อัศวินดำ - ตอนที่ 38
◆ เจ้าชายก็อบลินโกสุ
[ งั้นเองเหรอ โอมิรอสกำลังตามหาเรจิน่า งั้นคงดีกว่าสินะ ถ้าคุนะจะไปหาโอมิรอสเองเลย ]
เมื่อข้ารู้สึกตัวอีกที ข้าก็อยู่ต่อหน้าแม่มดสีเงินไปแล้ว
ข้าจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่มดสีเงินฟัง
แต่ทำไมเธอถึงอยากรู้เรื่องของเรจิน่า?
แล้วนี่ตัวข้าจะเป็นยังไงบ้างล่ะเนี่ย
มันจะไม่ง่ายกว่าเหรอถ้าแม่มดสีเงินไปเอาตัวเรจิน่ามาถามเองเลยนะ?
[ เอาล่ะ คุนะเข้าใจแล้ว ขอตัว ]
เมื่อแม่มดสีเงินรู้ทุกอย่างหมดแล้ว เธอกำลังจะเดินออกจากห้องไป
[ รอเดี๋ยวครับท่านคุนะ!! ]
ข้าเรียกเธอไว้ แม้ตัวข้าจะหมดประโยชน์แล้ว แต่มันยังไม่จบ
[ อะไรล่ะโกสุ? หรือยังมีเรื่องอะไรอีก? ]
แม่มดสีเงินรอฟังข้า ใบหน้าสวยๆ ของเธอกำลังทำหน้าไม่พอใจ
[ หรือบางทีท่านจะชอบ… เรจิน่า? ]
[ เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับนาย ]
แม่มดสีเงินตอบมาอย่างเย็นชา
[ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว คุนะขอตัว ]
เธอกำลังจะออกจากห้องอีกครั้ง
ข้าไปขวางหน้าแม่มดสีเงินไว้
[ เอ่อ ช่วยรอเดี๋ยวก่อนท่านคุนะ! ช-ใช่แล้ว! ที่จริงข้ามีเหล้าผลไม้ชั้นดีของอาณาจักรนี้! ท่านอยากจะลองดื่มสักแก้วมั้ยครับ! หรือจะเอาไปเป็นของฝากกลับไปก็ได้นะครับ! ]
ข้าพูดออกไปด้วยความหวาดกลัวและเอามือจับที่หน้าอกไว้
ในกระเป๋าหน้าอกของข้ามียาโด๊ปอยู่
ถ้าข้านำยานี้ให้แม่มดสีเงินดื่มได้ล่ะก็… ไม่ว่าจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ต้องตกเป็นของข้า
ข้าล้วงมือที่กระเป๋าที่หน้าอก
แต่นัยน์ตาของแม่มดสีเงินช่างเย็นชา
[ แล้วเหล้าผลไม้อะไรล่ะที่นายอยากดื่ม? ]
เหงื่อเย็นๆ ไหลผ่านหลังข้าหลังจากได้ยินคำพูดนั้น
[ ว่าไง!? เป็นอะไรไปล่ะโกสุ!!? ]
เธอเร่งเร้าถามข้า
[ โง่เง่า… จะโง่เง่าเกินไปแล้ว แม้แต่สติปัญหาหรือเสน่ห์ก็ไม่ได้เศษเสี้ยวของคุโรกิด้วยซ้ำ ทีแรกคุนะคิดว่าจะปล่อยไปแล้วแท้ๆ แต่สงสัยต้องให้สำนึกด้วยร่างกายซะแล้ว ]
บางทีเธออาจจะรู้แล้วเหรอว่าข้าจะคิดจะทำอะไร?
[ เอ่อ… ไม่เอาเหล้าผลไม้เหรอ… ]
[ โกหกสินะ ด้วยพลัวเวทของคุนะ นายมาหลอกกันไม่ได้หรอก ที่หน้าอกนั้นคงมียาโด๊ปที่ได้จากราชินีก็อบลินอยู่ล่ะสิ ]
เมื่อได้ยินคำพูดนั้นดวงตาของข้าก็ตกใจจนเปิดกว้าง
แม่มดสีเงินรู้เรื่องยาโด๊ป?
[ มองตาของคุนะ ]
เมื่อข้ามองไปที่ดวงตาอันงดงามของแม่มดสีเงิน ร่างกายก็ขยับไม่ได้
[ เอายาโด๊ปออกมา ]
เมื่อได้ยิน มือข้าก็เคลื่อนไหวไปหยิบขวดเล็กๆ ในกระเป๋าไปเองและกำลังจะกรอกปากตัวข้าเอง
ข้าไม่ควรดื่มเข้าไป
ถึงแม้จะเป็นยาโด๊ปแค่หยดสองหยดก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าดื่มไปทั้งขวดแบบนี้แย่แน่
ข้าต้องต่าต้านแต่มือกลับขยับไปแบบสบายและนำข้ากรอกเข้าปากข้า
ยาโด๊ปนี้ทำจากน้ำผึ้งจากป่าอันมืดมิดในนากอล รสหวานแพร่กระจายไปในปากข้า
เมื่อข้าดื่มได้ประมาณครึ่งขวด ร่างกายช่วงร่างก็กระตุกอย่างรุนแรง
[ อ-อึก…. อ-อึก.. ]
มีเสียงแปลกๆ ส่งออกมา
ช่วงล่างแข็งโด่ขึ้น
แม่มดสีเงินข้างหน้าข้าส่งกลิ่นหอมหวานออกมา
อยาก… ข้าอยาก…
จากนั้นข้าก็โจมตีแม่มดสีเงิน
[ อ๊า~ …อ๊าฟุ๊~ ]
แต่เท้าที่ก้าวไปกับหยุดเคลื่อนไหวกลางคัน ขณะที่ก้าวไปได้เพียงครึ่งก้าว
[ ใบหน้าน่าเกลียดกว่าเดิมซะอีกนะ… น่าสะอิดสะเอียนซะจริง ]
ข้าถูกดวงสีเงินนั้นจ้องมองอย่างเย็นชา
ช่วงเวลาที่ได้เห็นดวงตานั้น ช่วงล่างของข้าก็กระตุก
ข้าพยายามกุมเป้าด้วยทั้งสองมือและตัวสั่นกลัวไปหมด
[ อ้า…. ]
มันไหลออกมา
ของเหลวไหลออกมาจากเป้าข้า จนพื้นสกปรกไปหมด
[ จงทนทุกข์ทรมานแบบนี้ไปจนจบงานเต้นรำซะเถอะ ]
จากนั้นเธอก็ออกไปโดยไม่สนใจใยดี
[ รอ… ท่านคุนะ… อ้า… อ้า… ]
แต่ข้าทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนนิ่งและน้ำลายไหลยืด
◆ เจ้าชายแห่งอาณาจักรอัลโกลี่ โอมิรอส
เมื่อเจ้าหญิงชิโรเนะจากไป ตัวข้าก็ไม่มีคู่เต้นก็เหลือเพียงคนเดียว บางทีเจ้าหญิงชิโรเนะอาจจะไม่ชอบเต้นก็ได้ แต่สำหรับราชาอีคาราสคงไม่มีปัญหาใดๆ หรอก
เพราะจากท่าทีของราชาอีคาราสเองก็อยากจะสานสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรเรากับอาณาจักรเวรอสอยู่แล้ว ดังนั้นข้าคงไม่ต้องฝืนเต้นก็ได้
เริ่มรู้สึกหิวสักหน่อยแล้วสิ ข้าเดินไปที่ราชวัง
จะว่าไปยังไม่ได้กินอะไรตั้งแตเมื่อกลางวันเลย ข้าเดินไปที่ห้องอาหาร
ในห้องมีอาหารอยู่หลากหลายชนิด
ขนมปังที่มีเนื้อแกะอยู่ข้างใน ปลาไหลอบ ปลาย่างซอส ห่านอบ ที่มีกระเทียม สมุนไพร และน้ำซุปหัวหอม
ทั้งหมดต่างน่ากินไปหมด
[ สมกับเป็นอาณาจักรเวรอสร่ำรวยจริงๆ ]
ในอัลโกลี่ไม่มีอาหารมากมายขนาดนี้หรอก
เมื่อสมัยเด็กข้าก็ได้กินแค่ซุปถั่วเท่านั้น ถึงตอนนี้จะยังไม่เปลี่ยนก็เถอะ
ข้านึกขึ้นมาได้
[ อยากเอาไปฝากเฮนเรียที่จังนะ ]
มันเป็นการเสียมารยาท แต่ที่อัลโกลี่ไม่มีอาหารมากมายขนาดนี้หรอก
ตอนที่พวกเราบอกว่าจะมาที่เวรอส เฮนเรียเองก็อยากมาด้วยแต่เพราะเธอยังเด็กและข้าเองก็ไม่ได้มาเล่นหรอกนะ ดังนั้นเลยไม่ได้พามาด้วย
ข้าเอาผ้าออกมา เพราะยังไม่ได้ใช้มันเลยยังสะอาดอยู่ อย่างน้อยก็เอาขนมอบกลับด้วยดีกว่า
ข้ามองไปมุมขนมหวาน
เมื่อมองไปๆ ก็เจอ ข้าหยิบขนมชิ้นหนึ่งที่ดูดีขึ้นมา
มันเป็นขนมอบที่ตกแต่งด้วยผลเวรุสที่หวาน ข้าหยิบขนมขึ้นมาและใช้ผ้าห่อไว้
[ ดีล่ะ ได้ชิ้นนึงแล้ว ]
ที่จริงข้าอยากเอาอย่างอื่นไปด้วยแต่ก็ต้องยอมแพ้ เพราะไม่รู้ว่าจะเก็บอาหารพวนี้กลับไปยังไง
ในตอนนั้นข้าก็สังเกตเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง
ผู้หญิงคนนั้นหยิบอาหารใส่ในจาน
ข้าเห็นชัดเจนเลยว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่
[ อ่ะ ชิ้นนั้นก็น่ากิน… ]
เธอหยิบขนมอบชิ้นเล็กๆ หลายชิ้นมาใส่จานของตัวเอง นี่เธอจะกินหมดนั้นเลยเหรอ?
บางทีเธออาจจะมาจากอาณาจักรที่ยากจนเหมือนข้าล่ะนะ
แต่ข้าสงสัยเรื่องภาชนะที่เธอใช้ใส่นะสิ
มันเป็นภาชนะที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน
ผิวโปร่งใสและดูนุ่ม และสามารถมองผ่านภาชนะนั้นได้
คนในอาณาจักรยากจนมีภาชนะมหัศจรรย์ขนาดนั้นลยเหรอ?
นี่เธอเป็นใครกันแน่?
ข้ามองไปที่หน้าผู้หญิงคนนั้น
แต่เห็นใบหน้าแค่เพียงลางๆ เท่านั้น เพราะมีผ้าบางๆ ที่ประดับติดผมอยู่
[ เอ๊ะ!? ]
เมื่อผมพยายามขยับเข้าไปดูหน้าเธอใกล้ๆ อีกนิดก็เห็นเข้า…
ใบหน้านั้น… ใบหน้าของคนที่ผมอยากเจอที่สุดในโลกใบนี้
ข้ารีบหันไปที่ผู้หญิงคนนั้น
[ เรจิน่า ]
ผู้หญิงคนนั้นหันมาตามเสียงเรียกของข้า
หน้าตาของเธอดูประหลาดใจและปากก็ค่อยๆ เปิดออก
[ โอมิรอส… ]
เธอพึมพำ
ทั้งที่เธอน่าจะอยู่ที่รังก็อบลินนี่นา
◆ เจ้าหญิงแห่งอาณาจักรอัลโกลี่ เรจิน่า
ฉันไม่คิดเลยว่าตัวเองจะได้มาที่อาณาจักรเวรอสแบบนี้
อาณาจักรเวรอสก็คือบ้านเกิดของแม่ฉัน
คุณยายเคยเล่าให้ฟังว่า คุณแม่เป็นเจ้าหญิงของอาณาจักรนี้และถูกเรียกว่าอัญมณีแห่งเวรอส ดูเหมือนว่าคุณแม่จะเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในอาณาจักรนี้เลยก็ว่าได้
เพราะการเต้นของคุณแม่ที่เคยเต้นที่เวรอสนั้นงดงามมาก
ตั้งแต่ยังเด็กๆ ฉันคิดว่าสักวันอยากก็อยากเต้นรำที่นั้นเหมือนกัน ถึงได้ขอให้คุณแม่สอนการเต้นรำให้
แต่พอคิดดูแล้วคงจะเป็นไปไม่ได้
แม่ของฉันเป็นคู่หมั้นของเจ้าชายประเทศนี้ แต่ถูกพ่อของฉันที่เป็นราชาของอัลโกลี่แย่งไป
ตัวฉันที่เกิดจากลูกของทั้งสองคงมาเหยียบที่นี่ไม่ได้
ตัวฉันถูกเนรเทศออกจากอัลโกลี่ อย่าว่าแต่การเต้นเเลย หากไปที่งานเลี้ยงเต้นรำต้องอันตรายแน่ แต่ก็อยากไปสักครั้ง
ดังนั้นถึงได้ขอร้องท่านคุนะให้พาฉันไปด้วย
[ สวยงามมากค่ะท่านคุนะ… ]
ตอนนี้ฉันกำลังเฝ้ามองทั้งสองคนนเต้นรำอยู่กลางงานเต้นรำ
ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากเต้นรำกับนายท่านเหมือนกัน
หัวใจของฉันรู้สึกเจ็บปวดเมื่อนึกถึงภาพของนายท่าน
ครั้งแรกที่ฉันได้พบกับนายท่าน ฉันรู้สึกตกใจมาก
ทำไมอัศวินดำถึงได้เป็นมนุษย์?
ไม่ว่าจะพยายามคิดเท่าไหร่ ก็ไม่น่าจะมีมนุษย์ที่สวมชุดเกราะดำได้
นายท่านดูเหมือนจะเป็นมนุษย์ แต่ก็ไม่ใช่มนุษย์
กระทั่งเทพธิดา เทพธิดาพิทักษ์แห่งอัลโกลี่เองก็มีรูปร่างเหมือนมนุษย์แต่ก็ไม่ใช่มนุษย์เช่นกัน ดังนั้นฉันเลยคิดว่านายท่านคงไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ
นายท่านแข็งแกร่งมาก
เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังเวทมนตร์ของนายท่าน ไม่ว่าจะเป็นมอนสเตอร์หรือปีศาจที่น่ากลัวก็ต้องยอมก้มหัวศิโรราบ
จากที่ข้าได้ยินมาดูเหมือนนายท่านจะเอาชนะผู้กล้าได้ ผู้กล้าที่ทำให้ตระกูลของฉันต้องล้มสลาย
ดังนั้นสำหรับฉัน นายท่านจึงเป็นเหมือนผู้มีพระคุณ
ฉันอยากตอบแทนนายท่าน ไม่ว่าเขานายท่านจะขอเรื่องอะไรข้าก็พร้อมตอบรับ
แต่เรื่องนันมันช่างยากลำบาก เพราะท่านคุนะโกรธมากที่เห็นฉันพยายามเข้าใกล้นายท่าน
แน่นอน ฉันเองก็ไม่รู้ว่าท่านคุนะเป็นใครเหมือนกัน
มีข่าวลือว่าท่านคุนะเป็นเจ้าหญิง-ลูกสาวของราชาปีศาจ
ท่านคุนะเองก็มีรูปร่างเป็นมนุษย์เหมือนนายท่าน แม้ว่ามนุษย์จะเข้าใกล้ท่านคุนะก็ไม่ได้สนใจอะไร
แต่เมื่อโดนใบหน้าอันงดงามนั้นจ้องเข้า ร่างกายกลับหนาวสั่นไปหมด
ตอนนี้ท่านคุนะกำลังเต้นรำกับนายท่าน
เมื่อได้เห็นชุดของท่านคุนะที่แต่งเพื่อมางานเต้นรำแล้ว ฉันก็ได้แต่ถอนหายใจ
สวยจนน่าตกใจ ความงามที่เปรียบได้กับเทพธิดา
นายท่านเองก็ดูจะมีความสุขที่ได้เต้นกับเธอ
ฉันเองก็แต่งตัวเต็มที่เพื่อมางานเต้นรำเหมือนกันนะ แต่มันช่างแตกต่างราวฟับกับเหว
หลังจากท่านคุนะเต้นเสร็จ ไปลองขอนายท่านดูดีมั้ยนะ
ฉันได้แต่คิดและส่ายหัว แค่คิดก็น่าเศร้าแล้ว เลิกคิดเรื่องนั้นดีกว่า
ยังไงฉันเองก็ได้ซ้อมเต้นกับนายท่านแล้วนี่นะ
ไปหาของอร่อยๆ กินเพื่อเปลี่ยนอารมณ์สักหน่อยดีกว่า
ตอนนี้ฉันอยู่ในห้องอาหารที่แยกจากโถงของงานเต้นรำ
อาหารที่ไม่เคยเห็นเรียงรายอยู่ตรงหน้าเต็มไปหมด
ฉันใส่อาหารลงไปในกล่องเก็บอาหาร(กล่องพาสติกเก็บอาหารนะครับ)
ภาชนะที่ชื่อว่ากล่องเก็บอาหารนี้คืออุปกรณ์เวทที่นายท่านขอให้คนแคระทำให้
กล่องเก็บอาหารสุดยอดเลยล่ะ ทั้งช่วยเก็บรักษาอุณหภูมิอาหารและเก็บไว้ได้นานขึ้น
[ หวังว่าทุกคนคงชอบนะ ]
เพราะในนากอลมีอยู่หลายเผ่าพันธุ์
และมีอาหารไม่กี่อย่างเท่านั้นที่มนุษย์กินได้ที่นากอล
เพราะส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอาหารที่มีแต่ปีศาจเท่านั้นที่กินได้ เมื่อมนุษย์กินเข้าไปก็จะตายทันที
ตอนที่ฉันอยู่กับพวกปีสาจก็มีแค่กินของเหลือเท่านั้น
นายท่านจึงได้แบ่งอาหารมาให้ แต่หากท่านทำแบบนั้นจะยิ่งทำให้โดนปีศาจเกลียดมากขึ้น แม้ว่าพวกเราจะเป็นผู้ลี้ภัยของนายท่านแต่ก็มีความรู้สึกต่อต้านอยู่ หากเรายิ่งรับความใจดีของนายท่านไว้เราจะยิ่งอาศัยอยู่นั้นได้ยากยิ่งขึ้น จึงได้แต่ปฏิเสธไป
แต่คราวนี้ล่ะ ฉันจะเอาอาหารใส่กล่องเก็บอาหารแล้วเอาไปฝากทุกคน
ฉันขยับมือตักอาหารไปเรื่อยๆ
ทันใดนั้นฉันก็เพิ่งสังเกตว่ามีคนอยู่ข้างๆ
บางทีเขาอาจจะเป็นคนของอาณาจักรเวรอส ที่เห็นท่าทางเสียมารยาทของฉัน
ฉันก็รู้ตัวดีว่ามันเสียมารยาท แต่เดิมฉันก็ไม่ใช่แขกอย่างถูกต้องของงานเต้นรำนี้อยู่แล้ว จะรักษามารยาทก็น่ารำคาญ
ฉันคว้าไปที่ใต้กระโปรง ข้างใต้กระโปรงนี้มีดาบที่ฉันได้รับจากนายท่านซ่อนเอาไว้อยู่
ดาบที่เป็นสิ่งสำคัญที่นายท่านมอบให้
ซึ่งนายท่านเป็นคนตีมันขึ้นมาด้วยตัวเอง
ถ้ามีอะไรเกิดขึน ฉันก็จะใช้ดาบนี้ป้องกันตัวล่ะ
ฉันขยับมือและคิดจะจัดการคนของอาณาจักรเวรอสคนนั้น
แต่การช้ดาบที่นี่จะไม่ค่อยดีนัก บางทีเขาอาจจะหนีไปได้และไปบอกคนอื่นๆ ก็ได้
[ เรจิน่า ]
คนๆ นั้นเรียกชื่อของฉัน
ทำไมถึงรู้ชื่อของฉันได้?
ฉันรู้สึกตกใจมากเมื่อได้เห็นใบหน้าของคนๆ นั้น
นั่นเป็นใบหน้าของคนรู้จักของฉัน
[ โอมิรอส…. ]
นั่นคือใบหน้าของเพื่อนสมัยเด็กที่เดินทางไปฝึกการต่อสู้เมื่อหนึ่งปีก่อน
ฉันเองก็สงสัยอยู่ว่าเมื่อไหร่เขาจะกลับมากันนะ
ตอนนี้ใบหน้าของโอมิรอสดูสมชายและห้าวหาญขึ้นกว่าเมื่อก่อนเอยะ
[ เรจิน่า…. ตัวจริงเหรอ? ทำไมเธอถึงได้มาอยู่ที่นี่… นี่มันเรื่องอะไร… ]
เขาทำสีหน้าเหมือนกับไม่อยากเชื่อตาตัวเอง
สายตาของเขาจ้องมองไปทั่วร่างของฉันและหยุดลงที่มือ
เขากำลังมองกล่องเก็บอาหารอยู่
ฉันอายเลยซ่อนกล่องเก็บอาหารไว้ข้างหลังแทบจะทันที
[ นี่มันไม่ใช่… ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ … ]
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เหมือนคุยกันคนละเรื่องเหรอ?
ก็ฉันไม่อยากให้เพื่อนสมัยเด็กมาเห็นสภาพน่าอายนี่นา
[ ขอโทษนะโอมิรอส!!! ]
ฉันพูดแล้วจากนั้นก็วิ่งหนีไปที่ข้างหลังโอมิรอส
[ รอก่อนเรจิน่า!! ]
โอมิรอสวิ่งตามมา
ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงหนีเหมือนกัน
แต่เท้าของฉันกลับวิ่งหนีไปหานายท่าน
แต่ฉันก็ไปชนอะไรบางอย่างใหญ่ๆ เข้าที่ประตูก่อนจะออกไป
ทั้งที่มันไม่น่ามีของใหญ่ขนาดนี้วางอยู่ที่ประตูสิ
ฉันเงยหน้าขึ้น
[ เอ๊ะ…? ]
เป็นบางอย่างที่สูงกว่าฉันถึงสองเท่า
บางสิ่งบางอย่างที่เหมือนมนุษย์ แต่ก็มีขนาดที่ต่างกัน
ฉันมองไปยังเขี้ยวที่งอกออกมา ดวงตาของเขาจับจ้องมาที่ฉัน
[ ว๊ายยยย!! ]
ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นจากห้องโถงจัดงาน
[ โอเกอร์!! ]
[ ทำไมโอเกอร์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้! ]
[ ช่วยด้วย! ]
ฉันได้ยินเสียงร้องมากมาย
พอได้ยินคำว่าโอเกอร์ ฉันก็มองไปยังชายตรงหน้าของฉันอีกครั้ง
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นตัวจริง แต่ถึงอย่างนั้นก็มั่นใจเลยว่าชายตรงหน้าเป็นโอเกอร์
พวกเขาเป็นปีศาจร้ายที่ชอบกินมนุษย์ ถ้าไม่รีบหนีตอนนี้ฉันมีหวังโดนกินแน่
[ ดูท่าจะกำลังสับสนอยู่สินะ ]
โอเกอร์พูดออกมาด้วยเสียงอันน่ากลัว
[ ถอยไปห่างๆ เรจิน่านะ!!! ]
โอมิรอสรีบวิ่งมาช่วยฉัน แต่ไม่มีทางหรอก อีกฝ่ายเป็นโอเกอร์เชียวนะและโอมิรอสยังไม่มีอาวุธอีก
[ อ-อะไรนะ? ]
เพียงโอเกอร์เหวี่ยงแขน โอมิรอสก็ถูกจัดการจนปลิวไปอย่างง่ายดาย
นัยต์ตาของโอเกอร์มองหน้าโอมิรอส
โอมิรอสกำลังตกอยู่ในอันตราย
เมื่อฉันคิดได้อย่างนั้น ร่างกายของฉันก็ขยับไปเอง ฉันยืนขึ้นและดึงดาบที่อยู่ใต้กระโปรงออกมา
เมื่อดึงดาบออกมา ใบมีดสีดำก็ปรากฏขึ้นและมีเปลวไฟสีดำออกมา
[ ออกไปห่างๆ โอมิรอสนะ!! ]
ฉันแกว่งดาบและฟันไปที่เท้าของโอเกอร์
[ ก๊าซซซ!!! ]
โอเกอร์กุมเท้าที่ฉีกขาด
[ โอมิรอส!! ]
ฉันรีบไปหาโอมิรอส
[ เรจิน่า… ]
โอมิรอสมองฉันด้วยสีหน้าซีดเซียว
[ หนีไปซะโอมิรอส!! ]
ฉันจับมือโอมิรอสและพาเขาวิ่งออกไป
[ รอก่อน! แก…. !! ]
ฉันไม่ยินเสียงร้องของโอเกอร์
แต่ฉันไม่สนใจแล้ววิ่งหนี
◆ อัศวินดำคุโรกิ
ผมรู้สึกสับสนไปหมดที่จู่ๆ โอเกอร์ก็โผล่มา
[ ฉันต้อง …… รีบไปหาราชา นี่คุณน่ะมาด้วยกันหน่อยสิ!! ]
มิโดริ เคียวกะพูดแล้วเริ่มเดิน
[ เอ่อ… เรื่องอะไรกัน? ]
นี่เธอไม่ได้ยินเสียงผมเหรอ? มิโดริ เคียวกะโดยไปโดยไม่สน
ผมถูกเธอลากไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้
จะดีเหรอที่จะให้คนอย่างไปยืนอยู่ตรงนั้นนะ
เราพบราชาเวรอสอย่างง่ายดาย เพราะมีคนคุ้มกันอยู่หลายคนรอบๆ จึงมองออกได้ง่าย
และตรงนั้นก็มีราชาที่นั่งอยู่
[ สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือไปปกป้องแขกต่างหาก ]
[ แต่ว่าฝ่าบาท… ]
เมื่อเริ่มเข้าใกล้ ผมก็ได้ยินพวกเขาคุยกัน
จากนั้นราชาก็สังเกตเห็น
[ ท่านเคียวกะ ข-ข้า…. ต้องขอโทษที่มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นด้วย ]
ราชาขอโทษขณะที่ยังนั่งอยู่
[ เรื่องนั้นฉันไม่สนใจหรอกค่ะ สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือพาคุณหนีต่างหาก ]
[ ฮะฮะฮ่า เราคงหนีโดยทิ้งแขกไว้ไม่ได้หรอก… ร่างกายอ้วนๆ นี้คงจะหนีไปไม่ทันแน่… ฮะฮะฮ่า น่าสมเพซใช่มั้ยล่ะ? อย่างน้อยแค่โคฟิน่า ท่านช่วยพาเธอหนีไปที่ปลอดภัยทีจะได้มั้ย? ]
[ คุณคะ… ]
ราชินีดูเหมือนจะร้องไห้
พวกเขาเป็นคู่รักที่รักกันจริงๆ
ราชาดูมีบุคลิกอ่อนโยนผิดกับร่างกายที่ใหญ่โตของตัวเอง
ราชาบอกให้ราชินีหนีไปและสั่งให้ทหารไปปกป้องคนรอบข้าง
โดยปล่อยเขาทิ้งไว้
สิ่งที่ราชาสั่ง ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันถูกต้องแล้วรึไม่
แต่เหล่าทหารไม่ยอมทำตามคำสั่งของราชาและพยายามปกป้องราชาไว้ หากพิจารณาว่านี่เป็นการทำเพื่ออาณาจักร นี่ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว
แต่ดูเหมือนว่าจะสายเกินไป
พวกเขาโดนโอเกอร์เจอตัวแล้ว
โอเกอร์สามตัวกำลังมาทางนี้
เหล่าคนคุ้มกันต่างพยายามปกป้องราชา ดวงตาของพวกเขามองว่าราชาเป็นคนสำคัญจริงๆ
โอเกอร์มาแล้ว
[ แกคือราชางั้นเหรอ? ]
ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงกลางของโอเกอร์ทั้งสามมองไปยังราชาแห่งเวรอส เสียงนั้นดูน่ากลัวมาก
บางทีคงเป็นผู้นำของกลุ่มโอเกอร์
[ โอ้! ปกป้องราชาเอาไว้!! ]
คนคุ้มกันตรงหน้าพูดเมื่ออยู่ต่อหน้าโอเกอร์
[ ไอ้พวกปลาซิวปลาสร้อย! ]
โอเกอร์ทางด้านซ้ายและขวาสบัดมือ
คนคุ้มกันโดนจัดการอย่างง่ายดาย
[ ฮี๊!!!!! ]
เสียงร้องของราชา
[ คุณคะ!! ]
ราชินีไปยืนอยู่ข้างหน้า
[ ไม่ได้นะโคฟิน่า!! อย่างน้อยแค่เจ้าหนีไปแค่คนเดียวก็พอ! ]
แม้ว่าราชาจะพูดออกไป แต่ราชาก็ไม่อาจหนีไปได้
[ โอเกอร์พวกนี้มันอะไร… มันคือใครกันแน่? ]
ผมได้สินเสียงราชากำลังสั่น
[ ข้าคือคุจิค น้องสาวของผู้กล้าอยู่ที่อาณาจักรนี้สินะ!! ]
จากคำพูดของโอเกอร์ ทำให้ผมรู้ว่าเป้าหมายของโอเกอร์พวกนี้ก็คือมิโดริ เคียวกะ แต่ทำไมถึงต้องเพ่งเล็งไปที่เธอล่ะ?
ถ้าทำอะไรกับเธอ เรย์จิไม่หยุดอยู่เฉยๆ แน่ งั้นทำไมโอเกอร์พวกนี้ถึงได้พยายามจะทำให้เขาโมโหอีกล่ะ?
[ ฉันไม่วิ่งและไม่ซ่อนทั้งนั้น ปล่อยคนอื่นๆ ไปซะ!! ]
มิโดริ เคียวกะปรากฏตัวตรงหน้า
[ หน้าอกใหญ่ดีนี่นา? เจ้าเองน่ะเหรอที่ฆ่าน้องชายของข้า ]
โอเกอร์ด้านซ้ายพูดด้วยเสียงน่ากลัว
[ ถ้ามาแตะต้องตัวฉัน พวกเพื่อนของฉันต้องมาแน่ ]
มิโดริ เคียวกะพูดออกมา
แต่โอเกอร์กลับหัวเราะ
[ โทษทีนะ แต่เพื่อนของเจ้าน่ะไม่มาหรอก ]
ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงกลางพูดแล้วหัวเราะ
[ เพื่อนของเจ้าทั้งสองคนตอนนี้ถูกขังอยู่ในบาเรียเวทของข้าแล้ว แม้จะเป็นเทพก็หนีออกมาไม่ได้ง่ายๆ หรอก อย่าว่าแต่มนุษย์ด้วยซ้ำ ]
ผู้หญิงคนนั้นยิ้มแสยะ
[ อะไรนะ!? คายะกับคุณชิโรเนะ…! ]
มิโดริ เคียวกะพูดด้วยเสียงหวาดกลัว
[ เวทมนตร์ของท่านแม่แข็งแกร่งที่สุด แม้จะเป็นเพื่อนของผู้กล้าก็เถอะ ไม่พอเป็นคู่มือให้เราได้หรอก!! ]
โอเกอร์ด้านซ้ายและขวาหัวเราะ จากนั้นโอเกอร์ตัวอื่นๆ ก็เริ่มหัวเราะไปด้วย
[ เพราะแบบนี้นี่เอง… ฝีมือพวกแกเองสินะที่ทั้งสองคนหายไป แต่อย่าคิดว่ามันจะง่ายล่ะ ยังไงฉันก็เป็นน้องสาวของผู้กล้า แค่พวกแกไม่คณามือฉันหรอก! ]
มือของมิโดริ เคียวกะเรืองแสง ผมรู้สึกถึงพลังเวทมหาศาลจากตัวเธอ
[ โอ๊ะ จะดีงั้นเหรอ? ได้ยินว่าเจ้าควบคุมพลังเวทไม่ได้ นี่คิดจะฆ่าผู้คนที่นี่ไปด้วยงั้นเหรอไง? ]
โอเกอร์หญิงแสยะยิ้ม
[ ทำไมแกถึงได้รู้!! ]
[ ถ้าเข้าใจแล้วก็ทำตัวเป็นเด็กดีซะ ไม่คิดว่าแบบนั้นเหรอ? ]
โอเกอร์หญิงพูดราวกับว่าตัวเองชนะแล้ว
พวกโอเกอร์ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
จนมาอยู่ตรงหน้ามิโดริ เคียวกะ
ดังนั้นผมเลยไปขวางหน้าไว้
[ อะไร? แกเป็นใคร? ]
โอเกอร์จ้องมองมาที่ผม
[ เอ่อ… ก็แบบว่า… ]
ผมเองก็ไม่อยากยุ่งหรอกนะ แต่ต้องให้ราชากับคนอื่นๆ หนีไปให้ได้ก่อน
[ นี่คุณคิดจะทำอะไรนะ อย่างคุณจะไปทำอะไรพวกมันได้! รีบหนีไปซะ มันอันตรายนะ! ]
มิโดริ เคียวกะพูดด้วยความโกรธ แต่ผมไม่อาจห้ามตัวเองได้
[ ฮะฮะฮ่า! คิดจะเป็นอัศวินที่ปกป้องเจ้าหญิงงั้นเหรอ? น่าชื่นชมดี! ได้ ข้าจะกินแกก่อน! ]
โอเกอร์ด้านซ้ายพูดแล้วหัวเราะและพยายามจับผม
ผมจึงคว้ามือของโอเกอร์ตัวนั้น จากนั้นก็หมุนตัวและโยนมันไปกระแทกกับพื้น
[ [ [ เอ๊ะ?!!! ] ] ]
ผู้คนรอบๆ ต่างส่งเสียงตกใจออกมา
[ เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น… ]
[ เขาคว่ำโอเกอร์ตัวใหญ่ขนาดนั้นได้… ]
เสียงจากคนรอบข้าง
[ ร-ริง! ]
โอเกอร์หญิงเรียกชื่อโอเกอร์ที่โดนโยนไป ดูเหมือนจะชื่อว่าริงสินะ
[ อะไรกัน นี่มันเรื่องอะไร… ? ]
ราชาที่อยู่ข้างหลังทำเสียงตกใจ
[ ท่าแบบนั้น… ฉันเคยเห็นมาก่อน… ในวันนั้น… ]
ดูท่าว่ามิโดริ เคียวกะจะรู้ตัวแล้ว
ผมเองก็ไม่ได้คิดจะปกปิดความจริงกับเธอไว้จนถึงขนาดไม่ทำอะไรหรอกนะ แล้วถ้าเกิดเธอใช้เวทมนตร์ขึ้นมา…
เพราะเธอก็ควบคุมเวทมนตร์ไม่ได้ด้วย ถึงได้มีสมญานามแปลกๆ ว่า เจ้าหญิงล่ะนะ
[ แกเป็นใคร! ทำไมถึงต้องสอดมือมายุ่งกับคุจิคผู้นี้ด้วย!! ตอบมาซะ!! ]
โอเกอร์หญิงที่คุจิตตะโกนออกมา
เพราะถ้าผมไม่เข้ามายุ่งมิโดริ เคียวกะก็มีหวังถูกฆ่านะสิ
[ ก็ไม่ได้คิดจะมายุ่งหรอกนะ … แต่ว่า… ถือว่าขอร้องแล้วกัน ช่วยปล่อยเธอคนนี้ไปได้มั้ย แล้วผมจะทำทีเหมือนว่าไม่มีอะไรก็แล้วกัน ]
ผมก้มหัวแล้วพูดและพูดกับโอเกอร์
[ ห๊ะ… นี่แกหมายความว่ายังไง? ]
คุจิคดูเหมือนจะสับสนที่ผมก้มหัวให้
น่า ทางนี้เองก็สับสนพอๆ กันนั้นแหละ
ทำไมมันถึงได้กลายเป็นแบบนี้กันนะ? ทั้งที่วันนี้ผมควรจะได้เต้นรำแบบสนุกสนานกับคุนะ แต่มันกับพังไม่เป็นท่าซะได้
[ นี่คุณเอาจริงเหรอ…? ]
มิโดริ เคียวกะถาม ผมเองก็ตอบไม่ได้หรอกว่า ’เอาจริง’ นะ
[ ที่นี่ให้ผมจัดการเอง ]
ผมมองย้อนกลับไปและพูดกับเหล่าคนที่อยู่ข้างหลัง
ก็ลังเลอยู่หรอกนะ แต่ไม่มีทางเรื่องเพราะต้องมีใครทำอะไรสักอย่าง
ผมมองไปที่โอเกอร์
[ ถ้าไม่ยอมถอยกันไปดีๆ … ก็ช่วยไม่ได้นะ คงต้องสั่งสอนกันสักหน่อย ]
เมื่อผมพูดอย่างนั้น เปลวไฟสีดำก็พุ่งออกมาจากร่าง
[ ฮี๊!!!! ]
โอเกอร์ที่เห็นเปลวไฟสีดำต่างส่งเสียงกลัว
และมีสายตาน่าสังเวช
เหล่าโอเกอร์ดูท่าจะกลัวกันอยู่นิดหน่อย
[ ฮี๊… ]
ดูเหมือนไม่ใช่แค่โอเกอร์ที่กลัว
แต่คนที่อยู่รอบข้างก็กลัวไปด้วย
ว่าตามมุมมองของพวกเขา ก็เหมือนเห็นปีศาจที่น่ากลัวกว่าโผล่ออกมาล่ะนะ
และที่จริงผมแค่คิดจะขู่โอเกอร์เท่านั้นเอง
จากนั้นผมก็เดินไปหาพวกโอเกอร์
[ ถ้าแกมาขวางทาง! งั้นข้าจะฆ่าแกก่อนซะ! ]
โอเกอร์หญิงที่ชื่อคุจิตพูดขณะที่กำลังสั่นกลัว
ผมไม่ได้วางแผนจะทำให้กลัวขนาดนั้นหรอก
จากนั้นบนแขนของคุจิคก็มีงูสาวฟ้าปรากฏออกมา
[ จงไปจัดการศัตรูของข้าซะ! งูสายฟ้า!! ]
ทันใดนั้นงูสายฟ้าก็พุ่งจากมือของเธอเข้ามาโจมตีผม
แต่ว่าแค่งูเองเหรอ แค่นี้ไม่คณามือผมหรอก
ด้วยพลังของมังกรสายฟ้าในร่างของผมตอนนี้ ความเสียหายระดับนี้ทำอะไรไม่ได้หรอก
นี่เป็นมาตรการเผื่อต้องสู้กับริสะ ซาซากิอีกครั้งล่ะนะ
มีเกาะใกล้ๆ กับนากอลทางตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเกาะนั้นมีฝนตกฟ้าคะนองตลอดเวลา
และบนเกาะแห่งนั้นก็มีมังกรสายฟ้าอาศัยอยู่ ผมและคุนะจึงได้ขี่โกเรียสเพื่อไปขอร้องมังกรสายฟ้า
ตอนแรกคิดว่าต้องสู้กันซะอีก แต่ดูท่ามังกรสายฟ้าจะเป็นมิตรและยอมให้พลังผมอย่างง่ายดาย
ดังนั้นงูสายฟ้าจึงทำอะไรผมไม่ได้
งูสายฟ้าที่เริ่มรัดร่างกายผมแน่นขึ้นเรื่อยๆ
[ แค่นี้ไม่เจ็บไม่คันหรอกนะ ]
ผมพูดออกมา จากนั้นก็ปล่อยเปลวไฟไปทั่วร่างกายจนงูสายฟ้าไหม้ไปหมด
[ ถ้างั้น… แล้วเจ้านี้ล่ะ! ]
เริ่มมีบอลสีแดงปรากฏขึ้นที่มือของคุจิคและกำลังโตขึ้นเรื่อยๆ
ที่จริงผมก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าคุจิคกำลังใช้เวทอะไร เป็นเวทที่ยุ่งยากเล็กน้อยนะ
[ ระเบิดกัมปนาท!! ]
[ สลายระเบิดกัมปนาท!! ]
ผมลบล้างเวทที่คุจิคคิดจะใช้ สำหรับผมถึงโดนเข้าไปก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ที่นี่มีคนอยู่มากเกินไป ดังนั้นผมถึงได้ลบเวททิ้งซะ
[ เวทที่แข็งแกร่งที่สุดของข้า…. พวกเจ้า! มัวแต่มองอะไรกันอยู๋! รีบไปเอาคนรอบๆ มาเป็นตัวประกันซะ!! ]
คุจิคตะดกนออกมา
จากนั้นโอเกอร์รอบๆ ก็เริ่มเคลื่อนไหว
น่าจะแย่แล้วสิ
ผมไม่มีเวทที่ใช้โจมตีแบบระบุตัวซะด้วย เวทที่มีมันทรงพลังเกินไป คนที่นี่จะโดนลูกหลงไปด้วย ถึงจะใช้ดาบแต่ก็จัดการพวกมันทุกตัวไม่ทันการแน่
ในขณะที่ผมกำลังคิดว่าจะทำยังไงดี ก็มีบางอย่างลอยผ่านไป
[ บ้าเอ้ย!! ]
[ นั่นมัน…!! ]
จู่ๆ ก็มีเสียงร้องของพวกโอเกอร์ดังขึ้น
เท้าและมือของโอเกอร์พวกนั้นต่างขาดกันไปหมด ถึงจะยังไม่ตายกัน แต่คงสู้ยากแล้วล่ะ
[ โอเกอร์ บังอาจมาทำให้งานเต้นรำเละไม่เป็นท่าได้นะ ]
เสียงหนึ่งดังขึ้น
ทุกคนต่างหันไปมองเจ้าของเสียงนั้น คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็คือคุนะที่ถือเคียวอยู่
เคียวของคุนะมีพลังที่เน้นจุดโจมตีได้ ทำให้สามารถฟันในจุดที่กำหนดได้ตามที่ต้องการได้
ดูเหมือนคุนะจะเน้นจุดโจมตีของเคียวไปที่แขนกับขา
[ ต้องฆ่า ]
ผมรู้สึกได้ถึงพลังเวทอันทรงพลังของคุนะ
เสียงกรีดร้องของผู้คนต่างดังไปทั่ว สงสัยพวกเขาคงจะรู้สึกถึงพลังเวทนั้นได้
[ ไม่ได้นะคุนะ! เดี๋ยวทุกคนที่นี่ก็ตายหรอก! ]
คลื่นพลังเวทของคุนะหายไปเมื่อได้ยินเสียงของผม
[ อะไรกัน นี่พวกแกเป็น…. ]
โอเกอร์หญิงพูดแบบตัดๆ ขัดๆ …
[ กลับ… เจ้าพวกนี้อันตราย! ]
จากนั้นเหล่าโอเกอร์รอบๆ ก็ไปรวบตัวรอบคุจิค
[ บ้าเอ้ย นี่พวกเราต้องหนีกันงั้นเหรอ! ]
จากนั้นพวกโอเกอร์ก็หนีไป
เพราะผมไม่รู้สึกอยากจะฆ่าพวกโอเกอร์จริงๆ ผมเลยปล่อยพวกเขาหนีไป
เมื่อเห็นว่าพวกโอเกอร์หนีไปแล้ว คุนะก็เดินมาทางผม
[ ช่วยไว้ได้พอดีเลยนะคุนะ ]
[ คุโนกิ งานเต้นรำมัน… ]
คุนะพูดด้วยเสียงเศร้าเล็กน้อย
[ ไม่เป็นไรหรอกคุนะ… ไว้คราวหน้าค่อยมาเต้นกันอีกก็ได้ ]
ผมพูดขึ้นแล้วลูบหัวคุนะ
ทำให้คุนะหายซึมไปได้
[ งั้นพร้อมจะกลับกันรึยังล่ะคุนะ? ]
ผมอยากกลับไปที่นากอลเร็วๆ และพวกโอเกอร์คงไม่กลับมาแล้ว คงไม่ต้องระวังอะไรแล้วล่ะ
[ อือ เข้าใจแล้วคุโรกิ ]
คุโรกิใช้เวทเคลื่อนย้าย
แต่ในขณะที่ผมกำลังจะกลับนั้น
[ รอเดี๋ยวก่อน!! ]
มิโดริ เคียวกะก็ตะโกนขึ้นมา
[ จำได้แล้ว นายคือคนที่จับหน้าอกของฉันที่ลีนาเรียเองสินะ! ]
มิโดริ เคียวกะพูดแล้วชี้มาที่หน้าของผม
[ คุโรกิจับหน้าอกของผู้หญิงคนนั้น… นั่นมันหมายความว่ายังไงคุโรกิ? ]
เพราะประโยคนั้นทำให้คุนะยกเลิกเวทไปกลางคัน และดูเหมือนกำลังโกรธอยู่ด้วย
[ แล้วก็… ชื่อคุโรกิเองก็คุ้นหูมาก! ยังไงฉันก็ปล่อยให้นายหนีไปไม่ได้! ]
มิโดริ เคียวกะพูดแล้วเดินมาทางเรา
[ อะไร! นี่เธอกับคุโรกิมีความสัมพันธ์กันแบบไหนกันแน่!? ]
คุนะจู่ๆ ก็ไปยืนประจันหน้ากับมิโดริ เคียวกะซะแล้ว
และดูเหมือนกำเคียวไว้ซะแน่นด้วย
ผมต้องไปห้ามคุนะแล้วสิ
[ ไม่ใช่นะคุนะ… ตอนนี้พวกโอเกอร์ก็หนีไปแล้ว เรารีบกลับกันก่อนเถอะ ]
[ คุณหนูคะ―――――!!!]
ตอนที่ผมกำลังคุยกับคุนะ จู่ๆ ก็มีเสียงกระโกนดังขึ้น
[ ชิโรเนะ!! ]
ชิโรเนะดิ่งลงมาจากบนฟ้า จากนั้นก็มีสาวในชุดเมดตามมา บางทีนั้นคงเป็นเวทที่ใช้ควบคุมลม
ต้องรีบไป ผมไม่ควรอยู่ที่นี่นานๆ แล้วสิ ต้องรีบหนีแล้ว!
[ คุณหนู!! ]
เมดคนนั้นวิ่งไปกอดมิโดริ เคียวกะ
[ คายะ!! ]
ทั้งสองคนกอดกัน
[ ทุกคนปลอดภัยดีสินะคะ!! ]
จากนั้นชิโรเนะก็หันมามองรอบๆ
และมองมาทางผม
[ เอ๊ะ คุโรกิ… ]
ถูกเห็นซะแล้ว
[ ทำไม… คุโรกิถึง… ? ]
ชิโรเนะพูดขึ้นแล้วเดินมาทางนี้
จากนั้นก็ลดสายตาไปต่ำลงเล็กน้อย
ซึ่งตอนนี้ผมกำลังกอดคุนะอยู่
และสายตาของชิโรเนะจ้องมองไปที่คุนะอย่างชัดเจน
[ คุโรกิ… เด็กคนนั้นเป็นใครงั้นเหรอ? ]
ใบหน้าของเธอเหมือนกำลังยิ้ม แต่ตาไม่ได้ยิ้มไปด้วย
โกรธอยู่แน่นอน
[ เธอนั้นแหละเป็นอไรกับคุโรกิ!!! อย่ามาใช้สายตาแบบนั้นมองคุโรกิของฉันนะ!! ]
คุนะหันเคียวไปทางชิโรเนะ
[ ฉันกับคุโรกิเป็นอะไรกัน? …. เธอต่างหากที่เป็นคุโรกิเป็นอะไร? ถึงได้บอกว่าคุโรกิของฉันนะ? ]
ชิโรเนะใช้ดาบกันเคียวของคุนะไว้
[ ไม่ได้นะคุนะ! เรารีบกลับนากอลกันเถอะ ]
ผมกอดคุนะไว้เพื่อหยุดเธอ
[ เข้าใจแล้วคุโรกิ… ]
คุนะยอมเชื่อฟังผมแต่โดยดี
จากนั้นคุนะก็ใช้เวทเคลื่อนย้าย
[ เดี๋ยวก่อนคุโรกิ!! ]
ชิโรเนะวิ่งมาเพื่อจับเราไว้
แต่ผมไม่ยอมหรอก
[ เปลวไฟสีดำ! ]
ผมกันชิโรเนะที่คิดจะมาหาด้วยเปลวไฟสีดำ
[ รอก่อนคุโรกิ!! ]
แต่ผมรอไม่ได้
จากนั้นเวทเคลื่อนย้ายก็ทำงาน
และพวกเราก็กลับไปที่นากอล