อัศวินดำ - ตอนที่ 40
◆ สตรีแห่งดาบ ชิโรเนะ
พวกเราโยกเยกไปมาตามแรงสั่นของรถม้า
นี่เป็นรถม้าที่ราชาอีคาราสให้มา โดยม้านั้นใช้ฮิปโปกริฟฟ์ลากให้แทน
ที่จริงก็อยากจะบินไปเองล่ะน้า แต่จำนวนคนมันเพิ่มขึ้นและฮิปโปกริฟฟ์ก็รับน้ำหนักคนขนาดนี้ไม่ไหวด้วย
จึงช่วยไม่ได้นอกจากต้องเดินทางทางพื้นดินแทน
รถม้าที่ได้จากอาณาจักรเวรอสนั้นหรูหรามาก มีหน้าต่างขนาดใหญ่ที่มองเห็นวิวด้านนอกได้และที่นั่งยังนุ่มสบายอีกต่างหาก
ที่นั่งอยู่มีฉัน คุณเคียวกะ คุณคายะ และคุณเรจิน่า
โดยคนในกลุ่มเรามีทั้งหมด 7 คน คือฉัน คุณเคียวกะ คุณคายะ คุณโอมิรอส คุณเรจิน่า และไดร์กันกับอีธีกอส
แต่พาซัสไม่ได้อยู่ด้วย เห็นว่าจะกลับไปที่อัลโกลี่ก่อนเพื่อไปทำธุระ
ดังนั้นคุณเคียวกะถึงได้ดูร่าเริงขึ้นนิดหน่อย
หลังจบการเลี้ยงเต้นรำ พาซัสก็รู้สึกไม่สบายขึ้นมากระทันหัน ดวงตาของเขาในตอนนั้นราวกับกำลังโลมเลียผู้หญิงฃเลยล่ะ โดยเฉพาะเรจิน่า เหมือนกับหมาที่กำลังอยู่ในช่วงติดสัด มันอาจจะแย่ต่อพาซัสแต่ฉันไม่อยากให้เขามองคุณเคียวกะแบบนั้นเลย
ทำไมพาซัสถึงได้กลายเป็นแบบนั้นได้? ดูเหมือนเขาจะโดนเวทอะไรสักอย่างของแม่มดสีเงินที่อยู่กับคุโรกิเข้า ฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมเธอถึงได้ใช้เวทนั้นกับพาซัส
ยังไงก็เถอะ ตอนนี้เขาก็ไม่ได้มาด้วยล่ะนะ
และถึงจะไม่ใช่ทางเลือกก็ตามแต่อีธีกอสกับไดร์กันก็มาด้วย
หากถามว่า ทำไมสองคนนี้ถึงได้มาด้วยล่ะ? ก็เพราะครั้งก่อนเขาโดนโอเกอร์ควบคุมไว้และถูกเราทิ้งไว้ในป่าแล้วร้องหjมร้องไห้
เขาไม่รู้ว่าจะออกไปจากป่าเวรอสได้ยังไง พอออกมาได้ก็มาโผล่ตรงหน้าหน้ารถม้าพอดี
โอเกอร์ที่ชื่อคุจิคเป็นคนที่ควบคุมอีธีกอส เธออาศัยอยู่ในป่าสีฟ้าที่อยู่บริเวณแถวนี้ ซึ่งในป่าจะมีปราสาทขนมหวานอยู่ นั้นล่ะคือที่อยู่อาศัยของคุจิค
บางทีเธออาจจะโจมตีมาอีกครั้งก็ได้
และทางไดร์กัน อาณาจักรเวรอสบอกว่าให้เราพาไปด้วยเพราะการจะคุมขังมนุษย์หมาป่าไว้ตลอดเวลามันอันตราย อย่างน้อยจึงต้องพาเขาไปด้วย
ตอนนี้ไดร์กันก็กำลังโดนมัดด้วยโซ่หลายชั้นและกลิ่งอยู่ในห้องเก็บสัมภาระหลังรถม้านั้นล่ะ ร
ที่จริงก็คิดจะมัดเรจิน่าไว้เผื่อกันหนีกับไดร์กันนั้นแหละ
เพราะฉันไม่อยากทำอะไรรุนแรงนักและเธอยังเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญ จะดีกว่าถ้าปฏิบัติกับเธอดีๆ หน่อย
โชคดีที่เรจิน่าเป็นพวกปากเบา ทั้งที่เธอบอกว่าจะไม่พูดอะไรแต่ก็บอกข้อมูลของคุโรกิในนากอลให้เรารู้ ดังนั้นตอนนี้เลยเรื่องราวเลยเริ่มต่อกันแล้ว
ตามที่คุณคายะคาดไว้ ดูเหมือนคุโรกิจะช่วยเรจิน่าเอาไว้เพราะเห็นเรจิน่ากำลังจะถูกพวกก็อบลินทำร้าย
ทำให้เรจิน่าสำนึกบุญคุณของคุโรกิ
เพียงแค่ข้อมูลเล็กน้อยเกี่ยวกับคุโรกิที่เรจิน่าพูดมาก็มีประโยชน์มากแล้ว
คุโรกิในสายตาเรจิน่านั้นเป็นคนใจดียิ่งกว่าใครและแข็งแกร่งที่สุด
เวลาที่เรจิน่าพูดเรื่องคุโรกิน่ะ เธอพูดออกมาราวกับสาวน้อยที่อยู่ในห้วงความลับเลยล่ะ
โดยเฉพาะการแสดงท่าทางที่เธอชอบเหม่อลอยถึงคุโรกิ [ แรงเกินไปรึเปล่าคะ? ] พอมองดูจากข้างๆ ยังอายไปด้วยเลย
ฉันชักสงสัยว่าคุโรกิมีสาวสวยแบบนี้อยู่ข้างตัวกี่คนกันแน่
แต่จะพูดถึงคุโรกิก็ไม่ได้ว่าหรอก แต่อย่าลืมสิว่าที่นี่ยังมีเขาอยู่ด้วยนะ
ตอนนี้คุณโอมิรอสเลยซึมไปแล้ว
ตอนนี้เขาเลยพลอยเป็นศัตรูกับโอมิรอสไปด้วย
มันน่าเจ็บปวดนะ เพราะเขาเองก็อุตส่าห์เรียนวิชาการต่อสู้มาเพื่อเธอ
และยังมาเห็นเธอชื่นชมชายอื่นต่อหน้า(สถานการณ์คล้ายใครน้า?) มันเป็นภาพที่ไม่อยากเห็นเลยก็ว่าได้
คุณโอมิรอสพยายามพาคุณเรจิน่ากลับไปที่อาณาจักรอัลโกลี่ ดังนั้นสำหรับคุณโอมิรอส คุโรกิจึงเป็นอุปสรรคที่ขวางทาง
แต่ทางโอมิรอสก็ดูจะพยายามต่อว่าเรจิน่าไปบ้างแล้ว แต่โดนเธอตอกกลับมาว่า [ นายท่านน่ะเยี่ยมยอดกว่าโอมิรอสตั้งหลายเท่าค่ะ ]
โอมิรอสจึงได้เงียบไปและอยู่ในสถานะซึมแบบนี้
โอมิรอสกังวลเรื่องของเรจิน่าอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นน่าจะอ่อนโยนกับเขาหน่อยก็ได้ไม่ใช่เหรอ?
ว่าแต่พอมองดูโอมริส ทำไมเหมือนเห็นคุโรกิในอดีตซ้อนทับกันนะ?
ดังนั้นถึงโอมิรอสจะมาด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้นั่งในรถม้าหรอก
จะเคลียร์ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนได้ยังไงกันนะ?
ฉันคิด
ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือแยกเรจิน่ากับคุโรกิออกจากกันจะดีกว่ารึเปล่านะ?
หากฉันบอกเรื่องนิสัยที่แท้จริงของคุโรกิกับเรจิน่า เรจิน่าอาจจะบาดหมางกับคุโรกิจนกลับไปหาโอมิรอสได้รึเปล่า?
ขณะที่ฉันกำลังคิดอยู่นั่นเอง ก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง
[ หยุดรถม้า ]
คุณคายะเองก็รู้สึกเหมือนกัน อีธีกอสจึงได้หยุดรถม้า
[ มีอะไรงั้นรึครับ? ]
ทันใดนั้นรถม้าก็หยุด อีธีกอสหันมาถาม
[ ใช่ค่ะ คายะเกิดอะไรขึ้นเหรอ? ]
คุณเคียวกะเองก็ถามด้วย
คุณเคียวกะไม่มีความสามารถในการรับรู้สถานการณ์จึงไม่อาจรู้ได้อยู่แล้ว
[ มีบางอย่างมาจากข้างหน้าค่ะคุณหนู ]
เมื่อได้ยิน พวกเราก็มองไปข้างหน้า
มีม้ากำลังวิ่งตรงมา
โอมิสรอสขี่ม้าไปข้างหน้าเพื่อปกป้องรถม้าไว้
[ โอมิรอส!! ]
คนที่ขี่ม้าเรียกชื่อโอมิรอส
[ มาคิลเชียส! เฮนเรีย!! ]
โอมิรอสตะโกน
บนม้านั้นมีคนอยู่สองคน เป็นเด็กผู้ชายอายุประมาณพวกเราและเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ
[ ท่านคายะ ทางนี้คือคนในครอบครัวของผมครับ ]
โอมิรอสหันหลังกลับมาเพื่อแนะนำ แล้วคนที่ขี่ม้าอยู่ก็โบกมือให้พวกเรา
[ เดี๋ยวค่ะ! ไม่ได้มีแค่พวกเขาที่มา! ]
คุณคายะพูดขึ้นจากนั้นก็กระโดดออกจากรถม้าไปและตรงไปข้างหน้า
การเคลื่อนไหวของเธอเร็วกว่าโอมิรอสที่ขี่ม้าซะอีก
[ เอ๊ะ!? ]
ช่วงเวลาที่คุณคายะเข้าไปใกล้ม้า เด็กตัวๆ ที่อยู่บนหลังม้าก็ส่งเสียงออกมา
ข้างพุ่มไม้ที่ม้าอยู่มีเงาพุ่งออกมา
เงานั้นก็คือมดที่เดินสองขาได้และมีขนาดตัวเท่ากับมนุษย์ แต่มันไม่ได้มีตัวเดียว ยังมีอีกยักษ์อีกหลายตัวโผล่มาจากพุ่มไม้ข้างๆ เช่นกัน
[ อุว๊ากกก!! ]
[ กรี๊ดดดด!! ]
สองคนบนม้าส่งเสียงตกใจ
จากนั้นมดพวกนั้นก็พยายามโจมตีทั้งสองคน
แต่ว่าคายะเร็วกว่า แสงสีฟ้าส่องประกายที่หลังมือของคุณคายะ
ถุงมือทัวมาลีน ซึ่งมีหินสายฟ้าฝังอยู่ นั่นคือคือที่คุณคายะตั้งให้กับถุงมือนั้น
ทัวมาคืนก็คือคริสตัลเวทที่ติดอยู่กับด้านหลังของถุงมือ ทำให้สามารถโจมตีด้วยสายฟ้าได้
เพราะอุปกรณ์ก่อนๆ ของคายะไม่ค่อยดีนัก เธอจึงได้รับของใหม่ที่มีประสิทธิ์ภาพกว่าเดิมมา
คุณคายะกระโดดไปก่อนที่มดจะโจมตีทั้งสองคนและชกมันด้วยหมัด จากนั้นก็บิดตัวและทำให้มันกระเด็นด้วยการเตะ
หลังจากนั้นไม่กี่วิ มดทั้งหมดก็หยุดเคลื่อนไหว
[ สุดยอด… ]
ชายที่ขี่ม้าอยู่พึมพำ รู้สึกโอมิรอสจะเรียกเขาว่ามาคิลเชียสสินะ
[ เฮนเรีย! มาคิลเชียส! ]
โอมิรอสตรงไปหาทั้งสองคน
[ ทำไมพวกนายถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ? ]
โอมิรอสถามทั้งสองคน
[ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พวกเราสบายดี… ก็แค่คิดว่าพี่กลับมาช้ากว่าปกติก็เลยนึกว่าเกิดอะไรขึ้น… ]
จากนั้นเธอมองมายังพวกเราที่อยู่ข้างหลังแล้วยืนเจื่อนๆ
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเห็นว่าโอมิรอสกลับมาช้า นั้นเองก็เป็นความผิดเราด้วย เพราะเดิมโอมิรอสกับพาซัสมาด้วยกัน แต่พาซัสดันกลับไปคนเดียวก่อนนี่นะ
[ ขอบคุณนะเฮนเรียที่เป็นห่วง… ]
โอมิรอสดูจะกระตุกเพราะคำพูดของเธอ จากนั้นอารมณ์ก็หม่นหหมองลงทีละนิดๆ
เมื่อมองมาทางด้านหลัง
[ … ไม่ต้องห่วงข้านักหรอก ข้าเองก็ไม่ใช่เด็กแล้ว ]
ปากไม่ตรงกับใจเลย นั่นล่ะที่เป็นเด็ก
[ ขอโทษนะเฮนเรีย…. ที่ทำให้เป็นห่วง…. ดังนั้นพี่เลยเอาขนมมาฝาก หวังว่าไถ่โทษได้นะ? ]
จากนั้นโอมิรอสก็เอาอะไรออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
[ เค้ก! ของจริงเหรอ!! ]
ดวงตาของเฮนเรียเปล่งประกาย ราวกับที่เธอโกรธจนบูดบึ้งเมื่อกี้เป็นเรื่องโกหก
[ อะแฮ่ม ]
คุณคายะทำเสียไอจากข้างๆ เอาเถอะ โอมิรอสกับเฮนเรียก็ดูสนิทกันดีล่ะนะ
[ ท่านโอมิรอส ยังไงช่วยแนะนำคนพวกนั้นให้รู้จักจะได้มั้ยคะ? ]
ฉันเดาว่าเธอคุงเบื่อจะรอแล้ว คุณคายะยิ้ม
[ ข-ขอโทษด้วยครับด้วยครับท่านคายะ ]
โอมิรอสก้มหัวให้ เสียงของคุณคายะดูน่ากลัวนี่นะ
เฮนเรียกอดมาคิลเชียสเพราะเพราะรู้สึกถึงควาไม่สบายใจ
บางทีพวกเขาคนที่จัดการพวกมดได้ง่ายๆ นั้นล่ะนะ
ถ้าเป็นผู้ชายก็ไม่เป็นไรหรอก แต่อย่าทำให้เด็กน้อยน่ารักอย่างเฮนเรียต้องกลัวสิ
จากนั้นโอมิรอสก็พาทั้งสองคนมาหน้ารถม้า
[ ท่านเคียวกะ ทั้งสองคนเป็นญาติของข้าเอง ทางนี้คือมาคิลเชียสและทางนี้ก็คือน้องสาวของเขาชื่อเฮนเรียครับ ]
โอมิรอสกับคุณเคียวกะที่อยู่ในรถม้า
[ ค่ะ ฝากตัวด้วย ]
เคียวกะพูดออกมา
[ เอ่อ… พี่คนสวยคนนี้ใครเหรอ? ]
เฮนเรียพูดชมแบบไม่คาดคิดออกมา ดูเหมือนว่ามาคิลเชียวเองก็รู้สึกเหมือนกัน
[ คุณมาคิลเชียส เฮนเรีย ทางนี้คือท่านเคียวกะซึ่งเป็นน้องสาวของผู้กล้า แน่นอนทางนั้นก็ท่านชิโรเนะ เราเดินทางไปที่อัลโกลี่ด้วยกันนะ ]
หลังจากโอมิรอสแนะนำคุณเคียวกะกับฉัน ทั้งสองคนก็หันมามองฉันแล้วพูดว่า
[ คุณคือ… ภรรยาของผู้กล้านี่นา… ]
[ อ่ะ จริงด้วย… ]
พวกเขาดูเหมือนจะจำฉันได้ ถึงฉันจะไม่เคยเจอทั้งสองคนตรงๆ ก็เถอะ
[ งั้นบางทีผู้กล้าก็…. ]
เฮนเรียพูดด้วยเสียงกลัวเล็กน้อย
[ ไม่หรอก ท่านผู้กล้าไม่ได้มาด้วย มีแค่ท่านเคียวกะที่เป็นน้องสาว ท่านคายะและท่านชิโรเนะเท่านั้นเอง ]
เมื่อได้ยินโอรอสพูดดังนั้น ทั้งสองคนก็แสดงท่าทางโล่งอก นี่พวกเธอกลัวเรย์จิมากขนาดไหนกันนะ?
[ ทั้งสองคนทักทายท่านเคียวกะหน่อยสิ ]
เมื่อโอมิรอสบอกทั้งสองคน พวกเขาก็ขมวดคิ้วและจัดท่าทางซะใหม่
[ มาคิลเชียสผู้นี้ขอขอบคุณมากครับ ท่านเคียวกะ ]
[ ฉ-ฉันเป็นน้องสาวของพี่มาคิลเชียส เฮน…. นั่นมัน? ]
ก่อนจะพูดจบ ดวงตาของเฮนเรียก็ไปเจอกับคนๆ หนึ่งที่นั่งอยู่ในรถม้า
ที่ตรงนั้นมีคุณเรจิน่าอยู่นั่นเอง
[ ทำไมถึง… ]
สีหน้าของเฮนเรียเปลี่ยนไปกระทันหัน
[ ทำไมเรจิน่าถึงมาอยู่ที่นี่!!? ]
เฮนเรียร้องไห้ด้วยความโกรธ
ฉันยังรู้สึกได้ถึงจิตสังหารจากน้ำเสียงได้เลย
มาคิลเชียสที่เห็นเรจิน่าเองก็ดูจะตกใจเหมือนกัน
[ หมายความว่ายังไงโอมิรอส! ทำไมเจ้าหญิงเรจิน่าถึงได้มาอยู่ที่นี่!? ]
มาคิลเชียสตะโกน
เสียงนั้นเต็มไปด้วยความสับสน ดูท่าจะไม่ใช่แค่เฮนเรียที่คิดมากเรื่องเรจิน่า
[ ไม่เจอกันนานนะคะคุณมาคิลเชียสแล้วก็เฮนเรีย… ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากเจอพวกคุณหรอกค่ะ ]
คุณเรจิน่าพูดด้วยเสียงเย็นชาจากในรถและดูเหมือนในน้ำเสียงจะมีความเศร้าอยู่
[ เธอยังหน้าด้านมาอยู่ต่อหน้าฉันอีกนะเรจิน่า! ทั้งที่แม่ของเธอ… ]
เฮนเรียพูดแล้วก็น้ำตาไหลออกมา
[ ยังไงครอบครัวฉันก็ถูกฆ่าตายหมดแล้วเพราะพวกคุณ… แค่นี้ก็ยังไม่สมใจกันอีกเหรอคะ? ]
[ นั่นไม่ใช่ฝ่ายเธอไม่ใช่เหรอไงที่เริ่มก่อนนะ !!! ]
[ พูดเรื่องอะไร? เรื่องนั้นไม่เห็นรู้เรื่องเลยค่ะ ]
[ ถ้าเธอกลับไปที่อัลโกลี่! ฉันจะส่งเธอไปรังก็อบลินแดนเหนือเลยคอยดู! ]
ทั้งสองคนเถียงกัน
[ เรจิน่าใจเย็นก่อน! ]
โอมิรอสพยายามให้ทั้งคู่สงบลง
[ ทำไมล่ะคะพี่โอมิรอส!! ทำไมถึงต้องไปปกป้องยัยผู้หญิงคนนั้นด้วย! ]
โอมิรอสมองหน้าของเฮนเรียที่กำลังร้องไห้
[ เฮนเรีย… ]
เมื่อเห็นน้ำตานั้นโอมิรอสก็พูดอะไรไม่ออก
จนความเงียบเข้าปกคลุม
[ ไม่หรอกมันต่างกัน เฮนเรีย ]
เมื่อผ่านไปสักพัก ผู้ที่ทำลายความเงียบนั้นก็คือเรจิน่า
[ ที่ว่าต่างกันนั้นมันอะไรห๊ะ!? ]
เฮนเรียจ้องมองเรจิน่าด้วยความแค้น
[ โอมิรอสไม่ได้ปกป้องฉัน พยายามคิดดูสิเฮนเรีย ขนาดมดพวกนั้นบุกมาแต่เขากลับเลือกที่จะไปปกป้องเธอก่อน ]
เรจิน่าพูดขณะที่มองไปยังซากมด
ใบหน้าของเรจิน่าเปลี่ยนซีดเซียว
[ ใช่ โอมิรอสน่ะไม่ได้ปกป้องฉัน แต่เพราะเป็นห่วงเธอต่างหาก ]
เรจิน่าพูดขณะที่หัวเราะ เธอหัวเราะออกมาเต็มที่
[ เรจิน่า… ฉัน… ]
โอมิรอสดูเหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่างกับเรจิน่า
เพียงแต่เธอไม่สนใจแล้วมองไปทางคุณคายะ
[ ถูกอย่างที่เธอพูดแล้วค่ะ ตอนนี้ท่านเรจิน่าอยู่ในการคุ้มครองของพวกเรา ถ้าคุณไปทำอะไรเธอจะถือเป็นการเป็นปฏิปักษ์กับพวกเราด้วย ]
คุณคายะพูดออกไป
ใบหน้าของมาคิลเชียสและเฮนเรียราวกับมีลอยหมองขึ้นทันตา
นี่ฉันควรทำยังไงกับบรรยากาศแย่ๆ ตอนนี้ดีล่ะเนี่ย
[ เอ่อ เดี๋ยวก่อนเลยทุกคน ]
ฉันลงจากรถม้า
และทุกคนก็จ้องมองมา
[ เอ่อ เจ้ามนุษย์มดนี่… ก่อนหน้าที่ฉันมาไม่เห็นเจอปีศาจแบบนี้เลยนี่? นี่มันยังไงกันนะ? ]
ฉันถามเรื่องมดนั้นเพื่อเปลี่ยนหัวข้อคุยกัน
[ มนุษย์มด? หมายถึงมามิดอลเหรอครับ? จะว่าไปทำไมพวกมันถึงมาอยู่แถวนี้กันนะ? ]
คนที่ตอบก็คือโอมิรอส
[ พวกมนุษย์มดที่ชื่อมามิดอลดูเหมือนจะตามพวกคุณสองคนมา เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ? ]
คุณคายะถามทั้งสองคน
[ ไม่ ไม่รู้ค่ะ… หนูเองก็เพิ่งเคยเห็นมามิดอลตัวจริง ]
เฮนเรียส่ายหัว
[ ผม… ไม่สิ ผมเคยเห็นมันมาแล้วครั้งนึง… แต่ตอนนั้นที่เจอมันก็มีแค่ 2 ตัวเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกเลยครับที่เห็นมามิดอลจำนวนมากขนาดนี้ ]
คุณมาคิลเชียวตอบคำถาม ตอนนี้มามิดอลที่ถูกคุณคายะจัดการไปตรงหน้าก็มีทั้งหมด 7 ตัว
[ งั้นปกติแล้วมามิดอลจะโผล่มาแบบกระทันหันเหรอคะ? หรือว่าจะเป็นเป็นเรื่องปกติของพวกมันอยู่แล้ว? ]
โอมิรอสส่ายหัวให้กับคำพูดของคุณคายะ
[ ไม่ทราบครับ… แต่รู้แแค่ว่าพวกมันมักจะปรากฏตัวที่บีิเวณของราชินีของป่าสีฟ้าครับ ]
[ ราชินีของป่าสีฟ้า? งั้นก็โอเกอร์หญิงคนนั้นนะสิ นี่เธออยู่แถวนี้เหรอ?]
ราชินีแห่งป่าสีฟ้าคือผู้นำของเหล่าโอเกอร์ที่โจมตีอาณาจักรเวรอส
ป่าสีฟ้าแพร่กระขายไปทั่วเป็นบริเวณกว้างมากและคนที่เข้าไปใกล้ปราสาทของเธอก็จะถูกกิน ชื่อของเธอคนนั้นก็คือคุจิค
[ แต่ทำไมเธอถึงได้รู้มาเราอยู่ที่นี่ล่ะ? ]
คุณคายะหันหลังกลับไปมองอีธีกอส
[ เปล่า! ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ! ]
อีธีกอสส่ายหัวไปมาและสั่น
คุณคายะเดินไปหาอีธีกอสแบบเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร
[ ฮี๊!! ]
อีธีกอสลุกจากที่นั่งและพยายามจะหนี
แต่คุณคายะนั้นเร็วกว่า
คุณคายะคว้าคอของอีธีกอสไว้
[ สบายใจซะเถอะ ฉันไม่ฆ่าหรอกค่ะ ]
คุณคายะเอามือไปสัมผัสร่างของอีธีกอส
[ อ่ะ อะไร… ]
อีธีกอสครางออกมาจนจมูกยื่น
เพราะโดนคนสวยอย่างคุณคายะจับไปทั่วร่างนี่นะ
เธอจับที่จุดต่างๆ ไปเรื่อยๆ
จากนั้นมือของคุณคายะก็หยุดลงที่ท้องของอีธีกอส
[ หืมม!! ]
จู่ๆ คุณคายะใช้แรงดันท้องของอีธีกอส
[ อ๊ากกก !! ]
เพราะจู่ๆ เขาก็โดนกดที่ท้องเลยร้อง
[ อดทนสักพัก… ]
จากนั้นฟองสบู่อะไรบางอย่างก็ออกมาจากปากของอีธีกอส
[ กรี๊ดดดด!! ]
เสียงกรีดร้องของเฮนเรีย
แมลงตัวใหญ่ออกมาจากปากของอีธีกอสพร้อมกับน้ำเมือกฟองสบู่
แมลงตัวนั้นดิ้นไปดิ้นมากับพื้น
อีธีกอสถึงกับไปอ้วกออกมาเมื่อเห็นว่ามีตัวแบบนี้อยู่ในตัว แต่คงจะไม่มีอีกแล้วล่ะ
[ นี่คืออะไรนะ? ]
คุณเคียวกะขมวดคิ้วแล้วมองแมลงตัวนั้นที่หยุดเคลื่อนไหวไปแล้ว
[ บางทีคงเป็นฝีมือของพวกโอเกอร์ค่ะ คงทำเพื่อตรวจดูการเคลื่อนไหวของพวกเรา ]
คุณคายะพูดออกมา
ในตอนนั้นอีธีกอสถูกโอเกอร์ควบคุมนี่นะ และเพื่อให้ส่งข้อมูลมาให้ พวกโอเกอร์จึงได้ฝังแมลงไว้ในร่างกายของเขา
[ เอ่อ ท่านคายะ… ถ้างั้นก็… ]
โอมิรอสที่ได้ยินดูท่าจะไม่สบายใจ
[ บางทีเราอาจจะโดนโอเกอร์โจมตีอีกครั้ง มันคงดีกว่าคิดเรื่องป้องกันตัวไว้ที่อาณาจักรอัลโกลี่ค่ะ ]
[ เรื่องแบบนั้น… ]
หน้าของโอมิรอสซีด
เพราะเห็นท่าว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีนัก
[ เอายังไงคะท่านชิโรเนะ? จะไปหาท่านคุโรกิหรือจะจัดการพวกโอเกอร์ก่อนคะ? ]
คุณคายะถามฉัน
[ ก็อยากไปหาคุโรกิอยู่หรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเขาจะโผล่มา… ดังนั้นเราไปจัดการศัตรุก่อนดีกว่า… ]
พูดตามตรงคือฉันปล่อยพวกโอเกอร์ไปเฉยๆ ไม่ได้หรอก ถึงจะมีเรื่องคุโรกิแต่ว่า….
ฉันคิดไตร่ตรอง
[ งั้น…. คุณชิโรเนะ คายะ ตอนนี้เอาเป็นว่าเราไปที่อาณาจักรอัลโกลี่กันได้มั้ยคะ? ฉันเริ่มจะอยากออกจากรถม้าแล้วสิ ]
คุณเคียวกะพูดออกมา ดูท่าว่าเธอจะเบื่อที่ต้องอยู่แต่ในรถม้าแล้ว
[ ค่ะ ตามที่คุณหนูพูด คุณชิโรนะตอนนี้เราไปที่อาณาจักรอัลโกลี่กันก่อนเถอะค่ะ ]
คงเพราะเป็นความเห็นจากคุณเคียวกะ คุณคายะถึงได้ยอมรับได้อย่างง่ายดาย
ฉันพยักหน้า
ตอนนี้คิดว่าไม่เลวหรอก ไว้ค่อยตัดสินใจกันทีหลังก็ได้
ตอนนี้คุโรกิกับพวกโอเกอร์กำลังทำอะไรอยู่กันนะ?
เอาเถอะ ยังไงพวกเขาก็ยังไม่โผล่มานี่นะ
◆ เจ้าชายก็อบลินโกสุ
อาณาจักรคารอนเป็นอาณาจักรที่ถูกสร้างขึ้นจากใต้ดินของเทือกเขาอาเครอนทางตอนเหนือ
เรื่องที่อยู่ใต้ดิน ที่อยู่ของก็อบลินตัวอื่นก็ไม่ต่างกันนัก
แต่ที่แตกต่างจากที่อยู่ของก็อบลินตัวอื่นก็คืออาณาจักรคารอนถูกก่อสร้างมาอย่างปราณีตและผนังยังมีการตกแต่งให้ราบเรียบด้วย
แม้จะพูดไม่ได้กับการตกแต่งของมนุษย์ แต่สำหรับก็อบลินก็ถือว่าดีแล้ว
ข้าเดินลงไปอาณาจักรคารอนและลงไปเรื่อยๆ ซึ่งส่วนที่ลึกที่สุดของอาณาจักรคารอนนั้นก็คือจุดหมายของข้า
และข้าก็มาถึงประตูบานใหญ่
ก็เจอกับก็อบลินสองตัวตรงหน้า พวกเขาก็เหมือนยามที่คอยเฝ้าประตูอยู่นั้นล่ะ
[ แหมๆ นันมันเจ้าชายโกสุไม่ใช่เหรอโกบุ? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ? ]
ก็อบลินเรียกชื่อข้า
[ ทำงานกันเหนื่อยสินะ ที่จริงแล้วข้ามีธุระขอผ่านหน่อย ]
จากนั้นก็อบลินทั้งสองก็มองหน้ากัน
[ ถึงจะเป็นเจ้าชาย หากไม่ได้รับอนุญาตจากราชินีเราก็ปล่อยให้ผ่านไปไม่ได้หรอก ]
ก็อบลินทั้งสองตัวปรึกษากัน
ข้าจึงได้ยินแค่เสียงซุบซิบกันเท่านั้น
[ ถึงอย่างนั้นก็ต้องได้รับอนุญาต— นี่มันอะไรกัน!! ]
ข้าเอาดาบที่ซ่อนอยู่ในผ้าคลุมออกมาแล้วฟันไปที่คอของก็อบลินตัวหนึ่ง
[ โกบุ!!! ]
ข้าบิดตัวจากนั้นก็แทงไปที่หน้าอกของก็อบลินอีกตัวก่อนที่มันจะส่งเสียง
[ จะทำอะ— โกบุ… ]
ก็อบลินที่ถูกแทงไปยังหน้าอกแล้วไม่ขยับตัวแล้ว
[ เจ้าพวกหน้าโง่ ข้าคิดจะจะปล่อยไปแท้ๆ ถ้าให้ผ่านไปดีๆ ]
ข้าเตะศพพวกมัน
แต่ยังไงพวกมันก็ต้องตายเพราะฝีมือแม่ข้าทีหลังอยู่ดี ถ้าปล่อยให้ข้าผ่านไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าเส้นทางไหนก็มีแต่ตายเท่านั้น
ข้าใช้เวทเผาศพพวกยามจนไม่เหลือแม้แต่ซาก
จากนั้นก็มองไปที่ประตู
หลังประตูนี้มีสมบัติลับที่อาณาจักรคารอนเก็บรักษาไว้อยู่ เป็นสมบัติของแม่ข้า
แม้ว่าข้าจะเป็นเจ้าชาย แต่แม่ก็ไม่ยอมให้เอาใช้อยู่ดี ถ้าดึงดันข้าก็อาจจะถูกฆ่าซะเอง
แต่ว่าตอนนี้หากต้องต่อสู้กับอัศวินดำ ความกลัวที่มีต่อแม่ก็เบาบางลง
ประตูถูกล็อคด้วยเวทมนตร์ แต่ไม่มีปัญหา ข้ารู้คาถาที่ใช้เปิดประตู
เมื่อข้าร่ายคาถานั้น ประตูก็เปิดออก
เมื่อเข้าไป ข้าก็เห็นสมบัติมากมายเรียงรายอยู่
อัญมณี ชุดต่างๆ มากมาย เครื่องสำอาง ทุกอย่างงดงามไปหมด
ข้าหัวเราะเมื่อได้เห็นสมบัติตรงหน้า มันช่างไม่เหมาะกับแม่ข้าที่มีรูปร่างน่าเกลียดนั้นเลย แม้ว่าเพรชจะสวยเพียงใดมันก็ด้อยค่าหากไปอยู่กับคนอัปลักษณ์
ข้าเจอห้องในห้องสมบัติอีกี
ท่าทางมันจะพาไปยังห้องต่อไป สมบัติในสมบัติอีกที นี่จะต้องเป็นของสำคัญที่เป็นสมบัติของแม่แน่ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเข้ามาที่นี่ แต่ข้ามั่นใจว่ามันต้องมีอะไรอยู่แน่
ที่นั้นมีเวทชนิดพิเศษผนึกไว้ แต่ข้าตรวจสอบวิธีเปิดมาแล้ว
ข้าร่ายคาถาจากนั้นมันก็เปิดประตูออก
[ ตุ๊บ?? ]
เมื่อเข้าไปข้าก็ได้ยินเสียง
และบนผนังของห้องนั้นมีรูปผู้ชายเปลือยกายอยู่
ถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนข้า แต่เขาก็มีหน้าที่สวยมาก
ผู้ชายเองก็มีหลายเผ่า แต่จากความรู้สึกของข้าบอกว่าเขาเป็นมนุษย์
นี่คงเป็นหนึ่งในงานอดิเรกของแม่ข้า รสนิยมแย่ชะมัดเลยนะ
พวกเขาคงเป็นเหยื่อของแม่ข้าแน่ๆ ในห้องมีภาพต่างกัน ทั้งภาพทูตสวรรค์และมนุษย์
ดูท่าว่าแม้แต่ทูตสวรรค์หรือปีศาจก็ยังตกเป็นเหยื่อไปด้วย
ท่านแม่คงสั่งให้ช่างภาพวาดรูปผู้ชายที่ชอบออกมาให้สินะ
จากนั้นสายตาข้าก็ไปหยุดที่รูปสาม
ข้ารู้จักชายคนนั้น
ชายในรูปนั้นคือผู้กล้า
ผู้กล้าในสภาพเปลือยกายและกำลังส่งรอยยิ้มให้
เป็นผลงานที่ละเอียดจริงๆ แฮะ ข้าเองก็เคยเจอเขามาแล้วที่อัลโกลี่ ถึงได้รู้ว่าภาพนี้มันใส่ใจรายละเอียดขนาดไหน ราวกับจะขยับได้แบบนั้นล่ะ
[ หืม? ]
จากนั้นข้าก็เห็นรูปที่อยู่ถัดจากผู้กล้า
[ นี่มันข้าไม่ใช่เหรอ? ]
ผู้ชายในรูปข้างๆ ผู้กล้าก็คือพาซัส ซึ่งเป็นตัวข้าในร่างมนุษย์ซึ่งวาดได้สวยเกินจริงนั้นเอง
[ ทำไมถึงมีข้าด้วย… ]
คงจะเป็นเพราะตอนนั้นแม่ยังไม่รู้ตัวจริงของข้า?
ถึงแม้ว่าข้าจะรู้ว่ามันเป็นเพียงรูปภาพ แต่ก็ยังรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกเพราะรสนิยมของแม่
และข้างๆ กันกับภาพของพาซัสนั้นเอง
[ นี่มันผิดชัดๆ … ]
แม้ว่าหน้าตาของพาซัสจะผิดแปลกไปบ้าง แต่มีเฉพาะบางส่วนเท่านั้นที่ถูกวาดออกมาอย่างถูกต้องหมด
ข้าเอามือกุมที่เป้า
จากนั้นก็เอาไปเปรียบเทียบกับรูปของผู้กล้า
[ บ้าเอ้ย… นี่ข้าแพ้เหรอ… ]
ชักรู้สึกคลื่นไส้แล้วสิ
และภาพด้านขวาต่อจากภาพของพาซัสก็ยังมีอีกหนึ่งภาพ
เขาคือผู้ชายผมสีดำ เป็นคนที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน รูปนั้นสวยมากแต่มีเพียงใบหน้าเท่านั้นที่มองไม่เห็น
ข้าพยายามเพ่งเล็ง
[ อืมม!! ]
เกินจริงไปหน่อยมั้ง
ขนาดของไอ้นั้นของเขาใหญ่ที่สุดในหมู่คนในรูปเลย
[ หมอนี่มันเป็นใครกัน? ]
ข้าเองก็อยู่ที่โลกมนุษย์มานาน ชายคนนี้อยู่แถวนี้เหรอ? หรือว่าจะอาศัยอยู่ในที่ห่างไกล? แล้วแม่รู้จักกับผู้ชายคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
โอ้ย ไม่น่าเลย
ข้าไปเห็นมันเข้าแล้ว
เห็นรูปประหลาดที่แม่แต่งตัวแปลกๆ และถือแส้ไว้ในมือ แต่ข้าไม่ได้อยากรู้รสนิยมของแม่สักหน่อย
ข้าขยับสายตาไปให้ห่างจากภาพนั้นให้มากที่สุด
แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ห้องๆ ที่มีรสนิยมอุบาทว์ตาจนจบห้อง
แต่ที่สุดของห้องนั้นมีไหนึงอยู่
ไหนี้ล่ะคือเป้าหมายของข้า
เพราะข้าที่เป็นเจ้าชายของอาณาจักรนี้ จึงได้ตรวจสอบสมบัติทุกอย่างมาหมดแล้วจนมาพบการมีอยู่ของไหนี้
และในไหนี้ก็มีลูกน้องของเทพแห่งการทำลายล้างหลับใหลอยู่
เหล่าปีศาจได้ทรยศต่อเทพแห่งการทำลายล้างและคนพวกนี้จนต่อสู้กัน
แต่ราชาปีศาจ ลงมือฆ่าอดีตเพื่อนไม่ลงจึงได้ทำการปิดผนึกไว้เท่านั้น
ดังนั้นเทพในไหนี้ก็คือเสาหลักที่จะใช้จัดการมัน ซึ่งในดินแดนนากอลก็ยังมีเทพที่ถูกปิดผนึกไว้และหลับใหลแบบนี้อยู่อีก(ลูกน้องของเทพแห่งการทำลายล้าง(แม่โมเดส)เป็นเทพหมดเลยครับ)
ดังนั้นเจ้าไหอันตรายนี้จึงถูกแบ่งมาไว้ที่อาณาจักรคารอนและถูกปิดผนึกไว้ในส่วนลึก
ไม่ว่าอัศวินดำจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ไม่สำคัญ มันเอาชนะเทพไม่ได้แน่
ข้าหยิบไหขึ้นมาแล้วหัวเราะ
ด้วยลูกน้องของเทพแห่งการทำลายล้างจะทำให้ข้าจัดการเจ้าอัศวินดำนั้นได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงลูกน้อง แต่เขาก็เป็นถึงเทพ น่าจะจัดการอัศวินดำได้ง่ายๆ อยู่แล้ว
แล้วก็ยัยพวกผู้หญิงของผู้กล้า หลังจากนั้นก็พวกมนุษย์ทั้งหมด ถ้าเทียบกับเทพในไหนี้พวกมันก้ไม่ใช่ศัตรูของข้าเลย
จากนั้นข้าก็กลับไปที่อัลโกลี่
โดยขโมยไหสมบัติไปด้วย
[ คุคุคุ… เรจิน่าจะต้องเป็นของข้า… ]
◆ แม่มดโอเกอร์ คุจิค
[ สังเกตเห็นแล้วงั้นเรอะ!! ]
เมื่อไม่นานนี้ แมลงที่ข้าส่งไปเพื่อตรวจสอบน้องสาวของผู้กล้าถูกฆ่าตายวะแล้ว
[ งั้นเจ้านั้นก็ไม่มีประโยชน์แล้วสินะ? ]
รู้สึกว่าจะชื่ออีธีกอสละมั้ง?
เอาเถอะ ยังไงเดิมก็เป็นมนุษย์จะทำอะไรก็ตามใจ
[ ทำอะไรนะคุณแม่ เจ้าคนนั้นมันเป็นของข้านะ ]
ลูกชายของข้าพูดเพราะเห็นว่าข้ากำลังจะกินลูกมนุษย์ตรงหน้า
ลูกชายคนอื่นๆ ของข้าพยักหน้าระหว่างที่กิน
อ๊า ช่างมีความสุขจริงๆ ที่ได้กินอาหารร่วมกับลูกชาย
จากนั้นลูกชายข้าก็กินลูกมนุษย์ที่จับตัวมาได้ที่ปราสาทขนม
ปราสาทขนมหวานแห่งนี้คือปราสาทของข้า-คุจิค ผู้มีสายเลือกยักษ์แห่งท้องฟ้า
ปราสาทแห่งนี้มีความสามารถในการป้องกันที่ต่ำและมีความสามารถในการฟื้นฟูตัวเอง แต่ก็ช่วยจับเหยื่อได้มาก
เพราะมนุษย์และสัตว์มักถูกกลิ่นหวานของปราสาทดึงดูดมา
สิ่งมีชีวิตต่างๆ ไม่อาจต่อต้านกลิ่นหวานไม่ไหวและเริ่มกินผนังปราสาทขนม
และปราสาทขนมนี้ก็มีสารเสพติดอยู่ทำให้หลงใหลและตกเป็นทาสของขนมที่กินเข้าไป
แต่สำหรับสิ่งมีชีวิตที่มีพลังต้านทานเวทอันแข็งแกร่งนั้นปราสาทนี้ก็เหมือนไร้ค่า อย่างเอลฟ์นี่ก็ถือว่ายากแล้ว ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจับเผ่านางฟ้าหรือเผ่าปีศาจได้
แต่ก็ยังคงมีประโยชน์มากในการล่อมนุษย์ให้เข้ามา
ข้ากัดเนื้อ
อร่อย
มนุษย์ที่ติดกับนั้นมีมากมายดังนั้นเป็นธรรมดาที่ต้องปล่อยให้เป็นอิสระไปบ้าง
เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะจับทุกคนที่เข้ามาที่นี่ ข้าไม่ทำเรื่องโง่ๆ แบบนั้นหรอ
จึงต้องให้อิสระกับพวกมนุษย์บ้าง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกมนุษย์ยังไม่รู้ว่ามีที่นี่อยู่ในป่า
หากไม่พบปราสาทนี้เข้าก็ปลอดภัยเท่านั้นเอง
แต่เรื่องนี้เซนกุไม่ได้รู้เรื่องด้วยเลย แต่เขากลับโดนน้องสาวของผู้กล้าฆ่าตาย
ข้าอยากจะฆ่าพวกมัน
แต่ข้าจะทำยังไง
บาเรียที่ขังพวกมันก็มีพลังมากขนาดนั้น แต่พวกมันกลับพังออกมาได้ง่ายๆ ดังนั้นการไปสู้ตรงๆ มันอันตรายเกินไป
[ จะทำยังไงดีนะ ]
ข้ามองไปที่เหล่าลูกๆ
[ ไม่เห็นจำเป็นต้องคิดมากเลยคุณแม่! ไม่มีทางที่มนุษย์จะมาสู้กับเราได้หรอก! เรื่องที่เซนกุแพ้พวกมันต้องเป็นเรื่องบังเอิญแน่! ไปต่อหน้าแล้วไปคิดบัญชีแค้นที่บังอาจทำกับสิ่งสำคัญของเรา! ]
ทอลโกลที่กล้าหาญที่สุดในหมู่พี่น้องพูดออกมา
ลูกชายคนที่ห้าไคกุและลูกชายคนที่แปดไซกุเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
[ ใช่แล้ว! ]
[ เป็นตามที่ท่านพี่ทอลโกลพูด! ไปแก้แค้นเพื่อหนังสือสมบัติกัน! ]
ดูเหมือนจะหัวพวกเขาจะจะโกรธมาก ทั้งสามคนโกรธเพราะน้องชายถูกฆ่าสินะ
[ หยุด!! ]
คนที่หยุดทั้งสองคนก็คือริง
[ เจ้าพวกนั้นมันถึงกับบุกไปที่นากอลได้และยังทำลายบาเรียของคุณแม่ได้! ไม่คิดเหรอไงว่าพวกมันอันตรายขนาดไหน! ]
[ งั้นจะให้พวกเราทำยังไง… ]
โปวุกุถามริงที่เป็นพี่ชายคนโต
[ rพวกเราต้องไปรวบรวมข้อมูลเพื่อหาจุดอ่อนของพวกมัน ใช่มั้ยครับคุณแม่? ]
ข้าพยักหน้าให้กับริงลูกชายคนโต สมกับเป็นลูกชายคนโต รู้สิ่งที่ข้ากำลังคิดได้ด้วย
[ อย่างที่ริงบอก เราต้องรวบรวมข้อมูลก่อน ตอนนี้พวกมันกำลังเดินทางไปที่อาณาจักรที่ชื่อว่าอัลโกลี่สินะ? สงสัยต้องหาใครสักคนควบคุมแล้วรวบรวมข้อมูลเพื่อหาจุดอ่อนของมันซะแล้ว เมื่อเรารู้จุดอ่อนของมัน เราก็จะไปฆ่าน้องสาวของผู้กล้ากัน!! ]
มนุษย์ทุกคนต่างก็เป็นเครื่องมือของข้า เอาล่ะ มาทำประโยชน์ให้ข้าหน่อยเถอะ
เหล่าลูกชายของข้าพยักหน้า เมื่อได้ยิน
[ ใช่แล้ว เอาคืนเจ้าพวกศัตรูของหนังสือสมบัติ! ]
[ แน่อยู่แล้ว!! ]
[ จะต้องฆ่ามันให้ได้!! ]
[ เพื่อของรักของเรา!! ]
ทุกคนต่างฮึกเหิมเมื่อได้ยินกันทั้นั้น
[ โอ้ เพื่อจิตวิญญาณแห่งโอเกอร์!! ]
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้น
[ [ [ เจ้าเป็นใคร!! ] ] ]
ลูกชายของข้าทั้งสี่คนต่างถามออกมาพร้อมกัน
จู่ๆ ที่กลางโต๊ะอาหารก็มีผู้หญิงคนนั้นโผล่มา มันน่าตลกที่ข้าไม่ได้สังเกตเลย
นี่เธอเข้ามาในห้องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? นอกจากนี้ยังไม่มีใครสังเกตเห็นผู้หญิงคนนี้เลย จนกระทั่งเธอส่งเสียงขึ้นมา?
มนุษย์ผู้หญิงคนนั้น ข้าเคยเห็นมาก่อน
[ ผมสีเงิน… เธอในตอนนั้น… ]
ยัยคนที่ใช้เคียวฟันแขนขาของลูกๆ ข้า
แม่มดสีเงินที่ข้าเคยเจอที่อาณาจักรเวรอสในตอนนั้น
[ โอเกอร์ อยากจะจัดการน้องสาวผู้กล้าเหรอ? งั้นคุนะจะช่วยแล้วกัน ]
แม่มดสีเงินหัวเราะออกมา ดูท่าเธอไม่ได้คิดจะมาสู้กับข้า-คุจิคผู้นี้ ที่เป็นราชินีแห่งป่าสีฟ้า
แต่มีสิ่งที่ข้าสงสัย
[ เข้ามาที่นี่ได้ยังไงกัน!! ]
ที่ปราสาทขนมหวานนี้มีบาเรียเวทกั้นไว้อยู่ดังนั้นไม่น่าจะมีใครเข้ามาได้
แม้แต่ลูกชายข้าก็ไม่รู้ที่ตั้งของปราสาทนี้จนกระทั่งข้าเชิญมาเอง ได้ยังไง? ดมกลิ่นมาจนถึงที่นี่งั้นเรอะ?
[ น่า ก็ตอนที่ฟันไปตอนนั้นทำเครื่องหมายไว้นิดหน่อยนะ ถึงได้ตามมาจนเจอ ]
[ เจ้าพวกมามิดอลที่ปกป้องปราสาทนี้มัวบ้าอะไรกันอยู่!!! ]
ข้าตะโกนออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
เพราะเจ้าพวกมามิดอลมันชอบมาป่วนเปี้ยนรอบปราสาท ข้าเลยจัดการทำให้พวกมันเป็นลูกน้องของข้าซะเลย
เซนส์ของมามิดอลนั้นค่อนข้างเฉียบไว แล้วเธอมาถึงที่นี่ได้ยังไงโดยไม่ถูกพบเข้า!?
[ มามิดอล? อ่อ หมายถึงพวกมดนั้นเหรอ? คุนะผ่านมาได้ง่ายๆ เลยล่ะ ]
แม่มดสีเงินพูดขณะที่เล่นกับสร้อยที่คอ
ดูท่านั้นจะเป็นอุปกรณ์เวทอะไรสักอย่าง เพราะสร้อยนั้นทำให้ไม่โดนพวกมามิดอลเจอนี่เอง
[ งั้นคุนะขอฟังคำตอบทีจะได้มั้ย ถ้ายอมรับคุนะจะยอมให้เป็นลูกน้องเลยนะ? ]
ลูกน้อง? เรื่องพรรค์นั้น
[ เจ้าเป็นใครกันแน่… แล้วยังนั้น… ]
ข้าคิดจะพูดปฏิเสธออกไป แต่ร่างกายของข้าก็สั่นไม่หยุด
เหล่าลูกชายของข้าตรงหน้าเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอก็ซีดไปตามๆ กัน
[ เอาเถอะ ไม่เป็นไรหรอก ถึงจะปฏิเสธคุนะก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว ในเมื่อคุนะมาอยู่ที่นี่ก็ถือว่าชีวิตของพวกแกจบสิ้นลงแล้วนั้นแหละนะ? เลือกเอาว่าจะตายแล้วสูญเสียทุกอย่างหรือจะยอมเป็นลูกน้อง ]
แม่มดสีเงินพูดขณะที่เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
ทั้งที่เธอตัวเล็กกว่าโอเกอร์ซะอีก แต่ทำไมข้ากลับรู้สึกว่าเธอตัวใหญ่กว่าข้าซะอีก
แม่มดสีเงินมาหยุดยืนตรงหน้าข้า
ความกลัวเข้าครอบงำจนข้าพูดอะไรไม่ออก
ข้าอยากร้องไห้ แต่กระทั่งเสียงมันก็ไม่ออกไป
[ ตั้งแต่วันนี้พวกเราคือเครื่องมือของท่านคุนะ เชิญได้ประโยชน์ได้เต็มที่ค่ะ ]
เธอหัวเราะ
จากนั้นข้าก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างมามัดหัวใจข้าเอาไว้ เป็นพลังเวทที่น่ากลัวจนข้าต่อต้านไม่ได้เลย
[ ดีมาก ไปที่อาณาจักรอัลโกลี่ซะโอเกอร์ จงไปลบตัวตนของผู้หญิงที่ชื่อชิโรเนะให้หายไปจากใบนี้!! ]