CatNovel
  • หน้าหลัก
  • แทงหวย24
  • มังงะ
  • นิยายทั้งหมด
Advanced
  • หน้าหลัก
  • แทงหวย24
  • มังงะ
  • นิยายทั้งหมด
  • โดจิน
  • นิยายทั้งหมด
  • จบแล้ว
  • นิยายวาย Yaoi
ตอนก่อน
ตอนต่อไป
สล็อตเว็บตรง

อัศวินดำ - ตอนที่ 41

  1. Home
  2. อัศวินดำ
  3. ตอนที่ 41
ตอนก่อน
ตอนต่อไป

◆ สตรีแห่งดาบ ชิโรเนะ

อาณาจักรอัลโกลี่ อาณาจักรที่อยู่สุดขอบชายแดนทางเหนือของเขตแดนมนุษย์

จากที่คุณจิยูกิบอก ดูเหมือนอัลโกลี่ในภาษาโลกนี้จะแปลว่า ‘เฝ้าระวัง’

แต่เดิมมันเป็นชื่อของยักษ์ร้อยตา มันสามารถหลับตาได้บางตาตอนที่หลับอยู่ ดังนั้นจึงแทบไม่มีช่องจุดบอดเลยและยังสามารถมองได้ไกลมากและมองได้กว้างขวาง ดังนั้นชื่อของยักษ์ตัวนี้ถึงได้หมายถึง ‘เฝ้าระวัง’

ผู้คนของอาณาจักรอัลโกลี่ก็เปรียบเหมือนยักษ์ที่ได้รับหน้าที่ให้เฝ้าระวังนากอล

ในตอนแรก อัลโกลี่เป็นอาณาจักรที่ถูกสร้างมาจากป้อมปราการที่สร้างขึ้นเพื่อต่อต้านอาณาจักรก็อบลินที่กระจายตัวอยู่ทางใต้ของเทือกเขาอาเครอน

ดังนั้นนักรบจากทั่วโลกจึงมารวมตัวกันที่ป้อมปราการและระวังการโจมตีจากนากอล

มีนักรบที่พยายามจะไปทำลายอาณาจักรก็อบลินโดยการบุกเข้าในเทือกเขาอาเครอนของนากอล

แต่ก็ไม่มีใครกลับมาแม้แต่คนเดียว

ดังนั้นเหล่านักรบที่ยังหลงเหลืออยู่ในป้อมปราการจึงได้ก่อสร้างอาณาจักรขึ้น

อัลโกลี่จึงมีคนจากอาณาจักรมากมายมารวมกัน

บ้านเรือนที่อยู่อาศัยจึงถูกสร้างขึ้นและยังสร้างปราสาทขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตามเพราะแต่เดิมอัลโกลี่มีพื้นฐานคือป้อมปราการ ดังนั้นจึงมีประชาชนไม่มากนักที่จะอาศัยอยู่ อัลโกลี่ไม่ใช่อาณาจักรที่ร่ำรวยแถมยังขาดแคลนอาหารด้วยซ้ำไป

เพราะบรรพบุรุษของพวกเขาเคยเป็นนักรบ ชาวเมืองส่วนใหญ่จึงมีนิสัยเงียบขรึมกัน

และยังมีการทะเลาะกันจนสุดท้ายจนต่อสู้กัน ได้ยินว่าสุดท้ายอาณาจักรก็ไม่พัฒนาไปไหนสักที

อย่างน้อยนั้นก็เป็นเรื่องที่รู้ก่อนมาที่นี่

[ มันอะไรกันนะคะ! ผู้คนของอาณาจักรนี้!! ]

คุณเคียวกะบ่น

ตอนนี้พวกเราอยู่ในห้องรับรองสำหรับแขกในอาณาจักรอัลโกลี่ เมื่อกี้เราเพิ่งเจอกับพ่อของโอมิรอสที่เป็นราชาของอาณาจักรนี้มา

แต่มันก็เป็นการต้อนรับเพียงผิวเผิน จากความรู้สึกฉัน ดูเหมือนเขาจะไม่อยากต้อนรับเราเลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่ราชาเท่านั้น แม้แต่คนรอบข้างเองก็ด้วย

นอกจากนี้ยังเรื่องเรจิน่าอีก พวกเขาส่งจิตสังหารที่ชัดเจนมาหาเรจิน่าเลย

อัลโกลี่ตอนนี้อาจจะสงบสุขจนกระทั่งไม่นานนี้ แต่เพราะการต่อสู้เพิ่งจบลง ร่องรอยของการต่อสู้เลยยังเหลืออยู

และรู้สึกว่าผู้คนในอาณาจักรจะน้อยกว่าครั้งก่อนที่ฉันมาซะอีก น่าจะเป็นเพราะสงครามกลางเมือง กำแพงหินที่มีรอยบ่งบอกว่าการต่อสู้รุนแรงขนาดไหน บางทีคงจะมีผู้เสียชีวิตมากมายเลยก็ได้

และพ่อของเรจิน่า ราชาคิวเพียสก็เป็นคนทำให้เกิดการต่อสู้นี้ขึ้น ความชิงชังจึงตรงไปหาคิวเพียส

เรจิน่าที่เป็นลูกสาวของคิวเพียสเองก็ไม่ได้รับการยกเว้น ถึงพวกเราจะพามาก็เถอะ

[ นี่มันอะไรกันหนักหนา! คุณเรจิน่าเองก็ไม่บ่นอะไรสักหน่อยเหรอคะ!? ]

คุณเคียวกะโกรธมาก

พูดเห็นเรจิน่าพวกเขาก็ทำท่าจะโจมตีท่าเดียว ฉันเลยต้องไปหยุดด้วยซ้ำไป

ทำให้คุณเคียวกะโกรธมากกับท่าทีนั้น นี่เขาคิดอะไรอยู่กัน

ตั้งแต่เข้ามาในอาณาจักรนี้ ทางคุณเรจิน่าก็เอาแต่เงียบอยู่ที่มุมห้อง

[ ฉันไม่ควรพาท่านเรจิน่ามาที่อาณาจักรนี้เลยค่ะ… ]

คุณคายะพูด… ใช่ ฉันเองก็เห็นด้วย ไม่คิดเลยว่าจะต่อสู้กันรุนแรงขนาดนี้ ถ้าฉันรู้ก็คงไม่พาเรจิน่ากลับมาที่นี่หรอก

ยกเว้นโอมิรอสเท่านั้น มีเพียงโอมิรอสที่ต้องการให้เธออยู่ที่นี่ แม้ความคิดนั้นจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม

ขืนคุณเรจิน่าอยู่ในอาณาจักรนี้ก็มีแต่จะถูกฆ่า

[ ถ้าคิดแบบนั้นก็ได้โปรดให้ฉันกลับไปที่นากอลเถอะค่ะ! ฉันอยากกลับไปหานายท่าน! ]

เมื่อเรจิน่าได้ยินคำพูดของคายะจึงพูดแบบนั้นออกมาเสียงดัง

หลังจากที่เธอตะโกน ก็จ้องพวกเราเขม็ง

[ ทำยังไงคะ? ท่านชิโรเนะ? ]

คุณคายะถามฉัน

[ อืมมม… ทำยังไงดีล่ะเนี่ย…? ]

ฉันเจอเรื่องลำบากแล้วสิ

ข้อมูลที่ได้จากคุณเรจิน่าก็มากพอแล้ว พูดตามตรงฉันก็อยากให้เธอกลับไปล่ะนะ

แต่ยังมีเรื่องของโอมิรอสน่ะสิ พอคิดถึงเขาก็ลังเลขึ้นมา ว่าจะให้เขากับเรจิน่าแยกกันแบบนี้จะดีเหรอ

[ อืมม คงต้องขึ้นอยู่กับโอมิรอส… ]

ฉันพึมพำเสียงเบาๆ

[ …. หมายความว่าให้โอมิรอสตัดสินสินะคะ ]

[ ถ้าท่านชิโรเนะตัดสินใจแบบนั้น ฉันก็ไม่มีอะไรค้านค่ะ ]

ทั้งสองคนพยักหน้านิดหน่อย

เรจิน่าที่ได้ยินค่อนข้างจะผิดหวัง

[ ท่านชิโรเนะฉันยังมีเรื่องอื่นอยากจะถามค่ะ ]

คายะพูด

[ อะไรเหรอคะ? คุณคายะ? ]

ฉันถามคุณคายะ

[ เรื่องโอเกอร์น่ะค่ะ ดูเหมือนพวกนั้นจะพามามิดอลไว้รอบอัลโกลี่เลยค่ะ ไม่ทางไหนก็สักทางแน่ ]

ฉันพยักหน้าให้คายะ

โอเกอร์เล็งเป้ามาที่พวกเรา หากว่ากันตามตรง มันก็แค่พวกเกะกะขวางทางเท่านั้น เพราะศัตรูตัวจริงคือคุโรกิต่างหาก

[ คายะ ไม่มีวิธีจัดการโอเกอร์ก่อนที่พวกมันจะมาที่นี่เหรอคะ? ]

คุณเคียวกะที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอถามขึ้น

[ จากที่คนในอาณาจักรนี้เล่ามา ดูเหมือนจะไม่มีใครรู้ว่าปราสาทของราชินีแห่งป่าสีฟ้าอยู่ที่ไหนค่ะ ซึ่งเชื่อว่ามันเป็นเพียงตำนาน แต่หากตรวจสอบจากเส้นทางของมนุษย์มดก็น่าจะไหวค่ะ แต่มันต้องใช้เวลานาน… บางทีช่วงเวลานั้นท่านคุโรกิอาจจะมาที่นี่ก็ได้ ]

[ ก็จริงนะคะ… ]

คุณเคียวกะผิดหวัง

หากมัวแต่ไปหาที่อยู่ของคุจิคอาจจะคลาดกันกับคุโรกิก็ได้ ดังนั้นพวกเราจึงใช้แผนนั้นไม่ได้

ทั้งที่หวังว่าจะได้ข้อมูลบางอย่างจากอีธีกอสแต่เพราะเขาถูกฝังแมลงในร่าง ตอนนี้เลยกำลังอยู่ระหว่างการรักษาของหมออาณาจักรนี้ จึงไม่อยู่ในสภาพที่คุยกันได้

นอกจากนี้เป็นไปได้ว่าผู้คนในอาณาจักรนี้จะมีแมลงฝังอยู่ด้วย ยังไงก็เถอะการไปตรวจสอบให้ครบทุกคนมันก็เป็นเรื่องยากล่ะนะ

[ ให้ตายสิ เป็นก้างซะจริงๆ ]

ฉันพูดถึงโอเกอร์นั้นแหละ

[ แต่ก็เมินเฉยไปไม่ได้ค่ะ ดังนั้นฉันจะเป็นคู่ต่อสู้ให้พวกโอเกอร์เองค่ะ ท่านชิโรเนะโปรดตามหาท่านคุโรกิเถอะค่ะ ]

[ ขอโทษนะ คุณคายะ… ]

ฉันขอโทษ

[ แค่คายะคนเดียวจะไม่เป็นไรเหรอ? ]

[ ถ้าแค่โอเกอร์ไม่กี่ตัว ฉันคนเดียวคงพอทำอะไรได้อยู่ค่ะ แต่ที่ยากคือทางท่านชิโรเนะต่างหากค่ะ เพราะท่านคุโรกิแข็งแกร่งกว่าโอเกอร์พวกนั้นมากนัก ยังไงก็อย่าฝืนตัวเองนะคะท่านชิโรเนะ ]

[ ค่ะ เข้าใจแล้วคุณคายะ ]

ฉันพูดอย่างนั้นและพยักหน้า

[ ฟุ๊ว๊ะ นี่พวกคุณคิดจะทำอะไรกับนายท่านนะคะ!! ]

เรจิน่าที่ได้ยินมีปฏิกิริยาต่อต้าน

พวกเราได้แต่ถอนหายใจ

สงสัยเธอจะเข้าใจผิดอยู่ล่ะมั้ง แต่ไม่มีอะไรจะบอกหรอก

[ จะว่าไปแล้ว ท่านเรจิน่าฉันมีเรื่องจะถามค่ะ ]

คายะเริ่มถามคุณเรจิน่าเรจิน่า

[ อะไรอีกล่ะ? ]

คุณเรจิน่าตอบด้วยน้ำเสียงโกรธ

[ คุณจะอยู่ที่นากอลถึงเมื่อไหร่กันคะ? ]

[ เอ๊ะ? ]

เมื่อได้ยินคำถามของคุณคายะ เรจิน่าก็สับสนไป

[ หมายความว่ายังไงคะ? ]

[ อย่างที่พูดไปนั้นแหละค่ะ คุณไม่คิดอยากจะพาครอบครัวกลับไปที่โลกมนุษย์เหรอคะ? ]

นากอลเป็นดินแดนของสัตว์ประหลาดและปีศาจ ไม่ใช่สถานที่ที่มนุษย์จะอาศัยอยู่ได้ ตอนนี้ที่เธออยู่ที่นากอลได้ก็เพราะมีคุโรกิอยู่

คุโรกิเองก็คงคิดจะให้เรจิน่ากลับไปที่โลกมนุษย์อยู่เหมือนกัน แต่ยังหาสถานที่ในโลกมนุษย์ที่ยอมรับเธอไม่ได้

[ ถึงนายท่านจะพยายามพาเรากลับสู่โลกมนุษย์ แต่อาณาจักรที่ยอมรับพวกเราก็หาไม่ได้ง่ายๆ หรอกค่ะ ]

คุณเรจิน่ามองไปยังคุณคายะ

ในโลกนี้น่ะจะได้รับสถานะพลเมืองมาจากพ่อแม่ คนที่ลี้ภัยจะไม่ถือเป็นพลเมือง

เพราะดินแดนที่มนุษย์อาศัยอยู่ได้มีจำกัดและอาหารเองก็มีจำกัด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้สถานะพลเมืองแก่บุคคลภายนอก

แม้แต่พลเมืองของอาณาจักรตัวเอง หรือผู้มีได้รับการยินยอมว่ามีสถานะเป็นพลเมืองจากอาณาจักรอื่นก็ยังเข้าเมืองได้ยากเลย

นอกจากนี้แม้จะได้รับสถานพลเมือง แต่ก็ใช่จะหางานได้เสมอไปอีก

ตามที่คุณจิยูกิบอกมา หากเขาต้องการหาอาณาจักรที่ยอมรับ โดยไม่เกี่ยงสถานะพลเมืองของเรจิน่าแบบแน่นอน คงจะต้องหาไปทั้งชีวิตเลยก็ได้

แต่หากคุโรกิช่วยชีวิตใครแล้วเขาจะไม่โยนความรับผิดชอบเด็ดขาด ทั้งที่ถ้าปล่อยไปมันก็ง่ายกว่าแท้ๆ เป็นบุคลิกที่ยุ่งยากจริงๆ

แต่หากอยู่ที่นั้น การที่จะได้พบปะกับผู้คนก็ยากและบางทีเรจิน่าอาจจะไม่ได้ออกจากนากอลอีกเลยก็ได้

[ งั้นถ้าเกิดพวกเรารับเธอไว้ในความดูแล พอจะเป็นไปได้มั้ยคะคายะ? ]

คุณเคียวกะถาม คายะพยักหน้าตอบ

[ แน่นอนค่ะ ตราบใดที่มีเงินและใช้ชื่อคุณหนูที่เป็นน้องสาวผู้กล้าผู้ได้รับความรักจากเทพธิดาเรน่า รับร้องว่าต้องมีสักอาณาจักรที่ยอมรับพวกเธอแน่ค่ะ ]

เรจิน่าทำท่าประหลาดใจ

แต่ที่คุณเคียวกะพูดมันมีความเป็นไปได้ หากใช้กำลังของคุณเคียวกะ อาจจะได้สถานะพลเมืองจากอาณาจักรไหนสักแห่งและยังได้งานอีกด้วย บางทีอาจจะมีความน่าเชื่อถือกว่าคุโรกิซะอีก

[ ต-แต่ว่าฉันอยากอยู่ข้างๆ นายท่าน… ]

เรจิน่าพูดสิ่งที่คิดออกมา

บางทีตัวของเรจิน่าคงอยากอยู่เคียงข้างคุโรกิที่นากอลมากกว่า

แต่ว่ายังไงคุโรกิก็พยายามจะให้คุณเรจิน่าอยู่นอกนากอลอยู่ดี

[ ท่านเรจิน่าคิดจะให้ครอบครัวตัวเองต้องอยู่ที่นากอลตลอดไปเลยรึไงกันคะ? ]

[  อุ๊ก! ]

เพราะได้ยินคำพูดของคุณคายะ คุณเรจิน่าจึงส่งเสียงออกมา

แม้ว่าจะเจ็บปวด ใจจริงเธออยากอยู่ที่นากอล แต่ไม่สามารถให้ครอบครัวตัวเองอยู่ที่นากอลตลอดไปได้

[ น่า ยังไม่ต้องให้คำตอบทันทีหรอกค่ะ ถ้าเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็มาหาฉันได้ทุกเมื่อเลยนะคะ ]

เรจิน่าไม่ตอบคำถามของคุณเคียวกะเมื่อครู่ แต่ดูเหมือนเธอกำลังกัดนิ้วและคิดเรื่องต่างๆ อยู่

หลังจากที่เราพูดคุยกันมาหลายๆ เรื่อง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงจากนอกประตู

เมื่อเปิดประตูไปก็เจอกับเฮนเรีย

เฮนเรียเอาโต๊ะที่มีล้อเลื่อนและเข็นอาหารเข้ามา

ดูเหมือนเธอจะเอาอาหารมาให้

แต่เดิมคือต้องไปทานอาหารกับราชา แต่เพราะมีเรจิน่าอยู่ด้วย ฉันจึงตัดสินใจแยกต่างหากจะดีกว่า

[ อ… เอา… เอาอาหารมาให้ค่ะ!! ]

เฮนเรียดูจะคล้ายกัดฟันอยู่เพราะประหม่า ขณะที่ดันรถขนอาหารเข้ามา

[ เอ่อ… คือ… ]

เฮนเรียดูจะกังวล บางทีคงกลัวพวกเราอยู่

ผู้คนของอัลโกลี่ยังจำเราได้ดี เพราะเรย์จิทำให้อาณาจักรนี้เดือดร้อน ฉันรู้สึกถึงได้ความกลัวจากดวงตานั้น

จากนั้นเธอก็วางอาหารลงบนโต๊ะ

ถ้าเฮนเรียอยู่ในโลกเราก็คงเป็นเด็กที่อยู่โตกว่าชั้นประถมนิดหน่อย เป็นเด็กน่ารักก็ว่าได้

น่าเศร้านิดหน่อยนะ ที่ในดวงตาของเด็กน่ารักคนนั้นมีแต่ความกลัว

อาหารที่เสิร์ฟให้เราเป็นอาหารธรรมดาๆ

ซุปถั่วกับหัวผักกาด เนื้อไก่อบ และผลไม้ และบางทีที่อยู่มุมโต๊ะนั้นคงจะเป็นน้ำปลาล่ะมั้ง

มีอาหารไม่กี่อย่างนัก

คุณภาพก็ต่ำกว่าที่เสิร์ฟให้เราในอาณาจักรเวรอส

ฉันเองก็รู้ดีว่าอัลโกลี่ไม่ใช่อาณาจักรที่ร่ำรวย ดังนั้นก็ไม่ได้ตกใจอะไรนัก แบบนี้ไม่น่าพาเรจิน่ามาที่อัลโกลี่ด้วยจริงๆ ล่ะนะ

[ ถ้า… เช่นนั้น.. ]

เมื่อพูดจบ เฮนเรียก็ออกจากห้องไป

ฉันเองก็อยากคุยด้วยสักหน่อยแต่ก็ช่วยไม่ได้

ฉันมองไปที่อาหาร แน่นอนว่ามันดูไม่ค่อยน่าอร่อยเท่าไหร่ แต่ก็บ่นอะไรไม่ได้

[ คุณเองก็มากินด้วยกันมั้ยคะเรจิน่า? ยังไงนี่ก็เป็นอาหารของบ้านเกิดนี่ค่ะ ]

ฉันชวนเรจิน่า

เพราะดูเหมือนเธอจะไม่ได้กินอะไรเลยทั้งตอนเช้าและตอนเย็น แน่นอนเมื่อคืนก็ด้วย คงจะต้องหิวอยู่แน่ๆ

ทันใดนั้นฉันก็ได้ยินเสียงท้องร้องน่ารักๆ ของเธอดังขึ้น สงสัยคงเพราะเห็นอาหารเลยท้องร้องสินะ

พวกเราต่างหัวเราะกัน

[ ไม่ค่ะ ของแบบนั้นฉันไม่ต้องการ! ]

เรจิน่าพูดขณะที่จับท้องด้วยความอาย

[ นี่ๆ ท่านเรจิน่า ถ้าไม่สบายเอาพอท่านคุโรกิมาเจออีกครั้ง เขาอาจจะเสียใจนะคะ ]

คุณคายะเอาคุโรกิมาอ้าง

[ อืมม… ฉันก็ไม่อยากเป็นภาระให้นายท่านด้วยสิ… ]

เมื่ออ้างคุโรกิขึ้นมา ทางเรจิน่าจึงมาขอแบ่งอาหารไป

จริงๆ เลยนะ คุโรกินี่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ยังเป็นคนดี แม้ว่าจะเป็นที่ที่แย่ขนาดไหนก็ตาม

[ ค่อนข้างเป็นมื้อที่หรูหราจังนะคะ… คุณลุงมอนทาสกับคุณป้าคงไม่อยากเสียมารยาทกับน้องสาวของผู้กล้าสินะ… ]

เรจิน่าบอกเรื่องอาหาร

[ เอ๊ะ นี่เป็นอาหารที่ดีที่สุดของอาณาจักรนี้แล้วเหรอคะ? ]

คุณเคียวกะถาม มันอาจจะเหมือนคำเยาะเย้ย แต่จริงๆ แล้วคุณเคียวกะไม่ได้ตั้งใจจะพูดถากถางหรอก 

[ ค่ะ นี่เป็นอาหารที่หรูหราสำหรับอาณาจักรนี้แล้ว ถ้าไม่ใช่ในโอกาสพิเศษคงไม่มีน้ำปลาหรอกค่ะ… ]

เรจิน่าตอบคำถามโดยไม่ได้โกรธอะไร

เครื่องปรุงในโลกนี้ก็มีของธรรมดาอย่างเกลือ น้ำส้มสายชู และน้ำมันผลไม้ แต่น้ำปลานั้นไม่ใช่ของธรรมดา

หากในสามัญสำนึกของคนโลกเดิมมันก็เป็นแค่ของธรรมดา แต่ที่นี่น่ะอยู่ไกลจากทะเลมาก ดังนั้นในอัลโกลี่มันจึงถือว่ามีค่ามาก

[ เป็นประเทศที่น่าสงสารจริงๆ นะคะ … เพราะที่นี่เองก็ปลูกพืชไม่ขึ้นเลย ในความรู้สึกของฉันมันแย่กว่านากอลซะอีกค่ะ ]

[ นากอลเองก็น่าสงสารเหรอคะ? ]

[ มันเป็นดินแดนที่น่าสงสารสำหรับมนุษย์นะคะ ถึงแม้จะพอมีของกินบ้าง แต่ก็เป็นของที่นายท่านเอามาให้ แต่อาหารที่เสิร์ฟที่นี่แย่กว่าที่นากอลซะอีกค่ะ ]

เรจิน่าตอบคำถามฉัน

[ แล้วปกติคุโรกิของแบบไหนงั้นเหรอ? ]

[ นายท่านน่ะ— ]

จากนั้นเรจิน่าก็เริ่มเล่าเรื่องของคุโรกิ

เรจิน่า เธอนี่ปากเบาจังนะ แต่ยังไงฉันก็ได้ข้อมูลของคุโรกิที่อยากได้มากขึ้นด้วยสิ

ถึงตอนนี้ข้อมูลของคุโรกิที่ได้จากเธอจะเพียงพอแล้ว

แต่ตราบใดที่ได้ฟังเรื่องของคุโรกิ มันก็อดไม่ไหว

ดูเหมือนคุนะจะคิดว่าเรจิน่าเกะกะ แต่คุโรกิก็พยายามปกป้องเรจิน่าเต็มที่

คุโรกิดูแลทั้งเธอและคุนะอย่างดี

คุนะดูเหมือนจะเป็นลูกสาวของราชาปีศาจ จากที่เรจิน่าเล่ามา ตอนที่ได้พบกับคุโรกิครั้งแรกยังไม่เห็นตัวคุนะเลย แต่จู่ๆ วันหนึ่งเธอก็ปรากฏตัวขึ้น

และยึดคุโรกิเอาไว้กับตัวคนเดียว

นั่นคงเพราะผู้หญิงคนนั้นกำลังใช้เวทควบคุมคุโรกิและใช้ประโยชน์จากเขาในฐานะอัศวินดำอยู่แน่ แต่ว่าก็เป็นการควบคุมที่ไม่สมบูรณ์แบบซะทีเดียว เขาจึงสามารถทำอะไรตามใจได้อยู่

นั่นคือข้อสรุปที่ได้จากการถามเรจิน่า

บางทีไปคุยกับผู้หญิงคนนั้นอาจจะเร็วกว่าคุยกับคุโรกิก็ได้

แล้วตอนนี้คุโรกิกับคุนะอยู่ที่ไหนล่ะ?

บางทีอาจจะอยู่ใกล้ๆ กับอาณาจักรอัลโกลี่แล้วก็ได้

ฉันขอให้คนในอาณาจักรอัลโกลี่ช่วยเฝ้าระวังบนท้องฟ้าไว้ให้แล้ว เพราะมีโอกาสที่คุโรกิจะขี่มังกรมาจากบนฟ้า

จะว่าไปมังกรที่เห็นตอนนั้นก็ยอดเลยนะ

[ ฉันรอยู่นะ… รีบมาเร็วๆ เข้าสิ คุโรกิ… ]

ฉันพึมพำ

 

◆ เจ้าชายแห่งอาณาจักรอัลโกลี่ โอมิรอส

[ เพราะผู้หญิงพวกนั้น จริงๆ เลย… ข้าไม่น่าพายัยพวกนั้นมาที่นี่เลย… ]

ข้ามองไปที่มนุษย์หมาป่าและมาคิลเชียสที่เป็นพรรคพวก

ข้ากับมาคิลเชียสต้องมานั่งรถม้ามากับมนุษย์หมาป่า

มนุษย์หมาป่าตัวนั้นถูกตรึงไว้ด้วยโซ่

ก่อนอื่นจึงคิดจพามันไปขังไว้ในห้องเก็บของของอาคารที่แข็งแรงที่สุดของอัลโกลี่ แต่การจะย้ายมนุษย์หมาป่าไปที่อื่นได้น่ะ มันยุ่งยากน่าดู

ที่อัลโกลี่ไม่นิยมขังคุก เพราะมีโทษคือประหารไม่ก็เนรเทศมากกว่าจะนำไปขังคุก

จึงมีเพียงที่คุมขังชั่วคราว ที่ไม่ค่อยเหมาะขังคนด้วยซ้ำ ดังนั้นอย่าว่าถึงมนุษย์หมาป่าเลย

[ นายไม่ควรพูดแบบนั้นนะมาคิลเชียส ยังไงเธอก็เป็นถึงที่รักของเทพธิดาและน้องสาวผู้กล้าเชียวนะ ]

ข้าพยายามพูดชมเธอ

เพราะคนส่วนใหญ่ที่อัลโกลี่ก็นับถือเทพธิดา ดังนั้นคำพูดของมาคิลเชียสจึงถือเป็นการดูหมิ่นเทพธิดาที่ว่า

เป็นธรรมดาเพราะอัลโกลี่อยู่ใกล้กับนากอล จึงมีความเชื่อว่าเทพธิดากำลังต่อสู้กับราชาปีศาจอยู่

แต่สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองก็เพราะประชาชนเสียความเชื่อมั่นในราชาคิวเพียสที่เป็นศัตรูของผู้กล้า

[ ก็จริงนะโอมิอส… แต่ผู้หญิงพวกนั้นจะนำพาอัศวินดำหรือโอเกอร์มาที่อัลโกลี่ แบบนี้อาณาจักรเราอาจจะล่มสลายเลยก็ได้… ]

ข้าเข้าใจสิ่งที่มาคิลเชียสต้องการจะพูดดี แค่หนึ่งในสองภัยคุกคามนั้นก็เพียงพอจะทำลายอัลโกลี่ได้แล้ว

[ มาคิลเชียส พวกเราเป็นนักรบของอัลโกลี่น่ะ นี่นายกลัวอัศวินดำกับพวกโอเกอร์งั้นเหรอ? ]

ผู้คนในอัลโกลี่ต่างเป็นลูกหลานของนักรบที่รวมตัวกันเพื่อบุกนากอล แล้วลูกหลานของนักรบจะมากลัวปีศาจได้ยังไง?

[ ยังจะพูดแบบนั้นได้เหรอ… ]

นักรบของอัลโกลี่นั้นอ่อนแอไปตามเวลา นั่นคือสิ่งที่มาคิลเชียสต้องการบอก

[ ไม่ต้องห่วงหรอกมาคิลเชียส นายเองก็เห็นแล้วนี่ว่าพวกเธอแข็งแกร่งขนาดชนะมามิดอลได้ในพริบตา…. ตอนนั้นนายไม่ได้อยู่ที่นั้นอาจจะไม่รู้ แต่เธอบอกว่าจะหาทางจัดการกับพวกโอเกอร์เอง]

เมื่อไม่นานนี้พวกเขามาพบกับพ่อข้า-มอนทาส ในตอนนั้นผู้หญิงที่ชื่อคายะเป็นคนบอกกับพ่อเองเลย

[ น่า.. ถ้าเป็นแบบนั้น… ก็คงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว ที่เหลือก็เรื่องของเรจิน่า ]

หัวใจของข้าหม่นหมองเพราะคำพูดของมาคิลเชียส

ยังใช้ไม่ได้อีกเหรอ?

เป็นไปไม่ได้เลยเหรอที่ข้าจะปกป้องเรจิน่า?

ข้ารู้สึกเศร้ามากเมื่อคิดเช่นนั้น ไม่ใช่แค่มาคิลเชียสเท่านั้น แต่ทุกคนก็ต่างอยากฆ่าเรจิน่า

มีผู้คนมากมายที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของคิวเพียส เพราะเป็นลูกสาวเลยไม่โดนเพ่งเล็งตรงๆ แต่ยังไงเรจิน่าก็ถือเป็นศัตรูของทุกคนอยู่ดี

การที่ข้าคิดจะพาเรจิน่ามาอาจจะผิดก็ได้

ถึงข้าจะดีใจที่ได้พบกับเรจิน่าอีกครั้ง แต่มันก็เหมือนความฝันที่ไม่มีวันหวนคืน

พอคิดถึงอัศวินดำ อัศวินดำที่มาช่วยเรจิน่าดูเหมือนจะเป็นคนใจดี

ผู้คนคิดจะฆ่าเรจิน่าแต่อัศวินดำกลับจะมาช่วยเรจิน่า พอข้าคิดดูมันก็ช่างน่าตลกจริงๆ

ข้าไม่อยากเห็นเรจิน่าไม่มีความสุข ดังนั้นข้าตัดสินใจแล้ว

ว่าแต่ตอนนี้อัศวินดำอยู่ที่ไหนล่ะ? บางทีอาจะอยู่ใกล้ๆ อัลโกลี่เพื่อมาพาตัวเรจิน่าไปแล้วก็ได้

เมื่อข้าพยายามคิดถึงเรื่องต่างๆ ก็เดินมาถึงจุดหมาย

บ้านร้างที่ว่างเปล่า แต่เดิมมันเป็นสถานที่ที่ได้รับการปรับปรุงไว้ดูแลภายนอกกำแพงป้อมปราการ

และที่นี่ก็เป็นของครอบครัวคิวเพียส เรจิน่าถูกจับได้ที่บ้านหลังนี้ล่ะ

หน้าต่างมีไม้ดันไว้ ทางเข้ามีเพียงหนึ่ง หน้าต่างปิดตาย

หากเป็นที่นี่ก็ไม่ต้องกังวลอะไรถ้าจะขังมนุษย์หมาป่าไว้ที่นี่ ไม่มีวิธีอื่นแล้ว 

[ อ้าว เจ้าหนุ่มไม่ใช่? นี่นายคิดจะเอาใครมาขังไว้ที่นี่อีกล่ะ? ]

ข้าถูกเรียกจากชายที่ยืนอยู่หน้าบ้านหลังนั้น ดูเหมือนเขาจะเป็นยาม

ทำไมถึงได้มียามอยู่ที่นี่? ข้าสงสัยข้อนั้น

[ แล้ว? ]

ยามคนนั้นถาม

[ โอ๊ะ ขอโทษทีนะ แต่มันบอกไม่ได้ ]

มาคิลเชียสเป็นคนตอบแทน

[ เผอิญว่าข้าเองก็จับคนน่าสงสัยได้นะสิ ]

เขาพูดต่อ

[ ดูเหมือนระหว่างทางจะมีมามิดอลโผล่มาโดยบังเอิญด้วย แต่ดันมีคนน่าสงสัยเดินทางมาจากอาณาจักรร็อก ที่อยู่ค่อนไปทางใต้ได้นะ ]

ข้ารู้เรื่องของอาณาจักรร็อก ครั้งนึงข้าเคยไปที่นั้น ระยะทางจากที่นั้นมามันไกลมากเลยนะ เขามาทำอะไรที่นี่กัน?

[ งั้นก็ยืนยันตัวเขาว่าใช่นักเดินทางแน่รึเปล่าสิ ทางข้ามีสถานการณ์เร่งด่วนกว่าเยอะเลยนะ ]

อย่างที่มาคิลเชียสพูดนี่เป็นกรณีเร่งด่วน เพราะอัศวินดำหรือโอเกอร์อาจจะโจมตีเมื่อไหร่ก็ได้

และคนที่ถูกมัดด้วยโซ่ไว้นี่ก็มนุษย์หมาป่าเชียวนะ อย่างน้อยข้าจึงคิดว่าน่าจะขังพวกเขาไว้ก่อน

[ งั้นเหรอ… จะว่าไปคนน่าสงสัยนั้นก็แค่นักดนตรีเองนี่นะ?]

นักดนตรีคือคนที่เดินทางไปยังอาณาจักรต่างๆ และร้องเพลงที่เกี่ยวกับสถานที่ที่เคยเดินทางไป

ปกติอัลโกลี่ก็คงจะต้อนรับอยู่หรอก แต่เพราะสถานการณ์ตอนนี้จึงโชคไม่ดีและโดนขังไว้

[ เขาอ้างว่าเป็นนักดนตรีงั้นเหรอ ]

มาคิลเชียสถาม

[ แม้ว่าจะพังแล้ว แต่ข้าเองก็ตรวจสอบกระเป๋าเดินทางแล้วก็มีเครื่องดนตรีอยูด้วย อา ใช่ แล้วยังมีอย่างอื่นอีกเยอะแยะเลย ]

[ เฮ้ จะไม่เป็นไรแน่เหรอ? ]

พอผมพูดแบบนั้น มาคิลเชียสก็หยิบของอย่างหนึ่งออกมา

[ ดูสิ ]

มาคิลเชียสโชว์ของสิ่งนั้น

[ โล่? ]

มันเป็นโล่กลม

ที่ถูกประดับด้วยความสวยงามและลวดลาย ดูท่าทางจะเป็นของแพง

ในตอนนั้นข้าก็รู้สึกถึงบางอย่าง

[ หรือว่า…. นี่จะเป็นโล่เวทมนตร์? ]

แม้ว่าแสงที่จะสะท้อนออกมาจะไม่ต่างกัน แต่ก็มีแสงส่องอยู่จางๆ

แน่นอนมันเป็นของดี อุปกรเวทไม่ใช่ของที่จะหามาได้ง่ายๆ หรอกนะ

แม้จะระดับต่ำกว่าที่พวกท่านเคียวกะมี แต่นี่ก็ยังเป็นของหายาก

อาวุทเวทนั้นมนุษย์ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ มีเพียงคนแคระเท่านั้นที่สร้างได้ แต่ถึงคนแคระจะสร้างชุดเกราะหรืออาวุธเวทได้แต่หากไม่มีวัตถุดิบก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นอาวุธเวทจึงมีไม่มากนักหรอก

คนที่ถูกขังเอาไว้ เขาเป็นใครกันแน่

[ ถ้าเอาโล่นี้ไปต่อสู้กับอัศวินดำกับโอเกอร์ก็น่าจะใช้ได้นะ ]

มาคิลเชียสพูดออกมา แน่นอนเพราะจากนี้เราจะต้องต่อสู้ ดังนั้นหากมีอุปกรณ์เวทก็คงจะดีกว่า

แต่ข้าส่ายหัวให้กับคำพูดของมาคิลเชียส

[ ไม่ได้หรอกมาคิลเชียส… นั่นไม่ใช่สิ่งที่นักรบที่น่าภาคภูมิควรทำ ]

ไม่ว่าจะเจ็บปวดในใจแค่ไหนก็ไม่ควรทำ

 ข้าคิดได้ตอนที่เดินทาง ถึงแม้ศัตรูจะเป็นก็อบลินหรือโอเกอร์แต่ไม่ควรขโมยของคนอื่นมาใช้

ดังนั้นข้าควรคืนโล่นี้ให้เจ้าของดีกว่า

[ เข้าใจแล้วน่า…. ไม่ต้องบอกก็ได้ ]

มาคิลเชียสให้แบบไม่เต็มใจ มันช่วยไม่ได้นี่เนอะ

[ ข้าอยากจะคืนโล่และสัมภาระพวกนี้ให้เจ้าของหน่อย ช่วยเปิดประตูหน่อยได้มั้ย ข้าอยากเห็นหน้าคนที่อยู่ข้างในนะ ]

[ ได้เลยเจ้าหนุ่ม ]

ยามเปิดประตู

ข้างในไม่มีอะไรเลย เพราะเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดได้ถูกนำออกไปแล้ว ตรงมุมห้องมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ บางทีเขาคงเป็นนักดนตรีที่ว่า

สงสัยเขาจะรู้ตัวแล้วล่ะมั้งว่าพวกข้าเข้ามา

[ ขอโทษด้วยนะครับคุณนักเดินทาง ]

ข้าลดศีรษะลงให้ชายคนนั้น

[ อย่าเลยครับ เงยหน้าขึ้นเถอะเจ้าชาย ผมไม่ได้ใส่ใจหรอก ดูเหมือนผมจะมาในช่วงเวลาไม่เหมาะสินะ ]

นักดนตรียอมรับคำขอโทษของข้า ว่าแต่ทำไมเขาถึงรู้ว่าข้าเป็นเจ้าชายล่ะ?

[ งั้นเหรอ… ]

ข้าเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปยังนักดนตรี

อายุของเขาใกล้เคียงกับข้า มีใบหน้าที่เรียบเนียนและมีผมสีดำ หากมองดูดีๆ เขาอาจจะหล่อกว่าพาซัสซะอีก

แต่เพราะตอนนี้มองเห็นหน้าเขาไม่ชัดเท่าไหร่

เสื้อผ้าธรรมดา ถ้าแต่งตัวดีๆ น่าจะมีผู้หญิงแห่มาเลยแท้ๆ แต่เป็นไปได้ว่าเขาคงไม่ชอบเสื้อผ้าสีฉูดฉาด

เอาล่ะ มาคิดสักหน่อย

ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ก็คืนกระเป๋าให้ก่อนแล้วกัน

[ คืนสัมภาระให้ซะ ]

จากนั้นยามก็ส่งกระเป๋าให้เขา

เขาหยิบกระเป๋าและตรวจดูของ

[ และนี่ก็ด้วย… ]

ข้าเอาโล่ที่ถือในมือให้เขา

แต่เขากลับไม่ยอมรับมันไว้

[ โล่นั้นผมให้เจ้าชายครับ ]

[ [ เอ๋?! ] ]

ทั้งสองคนที่อยู่ข้างหลังส่งเสียงตกใจพร้อมกัน

[ โล่นี่มันก็เป็นของดี หวังว่าจะมีประโยชน์นะครับ ]

[ หรือว่าคุณได้ยินที่คุยกันข้างนอกเหรอ? ]

เพราะพวกข้าพูดคุยกันอยู่นอกบ้านหลังนี้ บางทีเขาอาจจะได้ยินเข้า

นักดนตรีเกาหัวขณะที่ยิ้ม [ ฮะฮะฮะ ]

[ ไม่ … ข้ารับของล้ำค่าแบบนี้ไว้ไม่ได้หรอก ]

อุปกรณ์เวทเป็นของล้ำค่า ถ้าเอาไปขายจะได้เหรียญทองมากมายนับไม่ถ้วนเลยด้วยซ้ำ

ข้าจึงไม่อยากเชื่อว่าเขาจะให้มาง่ายๆ

[ เจ้าชายควรรับไว้นะครับ เพราะมันต้องช่วยท่านได้แน่ ได้โปรดนำมันไปปกป้องคนสำคัญของท่านเถอะครับ ]

นักดนตรีส่ายหัวและให้คำตอบ จริงๆ แล้วเขาเป็นใครกันแน่?

[ รับมาเถอะน่าโอมิรอส! ว่าแต่นายเป็นคนใจดีจังนะ! งั้นไปกินถั่วด้วยกันดีกว่า ]

มาคิลเชียวพูดขณะที่ตีไหล่ของนักดนตรี

แค่ถั่วมันจะพองั้นเหรอ แต่อาหารในอาณาจักรนี้ก็มีแต่ถั่วเป็นส่วนใหญ่

[ ดีเลย ข้าจะได้ขังมนุษย์หมาป่าไว้ในบ้านนี้…. นี่เจ้าน่ะจากนี้ก็มาบ้านเราสิ ข้าอยากขอบคุณเรื่องโล่หน่อยนะ ]

มาคิลเชียสชวนเขาไปกินข้าวด้วย

ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ข้ากับมาคิลเชียสก็ต้องขอบคุณเขาจริงๆ

[ ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว เพราะดูเหมือนข้างนอกกำลังวุ่นวายกันอยู่ ]

นักดนตรีคนนั้นโบกมือปฏิเสธ

[ แต่ที่นี่มีมนุษย์หมาป่าด้วยนะ ]

[ แต่มนุษย์หมาป่าก็ถูกล่ามโซ่ไว้แล้วนี่ครับ… อันที่จริงผมอยากคุยกับมนุษย์หมาป่านิดหน่อยนะ ]

[ งั้นเหรอ… ]

เขานี่ประหลาดจังนะที่อยากคุยกับมนุษย์หมาป่า แต่ข้าก็เคยเห็นคนที่อยากรู้อยากเห็นมาก่อนหลายคน บางทีเขาเองก็เป็นประเภทนั้น

[ ไม่ต้องใส่ใจหรอกครับ ]

นักดนตรีตอบด้วยรอยยิ้ม

 [ แปลกคนจริงๆ นะที่อยากคุยกับมนุษย์หมาป่าน่ะ งั้นไว้หาจะให้น้องสาวเอาอาหารมาให้ทีหลังแล้วกัน ]

มาคิลเชียสหัวเราะ แม้จะเป็นในความคิดข้าก็เถอะ แต่มาคิลเชียสจะไม่เสียมารยาทกับเขาไปหน่อยเหรอ?

[ แล้วเจ้าชื่ออะไรล่ะ? ]

มาคิลเชียสถามต่อ

จะว่าไปยังไม่รู้ชื่อของนักดนตรีคนนี้เลยนี่นะ

นักดนตรีที่ได้ยินคำถาม ก็ทำท่าคิดนิดหน่อย

[ คุโระครับ ]

คุโระเป็นชื่อที่ไม่เคยได้ยินเลยนะ ก็เขาบอกว่ามาจากอาณาจักรร็อก บางทีตัวเขาเองก็คงเกิดมาในอาณาจักรที่แสนไกลจากที่นี่ก็ได้

[ คุโระเหรอ? ชื่อแปลกดีนะ ]

[ มาคิลเชียส!! ]

มาคิลเชียสพูดจาเสียมารยาทกับเขาอีกครั้ง

[ ขอโทษด้วยนะครับคุณคุโระ ]

[ ไม่ครับ ผมไม่ได้ใส่ใจหรอก ]

คุโระตอบด้วยการโบกมือ

[ จะว่าไปแล้ว ผมได้ยินว่าที่อาณาจักรนี้มีผู้กล้าที่ชื่อพาซัสอยู่ใช่มั้ยครับ…? ]

[ ทำไมต้องเซอร์พาซัสล่ะ? ]

พวกนักดนตรีนั้นชอบร้องเพลงเกี่ยวกับผู้กล้า

พาซัสที่ถูกผู้คนเรียกว่าผู้กล้าจึงโด่งดังไปถึงอาณาจักรข้างเคียงเพราะการออกไปกำจัดเหล่าก็อบลินนั้นเอง

ก็เขาเป็นดนตรีนี่นะ

คงจะอยากพบกับพาซัสแล้วแต่งเพลงล่ะมั้ง

[ พาซัสอยู่ที่อาณาจักรนี้ แต่ตอนนี้ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหนนะ… ]

[ งั้นเหรอครับ… ]

คุโระดูจะผิดหวังนิดหน่อย เขาคงอยากเจอพาซัสล่ะนะ

[ งั้นหรือว่าจริงๆ แล้วคุณคุโระตั้งใจจะมอบโล่นี้ให้พาซัสแต่ฝากข้าเอาไปให้แทน ตอนที่เขากลับมางั้นเหรอ? ]

อาวุธเวทและเกราะเวทเหมาะกับผู้กล้า มันคงจะดีกว่าถ้าคนที่ใช้เป็นพาซัส อย่างข้าไม่มีคุณสมบัติพอจะใช้โล่นี้หรอก

ข้าหัวเราะแห้งๆ

[ ไม่ได้นะครับ! เจ้าชาย! ห้ามเอาโล่นี้ไปให้พาซัสเด็ดขาด! คนที่ใช้ต้องเป็นท่านเท่านั้นครับ ]

ทันทีที่ข้าพูดออกไป คุโระก็พูดมาด้วยท่าทางรีบร้อน อย่างกับท่าทีสงบนิ่งเมื่อก่อนหน้านี้เป็นเรื่องโกหก

[ อา เข้าใจแล้ว…. ]

เพราะถูกกดดันข้าจึงตอบไปแบบนั้น

[ ขอโทษด้วยนะครับเจ้าชาย ผมไม่ได้ตั้งใจจะกดดันหรอก ]

คุโระพูดจากนั้นก็หัวเราะนิดหน่อย เขาเป็นใครกันแน่ ข้าสงสัย

แต่ถึงจะพยายามคิด ข้าก็ไม่รู้อยู่ดี

พวกเราพูดคุยกันนิดหน่อย แต่ตอนนี้ข้าต้องไปแล้วเพราะต้องเตรียมรับมือกับการโจมตีของอัศวินดำและโอเกอร์

[ งั้นข้าขอตัวก่อนแล้วกัน ]

 ข้าพูดออกมาจากนั้นก็ก้มหัวให้คุโระ

[ ไม่ได้นะครับ ]

คุโระจึงก้มหัวให้ข้าด้วย

จากนั้นเราก็ออกมาจากบ้านหลังนั้น

[ คิดว่ายังไงมาคิลเชียส ]

เมื่อออกมาจากบ้าน ข้าก็ถามความเห็นของมาคิลเชียส

[ ถึงจะแค่รู้สึก… แต่ข้าคิดว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา ]

ดูเหมือนมาคิลเชียสจะคิดว่าคุโระไม่ใช่คนธรรมดา

[ แต่ยังไงเขาก็มอบโล่นั้นให้เจ้านี่นะ ก็ถือว่าเป็นคนดีไม่ใช่เหรอ? ]

จากนั้นเขาก็พูดต่อ

[ เจ้านี่มัน… ]

อย่างที่มาคิลเชียสพูด เขาคงไม่ใช่คนเลวอะไรหรอก

[ จะเอาเรื่องนี้ไปรายงานผู้หญิงพวกนั้นมั้ย? เพราะเขาอาจจะมีแมลงฝังในร่างกายก็ได้ ]

แน่นอนว่าคุโระดูน่าสงสัยไปหมด ดังนั้นควรจะรายงานให้พวกเธอรู้

แต่ข้าส่ายหัว

[ ไม่ล่ะ… ]

ถ้าเขาเป็นคนรับใช้ของพวกโอเกอร์ก็น่าจะทำตัวให้ไม่น่าสงสัย

แต่ที่ข้ารู้สึกได้มันต่างกัน ตรงกันข้ามกับโอเกอร์ ตัวเขานั้นน่าสงสัยเกินไป

นอกจากนี้ถ้าฝังแมลงในร่างผู้คนในอัลโกลี่จะเร็วกว่าแท้ๆ ไม่เห็นต้องใช้คนนอกอาณาจักรเลย

ข้าจึงคิดว่าเขาไม่ใช่คนรับใช้ของพวกโอเกอร์

งั้นเขาเป็นใคร? ถ้าไม่ใช่พวกเดียวกับโอเกอร์ ก็คงจะเป็นอัศวินดำ?

แต่ตัวเขาคงไม่ใช่อัศวินดำหรอก เป็นไปได้ว่าจะได้รับการคุ้มกันจากอัศวินดำซะมากกว่า ถึงข้าจะไม่รู้เหตุผลที่เขาให้โล่นี้มา แต่หากเขาบอกให้ข้าใช้ ข้าก็จะใช้มัน

ดังนั้นไม่มีเหตุผลอะไรต้องไปบอกพวกน้องสาวผู้กล้าหรอก

[ เหรอ… ถ้าเจ้าพูดแบบนั้นข้าก็จะไม่พูดอะไรแล้วกัน ]

[ ขอโทษนะ… ]

[ ทำตามที่ต้องการเถอะ.. ]

เรื่องนี้ข้าต้องขอบคุณมาคิลเชียสจริงๆ

[ งั้นไปกันเถอะมาคิลเชียส ]

[ โอ้ ]

ข้าพูดขึ้นแล้วเริ่มเดินไป

 

◆ นักดนตรี คุโระกิ

[ ผมต้องหาวิธีรับมืออะไรสักอย่าง… ]

ดังนั้นผมถึงได่ปลอมตัวเป็นนักดนตรีและแทรกซึมเข้าไปในอาณาจักรอัลโกลี่เพื่อพบกับโอมิรอส

ผมอยากรู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหน และดูเหมือนเขาจะเป็นคนดี แบบนี้คงจะฝากฝังเรจิน่าไว้ได้

ผมจึงได้ให้โล่ที่คนแคระทำขึ้นเป็นพิเศษกับเขาไป

แต่ก็ไม่คิดเลยว่าผมจะต้องมาถูกขังแบบนี้  ขืนแบบนี้อาจถูกพาตัวไปหาชิโรเนะก็ได้

ผมจับเครื่องดนตรีที่หักขึ้นมา เดิมทีมันคือพิณ

[ ได้ยินว่าถ้าเป็นนักดนตรีจะสามารถเข้าประเทศได้ง่ายๆ เลยค่ะ … ]

แม่นมของเรจิน่าบอกแบบนั้น ว่าหากเป็นนักดนตรีก็สามารถเข้าอาณาจักรนี้ได้สบายๆ ดังนั้นจึงปลอมตัวเข้ามา

คราวนี้ผมไม่ได้ใช้อะไรปิดบังใบหน้าไว้เพราะผมอยากคุยกับเขาตรงๆ เขาจะได้รู้ว่าผมเป็นใคร

ผมไม่คิดว่าหากปิดบังใบหน้าไว้คงจะไปพูดคุยกับคนอย่างเจ้าชายตรงๆ ไม่ได้ล่ะนะ

และมันยังมีเรื่องน่าสงสัยอยู่อีก ผมเลยมาเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจ

ผมตั้งใจจะจัดการมาที่นี่เพื่อจัดการพาซัสและยืนยันความตั้งใจของเรจิน่าเท่านั้น

แต่ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าพาซัสอยู่ที่ไหนและข้างตัวเรจิน่าก็มีชิโรเนะอยู่ด้วย

บางทีตอนที่ชิโรเนะกำลังต่อสู้อยู่ พาซัสจะต้องใช้โอกาสนั้นเอาตัวเรจิน่าไปแน่ ดังนั้นผมต้องระวังไว้

คุนะบอกว่าเธอบอกว่าจะไปจัดการเรื่องชิโรเนะให้ ว่าแต่เธอหายไปไหนแล้วล่ะ? แล้วผมก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลย

แต่ผมก็ต้องเป็นคนคอยห้ามคุนะกับชิโรเนะด้วย ในตอนนั้นถ้าเกิดพาซัสเคลื่อนไหวผมคงทำอะไรไม่ได้

ต้องมีใครสักคนช่วยเรจิน่า ซึ่งใครนั้นก็คือโอมิรอส

ตัวเขาเองก็คงอยากจะช่วยเรจิน่าเต็มที่อยู่แล้ว แต่เสียที่ว่าตัวเองไม่มีพลัง คงดีถ้าทำให้เขามีพลังมากกว่านี้ได้ล่ะก็… แต่ผมคิดวิธีดีๆ ไม่ออกเลย

ดังนั้นเพื่อให้โอมิรอสต้านพาซัสไว้

จึงได้ให้โล่แก่โอมิรอสไป

เดิมนั่นคือโล่ที่ผมคิดจะให้กับเรจน่าเป็นของขวัญ

แต่ให้โอมิรอสไปก็คงไม่มีปัญหา

อีกอย่างผมอยากลดอุปสรรคให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้

ผมมองไปยังมนุษย์หมาป่าที่อยู่ในห้องเดียวกัน ได้ยินว่ามนุษย์หมาป่าตัวนี้ถูกพวกชิโรเนะมาด้วยและดูเหมือนเขาจะเป็นลูกน้องของพวกโอเกอร์

ผมไม่เข้าใจพวกโอเกอร์เลย ว่าทำไมต้องเล็งเป้าหมายไปที่พวกชิโรเนะด้วย

บางทีพวกโอเกอร์อาจโผล่มาขัดขวางแผนการของผมได้ ดังนั้นจึงต้องรู้ข้อมูลไว้

ผมเข้าไปหามนุษย์หมาป่าและถอดห่วงโซ่ที่ครอบปากไว้ออก

[ ค่อยยังชั่ว!! ]

เมื่อปากเป็นอิสระแล้วมนุษย์หมาป่าก็หายใจออกมาแรง

[ เฮ้ย แกน่ะ… ถ้าปล่อยให้เป็นอิสระ ไว้ข้าจะบอกท่านคุจิคให้ไว้ชีวิตแกไว้ก็ได้ ว่าไง! ]

ชื่อที่มนุษย์หมาป่าพูดออกมาผมเคยได้ยินมาก่อน นั่นคือชื่อของโอเกอร์ที่ผมเจอที่เวรอส

[ อา ขอโทษทีนะ… ผมมีเรื่องอะไรอยากจะถามเรื่องของคุจิคกับพวกโอเกอร์นั้นล่ะ ]

ผมก้มหัวลง

[ เฮ้ย! หัวไม่ดีรึไงวะ! บอกให้แก้โซ่นี้ไม่เข้าใจรึไง! ]

ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ที่จะคุยกันแบบปกติสินะ

ถึงมนุษย์หมาป่าบอกว่าจะไว้ชีวิต แต่เขาดูท่าทางเหมือนจะฆ่าผมทันทีที่ปลดโซ่ออกด้วยซ้ำ

[ ช่วยไม่ได้นะ… ]

แม้จะกับมนุษย์หมาป่า แต่ผมก็ไม่อยากใช้วิธีนี้นัก

เวทแห่งความกลัว

มันเป็นเวทที่ใช้ควบคุมจิตใจได้เหมือนเวทเสน่ห์หา แต่ผู้ที่โดนเวทนี้จะได้รับความกลัวมหาศาลมาแท

ผมเองก็ไม่ค่อยชอบเวทนี้ เพราะไม่ชอบไปล้อเล่นกับจิตใจของใครนัก

แต่ว่าในสถานการณ์ตอนนี้ คงเลี่ยงไม่ได้

ผมวางมือบนหัวของมนุษย์หมาป่าและใช้เวทออกมา

[ อะไร… นี่แก… ]

ร่างของมนุษย์หมาป่าสั่นไปหมด ตาเปิดกว้างและปากก็สั่นพั่บๆ

[ มนุษย์หมาป่า บอกชื่อมาซะ ]

[ ดะ ดะ ไดร์กัน! ข้ากลัวแล้ว! ]

[ โอเค ไดร์กันสินะ งั้นจากนี้ก็ทำตามที่ผมสั่งซะ ]

[ คะ คะ ครับ! ]

[ เอาล่ะ ไดร์กัน ผมอยากรู้ว่า… ]

ก่อนที่ผมจะได้คุยกับไดร์กัน

ประตูก็เปิดเข้ามาก่อน

[ เอาอาหามาให้ค่ะ ]

มีเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 10 ปี บนรถเข็นมีอาหารอยู่สองจานและเธอกำลังเข็นเข้ามาให้

[ ขอบคุณมากนะคุณหนู ]

ผมขอบคุณเธอ

เธอคงไม่นึกว่าจะได้คำขอบคุณถึงได้ดูตกใจ ผมรีบกินอาหารที่เธอเอามาให้เพราะอยากให้เธอรีบออกไปให้เร็วที่สุด

ที่เด็กคนนั้นเอามาให้ดูเหมือนจะเป็นซุปถั่ว

ถั่วนั้นแม้ว่าเป็นที่ไหนก็ปลูกได้ เพราะปลูกได้กระทั่งบนผนังกำแพงเมือง

[ อะไรกันถั่วเรอะ ข้าได้อยากได้เนื้อ… ]

เขาคงรู้ว่ามันเป็นซุปถั่วจากกลิ่นล่ะมั้ง? ผมไม่ได้พูดอะไรหรอก เพียงแค่จ้องไปที่เขานิดหน่อย

[ เป็นซุปถั่วที่น่าอร่อยดีนะ  ใช่แล้ว ข้าชอบถั่ว! ]

สงสัยเพราะเขาเห็นผมจ้องมา ไดร์กันเลยแก้ไขคำพูดซะใหม่

[ ชอบถั่วเหรอคะ? …. นึกว่ามนุษย์หมาป่าจะชอบเนื้อมากกว่าซะอีก ]

เด็กคนนั้นมองด้วยท่าทางแปลกๆ

จากนั้นก็มานั่งตรงหน้าพวกเรา

[ เอ๊ะ!? ]

ทำไมถึงต้องมาต้องมานั่งตรงหน้าพวกผมด้วยล่ะ?

[ นี่คุณนักดนตรี ร้องเพลงให้ฟังหน่อยสิ ]

เด็กคนนั้นจ้องมองผมด้วยสายตาคาดหวัง จะว่าไปผมอ้างว่าเป็นนักดนตรีนี่นะ

[ เมื่อก่อนเคยมีนักดนตรีมาที่นี่แล้วร้องเพลงให้ฟังนะคะ นี่ คุณลุงร้องเพลงหน่อยสิ ]

อุ๊ก โดนเรียกว่าลุงแล้วเจ็บนิดหน่อยแฮะ แต่ว่าสำหรับเด็กวัยเท่านี้ อย่างผมก็อาจจะเป็นลุงก็ได้

เพลงของนักดนตรีโลกนี้จะเป็นเกี่ยวกับเรื่องราวที่เดินทาง ตำนานของโลก ผู้กล้าและความรักเป็นส่วนใหญ่

[ ขอโทษด้วยนะ… พอดีเครื่องดนตรีของผมหักระหว่างเดินทางน่ะ ตอนนี้เลยร้องเพลงไม่ได้หรอก ]

ผมยกพิณที่หักให้ดู

ที่จริงแล้วโกหกนั้นล่ะ ถึงพิณไม่หัก ผมก็ร้องเพลงไม่เป็นหรอก ถึงได้เอาพิณที่หักอยู่แล้วมาด้วยไงล่ะ

จะได้ใช้อ้างว่าทำไมเป็นนักดนตรีแต่ไม่ร้องเพลง 

[ บู่ น่าเบื่อจัง! ดูเหมือนทุกคนจะยุ่งกันหมดเลย ไม่มีใครว่างเลย…. นี่ ถ้างั้นเล่าอะไรให้ฟังหน่อยได้มั้ยคะ ? ]

เพราะสาวน้อยคนนั้นบอกให้ผมเล่าอะไรให้ฟัง ผมเลยสับสนไปหมด

ที่จริงจะใช้เวททำให้หลบก็ได้อยู่หรอก แต่พอคิดว่าจะต้องใช้เวทกับสาวน้อยแบบนี้แล้วมันก็ลังเล

[ อืม ได้สิ… งั้นเอาเป็นเรื่องมังกรที่อยู่ในทะเลเมฆดีมั้ย…? ]

[ มังกรแห่งทะเลเมฆเหรอคะ อยากฟังจังค่ะ! ]

ดวงตาของเด็กสาวเปล่งประกายขึ้นมา

ผมจึงได้เล่าเรื่องของมังกรสายฟ้าที่ผมพบให้เธอฟัง

[ โกหกน่า มังกรตัวนั้นเลยให้พลังมาเหรอคะ? ]

สาวน้อยคิดว่าผมพูดโกหก แต่มันเป็นเรื่องจริงนะ

[ แต่ถึงอย่างนั้นก็สนุกมากเลยค่ะ! ]

เธอพูดแล้วหัวเราะ

รอยยิ้มของเธอทำให้หัวใจผมชุ่มชื่นขึ้นเยอะ

เพราะพักนี้ผมเริ่มกลัวกับปฏิกิริยาของเด็กผู้หญิงเวลาดีใจน่ะนะ

[ นี่ เล่าอีกสิคุณลุง! ]

[ ได้เลย… ]

ตอนที่ผมกำลังจะเล่าเรื่องต่อไป

ไดร์กันอาละวาดขึ้นมา

[ มีอะไรเหรอคะ? คุณมนุษย์หมาป่า ]

สาวน้อยถามไดร์กัน

[ โอเกอร์! พวกมันมาแล้ว! พวกโอเกอร์มาที่นี่แล้ว! ]

เสียงไดร์กันตะโกน

[ จะว่าไปก็รู้สึกเหมือนได้กลิ่นหวานๆ …. ]

สาวน้อยคนนั้นบอก ใช่ มีกลิ่นหวานๆ ลอยอยู่

 [ ก็เพราะคุจิคมาที่นี่แล้วนะสิ! ]

มนุษย์หมาป่าจมูกดีมากจึงรู้ได้ทันทีหากโอเกอร์มาที่นี่

จากนั้นผมก็หยุดการเล่าเรื่องให้สาวน้อยคนนั้นไว้กลางคัน

แล้วยืนขึ้น

ดูท่าผมคงถึงเวลาที่ผมต้องเคลื่อนไหวแล้วสิ

 

◆ สตรีแห่งดาบ ชิโรเนะ

[ อะไรน่ะ ปราสาทนั้น? กำลังลอยมา ]

ฉันเปิดหน้าต่างแล้วมองไปที่ข้างนอก

เพราะวันนี้ไม่มีเมฆและเป็นวันจันทร์สว่าง จึงมองเห็นได้ไกล

มีบางอย่างขนาดใหญ่กำลังมา

[ นั่นมันปราสาทขนม? ]

ฉันพยักหน้าให้กับคำพูดของคุณเคียวกะ ในโลกนี้พวกเราตาดีมาก แม้ปราสาทจะอยู่ไกลก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน

[ บางทีนั่นคงเป็นปราสาทของโอเกอร์ที่ชื่อคุจิคค่ะ… กำแพงที่ทำจากคัพเค้ก หลังคาที่ทำมาจากขนมหวานและหน้าต่างที่ทำจากน้ำตาลเชื่อม และยังมีขนมที่เราไม่รู้จักอีกมาก แต่มันก็คงจะคล้ายๆ กันกับโลกเดิมของพวกเราค่ะ ]

คุณคายะอธิบาย

ซึ่งคัพเค้กเป็นขนมเค้กประเภทหนึ่งที่ทำด้วยน้ำผึ้ง ส่วนผสม ส้ม เปลือกมะนาวหรือถั่ว

[ มันอะไรกันนะ มนุษย์มดที่กำลังยกปราสาทนั้น? ]

อย่างที่คุณเคียวกะบอกนั้นล่ะ มีมนุษย์มด มามิดอลจำนวนมากกำลังยกปราสาทขนมมาเหมือนงานแห่

นี่เป็นเหลวไหลจนนึกว่าเป็นโลกเทพนิยายซะอีก

ปราสาทขนมหยุดเมื่อเข้าใกล้อาณาจักรอัลโกลี่

ยิ่งเมันเข้ามาใกล้ก็ยิ่งเห็นชัด

ยอดแหลมที่ทำจากครีม ลูกอมหลากหลายสีถูกตกแต่งตามหน้าต่าง กำแพงคือขนมขบเคียวอย่างเค้ก แสงจันทร์ส่องไปยังปราสาทขนมหวานอย่างลึกลับ

แสงนั้นมาจากยอดของปราสาท จากนั้นบนท้องฟ้าก็เกิดภาพๆ หนึ่งลอยอยู่เหนือแสงจันทร์

แน่นอน มันคงเป็นที่ช่วยถ่ายทอดภาพออกมา

เมื่อมองภาพนั้น ก็เห็นคนๆ หนึ่งที่ยืนอยู่

[ นั่นมันท่านคุนะ! ]

เรจิน่าตะโกนออกมา

เรจิน่าพูดถูก เงาที่อยู่ตรงนั้นและเส้นผมสีเงินนั้น ไม่ผิดแน่เธอคือผู้หญิงที่พบที่เวรอส

แต่ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงไปอยู่ในปราสาทของโอเกอร์?

หากมองดูดีๆ จะเห็นว่าโอเกอร์รายล้อมตัวเธอเต็มไปหมด

ฉันไม่รู้เหตุผลหรอกนะ แต่ดูเหมือนเธอจะร่วมมือกับพวกโอเกอร์แล้ว

[ ออกมาซะชิโรเนะ!! มาเล่นเกมกับคุนะ!! ถ้าไม่ออกมาจะให้พวกมดนี้ทำลายอาณาจักรนี้ซะ!! ]

เด็กสาวในภาพที่ลอยอยู่ตะโกนออกมา

เมื่อมองไปก็เห็นว่ามีมามิดอลล้อมรอบปราสาทขนมเต็มไปหมด

[ ดูเหมือนเธอจะเรียกคุณชิโรเนะอยู่นะคะ ]

คุณเคียวกะมองมาทางฉัน

[ ดูเหมือนจะใช่ค่ะ… ถ้าเธอเสนอมาเอง ฉันก็มีแต่ต้องไป ]

ฉันดึงดาบที่เอวออกมา

ฉันเองก็อยากคุยเรื่องของคุโรกิกับผู้หญิงคนนั้นอยู่พอดี

[ ผู้หญิงคนนั้นอันตรายนะคะท่านชิโรเนะ ]

คุณคายะพูดด้วยความเป็นห่วง

[ ไม่เป็นไร ถ้าหากคิดว่าอันตรายฉันจะหนีแน่ค่ะ ยิ่งกว่านั้นคุณคายะ… ถ้าเกิดคุโรกิมาช่วยหยุดเอาไว้ให้ด้วยนะคะ! ]

ฉันพูดอย่างนั้นแล้วกระโดดออกไป และใช้ปีกบินไปที่ปราสาทขนม

เมื่อบินผ่านพวกมามิดอลก็จัดการไปด้วย

[ เข้ามาเลย!! ]

ดาบของฉันส่องแสงและฟันมามิดอล

[ คิดว่าแค่นี้ก็จะชนะแล้วเหรอ!! ยังหรอกน่า!!! ]

ตอนก่อน
ตอนต่อไป

ความคิดเห็นทั้งหมดของ "ตอนที่ 41"

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

*

*

  • อ่านนิยาย
  • แทงหวย24

© 2020 cat-novel.com
เว็บอ่านนิยาย นิยาย pdf เว็บ “cat-novel.com” เว็บอ่านนิยายสนุกๆ เพลิดเพลินไปกับนิยายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นิยายวาย, นิยายจีน, นิยายรัก, แฟนตาซี, กำลังภายใน, ผจญภัย สุดยอดวิชากำลังภายใน อัพเดททุกวัน พร้อมรองรับการอ่านบนมือถือ คอมพิวเตอร์ ไอแพด หรือแท็บเล็ต อ่านได้ตลอดเวลา ไม่มีโฆษณา อ่านนิยายฟรีต้อง เว็บ ”cat-novel.com”
นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์