อัศวินดำ - ตอนที่ 33
◆ อัศวินดำคุโรกิ
ผมบินไปที่เทือกเขาอาเครอนด้วยโกเรียส ที่ตรงนั้นมีหลุมขนาดใหญ่ที่ค่อนข้างลึกอยู่
ในหลุมนั้นมีก็อบลินอยู่ แต่มันมืดมากเลยมองไม่เห็น พวกก็อบลินมักจะอาศัยในที่อับแสงเช่นถ้ำหรือสถานที่ที่คล้ายกัน
ผมให้โกเรียสร่อนลงที่ทางเข้าถ้ำ
ผมกระโดดลง จากนั้นก็อุ้มคุนะที่อยู่ข้างหลังลงด้วย
[ คุโรกิที่นี่คืออาณาจักรคารอนเหรอ? ]
คุมองมองไปที่หลุมนั้นและพูดออกมา ผมพยักหน้า
[ ผมเองก็ไม่แน่ใจ… เพราะเพิ่งมาครั้งแรกเหมือนกัน ]
อาณาจักรคารอนก็คืออาณาจักรของก็อบลินซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเทือกเขาอาเครอนของนากอล
เป็นอาณาจักรของก็อบลินที่อยู่ภายใต้การปกครองของโมเดส มีอีกชื่อหนึ่งว่าอาณาจักรคารอน ผมไม่รู้หรอกนะว่ามีก็อบลินอยู่เท่าไหร่ แต่ดูเหมือนจะถ้ำที่มีก็อบลินมากที่สุดแล้วล่ะ
เมื่อผมยืนอยู่หน้าทางเข้าก็มีก็อบลิน 5 ตัวเดินเข้ามา
ดวงตาของผมจับจ้องไปยังก็อบลินที่ยืนอยู่ตรงกลาง เพราะปกติแล้วก็อบลินจะมีส่วนสูงแค่ประมาณเด็ก 10-12 ปีของมนุษย์เท่านั้น แม้ว่าจะเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม แต่ก็อบลินที่อยู่ตรงตรงนั้นดูตัวสูงกว่าก็อบลินรอบๆ อย่างเห็นได้ชัด
[ กำลังรออยู่เลยท่านไดร์ฮาร์ดโกบุ ชื่อของเราคือเคนโนโกบุ ]
ก็อบลินตัวใหญ่ที่อยู่ตรงกลางก้มหัวลง
[ โกบุ? ]
ปกติที่จะได้เห็นก็อบลินพูดก็หาได้ยากอยู่แล้ว แต่เคนโนกลับพูดได้อย่างชัดถ้อยคำ ถึงแม้จะมีคำแปลกๆ ต่อท้ายประโยคก็เถอะ
หลังจากก็อบลินตัวใหญ่นั้นก้มหัวให้ผม จากนั้นเขาก็ขยับไปข้างๆ ซึ่งตรงนั้นมีคุนะอยู่
[ ส่วนทางนี้คือคุณนายสินะโกบุ ]
เขาก้มหัวลงให้คุนะ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ซะทีเดียวอย่างที่เขาว่าก็เถอะ
[ คุณนาย… งั้นเหรอ ]
คุนะพึมพำ ทำไมกันนะ? คุนะถึงได้ดูดีใจนิดหน่อย
[ เชิญทางนี้ ท่านราชินีกำลังรออยู่โกบุ ]
เคนโนนำทางพวกเรา
เราเดินผ่านแนวรังก็อบลิน ในรังของก็อบลินมืดมากและมีเพียงแสงจากโคมไฟเพียงน้อยนิดส่องมาเท่านั้น แต่สำหรับผมที่มองเห็นในที่มืดได้นั้นไม่มีปัญหา แต่แสงนั้นช่วยคุนะได้มากเลยล่ะ
ผมเดินผ่านเหล่าก็อบลินมากมาย
เผ่าก็อบลินมีขนาดเท่าๆ กับเด็กอายุ 10-12 ปีจากเด็กชาวมนุษย์แต่ก็มีแรงเทียบเท่ากับมนุษย์ผู้ใหญ่ หัวแข็งเหมือนหินและปกติแล้วจะใช้อาวุธที่ไร้คม การโจมตีต้องเน้นไปที่ส่วนอื่นนอกจากหัว แต่หากอยากเลี่ยงการต่อสู้ก็ควรร้องเพลง เพราะก็อบลินชอบเสียงร้องเพลงที่ไพเราะมาก
ก็อบลินปกติจะอาศัยอยู่ในถ้ำและป่าและระดับอารยธรรมก็เหมือนกับในหนังสือที่เราๆ รู้กัน
นั้นเป็นก็อบลินทั่วไป แต่ก็อบลินที่นี่ได้รับการสั่งสอนจากลูคัสแล้ว ดังนั้นก็อบลินที่ผมเดินผ่านจนถึงตอนนี้ก็ต่างได้รับการสั่งสอนมาหมดแล้ว
แต่ในอาณาจักรคารอนนี้จะแตกต่างจากก็อบลินธรรมดาอยู่มาก ระดับการอารยธรรมของพวกเขาสูงมาก เสื้อผ้าที่ส่วมใส่เองก็ไม่ด้อยไปกว่าที่ผมเห็นในอาณาจักรร็อก กำแพงถ้ำไม่ใช่เอาแต่ขุดแต่ยังถูกตกแต่งให้ราบเรียบ
อุปกรณ์สวมใส่ของเคนโนที่เดินอยู่ข้างหน้าผมก็ไม่ด้อยไปกว่าอัศวินของมนุษย์
ในที่สุดเราก็มาถึงยังลานกว้าง ห้องนั้นสว่างไสวเพราะแมลงที่มีแสงไฟบินไปมา
ที่ด้านหลังห้องนั้นมีก็อบลินตัวใหญ่นั่งอยู่ ส่วนสูงน่าจะพอๆ กับผม แต่ดูเหมือนจะอ้วนทำให้ขยับได้ยาก ก็อบลินส่วนใหญ่แล้วจะตัวเรียวเล็กซะมากกว่า ผมรู้สึกได้ถึงพลังเวทมหาศาลจากก็อบลินตัวนั้น พลังเวทที่แข็งแกร่งจนเทียบได้กับเผ่าปีศาจ
[ ใหญ่จัง… ]
คุนะพึมพำ ผมเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเรียกว่าก็อบลินดีมั้ย เพราะเธอคือราชินีของอาณาจักรคารอนนี่นะ?
[ ท่านไดร์ฮาร์ดนี่คือราชินีของพวกเรา ท่านดาเทียโกบุ ]
เคนโนชี้ไปยังก็อบลินตัวใหญ่ ผมเห็นเป็นก็อบลินอ้วนมากกว่าจะเป็นราชินีซะอีก มองยังไงก็ไม่เห็นว่าก็อบลินตัวนั้นจะเป็นผู้หญิงเลย แต่ผมไม่ปากเสียพูดออกไปหรอก
[ ยินดีต้อนรับสู่อาณาจักรคารอนของเรา ฝ่าบาท ]
ดาเทียก้มหัวลง
ผมถอดหมวกเกราะออกแล้วถือไว้ อีกฝ่ายเป็นคนใหญ่คนโต การพูดคุยโดยสวมหมวกไว้ดูจะไร้มารยาทไปหน่อยนะ
[ ดูเหมือนจะมีปัญหา เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ? ]
ทั้งที่ผมยังไม่ได้พูดอะไรแต่เหงื่อของดาเทียกลับไหลออกมา เธอหนาวไปถึงกระดูกเพราะสัมผัสได้ถึงสายตา
[ คุโรกิอุตส่าห์มาถึงที่นี่แต่ถ้าเธอพูดเรื่องน่าเบื่อล่ะก็คุนะไม่ยกโทษให้แน่! ]
พลังเวทมหาศาลถูกปล่อยออกจากตัวคุนะ
[ เดี๋ยว! คุนะ! ]
ผมตกใจ
ก็อบลินในห้องนี้รวมทั้งดาเทียและเคนโนต่างหวาดกลัวต่อคุนะ
ดูเหมือนมันจะเกี่ยวกับดาเทียล่ะมั้ง
[ ขออภัยด้วยฝ่าบาท ]
ดาเทียขอโทษ
[ เอ่อ ไม่เป็นไร คุนะใจเย็นก่อน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? ]
ผมถามคุนะออกไป แต่เป็นดาเทียที่เป็นคนตอบมาแทน
[ ที่จริงแล้ว เมื่อไม่นานนี้พวกมนุษย์กำลังโจมตีเทือกเขาอาเครอน ]
[ เอ๊ะ… ]
ผมตกใจกับคำพูดของดาเทียเพราะมันเป็นเรื่องใหญ่มากเลยนะ
[ เอ่อ…. กลุ่มของพวกเรย์จิเหรอ? ]
ทีแรกผมก็ให้นัคไปคอยเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของพวกเรย์จิไว้แล้วและนัคบอกว่าพวกเรย์จิกำลังไปทางตะวันตกของทวีป นี่พวกเขามาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ?
[ ไม่ ไม่ใช่ผู้กล้าแห่งแสงหรอกค่ะ เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเล่าให้ท่านฟังหรอกค่ะ… แต่ถ้าเป็นกรณีนี้… ]
พวกเขาพูดเพราะมันเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินใจ
หากเรย์จิมาโจมตี อาณาจักรคารอนนี้ก็คงด่านแรกในการเข้าสู่นากอลคงจะโดนทำลายก่อนเพื่อน เหมือนครั้งก่อนนั้นล่ะ
ในตอนนั้นเพราะด้านข่าวสารของนากอลที่ล้าหลังทำให้แม้ว่าพวกเรย์จิจะเข้ามาก็ยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
จากบทเรียนในตอนนั้น ทำให้เราติดตั้งสัญญาณเตือนภัยเวทมนตร์ไว้ที่นากอล ซึ่งหากมีเรื่องผิดปกติมันก็จะแจ้งเตือนทันที แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนก็ตาม
[ ตอนแรกเราเองก็แค่คิดว่าชนเผ่าทางตอนใต้กำลังมาโจมตีอาณาจักรคารอนเท่านั้น … เพราะเรามักจะต่อสู้กับชนเผ่าทางใต้ค่ะ แต่เพราะจำนวนมันต่างกันเราถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ชนเผ่าทางใต้ ]
[ เพราะงั้นถึงได้รู้ว่าพวกมนุษย์มารุกรานเหรอ? ]
ดาเทียพยักหน้า
[ พวกเขายังข้ามสันเขามาไม่ได้หรอกค่ะ แต่พวกเขาก็ยังมาโจมตีอาณาจักรคารอนจากทางใต้หลายต่อหลายครั้ง เรื่องเหตุผลฉันเองก็ไม่รู้ค่ะ… ฉันกลัวมากเลยค่ะฝ่าบาท ]
ดาเทียบิดโยกร่างกายไปมา มันดูน่าขยะแขยงจังแฮะ
เรื่องเหตุผลมันแน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? ง่ายนิดเดียว เพื่อกวาดล้างก็อบลินไงล่ะ
[ แต่ถ้าคุณบอกว่าไม่ใช่เรย์จิ ก็แปลว่ารู้สินะครับว่าพวกเขาเป็นใคร? ]
ถึงผมจะไม่รู้ว่าก็อบลินแยกแยะหน้าตาของมนุษย์ได้มั้ย แต่คงต้องลองถามดูก่อน
[ ถ้าเขาเป็นคนที่หล่อเหมือนผู้กล้าแห่งแสงฉันเองรู้ได้ทันทีค่ะฝ่าบาท หากพวกเขาโจมตีมาอีกครั้งฉันคงต้องเสียสละตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้เขาโจมตีนากอลได้ ]
ผมสงสัยในคำพูดของดาเทีย นี่พวกเขาลืมไปแล้วเหรอว่าตัวเองเป็นก็อบลิน ถึงได้มีความรู้สึกรักกับมนุษย์น่ะ?
เรย์จิเองก็น่าสงสารเหมือนกันแฮะ
[ ชายคนนั้นถูกเรียกว่าผู้กล้าแห่งอัลโกลี่-พาซิสค่ะ และฉันยังให้ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการวาดรูป วาดหน้าเขาแล้วนำกลับมาให้ค่ะ แน่นอนว่าเขาเองก็หล่อแต่ก็น้อยกว่าผู้กล้าแห่งแสงอยู่ดีค่ะ ]
ดาเทียพูดขณะที่ยังสั่นเหมือนเดิม
แต่ผมรู้สึกสะกิดใจอะไรสักอย่างกับคำพูดของดาเทีย
[ อัลโกลี่… ประเทศของเรจิน่า ]
ผมรู้สึกตัวก็เพราะคำพูดของคุนะ
[ ใช่แล้ว นั่นมันประเทศของเรจิน่าไม่ใช่เหรอ? ]
อาณาจักรอัลโกลี่ควรจะถูกปกครองโดยราชา-พ่อของเรจิน่า
เธอเองก็ไม่ได้บอกอะไรมากด้วยสิ ว่าก่อนมาที่อัลโกลี่สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง
ทำไมผู้กล้าของอัลโกลี่ถึงได้โจมตีก็อบลินของเทือกเขาอัลโกลี่?
แม้ว่าจะเคยได้ยินเรื่องจากเรจิน่ามาบ้างแต่ก็ไม่รู้ว่าพวกมีเหตุผลอะไรอยู่ดี ตระกูลของเรจิน่าถูกฆ่าเพราะผู้ปกครองอาณาจักรอัลโกรี่ในปัจจุบัน ดังนั้นถ้าผมไปถามเธอ อาจจะทำให้เธอนึกถึงเรื่องแย่ๆ เอาได้
และยังมีความเป็นไปได้ว่าผู้กล้าคนนั้นก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขับไล่ตระกูลของเรจิน่า ดังนั้นคงไปถามเขาไม่ได้
เรจิน่ายังแค้นคนพวกนั้นอยู่มั้ย? ถ้าเรจิน่าไม่พูด ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอก
แต่ผมเองก็ไม่รู้สึกถึงความแค้นจากตัวเธอเลย ผมเองก็ไม่อยากช่วยเธอแก้แค้นด้วยล่ะนะ
ว่ากันตามตรงผมก็ไม่รู้ว่าจะเอายังไงกับเธอดี มันคงไม่ดีหรอกที่ให้เธออยู่ในนากอลซึ่งเป็นประเทศของปีศาจนานๆ น่ะ สักวันหนึ่งคงต้องหาที่ไหนสักแห่งที่จะยอมรับเธอในดินแดนฝั่งของมนุษย์ล่ะนะ
ผมขบคิด
เพราะผมรู้สึกถึงสายตาดาเทียที่มองมา ผมเลยเงยหน้าขึ้น
[ มีอะไรเหรอ? ]
[ ไม่มีอะไรค่ะ ก็แค่คิดว่าฝ่าบาทเองก็หน้าตาหล่อดีเหมือนกับผู้กล้าแห่งแสงเลยนะคะ ]
ดาเทียหัวเราะขณะที่แลบลิ้นแอแฮะ แล้วจ้องมองผมด้วยสายตาไร้เดียงสา
จากนั้นผมก็รู้สึกถึงสายตาเย็นยะเยือกผ่านหลัง
[ หยุดเลยนะ! หยุดมองแบบนั้นซะ! ราชินีก็อบลิน! คุโรกิเป็นของคุนะ! ]
คุนะจ้องมองดาเทียด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว
[ น่า! ช่างเธอเถอะคุนะ! เรื่องผู้กล้าของอัลโกลี่ให้ผมจัดการได้เลย! กลับกันได้แล้วคุนะ! ]
ผมรีบพาเธอกลับ ก่อนที่คุนะจะก่อเรื่อง
ผมไม่สนใจสายตาที่ดาเทียมองหรอกนะ
แต่ขืนอยู่ต่อไปจะอันตรายดังนั้นรีบกลับดีกว่า
ผมออกจากอาณาจักรคารอนอย่างเร่งรีบ
◆ เจ้าชายแห่งอาณาจักรอัลโกลี่ โอมิรอส
[ แฟลช!! ]
[ กุ๊ก๊ะ!! ]
[ กุ๊ก๊าาา ]
พาซัสใช้เวทประกายแสง
พวกก็อบลินที่โดนแสงเข้าไป ตามองไม่เห็นและดิ้นทุรนทุราย ก็อบลินเป็นมอนสเตอร์ที่อยู่ในที่มืดจึงแพ้ต่อแสงทำให้มันมองไม่เห็น
[ ตอนนี้ล่ะ! ก่อนที่ตามันจะกลับมามองเห็นได้จัดการมันเลย! ]
พวกเรามีเพียงเจ็ดคน แม้ว่าจำนวนของก็อบลินจะมีกว่า 20 ตัวแต่เพราะมันมองไม่เห็นจึงถูกลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ข้าสั่ง ข้าเองก็แทงดาบใส่ก็อบลินด้วย
[ อย่าเล็งที่หัวเพราะมันแข็งมาก! เล็งไปที่ลำตัว!! ]
[ เข้าใจแล้วครับ! ]
ข้าออกคำสั่ง ขณะที่แทงพวกก็อบลินไปด้วย
เพราะหัวของก็อบลินนั้นแข็งเหมือนหินจึงฟันไม่เข้า ดังนั้นต้องเล็งตั้งแต่ช่วงคอลงมา แต่เพราะมนุษย์สูงกว่าก็อบลินทำให้มันยากที่จะเน้นไประยะนั้น นอกเสียจากจะมีฝีมือระดับหนึ่ง
เราคือนักรบ ระดับแค่พวกก็อบลินไม่คณามืออยู่แล้ว
อัลโกลี่เป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่ง เพราะเป็นประเทศที่อยู่ติดกับนากอลซึ่งถูกปกครองโดยพวกปีศาจ เหล่าเด็กหนุ่มของอาณาจักรอัลโกลี่จึงถูกฝึกให้เป็นนักรบตั้งแต่เกิด
นักรบอัลโกลี่นั้นแข็งแกร่ง หากถามว่าแข็งแกร่งขนาดไหน ก็แข็งแกร่งที่สุดในแถบนี้เลยก็ว่าได้
ดังนั้นเราจึงไม่เคยแพ้แม้จะเจอกับก็อบลินมากขนาดนี้
สถานการณ์ในการต่อสู้ตอนนี้กำลังไปได้ราบรื่นดี แต่อย่างไรก็ตามจำนวนก็อบลินขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะเอาชนะได้ง่ายๆ
[ ก๊าาา!! ]
พวกก็อบลินที่เริ่มกลับมามองเห็นอีกครั้งพยายามจะโจมตี
ข้าป้องกันการโจมตีของก็อบลินด้วยโล่จากนั้นก็ฟันไปที่ร่างของมัน
จากนั้นข้าก็เตะก็อบลินตัวนั้นและฟันใส่ก็อบลินอีกตัวที่วิ่งมาจากด้านข้าง
[ ไม่เลวเลยนี่ครับ เจ้าชายโอมิรอส ]
พาซิสหัวเราะ
เขามักจะพูดชมข้าแบบนี้ ขณะที่ตัวเองกำลังจัดการก็อบลินไปเยอะยิ่งกว่าข้าซะอีก
พาซิสไม่ใช่คนของอาณาจักรอัลโกลี่ แต่เป็นคนอาณาจักรอื่นที่เป็นดั่งแขนขาของอาณาจักรและเป็นแขกของท่านพ่อ
เขาแข็งแกร่งมากขนาดที่ถ้าเป็น 1 ต่อ 1 ล่ะก็ไม่มีใครสู้พาซิสได้แน่
พักนี้ชื่อของเขาโด่งดังไปทั่วอาณาจักรต่างๆ จนถูกเรียกว่าผู้กล้าแห่งอัลโกลี่
แต่ข้าไม่ค่อยชอบพาซิสเท่าไหร่ เพราะเขาเป็นพวกขี้หลี ผู้ชายคนนี้ไม่เพียงแค่จีบสาวในอาณาจักรของเรา แต่จากอาณาจักรอื่นก็ต่างเสร็จเขาไปแล้ว
เพราะจากนโยบายจากท่านพ่อที่อยากสร้างมิตรภาพกับอาณาจักรเพื่อนบ้าน ทำให้ข้าต้องเดินทางไปยังอาณาจักรรอบข้างและชายคนนี้ก็ติดตามไปฐานะคนรับใช้ ในตอนนั้นดูเหมือนเขาจะไปตกสาวจากอาณาจักรอื่นๆ มาได้เยอะเลยล่ะ
พาซิสเป็นพวกหน้าสวยที่ข้าไม่นึกเลยว่าเขาจะเป็นผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิงข้าก็ไม่นึกสงสัยเลยนะ
[ ดีล่ะ งั้นพาซิสผู้นี้เองก็ไม่ยอมแพ้เจ้าชายหรอก เอาล่ะนะ ]
พาซิสพูดจบแล้วตรงไปยังฝูงก็อบลินตรงหน้า จากนั้นพวก็อบลินก็ถูกฟันจนไม่เหลือสิ้นดี
เป็นการเคลื่อนไหวที่เร็วเหมือนพายุ
[ ยอดเลย… ]
[ สมกับเป็นท่านพาซิส ]
ทุกคนต่างพากันชื่นชมพาซิส
พาซิสแข็งแกร่งมากจนถูกเรียกกันว่าผู้กล้า ข่าวลือนั้นแพร่สะบัดออกไปทั่ว
ขนาดข้ายังตกใจเพราะเขาทั้งหน้าตาดีและแข็งแกร่ง ราวกับผู้กล้าแห่งแสง
เพราะพาซิสทำให้ภารกิจครั้งนี้ของพวกเราไม่มีใครเสียชีวิตเลย
[ เรียบร้อยแล้ว ท่านยังอยากจะไปต่ออยู่มั้ยครับ? เจ้าชายโอมิรอส? ]
พาซิสหันหลังแล้วถามข้า
[ อ่า ข้าคิดว่าจะไปอีกสักหน่อยนะ ]
[ ฝ่าบาท…. ข้าว่าเรากลับกันดีกว่า ถ้าไปต่อแล้วตายขึ้นมามันจะไม่คุ้มนะครับ ]
บาทาซ่าที่มาด้วยกันแนะนำให้ถอยดีกว่า เขาเป็นอัศวิน ลูกน้องของพ่อข้า
[ ขอโทษด้วยบาทาซ่า แต่ข้าอยากไกลกว่านี้อีกสักนิด ]
[ คงไม่ดีล่ะมั้งโอมิรอส บางทีเจ้าหญิงเองก็คงโดนก็อบลินฆ่าไปแล้วก็ได้ ]
[ มาคิลเชียส !! ]
ข้าคว้าเสื้อของชายคนนั้น เขาคือลูกพี่ลูกน้องของข้าที่มาด้วยกัน
[ ก็อบลินถึงมันจะไม่ฆ่ามนุษย์ก็ยังใช้ชีวิตต่อไปได้! ดังนั้นเธอต้องยังมีชีวิตอยู่แน่! ]
[ เฮ้อ แต่ก็คงน่าสมเพซน่าดู… คงถูกใช้ให้คลอดลูกก็อบลิน… ]
นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ก็อบลินจะไว้ชีวิตมนุษย์ผู้หญิง ข้ารู้สึกเหมือนจะร้องไห้เพราะคำพูดของมาคิลเชียส
[ แต่ว่า… เรจิน่า… ]
สุดท้ายข้าก็ไม่ได้พูดออกไป
[ ท่านมาคิลเชียสอย่าไปยั่วโมโหเจ้าชายสิครับ ]
พาซิสพูดอย่างนั้น มาคิลเชียสถอนหายใจ
[ ขอโทษด้วยโอมิรอส ข้าผิดเอง ]
เขาขอโทษ
[ ระหว่างทางข้าเห็นรูที่จะพาออกไปข้างนอกได้ เราไปพักที่นั้นกันเถอะ ]
ทุกคนเห็นด้วยกับพาซิส เดิมทีมันก็เป็นความเอาแต่ใจของข้าเองก็จะดันทุรังไปต่อ
เราหันหลังกลับ
จากนั้นก็เข้าไปในรูที่ออกไปยังข้างนอกได้ บนท้องฟ้ามีเมฆหนา
พวกเราก่อกองไฟจากนั้นก็นั่งล้อมในแต่ละมุม
[ เจ้าชายโอมิรอสจะไปต่อไกลอีกแค่ไหนเหรอครับ? ]
พาซิสถามข้าที่เป็นตัวต้นเหตุ
[ ขอโทษด้วยนะพาซิส… อย่างน้อยข้าก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรจิน่า… ]
ทุกคนต่างเงียบไปหมด
ข้าเองก็ไม่อยากพูดหรอก มันคงเลวร้ายเกินกว่าจะจินตนาการได้ ถ้าผู้หญิงถูกก็อบลินจับตัวได้
[ โอมิรอส ก็อบลินแถวนี้ถูกจัดการไปหมดแล้วสินะ ]
ข้าพยักหน้าให้มาคิลเชียส
[ อา งั้นไปต่อกันเถอะ ]
เมื่อข้าพูดก็ได้ยินเสียงบ่นจากเหล่านักรบ
[ ไม่ดีนะครับเจ้าชาย! ถ้าไปทางเหนือมันจะเข้าสู่เขตภูเขาอาเครอนนะครับ!! ]
[ ก็อบลินที่ทางเหนือมันแข็งแกร่งกว่าก็อบลินทางใต้มากนะครับเจ้าชาย มันอันตราย!! ]
พวกนักรบพูดถูก
ก็อบลินทางเหนือน่ะแข็งแกร่ง ก็อบลินทางใต้นั้นใช้อาวุธเป็นแค่ไม้เท่านั้น แต่ก็อบลินทางเหนือมีกระทั่งชุดเกราะและอาวุธที่ทำจากเหล็ก ถ้าไปที่นั่นพวกเราได้ตายแน่ยกเว้นแค่พาซัสคนเดียวล่ะนะ
เหล่านักรบต่างบ่นกัน บาทาซ่าและมาคิลเชียสไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ดูจะไม่พอใจ
ทางพาซัสเองก็ไม่ได้พูดอะไรเหมือนกัน
[ ข้าไม่ขอบ่นอะไรมากแล้วกัน เพราะข้าเองก็เข้าใจความรู้สึกของเจ้าชายที่เป็นห่วงเจ้าหญิงเรจิน่า แน่นอน เพราะเธอเป็นเจ้าหญิงที่งดงามและพวกท่านยังสนิทกันมากด้วย ]
พาซัสพยายามจะให้กำลังใจ
แต่ว่าคำพูดของพาซัสกลับย้อนไปหาเขาเอง
[ ถ้าท่านพาซัสคิดเช่นนั้น ทำไมท่านถึงไม่ช่วยเรจิน่าล่ะ?! ทำไมถึงปล่อยให้เธอถูกเนรเทศไปยังรังของก็อบลินแดนเหนือ…… ]
[ เพราะพ่อของท่าน ผู้เป็นราชาตัดสินใจแล้วนะสิ แล้วอย่างข้าจะทำอะไรได้อีก ]
ถ้าเขาพูดแบบนั้นออกมาก็ช่วยไม่ได้
ที่พาซัสจะบอกก็คือพ่อของข้าเป็นคนโยนเรจิน่าไปที่รังก็อบลินเอง
เพราะการรัฐประหาร
เป็นสาเหตุทำให้ได้ข้อสรุปแบบนี้ออกมา
แต่เดิมอาณาจักรอัลโกลี่กำเนิดจากป้อมปราการซึ่งเป็นฐานทัพที่รวบรวมอัศวินและนักรบจากทั่วทวีปฝั่งตะวันออกที่รวมตัวกันเพื่อต่อสู้กับราชาปีศาจเมื่อ 400 ปีก่อน
จนเวลาผ่านไป ป้อมปราการซึ่งคอยป้องกันการรุกรานจากนากอลได้แปรเปลี่ยนเป็นอาณาจักร
จนวันหนึ่งผู้บัญชาการทัพได้กลายเป็นราชา อัศวินและนักรบได้กลายเป็นผู้นำตระกูลขุนนางของแต่ละตระกูล
ในตอนแรกนั้น ตระกูลของประเทศสาธารณรัฐลีนาเรียเป็นผู้ปกครองอาณาจักร แต่เกิดความบาดหมางกันจนเข้ารบห่ำหั่นกัน แต่ละตระกูลจึงตัดสินใจกันว่าในทุกๆ 10 ปีจะเปลี่ยนตระกูลที่ครองบัลลังก์
แต่ทว่าการเปลี่ยนตระกูลให้ครองบัลลังก์ก็เริ่มจะตัดสินใจไม่ได้ เพราะบางตระกูลมีอำนาจผูกขาดบัลลังก์เด็ดขาด นั่นก็คือตระกูลของเรจิน่า
จึงมีบางคนไม่พอใจ ถึงตระกูลของเรจิน่าจะมีอิทธพลมากมาย แต่ในเรื่องการต่อสู้นั้นไม่ใช่
แต่ปัญหามันไม่ได้จบแค่นั้น
คิวเพียส-ราชาในตอนนั้น ได้ตกหลุมรักคู่หมั้นของเจ้าชายระหว่างที่ไปอาณาจักรเวรอสและได้พาเธอตัวเธอกลับมาที่อัลโกลี่ด้วย
จึงเป็นธรรมดาที่อาณาจักรเวรอสจะโกรธและเรียกร้องให้ส่งเจ้าหญิงคืน
แต่คิวเพียสก็ไม่คืนเจ้าหญิงให้
ด้วยเหตุนี้ทำให้ตระกูลอื่นไม่พอใจ เพราะมันเป็นความผิดของตัวราชศ์วงเองทำให้เกิดปัญหาระหว่างอาณาจักร
ตระกูลอื่นต่างเกลี้ยกล่อมให้ราชาส่งตัวเจ้าหญิงกลับประเทศของเธอ แต่ราชาก็ไม่ฟัง
เป็นผลทำให้เกิดสงครามขึ้นระหว่างอัลโกลี่กับเวรอสซึ่งเป็นอาณาจักรยักษ์ใหญ่ เหล่าอาณาจักรแถบเพื่อนบ้านต่างตีตัวออกห่างอัลโกลี่
เหล่าพ่อค้าก็ไม่แวะมาเยี่ยมเยือนอัลโกลี่เลย ชีวิตของชาวเมืองต้องยากลำบากขึ้นมาก เป็นผลทำให้ตระกูลต่างๆ ไม่พอใจกับราชวงศ์มากขึ้น
เหล่าคนที่ไม่พอใจในตัวราชาจึงรวมกัน โดยมอนทาสซึ่งเป็นพ่อข้าเป็นผู้นำในการไปร้องเรียนให้ราชา-คิวเพียส สละบัลลังก์ซะ
แน่นอนคิวเพียสไม่ฟัง
ถึวแม้ว่าราชวงศ์จะไม่มีพลังในการต่อสู้ แต่พวกเขาก็มีอิทธิพล พวกเขาใช้อิทธิพลเพื่อจัดการตระกูลอื่นๆ ที่ขัดแข้งขัดขาและไม่พอใจพวกเขา
และแล้วเจ้าหญิงที่ถูกพาตัวมาจากเวรอสก็เสียชีวิต แต่ก่อนที่เธอจะเสียชีวิต เธอได้ให้กำเนิดลูกสาวคนหนึ่ง นั่นก็คือเรจิน่า
ข้าได้พบกับเรจิน่าครั้งแรกตอน 5 ขวบ ในตอนนั้นพ่อข้าต้องไปประชุมในฐานะหัวหน้าตระกูลที่ราชวัง
เพราะข้าตื่นเต้นที่ได้มาราชวังครั้งแรก ข้าเลยไปเดินเล่นในวังโดยไม่ได้รับอนุญาต ในตอนนั้นข้าได้พบกับเรจิน่าที่ทางเดิน
เรจิน่าไม่มีเพื่อนในวัยเดียวกันเลย สุดท้ายแล้วพวกเราก็กลายเป็นเพื่อนกัน
ผู้คนกำลังเดือดร้อน แต่เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับเรจิน่าที่ยังเป็นเด็กเลย
บางครั้งข้าจะแอบพ่อแม่มาเล่นกับเธอเป็นประจำ
จนเราเริ่มสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ
และแล้วเรจิน่าก็เติบโตขึ้นกลายเป็นสาวงาม ข้าอยากปกป้องเรจิน่า แม้นางจะไม่ได้ขอเลยก็ตาม
ดังนั้นข้าจึงออกเดินทางจากอัลโกลี่เพื่อฝึกศิลปะการต่อสู้เป็นเวลาถึง 1 ปีกับมาคิลเชียสและบาทาซ่า
แต่มันก็ล้มเหลว
ข้าตกใจมากเมื่อกลับไปยังอาณาจักรอัลโกลี่ที่เป็นบ้านเกิด ก่อนที่ข้าจะรู้ตัวพ่อของข้า-มอนทาสก็กลายเป็นราชาของอัลโกลี่ไปแล้วและเขายังเนรเทศเรจิน่าออกไปจากอาณาจักร
ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะราชาคิวเพียวจะพยายามฆ่าพ่อ
พ่อตอบโต้คืนได้สำเร็จจนชนะและได้กลายเป็นราชา
ตอนที่ข้าได้ยินครั้งแรก ข้ายังสงสัยเลยว่าหูข้าฝาดไปรึเปล่า แน่นอนจากข้อพิพาททำให้ตัดสินเนรเทศคิวเพียสออกไป
ความพยายามของข้าราวกับถูกหักหลัง
แต่ถึงราชาคิวเพียสจะผิดแต่ก็เป็นตัวเขาคนเดียว ไม่เห็นจำเป็นต้องเนรเทศเรจิน่าที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนี่?
ถึงข้าจะไปต่อว่าท่านพ่อ แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว
อย่างน้อยข้าก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรจิน่า ดังนั้นข้าจึงขอยืมตัวผู้กล้าพาซัสเพื่อไปค้นหาที่เทือกเขาอาเครอน
ไม่รู้หรอกนะว่าเรจิน่ายังมีชีวิตอยู่รึไม่ ถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่ข้าก็อยากจะช่วย ถ้าเธอตาย ข้าก็อยากนำศพเธอกลับมาด้วย แต่มันน่าเจ็บปวดเหลือเกินที่จะเข้ามาในถ้ำมืดๆ ของก็อบลิน
[ เจ้าชาย ข้าเองก็เข้าใจความเศร้าของท่าน แต่ตอนนี้พระอาทิตย์มันก็ใกล้จะตกดินแล้ว วันนี้เราหยุดไว้เท่านี้ดีกว่าครับ ]
ข้าพยักหน้า ข้าเองก็ไม่อยากให้บาทาซ่ากับมาคิลเชียสมาตายเพราะความเอาแต่ใจของข้าเหมือนกัน
หลังจากหยุดพักจนหายเหนื่อยแล้ว ทุกคนก็ลุกขึ้น
[ หายเหนื่อยกันแล้วเหรอ? ]
จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้น ซึ่งเป็นเสียงของผู้หญิง
ทุกคนมองไปยังทางเดียวกัน
ที่ตรงนั้นมีสาวสวยอยู่
เป็นสาวสวยที่มีผมสีเงินและผิวขาวราวหิมะ
เธอใส่ชุดเดรสสีดำและถือเคียวขนาดใหญ่ในมือ
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ข้าได้พบกับคนที่สวยขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ในสถานที่แบบนี้ สถานการณ์มันคงต่างกันล่ะนะ
ทุกคนต่างหลงใหลสาวสวยคนนั้น
[ คุณหนูต้องอะไรงั้นเหรอ? ดูท่าคงจะไม่ใช่คนธรรมดาสินะ? ]
ทุกคนต่างขยับตัวกันไม่ได้ยกเว้นแต่เพียงพาซัส
อย่างที่พาซัสพูด… ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา
[ เรื่องของฉันน่ะช่างเถอะ พวกคุณมาจากอาณาจักรอัลโกลี่สินะ? ]
เด็กสาวถาม
[ ใช่แล้ว… ]
ข้าพยักหน้า
[ งั้น… ใครคือเฮอร์เพส? ]
ข้าเอียงคอเพราะคำพูดของเธอ เพราะในกลุ่มเราไม่มีคนชื่อนั้น
[ ไม่มีงั้นเหรอ? เพราะได้ยินว่าเขาคือผู้กล้าของอัลโกลี่… ]
ทุกคนต่างมองตากันเพราะคำพูดของเธอ
[ ถ้าหมายถึงผู้กล้าของอัลโกลี่ เขาไม่ได้ชื่อเฮอร์พีสหรอกนะ แต่เป็นพาซัสต่างหากคุณหนู ]
มาคิลเชียสพยายามแก้ไข
[ ใช่ๆ นั้นแหละ…. แล้วใครคือเฮอร์เพส? ]
ดูเหมือนเธอจะไม่อยากจำชื่อแฮะ
[ พาซัสก็คือข้าเองคุณหนู ]
พาซัสก้าวออกมาข้างหน้าขณะที่เสยผม
[ หน้าก็อบลิน… นายคือเฮอร์เพสสินะ ]
พาซัสพยักหน้า ดูท่าชื่อนั้นจะฝังเข้าไปในหัวของเธอแล้ว คงยากที่จะไปแก้แล้วล่ะ
แต่ที่เธอบอกว่าหน้าก็อบลินนั้นแหละที่แปลก ทั้งที่ในมุมมองของมนุษย์ทั่วไปพาซัสออกจะเป็นคนหล่อ ไม่เหมือนก็อบลินหน้าตาน่าเกลียดพวกนั้นเลยสักนิด
[ ถ้างั้นมาสู้กัน คุนะอยากรู้ผลการฝึก ]
เธอพูดอย่างนั้นแล้วเอาเคียวใหญ่ๆ นั้นออกมา ทุกคนต่างตกใจกัน นี่ตกลงเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นศัตรูเหรอ?
[ ทำไมข้าถึงต้องสู้ด้วยล่ะ? ]
[ คุนะอยากรู้ผลการฝึก ]
ข้าเองก็สงสัยว่าทำไมกัน เธออาจจะแค่ชอบการต่อสู้เฉยๆ ก็ได้
[ ไม่ค่อยเข้าใจ… แต่เธอเป็นคนของนากอลสินะ? ]
หญิงสาวพยักหน้าให้กับคำพูดของพาซัส
[ แน่นอน คุนะอาศัยอยู่ที่นากอล ]
เพราะคำพูดนั้น ทำให้ทุกคนตกใจกันอีกครั้ง
[ อาศัยอยู่ที่นากอล… นี่เธอไม่ใช่มนุษย์งั้นเหรอ? ]
นากอลเป็นดินแดนของปีศาจและสัตว์ประหลาด ไม่ใช่สถานที่ที่มนุษย์จะอาศัยอยู่ได้ ดังนั้นเด็กสาวคนนี้คงไม่ใช่มนุษย์ล่ะนะ เดิมเธอก็สวยเกินไปจนข้าไม่คาดคิดเลยล่ะว่าเธอจะเป็นมนุษย์
[ หรือว่าจะเป็นปีศาจในตำนาน… แม่มด? ]
[ ได้ยินว่าแม่มดมีพลังเวทมนตร์มหาศาลและยังเป็นสาวสวย… ]
ข้าพูดออกไป หากเด็กสาวคนนี้อาศัยอยู่ที่นากอลจริงๆ งั้นเธอก็เป็นศัตรูของมนุษย์นะสิ นี่เธอคิดจะฆ่าพวกเรางั้นเหรอ?
[ น่าตลกน่า คุณหนูคนนี้น่ะเหรอจะเป็นแม่มด…. ดูน่าจะเป็นปีศาจซะมากกว่า จริงมั้ย? ]
พาซัสพูดออกมา ข้าคงคิดว่าเพราะเขาเคยเห็นปีศาจมาก่อนแล้วล่ะนะถึงได้ตัดสินแบบนั้น
[ คุนะไม่ใช่ปีศาจ คุนะก็คือคุนะ ]
ท่าทางของเด็กสาวไม่เปลี่ยนแปลง แต่สีหน้าดูหงุดหงิดมาก
[ วางดาบลงแล้วมาทางนี้ดีกว่าน่า ]
เด็กสาวดูทำท่าจะโจมตีได้ทุกเมื่อ
[ ข้าเองก็ไม่ชอบต่อสู้กับผู้หญิงหรอกนะ แต่… มันก็ช่วยไม่ได้ ]
พาซัสชักดาบและโล่ออกมา
[ โทษทีแล้วกัน แต่ข้าน่ะแข็งแกร่งมากนะ ]
พาซัสน่ะแข็งแกร่ง แต่เด็กสาวตรงหน้าฝีมือเองก็คงไม่ธรรมดา
[ เอาล่ะนะ!! ]
เด็กสาวเหวี่ยงเคียว
[ ไม่ไหวเลยน้า… ]
พาซัสหัวเราะใส่เด็กสาวถือเคียวและรับมันด้วยโล่…
[ …..โกบุ!! ]
….แต่กันไว้ไม่สำเร็จ เขากระเด็นไปข้างหลัง
พาซัสร้องเสียงประหลาดขณะที่ลอยไป จากนั้นเขาก็กระแทกกับหินข้างหลัง
ทุกคนต่างอึ้งกับสถานการณ์ตอนนั้น
[ ท่านพาซัส!! ]
[ ท่านพาซัส!! ]
จากนั้นทุกคนก็วิ่งไปหาพาซัสที่กระเด็นไป
[ โกบ(มันพูดโกบุไม่จบประโยค)-…. นั่นมันพลังอะไรกัน… ? ]
ถึงร่างเขาจะกระแทกเข้ากับหินอย่างจัง แต่ดูเหมือนจะปลอดภัยดี
[ โกหกน่า… อย่างท่านพาซัส… ]
[ ทั้งที่เธอตัวเล็กแค่นั้น… ]
ทั้งที่แขนของเด็กสาวคนนั้นผอมบางแต่กลับมีแรงมหาศาล ถึงแม้จะเป็นนักรบของอัลโกลี่ก็ไม่มีแรงมหาศาลขนาดนั้นหรอก
[ อะไรกัน เมื่อกี้คุนะแค่ออกแรงเบาๆ เองนะ ]
ทุกคนต่างกลัวเกรงเพราะคำพูดของเธอ
เพราะดูเหมือนเมื่อกี้เธอจะไม่ได้เอาจริงเลยด้วยซ้ำ
[ ดูท่าจะมีแรงมหาศาลเลยสินะ… แต่มันยังไม่จบหรอกน่า ]
จากนั้นพาซัสก็เดินไป จับดาบและโล่ขึ้นมาอีกครั้ง
[ ถึงจะมีแรงเยอะ แต่ถ้าเป็นเจ้านี้ล่ะ! ระเบิดไฟ!!! ]
บอลไฟถูกปล่อยออกจากมือของพาซัส
ลูกบอลไฟถูกยิงใส่บริเวณเท้าของเด็กสาวคนนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจให้โดนแต่ใช้เพียงขัดขวางวิสัยทัศน์เท่านั้น
[ เพิ่มความเร็ว!! ]
จากนั้นความเร็วของพาซัสก็เร็วขึ้นเหมือนกับสายลม
พาซัสที่เร่งความเร็วไปยืนอยู่ข้างหลังเด็กสาวตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้และหันดาบใส่หลังของเธอ
[ ข้าชนะแล้วยอมแพ้ซะแล้วข้าจะไว้ชีวิต ]
พาซัสพูดกับเด็กสาวด้วยเสียงหัวเราะ
[ พูดอะไรน่ะ เมื่อกี้เร็วเต็มกำลังแล้วเหรอ? ]
เมื่อเธอพูดจบ จู่ๆ ร่างของเธอก็หายไปจากสายตา
[ เอ๊ะ!! ]
พาซัสส่งเสียงตกใจออกมา
เด็กสาวที่หายตัวไปอยู่ข้างหลังของพาซัส
[ เดี๋ยว ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!! ]
พาซัสหันหลังกลับไปด้วยความตกใจ
[ เอาล่ะนะ ]
เด็กสาวควงเคียว
[ อะไรกัน!! ]
ไม่เพียงแต่พาซัสที่ตกใจ ทุกคนเองก็ตกใจเหมือนกัน
จากนั้นเด็กสาวที่ก็ใช้เคียวโจมตีใส่พาซัสหลายต่อหลายครั้ง
[ อุ๊อ๊ากก!! ]
พาซัสทำอะไรไม่ได้เพียงแค่ร้องตะโกนเท่านั้น เคียวฟันผ่านร่างของพาซัสไปหลายต่อหลายครั้ง
ไม่กี่วินาทีต่อมา เคียวก็หายไป
[ เอ๊ะ? ]
พาซัสทำหน้าแปลกใจ เพราะเขาโดนเคียวฟันผ่านร่างไปหลายต่อหลายครั้ง เขาสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงยังมีชีวิตอยู่
[ คุนะไม่เอาชีวิตหรอก ก็แค่เฉือนเกราะเท่านั้น ]
เมื่อเด็กสาวพูดจบ เกราะก็หลุดออกจากร่างของพาซัสและตกลงไปที่พื้น
ดูเหมือนเด็กสาวจะโจมตีโดยกำหนดไปหมายไปที่เกราะของเขาเท่านั้น โดยแค่ฟันเกราะทั้งหมดของพาซัสออก
แต่ว่ามันไม่ได้มีเพียงแค่เกราะเท่านั้นที่ถูกฟัน แม้แต่เสื้อผ้าข้างในเกราะ รวมถึงกางเกงในของพาซัสก็ร่วงลงพื้นไปด้วย
[ อ๊าา พลาดซะแล้วสิ… สงสัยคุนะคงต้องฝึกอีกเยอะ ]
เด็กสาวพูดขณะที่เห็นว่ากางเกงในของพาซัสร่วงหลุดไป
จากนั้นเธอก็มองไปยังหว่างขาของพาซัส
[ เล็กจัง… เม็ดถั่ว? ]
เด็กสาวจ้องมองและพึมพำ
การโจมตีนั้นทำให้พาซัสได้รับความเสียหายทางจิตใจ
[ อุ๊… ทุกคนถอย!! ไว้เดี๋ยวข้าจะตามไป! หนีไปซะทุกคน!! ]
พาซัสพูดขณะที่เอาเสื้อผ้ามาปิดจากนั้นค่อยวิ่งหนี เท่จังเนอะ
[ สัตว์ประหลาด!! ]
[ แม่มด นั่นมันแม่มดสีเงิน!! ]
[ หนีเร็ว!! ]
เหล่าลูกน้องข้าต่างหนีไปกันหมด
[ โอมิรอส! เราเองก็ต้องหนีนะ! ]
มาคิลเชียสบอกข้า
[ เข้าใจแล้ว!! ]
ข้าเองก็ต้องวิ่งหนี
จากนั้นข้าก็หันหลังแล้ววิ่งหนีไป
เด็กสาวไม่ตามมา ที่ตรงนั้นข้ารู้สึกว่ามีอีกคนที่อยู่กับเด็กสาวคนนั้น
◆ อัศวินดำคุโรกิ
[ อ่อนแอเกินไปแล้ว แบบนี้ก็ไม่รู้นะสิว่าผลการฝึกเป็นยังไง ]
คุนะบ่น
[ น่า เพราะคุนะแข็งแกร่งเกินไปต่างหาก… ]
ผมลูบหัวคุนะ จากนั้นสีหน้าของคุนะก็ดีสดชื่นขึ้น
[ พวกนั้นวิ่งหนีไปแล้ว จะทำยังไงต่อดีคะ? ]
คุนะถามผม
[ นั่นสิ… เอายังไงดีนะ… ]
ผมขึ้นขี่โกเรียสแล้วบินขึ้น จากนั้นก็คนพวกนั้นกำลังวิ่งหนีออกมาจากรังก็อบลิน
แน่นอน เดิมทีผมตั้งใจจะมาคุยกับพวกเขา… กับคนที่ชื่อแพลซัสล่ะมั้ง
ผมบอกให้โกเรียสลดความสูงลงมาหน่อยเพื่อที่จะไปคุยกับพวกเขาก่อนที่จะคลาดกัน
แล้วจะถามอะไรดีล่ะ? ทำไมพวกเขาถึงมาอยู่ที่นี่? ทำไมผมต้องไปถามล่ะ?
เพราะยังไงคนพวกนั้นก็เป็นคนเนรเทศเรจิน่ามาที่รังก็อบลินเอง คนพวกนั้นเองก็คงไม่ใช่คนดีอะไร ไม่ถามจะดีกว่าล่ะนะ
ดังนั้นผมเลยคิดว่าหากไปอัดพวกเขาให้หลาบจำสักหน่อย พวกเขาก็คงไม่กล้ามาที่นี่อีกแล้ว
เมื่อคิดอย่างนั้นแล้ว คุนะก็เสนอตัวเป็นคนลงมือเอง เพราะดูเหมือนเธอจะอยากลองดูผลการฝึกใช้เคียว
เคียวเป็นอาวุธที่ใช้งานได้ยาก แ่นอนหากเป็นในสนามรบมันจะมีประสิทธิภาพมากทีเดียว
แต่ผมก็ลังเลอยู่พอควรที่จะให้คุนะสู้ ก็ไม่ได้บอกหรอกนะว่าคุนะพึ่งพาไม่ได้อะไรแบบนั้น
แต่เพราะผมอยากวัดพลังของอีกฝ่ายด้วยตัวเองต่างหาก แต่ที่รู้สึกได้ก็คืออ่อนแอ ดังนั้นให้คุนะจัดการคงไม่เป็นไรมั้ง
ดังนั้นจึงเห็นพ้องต้องกันว่าคุนะจึงเป็นคนออกสู้เอง
คุนะเดินเข้าไปหาคนพวกนั้น จากนั้นหนึ่งในพวกเขาก็ก้าวออกมา
แน่นอนว่าผมแอบซ่อนตัวอยู่เพื่อจะออกไปช่วยเหลือได้ทุกเมื่อหากเห็นว่าอันตราย เพียงแต่อย่างที่คาดไว้เขาอ่อนแอเกินไป
เอาเถอะ เท่านี้คนพวกนั้นก็คงไม่มาที่นี่อีกแล้วล่ะ
แล้วผมควรเอายังไงต่อดีนะ?
[ เมื่อกี้เหมือนพวกเขาพูดอะไรกันสักอย่าง คุนะได้ยินบ้างมั้ยว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไรกัน? ]
ตั้งแต่ผมมาโลกนี้หูผมก็ดีขึ้น แต่เสียงของพวกเขาส่งไปไม่ถึงที่ที่ผมอยู่นะสิ
[ แน่นอนค่ะ …. เร… ]
[ เร? ]
คุนะหยุดพูดกลางคันแล้วคิดอะไรบางอย่าง
[ ไม่มีอะไรค่ะ คุนะไม่ได้ยินอะไรเลยค่ะ ]
นั่นคือคำตอบของคุนะ
[ ถ้ากระทั่งคุนะก็ไม่ได้ยินอะไรเลยก็คงไม่มีอะไรล่ะนะ ]
ไม่ได้ยินก็ช่วยไม่ได้
แล้วผมเองก็ใช่ว่าจะอยากรู้อะไรมากมายด้วย
หากผมอยากรู้เหตุผลที่พวกเขามาที่นี่จริงๆ ผมคงจะไปถามเองไปแล้ว แต่ยังไงซะคนพวกนั้นก็คงไม่ยอมตอบที่ผมถามหรอก แต่หากใช้เวทควบคุมและเวทเสน่ห์หาของคุนะคงจะดีกว่า เพราะพวกเขาจะได้ไม่โกหกด้วย
และอย่างพวกเขาคงไม่มีพลัวต้านทานเวทของคุนะได้แน่ เร็วกว่าเยอะด้วยล่ะ
[ งั้นเรากลับไปที่ปราสาทกันเถอะคุนะ ]
ผมลูบหัวคุนะแล้วคุนะก็ทำหน้ามีความสุข
[ ค่ะ ]
แล้วเราก็เดินไปยังที่ที่โกเรียสอยู่
[ คุโรกิ… ]
คุนะที่เดินตามหลังเรียกชื่อของผม
[ อะไรเหรอคุนะ? ]
[ คุโรกิใหญ่… ]
[ ผมไม่คิดว่าขนาดนั้นหรอก… ]
แผ่นหลังของผมคงจะใหญ่สำหรับคุนะสินะ?
หลังจากนั้นเราก็เดินทางกลับปราสาทราชาปีศาจ