อัศวินดำ - ตอนที่ 24
◆นักปราชญ์ผมดำ จิยูกิ
[ สคิเกอร์ที่เหลือรอดมาได้เหรอ… ]
ฉันจัองมองเรย์จิด้วยสายตาเย็นชาสุดๆ
แต่ใบหน้าไร้ความกระตือรือร้นของเรย์จิก็ดูจะไม่สะเทือน
เขาน่าจะหัดรู้สึกตัวซะบ้างนะ ว่าอย่าไปทำตามที่คนอื่นขอร้องไปซะอย่างน่ะ
อยากน้อยฉันก็อยากให้เขาหัดรู้สึกตัวสักที
[ เพราะศพของกอบลินกับออร์คมันกลายเป็นซอมบี้แล้วมารวมตัวกันแถวกำแพงเมืองเมื่อวานนะสิ แปลว่าอาจจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกัลสคิเกอร์ที่เหลือรอดอยู่ใช่มั้ยล่ะ? ]
สคิเกอร์เป็นมอนสเตอร์ที่ผสมกันระหว่างผู้หญิงกับนกฮูก
ซึ่งเมื่อหนึ่งเดือนก่อน เราน่าจะกวาดล้างพวกมันไปหมดแล้ว
ตอนนั้นเอง ก็ใช้ความสามารถของนาโอะเพื่อค้นหาตัวที่รอดชีวิตอยู่ที่รังพวกมันแล้วนะ
แต่ตอนนี้กลับมีอันเดดที่ถูกสร้างขึนมาเกิดขึ้น
เป็นไปได้มั้ยว่าอันเดดพวกนั้นจะออกมาจากหอคอย?
แต่อันเดดไม่น่าจะเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเองถ้าไม่มีคำสั่ง
พอฉันคิดดู อาจจะเพราะสคิเกอร์ตัวนั้นไม่ได้อยู่ที่หอคอยแต่แรกแล้วไม่ก็มันซ่อนตัวจากการรับรู้ของนาโอะด้วยวิธีการบางอย่าง
เดิมที สคิเกอร์พวกนั้นก็ผิดเองนะ
แต่จากเรื่องที่เรย์จิเล่า ดูเหมือนจะยังสรุปไม่ได้ซะทีเดียวว่าคนร้ายเป็นสคิเกอร์จริงรึไม่
[ แล้วจะทำยังไงล่ะ? ]
ฉันถามเขาอย่างเย็นชา
[ อา… ก็ต้องไปปราบสคิเกอร์เพื่ออาณาจักนี้แน่อยู่แล้ว ]
เรย์จิพูดแล้วยิ้มออกมา
[ หืมม เพื่ออาณาจักรนี้เหรอ…. นั่นคงเป็นคำขอของเจ้าหญิงอัลมีนาล่ะสิ? ]
เรย์จิพยักหน้ากับคำพูดของฉัน
ดูเหมือนเมื่อวานเรย์จิจะไปเดินเที่ยวงานเทศกาลกับอัลมีนาตอนที่เรากำลังแช่น้ำพุร้อนกันอยู่
แล้วเธอก็ขอร้องให้เขาจัดการซอมบี้พวกนั้นให้
แต่ฉันดูก็รู้ว่าเขากำลังโกหก ถ้าแค่เที่ยวงานเทศกาลกับเธอก็ไม่เห็นจำเป็นต้องปิดบังเลย
ยิ่งปิดบังความผิดมันยิ่งเพิ่มขึ้นนะ ฉันจินตนาการถึงสถานการณ์ที่ชายหญิงทั่วไปจะทำกัน ดังนั้นฉันถึงได้มองเขาด้วยสายตาอันเย็นชา
[ แล้วบอกมาสิ ว่าสคิเตอร์ที่ว่ามันอยู่ที่ไหน? ]
[ ไม่รู้สิ? ]
เรย์จิยกมือขึ้นแล้วแสดงท่าทางว่าเขาเองก็ไม่รู้
[ นี่นาย…. ]
ฉันเอามือจับหน้าผาก
ครั้งก่อนพวกสคิเตอร์มันฝ่ายผิดเองที่มาโจมตีเรา เราเลยไปจัดการรังมันที่อยู่ใกล้ๆ ซะ
แต่คราวนี้ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของสคิเกอร์จริงรึเปล่านะสิ
[ โถ่… งั้นถ้าไม่รู้ตัวจริงของคนร้าย แล้วจะไปทำอะไรได้ล่ะ ]
ไม่อยากเชื่อจริงๆ ผู้ชายคนนี้รับคำขอจากเจ้าหญิงมาโดยไม่รู้สถานการณ์เลยเนี่ยนะ
ก่อนอื่นเราต้องตามหาตัวคนร้ายก่อนสินะ? เดี๋ยวก่อนเลย เราไม่มีเวลามาทำแบบนั้น เพราะเรื่องของไดร์ฮาร์ดก็เยอะมากพออยู่แล้ว
[ ดีล่ะ เอาแบบนี้แล้วกัน ]
เรย์จิยิ้มแบบมั่นใจ
ฉันจ้องมองไปที่ดาบของเรย์จิ
[ เรย์จิคุง เพราะนายรับงานนี้มาเอง งั้นก็จริงจังหน่อยแล้วรับผิดชอบซะ ]
[ ฉันจริงจังตลอดนั้นแหละ รู้มั้ย ]
เรย์จิตอบมาอย่างไม่สนใจ
ดูไม่เห็นจะจริงจังเลยสักนิด
[ แต่ตอนนี้ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะตามหาตัวคน้รายได้ยังไงนะสิ ]
เรย์จิรู้สึกตกใจเมื่อได้ยิน
[ ค้นหา? ]
ฉันพยักหน้าแล้วถามเรย์จิไปอีกครั้ง
[ จะไม่ค้นหาคนร้ายเหรอ? ]
เรย์จิพยักหน้า
[ งั้นจะทำยังไง? ]
ฉันถามเขา ส่วนคำตอบของเขาก็คือตามนี้…
[ เพราะช้าหรือเร็ว อีกไม่นานคนร้ายก็จะโผล่หัวออกมาเอง ตอนที่คนร้ายกำลังสั่งซอมบี้พวกนั้นมาโจมตี ฉันจะลงมือตอนนั้นล่ะ ]
ฉันเข้าใจแผนการของเขาแล้ว
[ คนร้ายต้องปรากฏตัวออกมาแน่นอน… ]
แน่นอนล่ะนะ รอให้เกิดเรื่องก่อน
คงจะเร็วกว่าออกไปค้นหาคนร้ายด้วยตัวเอง
ดูเหมือนคำตอบของเรย์จิจะมีความหมายมากอะไรนักหรอก
ก็แค่เขาเกลียดงานพวกรวบรวมข้อมูลหรือตรวจสอบน่ะนะ
เขาไม่เคยคิดจะเลือกตัวเลือกป้องกันไว้ดีกว่าแก้เลย เวลาเกิดเรื่องก็ชอบดาหน้าเข้าไปใส่ปัญหาเสมอ
เพื่อแลกกันกับการที่ให้เรย์จิเคลื่อนไหวก็คือต้องรอให้เกิดเรื่องก่อน
ปัญหาก็คืออาจจะมีผู้ตกเป็นเหยื่อก่อนนะสิ
ไม่เลือกวิธีที่จะป้องกันไว้ก่อน แต่เลือกที่จะจัดการหลังเกิดเรื่องแล้ว บางทีการกระทำของผู้กล้าในความหมายของเขาคงเป็นแบบนั้น และการที่เขาถูกคนอื่นๆ ยกย่องก็เพราะการกระทำแบบนี้ด้วยสิ
[ ถ้างั้นก็รอจนกว่าจะเกิดเรื่องแล้วกัน ]
ฉันคิดว่า [ เอาแบบนั้นเหรอ? ] หลังจากได้ยินคำพูดของเขา
[ เดี๋ยวก่อน คุณจิยูกิ ถ้าพูดถึงสคิเกอร์ละก็…. หมายถึงหอคอยนั้นใช่มั้ยคะ? ]
ชิโรเนะขัดการคุยกันของฉันกับเรย์จิ
หอคอยที่เธอหมายถึงคือหอคอยที่สคิเกอร์พวกนั้นใช้เป็นรัง
[ อืมม บางทีคนร้ายอาจจะอยู่ที่นั้นก็ได้แต่ว่า… ]
[ ในกรณีนี้เราควรไปออกสำรวจที่นั้นกันเถอะค่ะ ]
[ ก็นะ มันทำให้เรารู้เรื่องได้เร็วขึ้นด้วยสิ ]
ฉันตอบกลับด้วยประโยคสั้นๆ
[ มันค่อนข้างเป็นปัญหาจังเลยนะ…. นี่คงดีกว่าสินะที่ตอนนั้นเลือกจะทำลายหอคอยนั้นไปซะ ]
เรย์จิพูดประโยคที่ดูสุดโต่งออกมา แม้ว่าถ้าเป็นพลังของเรย์จิอาจจะไม่มีปัญหาในการทำลายหอคอยนั้น แต่มันก็สุดโต่งเกินไปแล้ว
[ เรย์จิคุง เราไม่รู้หรอกนะว่าสคิเกอร์อยู่ที่หอคอยนั้นจริงรึเปล่านะ ถ้าทำลายหอคอยนั้นไป รับรองว่าหลังจากนั้นไม่มีอะไรให้ตรวจสอบเลยนะสิ ]
ถ้าหอคอยพังยับเยิน แล้วจะตรวจสอบเหตุการณ์ได้ยังไงกันล่ะ?
เราคงต้องไปตรวจสอบกันให้ดีหน่อยแล้ว แต่หอคอยนั้นก็ค่อนข้างน่ารำคาญเพราะด้านในมันคล้ายกับเขาวงกต อีกอย่างฉันไม่อยากเข้าไปในที่ที่มีแต่ซอมบี้พลุกพล่านหรอกนะ
แม้ว่าจะไม่มีเรย์จิ เราก็สามารถทำลายหอคอยนั้นได้เองอยู่แล้ว
[ งั้นวันพรุ่งนี้ไปที่หอคอยนั้นกันมั้ย? ]
ชิโรเนะเสนอ
[ คุณชิโรเนะ ฉันคิดว่าเรื่องการตรวจสอบให้นาโอะจัดการจะดีกว่านะ ]
เรื่องการตรวจสอบชิโรเนะไม่เก่งเท่าไหร่นั้นล่ะ ดังนั้นให้นาโอะทำจะเหมาะกว่า
พอมองไปที่นาโอะ เธอส่ายหัวเพื่อบอกว่าไม่อยากไป ดีเหมือนกัน ฉันเองก็ไม่อยากไปเหมือนกัน
[ พอคิดดูแล้วช่วงนี้ ฉันก็อยากออกเรี่ยวออกแรงสักหน่อยด้วยสิ… ]
นั่นคงเป็นใจจริงของเธอ หลังจากที่เสียเส้นทางกลับไปสู่โลกเดิมเพราะไดร์ฮา์ด ชิโรเนะที่ก็ร่าเริง สงสัยคงอยากจะระบาดความเครียดล่ะนะ
[ เห็นด้วย ฉันเองก็เหมือนกัน ]
เรย์จิเห็นด้วยกับเธอ
[ เอาเป็นว่าครั้งนี้ฉันจะให้ความร่วมมือแล้วกัน คุณชิโรเนะ… ฉันไม่อยากให้คุณเจออันตรายอีก ถ้าเจอเรื่องอันตรายให้หนีให้เร็วที่สุดเลยนะคะ ]
แม้ว่าคราวนี้มันจะไม่มีอันตรายเลยก็เถอะ
[ ใช่ๆ ถ้าคราวนี้ชิเรื่องอันตรายตะโกนออกมาเลยนะชิโรเนะ แล้วฉันจะไปช่วยทันทีเลย ]
เรย์จิบอกให้ชิโรเนะ เรียกถ้าต้องการได้เลย
แม้เรย์จิเขาจะใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายแบบปกติไม่ได้เหมือนฉัน แต่เขาก็ยังสามารถใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายที่เคลื่อนย้ายตัวเองไปยังเป้าหมายที่กำหนดได้
สิ่งที่มันแตกต่างจากเวทมนตร์เคลื่อนย้ายปกติก็คือมันสามารถเคลื่อนย้ายได้ทีละคนและจะล้มเหลวหากเป้าหมายต่อต้าน
เรย์จิมักจะช่วยเวทมนตร์นี้ช่วยเราไว้จากอันตรายเสมอ
ยกเว้นตอนที่ไดร์ฮาร์ดบุกไปที่วิหาร ดูเหมือนจะมีเวทมนตร์ป้องกันการเคลื่อนที่ในวิหาร ทำให้ในช่วงเวลานั้นเขาไปช่วยชิโรเนะไม่ได้
ซึ่งไม่ว่าชิโรเนะจะอยู่ไกลขนาดไหน เรย์จิก็ยังไปได้ทันตราบใดที่เวทมนตร์ไม่ถูกปิดกั้น
[ อือ เข้าใจแล้วล่ะ ]
ชิโรเนะยิ้มหลังจากได้ยินคำพูดของเรา
[ นี่~ เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า ]
ฉันมองไปยังที่มาของเสียง ที่ตรงนั้นมีริโนะกำลังทำแก้มป๋องอยู่
[ ถ้าไม่รีบมากัน อาหารจะเย็นหมดแล้วนะ! ]
อาหารถูกจัดเตรียมวางเสิร์ฟบนโต๊ะข้างหน้าเรา อาหารพวกเราเป็นฝีมือของซาโฮโกะและพ่อครัวหลวงของร็อก
[ ใช่แล้ว อาหารอร่อยๆ ที่คุณซาโฮโกะอุตส่าห์ทำจะเย็นหมดนะคะ มาทานกันเถอะ ]
สุดท้าย เรย์จิก็ไม่ได้ตัดสินใจให้แน่วแน่ว่าอะไรคือสิ่งที่พวกเราควรทำ แล้วชอบทำเป็นเล่นเสมอ
ฉันคัมไปกับทุกคน
จากนั้นงานเลี้ยงเล็กๆ ของเราก็เริ่มขึ้น
◆ อัศวินของอาณาจักรร็อก เร็มเบอร์
[ มีอะไรงั้นเหรออัลมีนา? ]
ขณะที่ข้ากำลังเดินข้างๆ อัลมีนา ข้ารู้สึกว่าท่าทางของเธอพักนี้แปลกไป
[ ไม่เป็นไร… แค่เหนื่อยนิดหน่อยนะ ]
อัลมีนาต้องไปมากับท่านผู้กล้าเสมอเพราะเป็นหน้าที่ของเธอ เป็นธรรมดาที่เธอจะเหนื่อย
ท่านผู้กล้าคงกำลังสนุกกับงานเลี้ยงกับเหล่าภรรยาของเขาอยู่ล่ะมั้ง
เป็นเรื่องธรรมดาที่อัลมีนาจะไม่ถือวิสาสะเข้าไปร่วมด้วย อัลมีนาบอกว่าไม่มีทางที่เธอจะเข้าไปรวมกลุ่มกับสาวสวยพวกนั้นได้หรอก
ซึ่งมันคอยย้ำเตือนใจข้าเสมอว่ามันเป็นเรื่องปกติ เพราะอัลมีนาไม่มีทางไปแทรกกลางสาวงามระดับนั้นได้หรอก กาลิอุสกังวลมากเกินไปแล้ว
[ โอ๊ะ นั่นเร็มเบอร์ไม่ใช่เหรอ? ]
ขณะที่เรากำลังหลบทางให้ผู้คน สามีภรรยากาลิอุสก็เดินตรงมาหาเรา
[ พี่ครับ รุ่นพี่ ทั้งสองคนก็มาเที่ยวงานเทศกาลเหมือนกันเหรอ? ]
[ ไม่รู้สิ พวกเราก็แค่รู้สึกยังไม่อยากกลับบ้านตอนนี้เท่านั้นเอง… ]
[ เอ๊ะ งั้นเหรอครับ มีอะไรงั้นเหรอครับ… ]
กาลิอุสและเพเนโรอายิ้มแบบมีเลศนัยบนหน้า
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
[ จะว่าไปแล้วเร็มเบอร์ล่ะ เป็นยังไงบ้าง? ]
เขาคงกำลังหมายถึงเรื่องของอัศวินแห่งวิหาร
เมื่อตอนเย็น เราเจออัศวินแห่งวิหารห้าคนนอนสลบอยู่ในซอยฝั่งตะวันตก
คนที่พบพวกเขาคนแรกคือชายที่มีบาดแผลบนแข้ง เขาบอกกับกาลิอุสว่าพวกคนคุ้มกกันโดนเล่นงานจนสลบ
หลังจากนั้นกาลิอุสและเพื่อคนนั้นก็พาเหล่าอัศวินไปหาหมอออโรร่าที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ แถวนั้น จากนั้นเขาจึงมาแจ้งให้ข้าและทางคฤหาสน์ของผู้กล้าได้รับรู้ด้วย
บางทีกาลิอุสคงอยากรู้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง
[ ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ตอนนี้พวกเขากลับไปที่คฤหาสน์ของท่านผู้กล้าแล้ว ]
[ งั้นเหรอ แต่ทำเอารู้สึกใจคอไม่ดีเลย ที่มีคนระดับที่จัดการอัศวินพวกนั้นได้อยู่ ]
กาลิอุสขบคิดขณะที่สัมผัสที่คาง
นี่ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ข้ากังวลเหมือนกัน
อัศวินแห่งวิหารของสาธารณรัฐลีนาเรีย ถูกกล่าวว่าเก่งที่สุดในทวีปฝั่งตะวันออก
แต่ละคนมีฝีมือด้านศิลปะการต่อสู้ นอกจากนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ แม้กาลิอุสหรือข้าก็ไม่อาจสูสีกับพวกเขาได้เลย นั่นแหละคือความแข็งแกร่งของอัศวินแห่งวิหาร
คนที่ชนะอัศวินพวกนั้นได้อยู่ในอาณาจักรแห่งนี้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะกังวล
[ น่าเป็นห่วงจังนะ… แต่ถึงจะห่วงไปเราก็ทำอะไรไม่ได้ ]
[ นั่นมันก็จริงล่ะนะ ]
กาลิอุสหัวเราะออกมาเต็มที่เมื่อได้ยินคำพูดของข้า
แล้วอย่างเราจะไปทำอะไรศัตรูที่จัดการอัศวินพวกนั้นแบบสบายๆ ได้ล่ะ?
แต่ก็ดูเหมือนคนที่ทำร้ายอัศวินพวกนั้นจะไม่ใช่คนอันตรายอะไร
เพราะหากพูดถึงบาดแผลแล้ว พวกเขาก็แค่บาดเจ็บนิดๆ หน่อยๆ และคนร้ายก็ไม่ได้ขโมยอะไรไปเลย
บางทีคนๆ นั้นอาจจะแค่สั่งสอนนิดหน่อยเท่านั้น
หากคนร้ายเป็นตัวตนอันตรายอย่างพวกปีศาจล่ะก็คงฆ่าพวกเขาไปแล้ว
ข้ากังวลว่าชายคนนั้นจะมาทำอะไรข้ามั้ยนะ
จากนั้นเราก็แยกจากพวกกาลิอุส
[ ไปกันเถอะอัลมีนา ]
[ ค่ะ เร็มเบอร์ ]
เรายังคงเดินเล่นกันต่อ
แต่ยังไงข้าก็ยังสงสัยเรื่องคนร้ายคดีคราวนี้อยู่ดี ปฏิกิริยาของเมดตอนที่เราพาคนพวกนั้นไปส่งที่คฤหาสน์ของผู้กล้าก็ทำให้ข้าหนักใจไม่น้อย
ถ้าจำไม่ผิด เมดคนนั้นจะชื่อว่าท่านคายะ เธอสวยมากแต่แทบไม่แสดงความรู้สึกเลย จนข้าสงสัยว่าใบหน้าสวยๆ นั้นอาจจะเป็นหน้ากากรึเปล่านะ
การแสดงออกของเมดชื่อคายะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เมื่อเธอเห็นบาดแผลของอัศวินที่วิหาร
เป็นไปได้มั้ยว่าเธออาจจะมีเบาะแสของคนร้ายที่ก่อเรื่องคราวนี้?
แม้ว่าข้าจะอดสงสัยไม่ได้ แต่ก็อยากสนุกกับช่วงนี้กับอัลมีนา
◆ปราชญ์ผมดำ จิยูกิ
[ เรย์จิคุง นี่ดื่มเหล้าอีกแล้วเหรอ?!! ]
ไม่ว่าจะตักเตือนเขาไปกี่ครั้ง เขาก้ไม่ยอมฟัง
เหล้าที่เรย์จิดื่มยังเป็นเหล้ากลั่นอีก
[ ไม่เป็นไรหรอกน่าจิยูกิ เอิ๊กก!! นี่มันเป็นสินค้าใหม่ที่ยอดไปเลยว่ามั้ย? ]
[ ดูเหมือนจะชอบสินะคะเรย์คุง ]
เรย์จิและซาโฮโกะยังคงดื่มด่ำกับการดื่มเหล้าต่อไป
ดูเหมือนพวกเขาจะทำหูทวนลมคำพูดของฉันซะอย่างนั้น
แน่นอน ว่าอาหารของซาโฮโกะอร่อย
ซึ่งเธอทำอาหารญี่ปุ่นสูตรใหม่ขึ้นมา โดยใช้ปลาทะเลที่คล้ายกับปลาซาร์ดีนของโลกเรา
ซาโฮโกะทำอาหารให้เรย์จิโดยใช้ซอสจากปลานั้น
[ ไม่ต้องห่วงหรอกคุณจิยูกิ ถึงเรย์จิคุงจะดื่มเหล้าไปมากแค่ไหนเขาก็ไม่เป็นไรหรอก ]
ชิโรเนะปลอบใจฉัน
แม้ว่าฉันจะพยายามกลั้นหายใจก็ยังได้กลิ่นแอลกอฮอล์เลย
จะเมาเกินไปแล้ว ฉันอยากตอบชิโรเนะออกไป
แต่ชิโรเนะบอกว่า เรย์จิไม่เคยเมาไม่ว่าจะดื่มเหล้าไปมากแค่ไหน ที่โลกเดิมเองก็เหมือนกัน นี่เรย์จิจะมีพลังกายล้นเหลือจนผิดปกติไปแล้วนะ
เพราะเจ้าอาการผิดปกตินั้นหลังจากมาโลกนี้ ทำให้การดื่มระดับนี้ ไม่ใช่ปัญหาเลยสำหรับเขา
ความจริงการทำงานของร่างกายเรามันก็ผิดปกติตั้งแต่มาที่โลกนี้แล้วล่ะนะ
ไม่ว่าเราจะดื่มเราไปเท่าไหร่ก้ไม่มีอาการพิษแอลกอฮอล์แบบเฉียบพลันเลย ที่เขาดื่มไปขนาดนั้นคงอยากอยากแก้แค้นตัวเองสมัยที่ยังอยู่ที่โลกเดิม
ไม่ใช่แค่เหล่า แต่อาหารเองก็ด้วย เราไม่อ้วนขึ้นเลยแม้จะกินไปมากแค่ไหนก็ตาม
หลังจากมาที่โลกนี้เราก็สวยขึ้นกว่าเมื่อก่อนซะอีก
งั้นบางทีความเป็นห่วงของฉันอาจจะไร้ค่าก็ได้
เพราะเดิมทีที่ห้ามเด็กที่ไม่บรรลุนิติภาวะดื่มเหล้าก็เพราะไม่อยากให้ส่งผลเสียต่อร่างกายที่กำลังโตเป็นผู้หญิง ในทางตรงกันข้าม ถ้ามันไม่มีผลเสียต่อร่างกายจะดื่มเข้าไปเท่าไหร่ก็ได้
นอกจากนี้ บางประเทศของโลกเดิม ยังอนุญาตให้เด็กอายุเท่าพวกเราดื่มแอลกอฮอล์ได้อีกด้วย
เป็นธรรมดาที่มีคนที่เป็นข้อยกเว้นเสมอ เช่นเคียวกะเป็นตัวอย่าง ร่างกายของเธอเข้ากันไม่ค่อยได้กับเหล้าตั้งแต่เมื่อโลกเดิมแล้ว พี่น้องคู่นี้ต่างกันจริงๆ เลยนะ สรุปก็คือมันขึ้นอยู่กับการเผาผลาญร่างกายของแต่ละคนด้วย
ร่างกายของเราแตกต่างกันอยู่นิดหน่อยขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน
ดูเหมือนเคียวกะกำลังกังวลเรื่องบางอย่างอยู่
ฉันสังเกตว่าว่ามันแปลกนิดหน่อยที่ไม่เห็นคายะอยู่ข้างตัวเธอ
คายะไม่เคยร่วมโต๊ะอาหารกับเราเลย หรือมันจะเป็นความสัมพันธ์ของนายกับคนรับใช้? เธอมักจะทานอาหารคนเดียวหลังจากที่คนอื่นทานกันเสร็จไปแล้ว
พูดได้ว่า นอกจากตอนที่ทานอาหาร เธอก็ไม่เคยออกห่างเคียวกะเลย แต่ตอนนี้เธอกลับหายไป แล้วเธอไปอยู่ไหนกันนะ?
[ นี่ คุณเคียวกะ… คุณคายะไปไหนเหรอคะ? ]
ฉันถามไปเคียวกะ เพราะเห็นว่าท่าทางคายะแปลกๆ ไป
[ คายะกำลังคอยดูแลอัศวินแห่งวิหารที่ถูกพาตัวมานะคะ ]
[ อา ที่นั้นเองเหรอ… ]
อัศวินแห่งวิหารที่แคลคูลัสกำลังเป็นห่วงถูกพบนอนหมดสติตอนเย็นของวันนี้
ดูเหมือนพวกเขาจะถูกใครสักคนจัดการ อัศวินพวกนั้นจึงถูกแบกมาที่นี่เพราะพวกเขาขยับตัวไม่ได้ แต่ก็ยังพูดได้อยู่
ซึ่งดูเหมือนคายะจะอยากรู้ว่าพวกเขาถูกใครจัดการ
หลังจากนั้นคายะก็กลับมาอธิบายสถานการณ์
[ ผลเป็นยังไงบ้างคะคุณคายะ? เจออะไรบ้างมั้ย? ]
คายะเบนสายตามาทางฉัน
[ ดูเหมือนบุคคลที่ก่อเหตุคราวนั้น ตอนนี้จะมาอยู่ในอาณาจักรนี้แล้วค่ะ ]
ทุกคนต่างจดจ้องไปที่คายะ หลังจากได้ยินเธอพูด
[ พูดถึงเรื่องอะไรคะ คุณคายะ? ]
ฉันอยากได้รายละเอียดน่ะ
[ จากสภาพบาดแผลแล้ว คนที่จัดการอัศวินเหล่านั้นได้ดูจะเป็นยอดฝีมือ บางทีแม้เป็นฉันก็คงสู้กับเขาไม่ได้ ]
จากนั้นคายะก็เล่าถึงสภาพบาดแผลของพวกอัศวิน
อัศวินแห่งวิหารเหล่านั้นพ่ายแพ้อย่างหมดท่าแล้วโดนสะกัดจุดแต่ก็ยังไม่ตาย ปัญหาคือคนที่จัดการพวกเขาได้คือผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้เป็นอย่างมาก เป็นงานยากทีเดียวแม้จะเป็นคายะ แต่ก็ไม่มีบาดแผลที่เห็นได้ชัดเจน ดูเหมือนอัศวินหนึ่งในนั้นจะพอขยับได้บ้างแล้ว หลังจากใช้เวทรักษาไป
ซึ่งจากการสรุปของคายะ คนที่จะทำได้มีอยู่ไม่มากและคนร้ายในเหตุการณ์นี้น่าจะมีเพียงคนเดียว
[ เอ่อ… คนร้ายที่คุณคายะหมายถึงคือคนที่นวดหน้าอกคุณเคียวกะเหรอคะ? … ]
คายะพยักหน้าตอบรับคำตอบของริโนะ
[ มีความเป็นไปได้สูงค่ะ ]
ทุกคนแสดงสีหน้าตกใจ
[ เป็นธรรมดาที่จะคิดล่ะนะ เพราะหมอนั่นต้องตามเรามาแน่… ]
ชิโรเนะตั้งคำถามด้วยสีหน้าหนักใจ ความจริงฉันเองก็หนักเหมือนกัน
[ ดูเหมือนแผนการคอสเพลย์จะได้รับการพิสูจน์แล้วนะ ว่าประสบผลสำเร็จ… ]
[ อืม ดูเหมือนจะใช่นะ…. ดูเหมือนแผนการนี้จะได้ผลจริงๆ ]
ฉันตกใจจริงๆ นะขอบอก
ดูเหมือนเจ้าโรคจิตที่ถูกอัญเชิญมาโลกนี้ จะมีฝีมือเทียบเท่ากับคายะ
[ งั้นเราจะทำยังไงกันต่อดีคะ? ]
คายะถามทุกคน
[ อืมม… เอาไว้ไปตามหาเขาพรุ่งนี้แล้วกัน… ]
ทุกคนต่างส่งเสียงไม่พอใจออกมาตอนที่ฉันบอกไป ฉันก็ไม่อยากเจอเจ้าโรคจิตนั้นเหมือนกันแหละน่า
แต่เขาคือเส้นทางที่เราจะกลับไปยังโลกเดิมได้นะ
[ เอ่อ… ฉันขอไม่เข้าร่วมการค้นหาเขาคงได้นะ? เพราะพรุ่งนี้จะไปที่หอคอยนะ ]
คำพูดของชิโรเนะพูดด้วยเสียงเบาๆ
นี่เธอคิดจะหนีล่ะสิ การค้นหาเจ้าโรคจิตนั้นต้องให้ความสำคัญสูงสุดแต่เรื่องการใช้ความรุนแรงอยู่ในระดับต่ำสุด
[ ช่วยไม่ได้นะ… ]
ฉันตอบรับเธอไป
[ อ๊าาา ขี้โกงง!! ]
[ ชิโรเนะเป็นคนขี้โกง!! ฉันเองก็จะไปหอคอยด้วย!! ]
ริโนะกับนาโอะกำลังร้องเรียน
[ ไม่ได้หนีสักหน่อยนะ ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้เราจะเจอเขาทันทีซะที่ไหน ถ้าไม่มีอะไรคืบหน้า ยังไงชิโรเนะก็ต้องมาออกค้นหาร่วมกับพวกเราอยู่แล้ว ]
ขนาดพวกเราพยายามตามหาเขาทั่วทั้งลีนาเรียยังตามหากันไม่เจอเลย นี่มันก็แค่การยืดเวลาออกไปเท่านั้นเอง
อีกอย่าง ตอนนี้เราก็ยืนยันได้แล้วว่าเจ้าโรคจิตนั้นอยู่ใกล้ตัวพวกเรา ยังไงก็มีให้หวังล่ะนะ
[ อย่าห่วงเลยริโนะ นาโอะ ถ้าเจ้านั้นโผล่มาฉันจะซัดให้หมอบเลย ]
เรย์จิยิ้มออกมาอย่างกล้าหาญ
[ เรย์จิคุง… ]
[ รุ่นพี่เรย์จิ… ]
ริโนะกับนาโอะคล้อยตามคำพูดของเรย์จิ
นี่รู้มั้ย ว่าเป้าหมายของเราไม่ใช่การไปซัดเจ้าโรคจิตนั้นหรอกนะ
[ ว่าแต่คุณคายะ อัศวินพวกนั้นเห็นหน้าเจ้าโรคจิตนั้นมั้ยคะ? ]
ฉันสังเกตเห็นใบหน้าของคายะเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นคายะก็ตอบคำถามของฉัน
[ ดูเหมือนจะมีใครบางคนไปทำอะไรสักอย่างกับจิตใจพวกเขานะคะ ]
ฉันรู้สึกตกใจเล็กน้อยที่ได้ยินเรื่องนั้นจากคายะ
ถ้าเป็นเวทมนตร์ควบคุมจิตใจ ซึ่งมีผลทั้งด้านความทรงจำและยังสามารถทำให้ความทรงจำหายไปได้
การจะทำให้ความทรงจำบางส่วนหายไปนั้นยากมาก จึงถือเป็นเวทมนตร์ที่ยากที่สุด
[ หมายความว่าความทรงจำของพวกเขาถูกลบไปงั้นเหรอ? ]
คายะพยักหน้า
เป็นไปได้ว่าเจ้าโรคจิตนั้นอาจจะลบความทรงจำพวกเขา หลังจากที่จัดการไป
[ เป็นไปได้มากเลยค่ะ แม้พวกเขาจะสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้แล้ว แต่ดูเหมือนความทรงจำในวันนั้นจะหายไปหมดเลยค่ะ ]
คายะพูดด้วยเสียงเศร้า
[ น่า ก็มันเป็นเวทมนตร์ที่ทำให้สูญเสียความทรงจำนี่นะ แต่ว่า… ]
ฉันไม่แน่ใจว่ามันเป็นผลจากเวทมนตร์ควบคุมความทรงจำหรือเวทมนตร์ลบความทรงจำกันแน่ เพราะผลของมันคล้ายคลึงกัน
เวทมนตร์ควบคุมความทรงจำนั้นจะสามารถควบคุมของทรงจำได้ มีความยากกว่าเวทมนตร์ลบความทรงจำ เพราะมีผลแค่บิดเบือนความทรงจำอีกฝ่าย แต่จะไม่ได้ผลหากเป้าหมายมีพลังเวทมากกว่า
นั่นคือเหตุผลว่าที่ความทรงจำของพวกเขาหายไปเพราะกรณีไหนกันแน่
ในกรณีของเวทมนตร์ลบความทรงจำ มีความเป็นไปได้สูงว่าอัศวินแห่งวิหารจะเห็นหน้าอีกฝ่าย
เราทำอะไรกับข้อมูลพวกนั้นไม่ได้เลยรึไงนะ?
[ บางทีคงไม่มีทางเลือกนอกจากพึงพาคุณริโนะ… ]
ฉันมองไปทางริโนะ
ริโนะสามารถใช้เวทมนตร์เพื่อแทรกเข้าไปในจิตใจของเป้าหมายได้ด้วยเวทมนตร์เข้าไปในจิตใจ
จากนั้นเธอก็จะรู้ข้อมูลที่ลืมไปได้ด้วย ตราบใดที่เข้าใจไปในจิตใจลึกพอ
[ เอ๋~ ไม่เอาด้วยหรอก… ]
แต่ดูเหมือนริโนะจะไม่เห็นด้วยกับไอเดียนี้
ดูเหมือนเธอจะไม่ชอบพวกอัศวินนั้น งั้นก็มไม่มีทางเลือก
เวทมนตร์เข้าไปในจิตใจเป็นเวทที่ส่งผลอย่างมากต่อผู้ใช้ โดยเฉพาะริโนะที่นิสัยค่อนข้างพิเศษ เธอจึงไม่ชอบที่จะเข้าไปในจิตใจของคนที่เกลียด
การเข้าไปในจิตใจคนอื่นมันก็เป็นเรื่องของอารมณ์ล่ะนะ มันดูใกล้ชิดกันยิ่งกว่าการมี *** กันซะอีก ดูเหมือนเธอจะไม่อยากทำนัก ถ้าไม่ใช่กับคนที่ตัวเองรัก
สุดท้ายเราก็ตามรอยเจ้าโรคจิตนั้นจากความทรงจำไม่ได้
[ งั้นก็ช่วยไม่ได้ ถ้าคุณริโนะไม่อยากล่ะก็ไปออกค้นหาแทนแล้วกัน ]
การเข้าไปในจิตใจมันได้ผลมากเลยนะ แต่หากคนที่จะเข้าไปไม่ยินยอม ก็ช่วยไม่ได้
แต่ฉันสงสัยจริงๆ ว่าเจ้าโรคจิตนั้นเป็นคนยังไงกันแน่? ทำไมถึงต้องซ่อนตัวด้วย?
แล้วตอนนี้หมอนั่นกำลังทำอะไรอยู่?
เวลายามค่ำคืนก็ยังคงไหลไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายฉันก็ไม่เข้าใจสถานการณ์อยู่ดี
◆ อัศวินดำคุโรกิ
ยามค่ำคืนผ่านไปและรุ่งเช้าได้มาเยือนแล้ว
เมื่อผมลืมตาตื่น ผมก็รู้สึกว่าตัวเองขยับตัวไม่ได้
เหตุผลเพราะข้างบนตัวผมมีใครบางคนกำลังนอนอยู่
คนที่นอนทับผมอยู่คือเทพธิดาที่มีใบหน้าอันงดงามและเส้นผมอันเปล่งประกาย
จากนั้นใบหน้าของผมก็เปลี่ยนเป็นสีแดง เมื่อนึกถึงเรื่องราวเมื่อคืน
เทพธิดาคนนั้นลืมตาตื่นขึ้น
[ ฟุ คุโรกิ- เอ๋~ ทำไมล่ะ? ]
พูดตามตรงผมไม่กล้ามองหน้าเธอเลย
ผมนึกถึงเมื่อคืน ที่จู่ๆ เรน่าก็แปลกไปแล้วเธอกับผมก็…
[ เอ๋~ … กรี๊ดดดดดด~ !!! ]
ดูเหมือนในที่สุดเธอก็เงียบไปแล้ว เธอร้องคร่ำครวญด้วยใบหน้าแดงแจ๋
[ เอ่อ เร- บุอั๊กกก!? ]
จู่ๆ เธอก็ต่อยใส่ผมขณะที่ผมพยายามจะพูดกับเธอ
ผมเองก็รับมือกับเรื่องกระทันหันแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ
ผมแอบเหลือบมองเรน่า ขณะที่กำลังลูบหน้าที่โดนเธอต่อยเข้ามา เธอจ้องมาที่ผม
จากนั้นเธอก็เอาหน้าเข้ามาใกล้ผม
[ มองตาฉันซะคุโรกิ!!! ]
[ อะ เอ๋ !! ]
หัวของผมยังคงสับสนแต่ก็มองไปในดวงตาของเธอ ตามที่เธอบอก
ดวงตาจองผมที่จ้องมองสายตาอันงดงามของเธอ มันทำให้ผมใจเต้นแรง
ดวงตาของเธอกำลังส่องประกาย แสงนั้นกำลังตกกระทบร่างกายผม ผ่านสายตาดวงนั้น
แม้ผมจะรู้ดีว่าเธอพยายามจะใช้เวทมนตร์อะไรสักอย่าง แต่ผมก็ต้านทานเธอไม่ได้
[ จงลืมมมม~~ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น~~ ให้หมดซ๊าาาาา ~~ !!! ]
เสียงกรีดร้องของเรน่าดังขึ้น
เวทมนตร์ลบความทรงจำ?
ในที่สุดผมก็รู้แล้วว่าเธอกำลังจะใช้เวทมนตร์แบบไหน
จิตใต้สำนึกของผมลืมจางลง
[ ฟุเอ๋! ! ! ! ]
แม้ผมจะได้ยินเสียงเรน่ากำลังทำอะไรสักอย่าง ขณะที่ร้องไห้อยู่ แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้
◆นักปราชญ์ผมดำ จิยูกิ
เราต้อนรับแขกมาเยือนที่ไม่พบได้ไม่บ่อยนัก ในตอนเช้า
ดวงตาฉันเบนสายตาไปยังปีกที่อยู่ข้างหลังเธอ
นางฟ้า
เผ่านางฟ้าไม่ค่อยลงมาที่พื้นโลกนักหรอก จึงเป็นเหตุผลที่พบได้ไม่บ่อยนัก
ฉันถูกปลุกก็เพราะแขกคนนี้นี่ล่ะ
[ ขอโทษที่รบกวนตอนเช้านะ จิยูกิ ]
นางฟ้าคนนี้ดูจะไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรเลย ดูจากน้ำเสียงเธอ
เผ่านางฟ้าเป็นเผ่าที่มีปีกสวยงามติดที่ข้างหลัง แต่ฉันไม่ค่อยชอบพวกเขาเท่าไหร่เพราะพวกเขามองมนุษย์ด้วยสายตาเย่อหยิ่ง
[ น่า ก็ไม่สำคัญหรอก … แล้วมีเรื่องอะไรล่ะเนียร์? ]
ความจริง ฉันไม่อยากมาคุยกับเธอหรอกนะ แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะดูเหมือนจะเป็นเรื่องเร่งด่วน แม้จะง่วงอยู่ก็เถอะ
เนียร์เป็นหัวหน้าของวาลคีเรียที่คอยคุ้มครองเรน่า ฉันเองก็เคยเจอเธอแค่ครั้งเดียว
แค่เคยคุยกันในการประชุมเท่านั้น สงสัยจังนะว่ามันเป็นเรื่องสำคัญแค่ไหน
ฉันได้ยินเสียงจากในคฤหาสน์ ดูท่าเพราะนางฟ้าลงมาที่พื้นโลกเลยทำให้ส่งเสียงโวยวายกัน
จริงๆ ก็อยากให้ซ่อนตัวกันหน่อยนะ แล้วไอ้การเอะอะแบบนี้นี่ไม่ไหวเอาซะเลย
[ ดูเหมือนท่านเรน่าจะไม่ได้มาที่นี่สินะคะ? ]
เนียร์พูดเชิงคำถาม
[ เอ๊ะ เรน่าอะไรน่ะ? ]
ตั้งแต่มาอาณาจักรนี้เราก็ยังไม่ได้เจอเรน่าเลยนะ
[ ค่ะ ที่จริงแล้วเราขาดการติดต่อกับท่านเรน่าตั้งแต่เมื่อคืน เลยนึกว่าท่านมาที่นี่ แต่ว่า… ]
เนียร์บอกสถานการณ์ด้วยสีหน้าทุกข์ใจ
[ เรน่า? ยังไม่เห็นเธอมาที่นี่เลยนะ? ]
ฉันตอบกลับไป แล้วใบหน้าของเนียร์ก็ซีดลงกว่าเดิม
[ อย่าบอกนะ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านเรน่า… ]
ตัวของเนียร์สั่นไปหมด ดูเหมือนเธอจะกำลังจินตนาการอยู่ น่าเป็นห่วงแฮะ
แค่เรน่าหายไปแค่คืนเดียว เธอก็เป็นห่วงซะขนาดนี้ อีกอย่างเรน่าไม่ใช่เด็กแล้วนะ
[ งั้นต้องรีบออกค้นหาโดยทันที!! ]
[ เอ่อ…. เนียร์… ]
ฉันพยายามบอกให้เนียร์สงบใจไว้
ในเวลานั้นเอง ฉันก็รู้สึกถึงพลังเวทอันทรงพลังจากข้างนอก
เมื่อมองผ่านหน้าต่างก็เห็นแสงที่กำลังบินอยู่บนฟ้า
[ เอ๊ะ ท่านเรน่า!! ]
เนียร์ตะโกนเสียงดัง
วัตถุที่ส่องแสงนั้นคือสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงเอลีอัส
[ หวา!! พวกเราไล่ตามท่านเรน่าไปเร็ว!! จิยูกิ!! ไว้คุยกันทีหลังนะคะ!! ]
หลังจากนั้นเนียร์ก็ออกไปจากห้องฉันเมื่อเห็นแสงที่ผ่านหน้าต่างไป
ฉันถูกทิ้งคนเดียวไว้ในห้องตามลำพังเช่นเดิม
[ นี่มันเกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย? ]
◆ อัศวินดำคุโรกิ
พอผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ก็รู้สึกเจ็บที่หน้าแบบสุดๆ
ทำไมผมถึงมานอนอยู่ตรงนี้?
ผมน่าจะนอนอยู่บนเตียงสิ
ผมพยายามนึกถึงเรื่องเมื่อคืน
[ เอ๊ะ !! เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นกันนะ? ]
ผมจำไม่ได้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง
[ ใช่แล้ว จู่ๆ เรน่าก็เข้ามาจูบผม… แล้วก็จากนั้น~ …. จำไม่ได้เลย ]
ผมจำใบหน้าอันงดงามของเรน่าที่เข้ามาใกล้ผมได้
แต่พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนก็ปวดหัวขึ้นมา
เป็นไปได้มั้ยว่าเธอจะให้ผมดื่มยานอนหลับตอนที่จูบผมน่ะ?
จากนั้นเธอก็พยายามทำอะไรสักอย่าง หลังจากที่ผมหลับไป?
เรน่าออกไปจากห้องแล้ว
ผมรู้สึกเหมือนสิ่งสำคัญหายไป เมื่อตื่นมาแล้วไม่เจอเรน่า
แม้ผมจะไม่รู้เหตุผล แต่ใหน้าของเรน่ายังคงล่องลอยอยู่ในหัวของผม
ใครก็ได้ช่วยผมบอกทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น?
[ คิดไม่ออกเลยสักนิด~!! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!! ]
ผมม้วนตัวอยู่บนเตียงขณะที่กุมหัว
พอผมหมุนไปรอบๆ ร่างกายของผมก็ไปสะดุดกับอะไรบางอย่าง
[ เอ๊ะ? ]
ผมมองดูขวดเล็กๆ ที่ตกอยู่บนเตียงของผม
[ นี่มันอะไรกันนะ? ]
ข้างในขวดดูเหมือนจะเคยใส่อะไรบางอย่างไว้ แต่ดูเหมือนมันจะหกใส่เตียงผมหมดแล้ว
บางทีเรน่าอาจจะเผลอทำตกไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ
มันเป็นจะเป็นยาเวทมนตร์ แต่ผมไม่รู้ว่ามันคือยาอะไร เพราะมันว่างเปล่าไปแล้ว
บางทีมันอาจเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป้าหมายของเรน่าก็ได้
ผมพยายามค้นหาเบาะแสเพิ่ม
ผมพยายามมองไปรอบข้าง ห้องของผมดูรกนิดหน่อย
[ อืม… ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่ดี… แต่คงต้องทำความสะอาดแล้วล่ะ… ]
ผมเลยทำการทำความสะอาดเตียงด้วยเวทมนตร์ ที่เตียงมีสองอย่างตกอยู่
หนึ่งคือผ้าอะไรสักอย่าง
เมื่อผมมองไปที่ผ้านั้น มันมีขนาดเล็กมาก
ในใจผมเตือนว่าให้เอาไปด้วย
[ เก็บไว้ก่อนแล้วกัน… พกติดตัวไปก็ไม่เสียหาย ]
ไม่รู้หรอกนะ แต่สัญชาตญาณของผมบอกให้ทำอย่างนั้น
อีกชิ้นหนึ่งเป็นวัตถุ
พอผมลองหยิบขึ้นมาดู
มันคือสร้อยคอที่มีอัญมณีสีดำอยู่ตรงกลาง
[ นี่มันสร้อยคออะไรกันนะ? ]