลยนะคะ ]
นักปราชญ์ผมดำ นั่นคือสมญานามของฉัน แต่ไม่ใช่ฉันคนเดียวหรอกนะที่มีสมญานามแบบนี้
ชิโรเนะเป็น ‘สาวบริสุทธิ์แห่งดาบ’ ริโนะก็เป็น ‘นางฟ้าเริงระบำ’
ทั้งสองคนตอนนี้กำลังแช่น้ำอยู่ พวกพวกเธอปล่อยผมออกมาให้บรรยากาศเปลี่ยนไปเลยนะ และผิวขาวอมชมพูนั้นอีก
ฉันมองไปพวกเธอที่อยู่ข้างๆ ฉัน
[ นี่ กำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่เหรอคะ? ]
ริโนะอยากจะเข้าร่วมด้วย
[ กำลังพูดถึงเส้นผมของคุณจิยูกิน่ะ เพราะมันสวยมากเลยล่ะ ]
[ ใช่แล้วค่ะ ผมของคุณจิยูกิสวยจนน่าอิจฉาเลยอ่ะ ]
[ มาคิดดู ผมของคุณชิโรเนะเองก็สวยเหมือนกันนะคะ ]
ฉันเปลี่ยนความสนใจไปที่ผมชิโรเนะ ตอนนี้เธอกำลังรวบหางม้าแบบลวกๆ อยู่
[ เห็นด้วยเลยค่ะ เวลาหางม้าของชิโรเนะสบัดไปมายิ่งดูสวย สมเป็นสาวบริสุทธิ์แห่งดาบเลยน้า ]
นาโอะพูดชมจนทำให้ชิโรเนะลนลาน
[ สาวบริสุทธิ์แห่งดาบเหรอ… เป็นชื่อที่ดีนะคะ ]
ริโนะดูจะอิจฉาอยู่
[ ค่า!!! ชิโรเนะกับคุณริโนะมีสมญานามที่เท่ดีจัง ฉันเองก็อยากมีบ้างจังอ่ะ… ]
ที่จริงนาโอะไม่มีสมญานามเลย แน่นอน ฉันคงไม่บอกหรอกว่าสมัยที่เธอยังอยู่นอกเดิมมีสมญานามว่ายัยเด็กเถื่อนน่ะ
[ ดีออกเนอะ? อย่างน้อยก็ไม่มีสมญานามแปลกๆ นั้นแหละค่ะ ]
ริโนะมองไปทางทั้งสองคนที่อยู่ไกลๆ
นั่นก็คือคายะกับเคียวกะนั้นเอง
สมญานามของเคียวกะก็คือเจ้าหญิงระเบิด เป็นชื่อที่เธอได้รับเพราะไปใช้เวทระเบิดกลางเมือง เจ้าตัวเองก็ดูจะไม่ชอบชื่อนี้
[ ใช่แล้วค่ะ… ]
นาโอะเห็นด้วย
[ พูดถึงสมญานามแล้ว ท่านนักบุญสีขาวกับผู้กล้าแห่งแสงไปไหนแล้วล่ะคะ? ]
ริโนะถามหาทั้งสองคนที่ไม่อยู่ที่นี่
[ นักบุญสีขาวกำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่นะ ]
คนที่มีสมญานามว่านักบุญสีขาวก็คือซาโฮโกะนั้นเอง เนื่องจากในคฤหาน์นี้ยังมีเมดอยู่เพียงไม่กี่วัน เราจึงปล่อยให้ซาโฮโกะจัดการเรื่องทำอาหารไป ได้ยินว่าพ่อครัวของราชวังยังมาช่วยเธอเลยนะ
ในหมู่พวกเราคนที่ทำอาหารเป็นก็มีแค่คายะกับซาโฮโกะเท่านั้น
ซาโฮโกะเก่งเรื่องการทำอาหาร ขณะที่คายะเองก็สามารถทำอาหารที่จัดเลี้ยงในงานระดับงานเลี้ยงใหญ่ๆ ได้
แม้ว่าฝีมือฉันจะไม่ถึงขั้นพวกเธอ แต่ก็พอทำอาหารเป็นบ้างนะ
แต่ทางริโนะ นาโอะ และเคียวกะนั้นเซนส์ด้านการทำอาหารเป็นศูนย์
ชิโรเนะไม่สนใจเรื่องการทำอาหาร เป็นธรรมดาที่ฉันจะบอกว่าเธอทำอาหารไม่เป็น
แต่จำได้ว่าเคยเห็นเธอทำคุกกี้เค็มๆ ให้ไม่นานนี้นะ
แม้เธอจะอุตส่าห์ทำมาให้เรย์จิ แต่เรย์จิก็กินไม่ลงอยู่ดี เป็นธรรมดาล่ะนะเพราะปกติเรย์จิกินอาหารฝีมือซาโฮโกะที่อร่อยๆ เป็นประจำ
แต่ฉันเคยได้ยินว่าชิโรเนะเคยอบคุกกี้ให้เพื่อนสมัยเด็กของเธอลองกินดู แล้วก็ได้ยินว่าเขากินมันด้วยความสุขเลยนะ
นี่ท้องของเขาจะไม่เป็นไรแน่เหรอ?
แม้ว่าฉันจะไม่เคยเจอเพื่อนสมัยเด็กของเธอ แต่ก็ได้ยินจากริโนะว่าเขาหล่อมาก
เพื่อนสมัยเด็กคนนั้นหลงรักชิโรเนะแต่ฉันกลับรู้สึกไม่ดีเลยที่ชิโรเนะกลับไปหลงรักเรย์จิซะได้
ว่าแต่เรย์จิไปอยู่ทีไ่หนกันนะ
[ เรื่องผู้กล้าแห่งแสง ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปอยู่ที่ไหน ]
แม้จะเตรียมห้องน้ำให้เรย์จิไว้ต่างหาก แต่ดูเหมือนตอนนี้เขาจะไม่ได้อยู่ในห้องน้ำ
[ เอาเถอะ ตราบเท่าที่ไม่แอบมองพวกเราก็ดีไป ]
ฉันติดตั้งเวทบาเรียที่ช่วยป้องกันไม่ให้ใครแอบมองได้ไว้แล้ว
ถึงแม้จะเป็นเรย์จิก็แอบเข้ามาในบาเรียนี้โดยพวกเราไม่สังเกตไม่ได้หรอก
ปัญหาคือเวทบาเรียนี้ไม่สามารถทำให้ตรวจจับนอกระยะบาเรียได้ ฉันจึงไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็คงดีล่ะนะตราบใดที่เรย์จิไม่ไปทำอะไรแปลกๆ เข้า
ว่าแต่ไดร์ฮาร์ดกับเรน่ากำลังทำอะไรกันอยู่นะตอนนี้
ต้องถามว่าพวกเขาสองคนอยู่ที่ไหนดีกว่า
ฉันยังคงแช่น้ำต่อไปขณะที่ขบคิดเรื่องพวกนั้น
◆ อัศวินดำคุโรกิ
ในตอนเที่ยง ร้านแผงลอยที่เรียงรายติดกันในถนนสายหลักและผู้คนที่เดินไปมามากมาย
เมื่อมองไปที่ร้านแผงลอยพวกนี้กลับทำให้ผมนึกถึงงานเทศกาลที่ญี่ปุ่น
แม้ว่าช่วงไม่กี่ปีมานี้ผมจะไม่ได้ไปร่วมงานเทศกาลเลย แต่สมัยเด็กๆ ผมมักจะไปกับชิโรเนะบ่อยๆ
การไปงานเทศกาลถ้าไม่มีชิโรเนะไปด้วย มันก็ไม่มีความหมาย
อา มันเป็นความโรแมนติกของลูกผู้ชายล่ะนะที่อยากไปเที่ยวงานเทศกาลกับเด็กผู้หญิงน่ารัก
ด้วยเหตุนี้ สถานการณ์ในตอนนี้จึงน่ายินดีสำหรับผมอย่างยิ่ง
ผู้หญิงที่กำลังเดินข้างๆ ผม แต่เพราะเธอเอาฮู้ดปิดบังไว้จึงทำให้ไม่เห็นใบหน้า
แต่เพียงแค่ใบหน้าส่วนล่างก็ทำให้รู้แล้วว่าเธอสวยขนาดไหน
เธอคือเทพธิดาเรน่า
ผู้ที่อัญเชิญชิโรเนะมายังโลกนี้
นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมเจอเธอ สงสัยจริงๆ มาเธอมาทำอะไรที่นี่
อย่าบอกนะว่าเธอวางแผนจะทำบางอย่างกับชิโรเนะ?
แต่ผมเองก็คิดว่าเธอไม่น่าจะไปทำอะไรไปชิโรเนะหรอก
เดิมทีผมเองก็ถูกขอร้องให้มาเป็นคนคุ้มกันของผู้กล้า ผมจึงออกค้นหาคนที่จะเป็นอันตรายต่อผู้กล้าตามหน้าที่อยู่
ความจริง ตอนรับงานนี้ผมผมก็ไม่ได้จริงจังอะไรหรอกนะ เพราะแค่พลังของเรย์จิก็เพียงพอจะขู่ได้แล้ว
สวนเรื่องที่สอง งานคุ้มกันที่เหลือก็ปล่อยให้อัศวินของวิหารจัดการกันไปแล้วกัน
ผมถึงได้ตกใจมากเมื่อเห็นเธอจากบนกำแพง แม้เธอจะสวมฮู้ดอยู่แต่ผมก็รู้ว่าเธอคือเรน่า
ผมไม่สามารถปล่อยเธอไปเฉยๆ ได้
เพราะเธอเป็นตัวอันตรายที่สุดสำหรับผู้กล้าและพรรคพวกของเขา
ผมจึงโผล่มาตรงหน้าเธอ
แต่ติดที่ผมไม่รู้ว่าหลังจากนั้นจะทำยังไงต่อดีนะสิ
จะว่าไป ถ้าผมอยากรู้เป้าหมายของเธอละก็ควรปล่อยเธอไปดีมั้ยนะ แล้วให้เธอหนีไปเรียกพวกเรย์จิมา
[ ตกใจจังนะคะที่คนเป็นพวกชอบบังคนอื่นแบบนี้? ]
หลังจากนั้นพักหนึ่งเรน่าก็พยายามใส่ร้ายผม ขณะที่เราเริ่มเดินด้วยกัน
เพราะสิ่งที่เธอพูดออกมาทำให้ผมนึกถึงการพบกันครั้งที่แล้วของเรา
ถึงเธอจะบอกว่ามาที่นี่เพื่อเที่ยวชมงานเทศกาล ตอนถามเหตุผลว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ก็เถอะ แต่ดูก็รู้ว่ามันโกหกชัดๆ ผมจึงบีบบังคับให้เธอไปเที่ยวงานเทศกาลกับผมซะเลย ถ้าเธอบอกว่าอยากจะมาเที่ยวงานเทศกาลเฉยๆ ล่ะนะ
ผมไม่มีทางเลือกนอกจากบีบบังคับเธอให้ไปด้วยกันตราบเท่าที่ยังไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริงของเธอ เอ๊ะ… แบบนี้ก็เหมือนผมไปชวนสาวเที่ยวนะสิ?
[ ยังไงผมก็ปล่อยคุณไว้คนเดียวไม่ได้หรอก… ]
ผมไม่ได้พูดโกหกนะ
[ หืมม งั้นเหรอคะ? ]
เรน่าใช้มือเปิดฮู้ดขึ้นเล็กน้อยราวกับกำลังประเมินความตั้งใจจริงของผม
ดวงตาที่งดงามของเธอกำลังจ้องมองมาที่ผม
ทำให้หัวใจผมเต้นแรง
[ ถ้างั้นก็ฝากเรื่องเป็นคนคุ้มกันให้ด้วยแล้วกันนะคะ ]
เรน่าเริ่มเดินโดยที่มีผมเดินอยู่ข้างๆ
นี่ผมกำลังเที่ยวงานเทศกาลกับสาวสวย
หรือว่านี่มันจะเป็น…. เดท?
◆ อัศวินดำคุโรกิ
[ มีมนุษย์เดินไปมากันเยอะจังนะคะ ]
เรน่าพูดหลังจากเดินไปได้พักนึง
[ ก็เป็นงานเทศกาลนี่นะ… ถึงได้มีคนเยอะขนาดนี้ เพราะทุกคนก็มาที่นี่เพราะอยากสนุกกับงานเทศกาลเหมือนกัน… ]
ผมตอบเรน่ากลับไป
[ งั้นเหรอ ]
เรน่าเป็นเทพธิดาที่ไม่ค่อยมีความอดทนสักเท่าไหร่
ผมจึงต้องคอยเป็นโล่ป้องกันไม่ให้คนอื่นๆ มาชนกับเรน่า
[ อ๊ะ ]
ผมดึงเรน่าเข้ามาตัว ทำให้หน้าอกของเธอมามาโดนตัวผม
ถึงจะพยายามปกป้องเธอเต็มที่แล้ว แต่ก็ช่วยไม่ได้หรอก เพราะคนบนถนนมันมีเยอะเกินไปนี่นา
[ อุ๊บบ!! ]
เรน่าตะโกนด้วยเสียงโกรธ
[ ขอโทษด้วยเรน่า ]
ผมขอโทษเรน่าไป
[ ไม่มีผู้ชายคนไหนเคยจับตรงนั้นของฉันมาก่อนเลยนะ ]
เรน่าบอกเพราะไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนมาแตะต้องตัว
[ อา ต้องขอโทษด้วยเรน่า แต่าอย่าไปลบคนพวกนั้นทิ้งด้วยพลังซะล่ะ ]
เพราะที่นี่มีคนอยู่เยอะมาก จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่จะแตะต้องตัวกัน
[ เอาน่า ไม่เป็นไร ปล่อยฉันได้แล้ว ]
เมื่อเธอพูดดังนั้นผมจึงปล่อยเรน่า
[ ชิ งั้นฉันจะไม่ลบเจ้าหมอนั้นให้หายไป แค่นี้ก็พอแล้วใช่มั้ย? ]
เรน่าบอกผมแล้วชี้ไปยังร้านแผงลอยริมถนน
[ ไม่ได้นะ พวกอัญมณีมันไม่ใช่ของจำเป็นสำหรับงานเทศกาลหรอก… ]
ความจริง ของบางอย่างในร้านแผงลอยก็แพงมากจนไม่อาจซื้อได้เลย มันไม่จำเป็นสำหรับผมด้วยสิ เศร้าแฮะ
[ อืมมม ]
เรน่าตอบมาอย่างน่าเบื่อ
จากนั้นผมก็เดินต่อไปพร้อมกับผู้หญิงที่กำลังอารมณ์เสียคนนี้
ถ้านี่เป็นเดทจริงๆ ผมคงจะเศร้าไปแล้วถ้าคู่เดทมีสายตาแบบนี้
แล้วเดิมทีถนนไม่ใช่ว่าจะเน้นไปที่ร้านแผงลอยสิ?
เพราะเรน่าบอกว่ามาเที่ยวงานเทศกาลนี่นา แต่ดูเธอจะไม่ค่อยสนใจงานเทศกาลด้วยซ้ำ งั้นที่พูดมาก็คงโกหกสินะ
ทันใดนั้นขาของเรน่าก็หยุดลง
[ นั่นอะไรนะ? ]
ผมมองไปยังทิศที่เรน่ามองอยู่
ตรงนั้นมีธงที่มีรูปของซาซากิ ริโนะชูขึ้นอยู่
ผมรู้สึกตกใจนิดหน่อย พูดตามตรงนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงควรไปเห็นเข้าหรอกนะ
[ นั่นมัน… ริโนะ ]
ผมหยุดเดินหลังจากที่เรน่าหยุดลง
คนที่ยืนรอมากกว่าที่ผมเคยก่อนหน้านี้ซะอีก
เรน่ามองไปยังแผงลอยที่มีชายยืนถือธงอยู่
เมื่อผมมองไปยังแผงนั้น ผมก็เห็นภาพของชิโรเนะ…
ภาพที่เธอกำลังใส่ชุดคอสเพลย์วันนี้อยู่ นี่มันอันตรายสุดๆ
งานดีสุดๆ ผมอยากจะจ้องมองมันอีกสักพักด้วยซ้ำ ถ้าเรน่าไม่หันกลับมา
[ ไดร์ฮาร์ด พวกเขากำลังบูชาริโนะกันอยู่เหรอ? ]
เสียงของเรน่าดูตึงเครียด
[ อืมม.. ก็คงเรียกแบบนั้นได้ล่ะมั้ง ]
พูดตามตรงผมไม่รู้จะอธิบายยังไงดี
จะเรียกว่าแฟนคลับไอดอลดีมั้ย?
[ แต่เธอไม่ได้เป็นเทพสักหน่อยนี่… ]
สิ่งที่เรน่าคิดต่างจากที่ผมคาดหมายไว้มาก สำหรับเทพธิดาอย่างเรน่าการที่เห็นคนธรรมดาถูกเคารพบูชาคงเป็นเรื่องแปลกนิดหน่อย
[ ไดร์ฮาร์ดเองก็อยากได้ภาพพวกนั้นด้วยเหรอ? ]
เรน่าพูดขณะที่ชี้ไปยังภาพๆ หนึ่ง
ภาพที่เธอชี้ไปคือภาพของชิโรเนะ ไม่รู้ทำไม แต่เสียงของเธอเต็มไปด้วยจิตสังหาร
เอาตามตรงผมก็อยากได้ล่ะนะ
แต่คงไม่มีวันตอบไปว่า “ใช่แล้ว” ต่อหน้าเด็กผู้หญิงคนอื่นแน่นอน ดังนั้นคงได้แต่ตอบเธออยู่ในใจเท่านั้น
ผมแก้ปัญหาโดยเบือนสายตาหนีโดยไม่มองภาพนนั้น ขณะที่เรน่ากำลังจ้องมองอยู่ตรงหน้าผม
ผมล่ะไม่อยากให้เธอได้ยินเรื่องนั้นเลย แม้ว่าจะอุตส่าห์ได้เป็นคนคุ้มกันของเพื่อนสมัยเด็กแต่มันก็แค่ภาพลวงตา แล้วผมก็พูดเรื่องพรรค์นั้นออกไปต่อหน้าผู้หญิงไม่ได้ด้วย
[ ไม่ล่ะ ขอแค่เธออยู่กับผมที่นี่ก็พอใจแล้ว ]
ผมบอกเธอขณะที่มองไปที่เรน่า ใช่แล้ว ตอนนี้ผมเลือกที่จะไม่สนใจผู้หญิงคนอื่น
[ เอ๊ะ?! ]
เรน่าส่งเสียงตกใจเมื่อได้ยินที่ผมพูด
เรน่าเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยจากนั้นก็เหลือบมองที่ใบหน้าของผม
ใบหน้าของผมสะท้อนเข้าไปในดวงตาของเธอ กรุณาอย่ามองผมด้วยสายตาแบบน๊านนนน
รู้บ้างมั้ย ว่าเธอสวยขนาดไหนนะ ถ้าโดนสาวสวยขนาดนี้จ้องหัวใจของผมมันปวดร้าวนะ
เรน่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเธอก็พยักหน้าราวกับเข้าใจบางอย่างแล้ว
[ ใช่แล้ว เป็นธรรมดาล่ะนะ เพราะฉันสวยกว่าพวกนั้นอยู่แล้ว ]
เรน่ากำลังยิ้ม
[ ใช่แล้วล่ะ พวกนั้นมันก็แค่ของปลอม(รูป) ]
ผมพยักหน้าให้กับคำพูดของเธอ ถึงจะไม่รู้ว่าเธอหมายถึงอะไร
[ ไปกันเถอะไดร์ฮาร์ด ]
ผมกลับไปเที่ยวกับเธอต่อไป ขอบคุณท่านเทพ… เอ่อ ที่จริงเธอก็เป็นเทพนี่หว่า
แต่จนกระทั่งก่อนหน้านี้เธอยังอารมณ์เสียอยู่เลยนะ
[ อา มาคิดดูแล้ว ]
จู่ๆ เธอก็หยุดเดินแล้วหันมาหาผม
[ อยากเห็นฉันโพสท่าแบบเดียวกับในภาพนั้นใช่มั้ยล่ะ? ]
[ ง่ะ!? ]
ทำไมเธอ- !!!
ผมกรีดร้องอยู่ในใจ ซึ่งมันเป็นเสียงร้องที่ดังที่สุดในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้
ก็เรน่าในท่าโพสแบบนั้น หน้าอกเรน่าก็ใหญ่มากจนมองเห็นแม้จะมีเสื้อคลุมปกปิดอยู่
แต่ถ้าถามว่าใครแจ่มที่สุดก็…
ชิโรเนะเหรอ? หรือจะน้องสาวของเรย์จิ? ไม่สิ!! ต้องเป็นบันนี่เกิร์ลสีขาวโยชิโนะ ซาโอะ-…
แต่จู่ๆ ความคิดนั้นของผมก็ถูกขัดจังหวะกลางคัน
ผมเพิ่งกลับมารู้สึกตัวอีกทีหลังจากเห็นเรน่า เธอกำลังมองผมด้วยสายตารังเกียจ
[ ล้อเล่นนะ… แต่คุณ… เป็นคนที่ดูออกง่ายจังนะ.. ]
เรน่าพูดด้วยเสียงตกใจ
[ หืมม… ]
ผมล่ะอยากร้องไห้ สุดท้ายผมก็ถูกจูงจมูกจนเผยสิ่งที่คิดออกไปจนหมดซะได้ ถึงผมจะอยากทำเท่ต่อหน้าผู้หญิง แต่สุดท้ายก็ล้มไม่เป็นท่าเพราะผมไม่มีประสบการณ์นี่นา
หลังจากเธอพูดจบ เธอก็เดินไปโดนแกล้งทำเป็นไม่เห็นผม
ผมจึงไล่ตามเธอไป
เธอเดินเข้าไปในซอยที่คนเล็กๆ ที่คนเดินน้อยลง จนเกือบจะไร้ผู้คน
เมื่อผมเดินเข้าไปหาเรน่า แต่เดินไปได้ไม่ไกลนักเธอก็หยุดลง
เมื่อผมมองไปที่ด้านหน้าก็เห็นคนสวมชุดเกราะอัศวิน
อัศวินที่สวมชุดเกราะเต็มรูปแบบประดับด้วยดอกไม้สีขาวและเถาวัลย์เย็บติดที่เครื่องแบบ
นั่นคือเหล่าอัศวินของสาธารณรัฐศักดิ์สิทธิ์ลีนาเรีย อัศวินศักดิ์สิทธิ์ของเรน่านั้นเอง
ซึ่งดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นคือดอกไม้ตระกูลสไรราอี หมายถึง ‘จิตใจอันบริสุทธิ์’ ในภาษาดอกไม้และเป็นตัวแทนของเรน่า
ผมรู้จักอัศวินพวกนั้นดี เพราะพวกเขาคือคนที่คุ้มกันพวกเรย์จิมายังที่นี่
และตอนนี้พวกเขากำลังปิดทางของเราไว้ นี่พวกเขาคิดจะทำอะไร?
[ คนพวกนั้นเป็นอัศวินของคุณใช่มั้ย? ]
ผมถามเรน่าระหว่างที่มองดูอัศวินพวกนั้น
[ พวกนั้นไม่ใช่อัศวินของฉัน แต่เป็นอัศวินของวิหารต่างหาก เจ้าพวกนี้ไม่เหมาะจะมาเป็นอัศวินของฉันหรอก ]
เรน่าถ่มน้ำลายหลังจากพูดคำพูดโหดร้ายออกมา แม้ว่าความจริงเหล่าอัศวินที่วิหารจะสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อเรน่า แต่นั้นคงเป็นความรักแต่เพียงฝ่ายเดียว
เป็นเหล่าคนที่น่าสงสารจังเลยนะ ผมคิด
[ งั้นอัศวินคนเดียวของคุณก็คือเรย์จิงั้นเหรอ? ]
ผมถามคำถามที่ความหมายเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ผมคิดว่าการถามคำถามเธอในระหว่างที่คุ้มกันถือเป็นเรื่องเสียมารยาท แต่นี่ถือเป็นการเอาคืนเรื่องก่อนหน้านี้
ดูเหมือนเรน่าจะรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่
[ ฟุฟุ อย่างเรย์จิไม่สามารถมาเป็นอัศวินของฉันได้หรอก เพราะอัศวินคือคนที่เคารพและสาบานตนและมีมารยาทต่อผู้เป็นนาย แต่ลักษณะของเรย์จิมันไม่ใช่เลย เพราะเขาเป็นพวกรักอิสระ หยาบคาย และเย่อหยิ่ง ]
เรน่ายิ้มแล้วตอบกลับมา
หืมม แปลว่าเข้าใจตัวเรย์จิขนาดนั้นเลยเหรอ ดูท่าเธอเองก็เป็นคนที่ไม่เลวเลยนะ
[ แต่ฉันว่า… คนที่เหมาะจะเป็นอัศวินให้ฉันน่ะคือคุณมากกนะไดร์ฮาร์ด แล้วคุณล่ะว่ายังไง? ]
เรน่าถามขณะที่จ้องมองมาที่ผม
ผมเองก็จ้องมองไปที่เรน่ากลับ
หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะหลังจากได้ยินคำพูดนั้น
พูดตามตรง ผมดีใจมากเลยล่ะที่ได้ยินคำพูดนั้นจากปากเธอ
มันราวกับหนามในใจของผมหายไปก็ว่าได้
บางทีผมคงถูกคาดหวังไว้มากกว่าเรย์จิซะอีก แต่เพราะการดวลกับงี่เง่ากับเรย์จิทำให้ผมมีแผลใจ เมื่อไหร่กันนะที่แผลใจนี้จะหายสักที?
จนผมคิดว่าตัวเองเป็นพวกขี้แพ้ ตั้งแต่วันนั้นผมถึงได้ขัดเกลาฝีมือดาบ เริ่มให้ความสนใจกับหน้าตา เพื่อเอื้อมไปให้ถึงเขา แม้สักนิดก็ยังดี
แต่ไม่ว่าทำยังไง ผมก็ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง
นั่นคือเหตุผลที่คำพูดของเรน่าทำให้จิตใจผมสับสน
แต่ว่า—
ผมส่ายหัวเพื่อขจัดมันออกไป
ผมทำแบบนั้นไม่ได้
ผมจะปล่อยให้ตัวเองเชื่อใจเรน่าไม่ได้
แม้ว่าเธอจะสวยแค่ไหน แต่ผมจะปล่อยลดการป้องกันลงเพราะคำพูดหวานๆ ของเธอไม่ได้เด็ดขาด
ผมส่ายหัวปฏิเสธเธอ
[ ผมรู้สึกดีใจมากกับคำเชิญชวนนั้น แต่โชคร้ายหน่อยนะ ที่ผมเป็นอัศวินให้คุณไม่ได้ เพราะถ้าผมทรยศก็เหมือนกับผมไม่มีศักดิ์ศรีของอัศวินใช่มั้ย? ]
ผมปฏิเสธคำเชิญของเรน่าอย่างง่ายดาย
[ แน่นอน ผู้ทรยศไม่สมควรเป็นอัศวิน ]
ดูเหมือนเรน่าจะเชื่อมั่นในคำตอบของผม
ผมรู้สึกโล่งใจ นึกว่าเธอจะโกรธซะอีก แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้โกรธอะไร
เดิมทีผมก็ไม่คิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติเป็นอัศวินได้หรอก
เธอเชื่อใจผม แม้ผมจะไม่ใช้โมเดสมาเป็นเหตุผลในการปฏิเสธ
[ เฮ้ พวกแกกำลังมองอะไร!! ]
มีใครบางคนกำลังเรียกพวกเรา
พอผมค้นหาแหล่งที่มาของเสียง อัศวินของวิหารก็ตรงดิ่งเข้ามาทางพวกเรา
พวกเขาคืออัศวินของวิหารที่ผมเห็นเมื่อก่อนหน้านี้ที่บนกำแพงเมือง
ซึ่งะเลาะกับชาวเมืองนั้นล่ะ
แต่ผมไม่เห้นผู้หญิงคนนั้นอยู่แถวนี้เลย หรือเธอจะหนีไปแล้ว?
อัศวินของวิหารมองหน้าผมแล้วมองไปยังคนที่อยู่ข้างๆ ผม
อ๊ะ!? ดูเหมือนพวกเขาจะเห็นเรน่าที่อยู่ข้างๆ ผมแล้วสิ
ถึงเรน่าจะใช้เวทมนตร์ล่องหนอยู่ แต่ชายคนนี้กลับมองเห็น แปลว่าเขาเองก็มีพลังเวทอยู่พอควร
[ พาผู้หญิงมาด้วยเหรอ เป็นคนรักกัน? ]
อัศวินถามผม
ผมถามเรื่องน่ารำคาญกับผม อีกอย่างนี่ไม่ใช่อาณาจักรของพวกนายสักหน่อยนะ ทำไมถึงมาสอบสวนคนอื่นกันแบบนี้ล่ะ
[ ไม่ เธอไม่ใช่คนรักของผมหรอก… ]
[ โฮ่~ งั้นการพาผู้หญิงที่ไม่ใช่คนรักเข้ามาในซอยเปลี่ยวๆ แบบนี้นี่มันหมายความว่ายังไง? ]
ผมคิดว่านี่เป็นซอยปกติทั่วไป แต่ดูบรรยากาศมันจะต่างกันหน่อย
ดูเหมือนเราจะเดินมาในเส้นทางที่ไม่ควรแล้วสิ
[ เอ่อ ความจริง… ]
[ หืม กำลังคิดจะโกหกสินะ แต่น่าเสียหายที่ฉันรู้ไต๋หรอกน่า ]
อัศวินของวิหารเลือกที่จะสู้
ตอนนี้เขายังมองไม่เห็นหน้าของเรน่า
บางทีตอนนี้ในหัวเธอคงกำลังคิดว่า ‘สั่งสอนเจ้างี่เง่านี้ให้รู้บทเรียนซะเลยสิ’
คงเพราะเรน่ากำลังปกปิดตัวจริงโดยใช้เวทมนตร์ล่องหนอยู่ เธอเลยไม่พูดอะไร
เรน่ามองมาที่ผมโดยไม่พูดอะไรตอบกลับมา
[ ตอนนี้พวกเรากำลังลาดตระเวนเพื่อหาคนน่าสงสัยที่พยายามจะทำร้ายท่านผู้กล้า!! แกคงไม่ใช่เจ้าคนงี่เง่านั้นหรอกใช่มั้ย? ]
[ ไม่ครับ… ไม่ใช่ผมหรอก ]
ผมปฏิเสธไปอย่างสุภาพ
[ และยังดูเหมือนจะมีเจ้าโรคจิตคนนึงไปทำเรื่องแปลกๆ กับพรรพวกของท่านผู้กล้า!! แต่ตอนนี้ช่างมันไปก่อน เอาล่ะ รีบไปได้แล้ว!! ]
ชายคนนั้นโบกมือราวกับไล่ผมให้ไปไกลๆ
[ แล้วที่นี่มันก็อันตรายสำหรับผู้หญิง…. ]
อัศวินคนนั้นพยายามจะแตะตัวเรน่า
ผมเริ่มรู้สึกไม่ดีแล้วสิ
ผมจับมือของอัศวินคนนั้นก่อนที่เขาจะจับตัวเรน่าและโยนเขาไป
เขาถูกโยนไปได้แบบสบายๆ
[ แก… ไอ้บัดซบ… แกคิดจะทำอะไร!! ]
อัศวินคนนั้นชักดาบออกมาแล้วตะโกนคำพูดนั้นออกมา
ผมทำอย่างนั้นเพื่อปกป้องคุณนะ ผมอยากจะพูดออกไปอยู่หรอก
เมื่อกี้ ผมรู้สึกได้ถึงจิตสังหารจากตัวเรน่า ถ้าเขาแตะตัวเธอไป เขาคงตายไปแล้วแน่ๆ
ผมรู้ดีว่าถึงเป็นอัศวินแห่งวิหาร เธอก็ฆ่าได้อย่างไม่ลังเล
ป่านนี้เขาคงเป็นขี้เถ้าไปแล้วล่ะมั้ง ถ้าไปเผลอแตะตัวเธอเข้า
อัศวินคนอื่นๆ วิ่งมาหาพวกเราหลังจากได้ยินเสียงนั้น
พวกเขาต่างชักดาบออกมา
ผมไม่คิดเลยว่าเรื่องมันจะบานปลายถึงขนาดนี้
ปกติ ถ้าเป็นสถานการณ์แบบนี้ผมคงจะหนีไปแล้ว แต่ตอนนี้ทำไม่ได้เพราะมีเรน่าอยู่ข้างๆ
ควรจะพูดว่าขืนเป็นแบบนี้เรน่าฆ่าพวกเขาแน่ต่างหาก ดังนั้นผมก็แค่คนที่พยายามเลี่ยงเหตุการณ์นั้นเท่านั้น
[ ไม่จำเป็นต้องให้มือเธอเปื้อนเลือดหรอก อยู่ข้างหลังผมไว้นะเรน่า ]
ผมพูดประโยคนั้นที่ด้านหน้าเรน่า
[ เหรอ? ]
แม้คำตอบของเธอจะเป็นเพียงคำสั้นๆ แต่ผมก็ดีใจที่เธอตอบกลับมาเช่นนั้น
[ ฟุมุ ถ้าแกอยากจะขอโทษนี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วนะ ]
เป็นไปได้ว่าพวกเขาคงคิดว่าผมกำลังกลัว ถึงได้ชี้ดาบมาทางผม?
แม้ว่าเรน่าจะปฏิเสธตัวตนของพวกเขา แต่ยังไงนั่นก็เป็นอัศวินของเธอนะ
แล้วทั้งที่ผมเป็นอัศวิน มันจะดีเรอะ ที่มาเป็นอัศวินให้เรน่าในสถานการณ์แบบนี้?
อัศวินพวกนั้นถึงจะแต่งตัวดูดี แต่การกระทำไม่ต่างจากพวกออร์คที่เจอเมื่อวานเลยแฮะ
ผมไม่ฆ่าพวกเขาหรอกเพราะนี่เป็นงานเทศกาลที่ไม่สมควรจะเปื้อนเลือด ดังนั้นให้พวกเขาลิ้มรสความเจ็บปวดสักนิดแล้วกัน
ผมมองไปที่อัศวินของวิหาร
ความรู้สึกอยากฆ่าก็ค่อยๆ จางออกไปจากหัวใจของผม
[ ก-แก!! คิดจะสู้กับพวกเราสินะ!! ]
ดูเหมือนเขาจะตกใจที่ผมคิดจะสู้
แม้ว่าผมจะไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของอาณาจักรในโลกนี้ แต่ไม่มีทางที่เรื่องแค่นี้จะทำให้เกิดเรื่องบานปลายถึงปัญหาระดับประเทศได้หรอก
พวกเขาชักดาบออกมาเพื่อขู่ผม
[ เอ่อ… ช่วยทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นได้มั้ย? ]
ผมเสนอแผนการที่จะดีต่อทั้งสองฝ่าย
ตรงกันข้าม มันกลับยิ่งเพิ่มเชื้อไฟเข้าไปอีก ใบหน้าของเหล่าอัศวินถูกย้อมด้วยสีแดง
[ แกล้อกันเล่นรึไงวะ!! ]
บางทีพวกเขาคงคิดว่าผมไปล้อเล่น อัศวินคนหนึ่งฟันเข้ามาจากตรงหน้าผม
ช้าเกินไปแล้ว
ผมจับใบดาบที่เหวี่ยงลงมาด้วยนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้
อัศวินส่งเสียงตกใจราวกับไม่เชื่อสิ่งที่เห็น
[ ไม่จริง… ]
[ ปะ… เป็นไปม่ได้ ]
อัศวินคนอื่นๆ ต่างพึมพำคำพูดเหล่านั้น ด้วยใบสีที่ซีดจากสีแดงเปลี่ยนเป็นสีเงินซีดๆ
โถ่เอ้ย เอาเถอะ รีบจัดการให้มันจบๆ ไปแล้วกัน
[ เอาล่ะนะ… ]
หลังพูดจบ ผมก็ทำให้อัศวินพวกนั้นล้มกันไม่เป็นท่า
[ กลุ๊ก!! ]
[ อ๊า! ]
[ว๊าก! ]
เหล่าอัศวินต่างล้มกลิ้งกันไปหมดพร้อมกับส่งเสียงดัง ตอนนี้พวกเขาไปนอนวัดพื้นกันหมดแล้ว
น่า พวกเขาคงไม่ตายกันง่ายๆ เพราะเรื่องแค่นี้หรอก
จากนั้นเรน่าก็เดินไปยังเส้นทางที่แต่เดิมพวกอัศวินขวางไว้
[ แล้วไม่ฆ่าพวกเขาเหรอ? ]
เรน่าพูดคำพูดที่น่ากลัวออกมาด้วยใบหน้าอันสงบ
[ พวกเขาเป็นอัศวินที่วิหารของคุณไม่ใช่เหรอ …. งั้นคงจะดีกว่าถ้าผมปล่อยไปซะ ]
ที่จริงแล้วโกหก
[ งั้นแบบนี้ฉันก็ต้องพูดขอบคุณแล้วสินะ? ]
ผมไม่คิดเลยว่าเรน่าจะรู้สึกสำนึกบุญคุณ
เพราะเธอรู้สึกว่าชีวิตของอัศวินพวกนั้น…. ไร้ค่าสำหรับเธอเลยก็ว่าได้
แต่ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจเธอนิดหน่อยแล้ว
เพราะอัศวินพวกนั้นอ่อนแอเกินไป
นี่ผมคงต้องหัดควบคุมพลังให้มากกว่านี้หน่อยแล้ว ไม่งั้นหากจะเผลอฆ่าคนโดยไม่รู้ตัวก็ได้
การฆ่าคนสำหรับมันง่ายเหมือนกับการเหยียบแมลงตัวเล็กๆ
ทางด้านเรน่าอาจจะบดขยี้มันอย่างไร้ปราณีเลยก็ได้ เพราะนั่นคงเป็นทัศนคติของเทพ
มนุษย์ไม่มีค่าอะไรไปมากกว่าแมลงในสายตาของเทพ
เอาล่ะ แล้วทางผมล่ะ?
ที่โลกนี้ตัวผมอยู่ในฐานะของมนุษย์รึเปล่า?
ถ้าไม่ใช่ แล้วผมเป็นอะไร?
ในช่วงเวลานั้น ผมรู้สึกถึงความโดดเดี่ยว ผมคือคนที่มีฐานะการดำรงอยู่เหมือนกับเรย์จิ แต่ผมเป็นเพื่อนกับเขาไม่ได้หรอก แล้วเดิมทีทำไมผมต้องไปเป็นเพื่อนกับเรย์จิด้วยล่ะ?
ถ้าหากไม่ใช่เพื่อตัดเขาราชันย์มังกรศักดิ์สิทธิ์ แล้วผมมาที่นี่เพื่ออะไร? เพื่อเป็นเพื่อนกับพวกเขา?
ไม่มีใครตอบคำถามนั้นได้
[ ไม่เป็นไรหรอก ไปกันเถอะเรน่า ]
ผมเดินออกจากซอยพร้อมกับเรน่า