อัศวินดำ - ตอนที่ 42
◆ อัศวินดำ คุโรกิ
[ นี่มันเรื่องอะไรฟะเนี่ย!! ]
เพราะผมได้ยินว่าโอเกอร์มาที่นี่ แต่ดันเห็นคุนะกับโอเกอร์อยู่ด้วยกัน ผมไม่รู้ว่ามันเรื่องอะไรแล้ว แต่สังหรณ์ใจไม่ดียังไงไม่รู้
เมื่อไดร์กันบอกว่าโอเกอร์มาแล้ว ผมเลยวิ่งออกไปข้างนอกและเห็นคุนะที่โผล่มาจากปราสาทขนมและกำลังท้าทายชิโรเนะ นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นฟะเนี่ย?
และผมก็เห็นชิโรเนะบินไปที่ปราสาทขนม
[ ไม่ดีแล้วสิ ผมต้องไปห้าม… ]
ขณะที่ผมกระโดด ผมก็กลายเป็นอัศวินดำ
ถ้าไม่รีบทั้งสองคนได้ต่อสู้กันก่อนแน่
ผมตามหลังชิโรเนะไป
[ อะไรนะ? ]
ผมบิดตัว มีบางอย่างขนาดใหญ่ลอยมา
ผมรีบถอยห่างจากพื้นตรงนั้นทันที สิ่งนั้นลอยไปที่กำแพงของอัลโกลี่
จากนั้นผมก็เห็นคนลงมาจากบนฟ้า
คนๆ นั้นอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมและเป็นใบหน้าของคนที่ผมรู้จักด้วย
ผมเคยพบกันกับคนๆ นั้นมาก่อนที่สาธารณรัฐศักดิ์สิทธิ์ลีนาเรีย
เธอคือคายะ
[ ไม่คิดเลยนะคะว่าจะแอบซ่อนอยู่มาอยู่ที่นี่เรียบร้อยแล้ว ]
ผู้หญิงที่ชื่อคายะพูดขณะที่กำหมัด
พูดตามตรง ผมไม่มีเวลามาเล่นด้วยหรอกนะ
[ ในระหว่างที่แม่มดสีเงินกำลังโจมตี ฉันคิดอยู่แล้วว่าคุณจะต้องมาพาตัวท่านเรจิน่าไป แต่ฉันไม่ยอมหรอกค่ะ ]
ผิดแล้ว ผมจะไปช่วยคุนะจากอันตรายต่างหาก ต้องหยุดชิโรเนะก่อนที่คุนะจะเป็นอันตราย
[ ฉันสงสัยเรื่องพฤติกรรมของคุณอยู่นิดหน่อย ทั้งที่ตัวคุณก็ดูมีอิสระดี แต่กลับไปยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับปีศาจ? ]
เธอถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
แต่ผมไม่ตอบอะไร
[ ราชาปีศาจทำให้ผู้คนต้องเดือดร้อน! นี่คุณไม่คิดบ้างเหรอไงกัน!? ]
เธอดูจะโกรธมาก
[ มันต่างกันนะ ราชาปีศาจสั่งให้ปีศาจไปทำร้ายมนุษย์? เปล่าเลย ตัวเขาก็เอาแต่อยู่ในนากอล แบบนี้แล้วยังจะบอกว่าทำให้เดือดร้อนได้อีกเหรอ? ]
ผมพูดปฏิเสธ
[ แน่นอนค่ะ มันก็จริงที่ราชาปีศาจไม่ได้ออกจากนากอลเลย แต่ปีศาจก็ฆ่ามนุษย์เพราะคำสั่งของราชาปีศาจไม่ใช่เหรอไงกันคะ? ]
[ ปีศาจพวกนั้นไม่ได้รับคำสั่งจากราชาปีศาจมา— ]
[ หากลูกน้องทำอะไรตามใจชอบ— มันก็เป็นความผิดของผู้เป็นนายไม่ใช่เหรอไงคะ? ถ้าเขาควบคุมปีศาจพวกนั้นให้ดี ผู้คนก็คงจะไม่ต้องเดือดร้อนกันไม่ใช่เหรอคะ? ]
ผมไม่สามารถตอบอะไรได้
ที่สำคัญคือไม่ใช่ปีศาจทุกตัวในโลกนี้ที่ทำตามคำสั่งของโมเดส เรื่องนั้นผมยืนยันได้
แต่ถ้าบอกว่าทำไมถึงไม่ควบคุมไว้ให้ดี ผมก็ถึงพูดไม่ออก
บางทีตัวโมเดสเองก็อยากควบคุมปีศาจทั่วโลกนั้นล่ะ แต่เพราะมีพลังไม่มากพอที่จะทำแบบนั้นได้
งั้นแปลว่าการควบคุมปีศาจไว้ในอาณัติมีข้อจำกัดอยู่?
เทพแห่งเอลีอัสเองก็คงเป็นแบบเดียวกัน พวกเขาปกครองมนุษย์แต่ก็ไม่ได้ปกครองซะทีเดียว เท่าที่ผมตรวจสอบดู เหมือนเทพจะมีอำนาจบงการผู้คนให้ทำตามได้ด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็ไม่ทำนั้นคงเพราะมันลำบากเกินไป
ยกตัวอย่างนะ ถ้ามีอาชญากรที่ทำผิด แล้วเทพควบคุมเขาไม่อยู่ ก็แปลว่าเทพก็ผิดด้วยเหรอ?
วิธีแบบนั้นมันควรจะใช้กับหุ่นยนต์แล้วล่ะ
ดังนั้นโมเดสจึงไม่ได้สั่งห้ามให้เหล่ามอนสเตอร์และปีศาจไม่ให้ทำอันตรายแก่มนุษย์
แต่เดิมตัวโมเดสก็ใช่ว่าจะดำรงอยู่เพื่อมนุษย์ แต่แค่รู้สึกไม่อยากทำร้ายมนุษย์แค่นั้นเอง
ความคิดของโมเดสนั้นง่ายนิดเดียว เขาแค่อยากปกป้องสถานที่อยู่ของผู้หญิงที่ตัวเองรัก
ดังนั้นเขาก็เปรียบเหมือนราชาของนากอล หากเป็นคนในนากอลทำผิดก็ควรจะลงโทษ แต่กับคนนอกนากอลแล้วไม่เกี่ยวกัน
ผมจึงไม่เข้าใจความคิดของเธอ
มันก็จริงถ้าผมถูกเรน่าอัญเชิญมา ผมอาจจะอยู่ฝั่งของเรน่าและคิดแบบเดียวกันกับเธอ
แต่ผมถูกอัญเชิญมาคือฝั่งของปีศาจ
ผมเองก็ใช่ว่าอยากจะเป็นศัตรูของมนุษย์ แต่หากมองในมุมมองของมนุษย์มันก็ผิดไปถนัดตาล่ะนะ
[ ขอโทษด้วยนะ แต่ผมก็ไม่คิดว่าเขาควบคุมเหล่าปีศาจได้ไม่ดีตรงไหน… เลยตอบคำถามของคุณไม่ได้ ]
[ งั้นเหรอคะ… งั้นขอถามอีกข้อ ทำไมคุณถึงได้ไปอยู่ฝ่ายเดียวกับราชาปีศาจกันคะ? เพราะเขามีบุญคุญอะไรสักอย่างต้องตอบแทน หรือจะเป็นเพราะเด็กผู้หญิงผมสีเงินคนนั้นกันแน่? แบบไหนกันคะ? ]
หากพูดถึงผมสีเงินก็คงจะคุนะสินะ คุนะนั้นกำเนิดมาที่ฝ่ายปีศาจ ดังนั้นจึงแน่นอนอยู่แล้วว่าเธอจะอยู่ฝ่ายเดียวกับปีศาจ
ความต้องการของผมมันก็ง่ายนิดเดียว
ผมจำสายตานั้นได้ดี ที่บนภูเขาของราชันย์มังกรศักดิ์สิทธิ์ สายตาชองพวกเด็กสาวเวลาดีใจและมองเรย์จิ
ผมอิจฉา อิจฉาสุดๆ ….
รู้สึกเหมือนมีน้ำตาไหลที่ใต้หมวเกราะ
ในโลกนี้ผมไม่มีเพื่อนอยู่เลย
ถึงโมเดสกับนัคจะใช่ แต่ก็ต่างกันนิดหน่อย
สิ่งที่ผมต้องการคือคนที่ร่วมผจญภัยด้วยกัน โกรธ หัวเราะ เคารพซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือกันและกัน และคงจะดีมากหากเป็นสาวน่ารัก
ช่างเป็นความฝันที่เกินจริงสำหรับผมซะจริงๆ
แต่ยังไงความฝันนั้นก็กลายเป็นจริงขึ้นมา ผมมีเด็กผู้หญิงน่ารักคอยอยู่ข้างกาย
ก่อนจะมาที่โลกนี้ผมไม่เคยรู้จักกับความรู้สึกนี้เลย แน่นอน ในโลกเดิมผมก็ต้องอยู่ตัวคนเดียวมาแสนนาน
มันคงจะสนุกน่าดู หากผมได้ผจญภัยไปในโลกนี้กับคุนะ
แค่คิดในหัวก็มีความสุขแล้ว
หากได้เดินทางร่วมกับเด็กสาวน่ารักน่ะ
[ จริง… งั้นเหรอคะ ]
ผมพยักหน้าตอบคำถามเธอ
[ ใช่จริงๆ ด้วย เพราะฝีมือของเด็กคนนั้น แบบนี้คงมีแต่ต้องจัดการเด็กผู้หญิงผมสีเงินที่ชื่อคุนะให้ได้เท่านั้น ]
เมื่อได้ยินเธอพูดออกมา ไฟสีดำก็ออกมาจากร่างของผม
[ ไม่ยอมหรอก … เรื่องนั้นผมไม่ยอมเด็ดขาด ]
ผมก้าวไปขณะที่พูดอย่างนั้น
เธอกำหมัดไว้แน่น
ผมไม่รู้สาเหตุหรอกนะว่าทำไมเธอถึงสรุปไปว่าต้องฆ่าคุนะแต่ผมไม่ยอมให้เธอทำร้ายคุนะแน่
ตราบใดที่คุนะยังคงต่อสู้อยู่ข้างเดียวกับปีศาจ
ผมก็จะเป็นอัศวินดำต่อไป
เพื่อความต้องการของตัวเองแม้อยู่ข้างเดียวกับปีศาจและหันหลังให้คนอื่นๆ นี่ผมคงจะเป็นคนเลวจริงๆ สินะ แต่เอาเถอะ
[ คำถามไร้สาระพอกันแค่นี้ล่ะ! ขอผ่านไปล่ะนะ!! ]
ผมต้องรีบไปที่ปราสาทขนมหวาน ซึ่งปราสาทขนมตอนนี้โดนเธอขวางไว้อยู่
จากนั้นผมก็เดินไปหาเธอ
◆ สตรีแห่งดาบ ชิโรเนะ
ฉันพังกระจกเข้าไปจากยอดปลายแหลมที่อยู่บนสุดของปราสาทขนมหวาน
เมื่อเข้ามาก็เจอเตียง มันเป็นเตียงหลังคาขนาดยักษ์
พอสัมผัสดู เหมือนจะทำมาจากสายไหมและด้านล่างก็เป็นเค้กข้าวอ่อน นี่มันเป็นเตียงนอนแบบเจ้าหญิงเหมือนที่บ้านเรย์จิไม่ใช่เหรอ?
ที่จริงฉันอยากโดดแล้วนอนบนเตียงแบบนี้มานานแล้ว แต่ไม่มีเวลาทำแบบนั้น จึงต้องอดทนไว้
บางทีนี่คงเป็นห้องของเจ้าของปราสาท
ก็แปลว่าห้องบัลลังก็น่าจะอยู่ข้างล่างสินะ
ฉันเดินบนพื้นที่ทำจากคุกกี้ลงไป
และเจอมามิลด้อนที่กำลังขึ้นบันไดมา
เมื่อมองดูมามิดอล มดกับปราสาทขนมเหรอ
ฉันคิดว่าทหารมดก็เหมาะกับปราสาทขนมดีล่ะนะ
มามิดอลใช้หอกที่อยู่ในมือแทงใส่ฉัน
[ อย่ามาขวาง! ใบมีดไฟ! ]
ฉันฟันมามิลดอลด้วยดาบที่ห่อหุ้มด้วยไฟ
เพราะแสงไฟสะท้อนใส่ลูกอมทำให้มองเห็นข้างในตัวปราสาทชัดเจน
จากนั้นก็เดินไปบนหินอ่อนที่ทำจากน้ำตาลขาว
และเจอกับประตูขนาดใหญ่ที่ทำจากขนมอบที่มีครีม บางทีอีกด้านของประตูนี้คงจะเป็นห้องบัลลังก์
ฉันตั้งสมาธิแล้วปิดตาลง รู้สึกได้ว่าข้างในมีคนอยู่หลายคน บางทีคงเป็นพวกโอเกอร์
ฉันเปิดประตูและเข้าไปข้างใน
[ ย๊ากกก!! ]
[ อ๊ากกก !! ]
โอเกอร์สองตัวที่ซ่อนตัวอยู่ในเงาประตูพยายามจะโจมตีฉัน
แน่นอน ฉันรู้อยู่แล้ว ฉันก้าวหลบนิดหน่อยและฟัน
โอเกอร์สองตัวนั้นร่างขาดออกจากกันและล้มลง ไม่ขยับตัวแล้ว
[ ไปกันเถอะไซกุ! ]
[ ครับพี่!! ]
โอเกอร์ที่เหลืออยู่มองมาทางฉัน
แต่สำหรับฉันแล้วพวกโอเกอร์ไม่ได้สำคัญอะไรเลย ฉันมองไปตรงหน้า
ตรงนั้นมีบัลลังก์ขนาดใหญ่อยู่สุดทางของห้อง
เป็นบัลลังก์ที่ถูกตกแต่งอย่างงดงามด้วยขนมต่างๆ และที่ตรงนั้นก็มีผู้หญิงตัวเล็กๆ นั่งอยู่
ร่างของเด็กสาวดูเล็กกว่าขนาดของบัลลังก์มาก แต่เธอกลับทำท่าทีอวดเบ่ง
แม่มดสีเงินคุนะ แน่นอนนั้นล่ะคือชื่อเธอและเป็นคนที่ควบคุมคุโรกิอยู่
ฉันเคยเจอเธอครั้งหนึ่งที่เวรอส พอมองดูอีกทีเธอเป็นเด็กสาวที่สวยมาก
ชุดสีดำที่มีลวดลายของดอกไม้สีฟ้า กิ๊บติดผมสีม่วงที่ดึงดูดทำให้ผมสีเงินของเธอเด่นและสวยขึ้นไปอีก
เด็กสาวคนนั้นไม่พูดอะไรแม้จะเห็นฉัน แต่ก็ยังคงมองมาทางนี้
[ มัวทำอะไรอยู่! คุนะกำลังมองอยู่นะ! จัดการยัยนั้นซะสิ! ]
โอเกอร์ตัวอื่นเข้ามาโจมตีฉันในจังหวะที่เด็กสาวพูดจบ
ในมือของเหล่าโอเกอร์มีทั้งขวาน ดาบ และหอก และทั้งหมดดูเหมือนจะเป็นอาวุธเวท
โอเกอร์ควงหอกและแทงแต่ฉันบิดตัวหลบ
พวกโอเกอร์พยายามโจมตีอีกครั้งด้วยการเข้ามาจากสามทางพร้อมกัน
ฉันฟันใส่โอเกอร์ที่ถือดาบจากนั้นก็สะบัดไปโจมตีโอเกอร์ถือขวานพร้อมกับโอเกอร์ตัว
เป็นการฟันที่ใช้เพียงการหมุนตัวเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้จึงเหลือแค่ผแม่มดสีเงินกับโอเกอร์ที่อยู่ข้างๆ
[ แกน่ะแก! งั้นเจอนี้หน่อยเป็นยังไง!! ]
โอเกอร์หญิงชูมือขึ้น จากนั้นก็มีหมอกสีดำออกมาจากแขนเสื้อ
[ อะไรนะ แมลง!!! ]
มีสัตว์ตัวเล็กๆ ออกมาจากแขนของโอเกอร์หญิงแล้วตรงมาทางฉัน
[ ของพรรค์นั้น! ไม่ได้ผลหรอก! ]
ฉันกางปีกออกแล้วปีกศรขนนกออกไป
ทันใดนั้นพวกแมลงก็ระเบิดหายไป
[ ถ้างั้น.. นี่ล่ะ! ]
มีงูไฟฟ้าเลื้อยออกมาจนกว่าจากมือของเธอ
[ งูสายฟ้า! ไปจัดการศัตรูของข้าซะ! ]
ฉันใช้ดาบฟันงูสายฟ้า
[ งั้นขอเอาคืนบ้าง! ดาบสายฟ้า! ]
ฉันฟันออกไปเป็นคลื่นสายฟ้า
[ อะไรน่ะ!! ]
โอเกอร์ส่งเสียงตกใจ
[ ฮา!! ]
นั่นคือคลื่นประกายแสงของดาบที่เกิดจากสปิริต
เสียงสายฟ้าที่เกิดจากคลื่นทะลุตัวโอเกอร์ไป
[ บ้าชัดๆ คุจิคผู้นี้— !! ]
เสียงร้องสุดท้ายของโอเกอร์
แต่สายฟ้ายังไม่หยุดและพุ่งไปหาแม่มดสีเงิน
ตู๊ม
แต่สายฟ้ามันก็หายไปก่อนจะถึงตัวของแม่มดสีเงิน
แน่นอน แม่มดสีเงินยังอยู่ในท่าเดิม
[ เหลือเธอแค่คนเดียวแล้ว! ]
ฉันหันดาบไปทางเธอ
[ อ่อนแอ… ]
แม่มดสีเงินลุกขึ้นจากบัลลังก์
[ คงตกใจล่ะสิที่ฉันจัดการพวกโอเกอร์ได้ในพริบตา! ]
ฉันมองไปยังซากโอเกอร์เหล่านั้น
แต่แม่มดสีเงินส่ายหัว
[ อ่อนแอกว่าคุโรกิ…. ]
แม่มดสีเงินพูดแล้วมองฉันด้วยสายตาเย็นชา
[ คุนะได้ยินว่าเรียนดาบมาจากที่เดียวกัน… แต่ดาบของคุโรกิเฉียบคมกว่า… ถ้าแข็งแกร่ง คุนะคิดว่าจะถอย…. แต่ไม่เลย… โอเกอร์พวกนั้นใช้วัดพลังให้คุนะได้ดีมากเลยล่ะ ]
เธอพูดจานั้นก็ชี้เคียวขนาดใหญ่มาทางฉัน
[ มาเลยชิโรเนะ ไม่จำเป็นต้องออมมือให้คุนะ ]
ฉันพุ่งใส่เธอตามคำเรียกร้องนั้น
[ งี่เง่า!! ]
ฉันเตะพื้นเพื่อลดระยะในพริบตา
[ ฮา!! ]
ฉันเหวี่ยงดาบจากด้านบนใส่เธอ
แม่มดสีเงินขยับตัวเพียงเล็กน้อยและใช้เคียวรับไว้จากนั้นก็ปัดออกไป
[ เอ๊ะ? ]
ฉันถูกโยนออกไปจนสูญเสียสมดุล
อันตราย เธอกำลังควงเคียว
จากนั้นก็โจมตีฉัน
ฉันคิดว่าคงหลบไม่พ้นแน่จึงเปลี่ยนวิถีโดยใช้ปีกเพื่อหลบการโจมตี
แต่ว่าเคียวนั้นก็เปลี่ยนวิถีมาหาฉันกลางอากาศ
[ อะไรน่ะ!! ]
ฉันเอาดาบกันเอาไว้
[ หืมม… ]
แม่มดสีเงินหัวเราะนิดหน่อยจากนั้นก็เปลี่ยนวิถีเคียว
[ อึก ]
ทันใดนั้น เธอก็ใช้ด้ามของเคียวตีที่ท้องฉัน ขณที่ฉันเอาแต่มองใบมีดของเคียว
[ อย่าเอาแต่มองที่ใบมีด… นี่คือสิ่งที่คุโรกิสอนมา ]
ฉันกระโดดออกมาเพื่อรักษาระยะห่าง
เด็กคนนี้แข็งแกร่ง
ฉันจ้องมองไปที่แม่มดสีเงิน
[ นี่ก็เพราะการฝึกของคุโรกิ… ]
แม่มดสีเงินหัวเราะอย่างมีความสุข
นี่คุโรกิสอนอะไรเธอไปกันแน่ อุ๊ เจ็บท้อง
[ ถ้าเจ้านี้เป็นยังไงล่ะ!! ]
ฉันจะกางปีกและปล่อยศรขนนกออกไป เธอคงคิดว่าฉันจะบุกเข้าไปตรงๆ สินะ
แต่นั่นมันเป็นกลลวง
ฉันกระโดดและไปเตะฝ้าเพดานจากนั้นก็ไปที่ข้างหลังแม่มดสีเงิน
เพื่อเพิ่มความเร็วจึงเสริมเวทเข้าไป
[ หนึ่งพันใบมีดปักษา! ]
ในชั่วพริบตาฉันใช้ดาบฟันเธออย่างรวดเร็ว
แต่ดาบไปไม่ถึงตัวของแม่มดสีเงิน มีบาเรียที่มองไม่เห็นกันเอาไว้อยู่
[ โกหกน่า…. ใช้บาเรียเวทป้องกันได้จากทั้งสองทางพร้อมกันเหรอ.. ]
สิ่งที่ป้องกันการโจมตีของฉันไว้ก็คือบาเรียเวท
โดยปกติแล้วบาเรียเวทจะสามารถใช้ได้เพียงอันเดียว แต่เธอกลับใช้บาเรียเวทได้หลายอันพร้อมกัน
ขนาดคุณจิยูกิที่เชี่ยวชาญด้านเวทป้องกันยังใช้ไม่ได้เลย
ฉันรู้มาว่าคุณเรน่าเองก็ใช้เวทป้องกันนี้ได้เก่งพอตัว
ถึงเธอจะไม่ใช่สายบู๊ แต่ก็ค่อนข้างเก่งพอควร
โดยเฉพาะด้านเวทมนตร์และวิชาการป้องกันน่ะสุดยอดเลยล่ะ ฉันเองก็เคยถามดูเผื่อตัวฉันจะทำได้บ้าง แต่ก็ยังใช้พร้อมกันไม่ได้อยู่ดี
เรน่ายังเก่งด้านเวทรักษาและเวทสปิริตด้วย
ดูเหมือนนาโอะที่เป็นนักบุญก็จะเป็นทำได้เหมือนกันกับเรน่า
[ บาเรียเวทนี้น่ะเหรอ? ที่จริงแล้วคุนะใช้ได้ตั้ง 9 อันพร้อมกันเลยนะ ขนาดคุโรกิยังชมว่าคุนะเชี่ยวชาญด้านเวทรักษากับเวทป้องกันเลย ถึงปกติจะใจเย็นจนเข้าไปโจมตีเลยก็เถอะนะ… ถ้าเป็นคุโรกิการโจมตีเมื่อกี้คงหมดได้หมดอยู่แล้ว แต่คุนะในตอนนี้ยังทำไม่ได้หรอก ]
แม่มดสีเงินจะสื่อว่าของแค่นี้คุโรกิหลบได้สบายมาก
และไม่ใช่แค่วิชานี้เท่านั้น ตอนที่ต่อสู้กันที่ลีนาเรียไม่ว่าฉันจะโจมตีเข้าใส่ยังไงเขาก็หลบได้หมด
เวลาที่ผ่านไปทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นขนาดนั้นเลยเหรอ?
[ แต่ถึงอย่างนั้นคุนะก็ยังแข็งแกร่งกว่าเธออยู่ดี ไม่สิ ไม่ใช่แค่นั้น หน้าอกของคุนะยังใหญ่กว่าด้วย เอวก็บางกว่า ดูยังไงคุนะก็สวยกว่าเห็นๆ !! ]
แม่มดสีเงินพูดขณะที่มองมาทางฉัน
[ อะ อะ อะไรกันยะ! ใหญ่ไปก็ใช่ว่าจะดีสักหน่อย!! ]
ฉันจับหน้าอกตัวเองแล้วพูดออกมา
ยังไงเธอก็ตัวเล็กกว่าฉันอยู่ดี ถึงหน้าอกจะใหญ่กว่าและเอวยังเล็กกว่าก็เถอะ
อ๊า แพ้อย่างสมบูรณ์แบบเลย
แต่ฉันไม่ได้หน้าอกเล็กนะ มันใหญ่กว่าค่าเฉลี่ยมาตั้งนิดนึงนะ แค่อีกฝ่ายใหญ่เกินไปต่างหาก
แล้วเดิมทีทำไมถึงมาพูดเรื่องหน้าอกเวลาแบบนี้ล่ะ? ฉันไม่เข้าใจเธอเลย
[ ชิโรเนะ เธอน่ะไม่จำเป็นอีกแล้ว! คุนะจะลบเธอให้หายไปซะ! ]
พลังเวทของแม่มดสีเงินกำลังเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ
ถึงจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ฉันไม่ยอมแพ้หรอกน่า
แม่มดสีเงินควงเคียวขนาดใหญ่
[ ยังไงฉันก็ไม่ยอมแพ้เด็ดขาด! ]
ฉันหยิบดาบและต้านเธอไว้
◆ เจ้าหญิงแห่งอาณาจักรอัลโกลี่ เรจิน่า
[ นะ นายท่านมาแล้ว… ]
ฉันรู้สึกราวกับหัวใจอบอุ่นขึ้น
ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว
ฉันนึกถึงเรื่องเฮนเรียในอดีต
[ ทั้งที่เมื่อสมัยเด็กเราเคยเล่นด้วยกันแท้ๆ … ]
ฉันพึมพำออกไปแบบไม่ได้ตั้งใจ
มันช่างน่าเศร้าตอนที่ได้เห็นดวงตาเกลียดชังของเฮนเรีย
แม่ของเฮนเรียใจดีกับฉันมาก แต่พ่อของฉันเองก็ฆ่าแม่ของเธอไปแล้ว
นั่นคงเป็นสาเหตุที่เฮนเรียเกลียดฉัน แต่ไม่ใช่แค่เธอหรอก คนอื่นๆ เองก็เช่นกัน ดังนั้นฉันไม่อยากอยู่ที่นี่
ถึงจะมีเพียงโอมิรอสที่ไม่คิดแบบนั้น
ถึงจะไม่ดีต่อโอมิรอสแต่ฉันก็อยากจะอยู่กับนายท่าน
ฉันอยากรีบกลับไปหานายท่าน
ตอนนี้ในห้องมีเพียงเคียวกะที่เป็นน้องสาวผู้กล้าเท่านั้น
ดูเหมือนผู้หญิงที่ชื่อชิโรเนะจะถูกท่านคุนะเรียกตัวออกไป
ส่วนผู้หญิงที่ชื่อคายะดูเหมือนจะเจอนายท่านจึงได้กระโดดออกไปจากห้อง
แบบนี้ต้องหนีได้แน่
เพราะผู้หญิงที่ชื่อเคียวกะก็ดูจะไม่ได้แข็งแกร่งอะไรและยังไม่มีความเป็นศัตรูกับฉันด้วย
ฉันค่อยๆ แอบหลบเพื่อออกไป
จากนั้นประตูก็ถูกกระแทกอย่างแรง
[ ใครน่ะ? เอาเถอะจะเข้ามาก็ไม่เป็นไรหรอก ]
ประตูถูกเปิดออกและที่ตรงนั้นก็มีโอมิรอสอยู่ ขณะที่ฉันกำลังจะเอาอาวุธที่นายท่านให้คืน
[ อ้าว คุณโอมิรอส มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอคะ? ]
[ ท่านเคียวกะ ได้โปรดอนุญาตให้ผมพาเรจิน่าออกไปได้มั้ยครับ? ]
[ เอ๊ะ ฉันเหรอ? ]
สงสัยว่าโอมิรอสจะไปเจออะไรมาสักอย่าง
[ คิดจะทำอะไรกับเรจิน่าล่ะ? ]
[ ผมเห็นว่าอัศวินดำมาที่อัลโกลี่แล้ว ดังนั้นผมจะพาตัวเธอไปให้อัศวินดำครับ ]
[ เอ๊ะ…. ]
ฉันรู้สึกตกใจมาก
[ อา ถ้าคุณพูดแบบนั้นด้วยตัวเอง ฉันก็ไม่มีอะไรจะปฏิเสธหรอกค่ะ ]
เคียวกะพูดราวกับว่ารู้อยู่ในใจแล้ว
[ ก่อนหน้าที่ผมจะพาเรจิน่าออกไป… ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับทั้งสองคน… ]
โอมิรอสและเคียวกะมองมาทางฉัน
[ ทางคุณล่ะคะจะเอายังไง? คุณเรจิน่า… ]
ฉันมองไปที่สายตาของโอมิรอส ไม่ได้โกหก โอมิรอสไม่ได้โกหกฉัน…
โอมิรอสคิดจะพาฉันกลับไปหานายท่านจริงๆ
ดังนั้นฉันจึงพยักหน้าเพื่อเป็นการบอกลาเพื่อนสมัยเด็กที่คอยคิดถึงฉันเสมอ
[ งั้นไปกันเถอะ ]
ฉันลุกขึ้นไปเดินไปหาโอมิรอส
[ เดี๋ยวค่ะคุณเรจิน่า คุณลืมของไว้นะ ]
เคียวกะหยุดฉันเอาไว้ก่อน จะเอาอะไรมาให้กันนะ
[ ดาบของฉัน… ]
เคียวกะเอาดาบเล็กที่เป็นของขวัญของนายท่านมาให้
[ ไว้จะรอนะ อย่าลืมเรื่องที่คุยกันไว้ล่ะ มาหาฉันได้เสมอเลยนะ ฉันจะรอ ]
เคียวกะพูดแล้วยิ้มให้
นี่เป็นคุณยายใจดีที่รอหลานกลับบ้านรึไงนะ?
[ เรื่องนั้นคงต้องได้รับการยอมรับจากนายท่านก่อนค่ะ แต่สำหรับความรู้สึกนั้นต้องขอบคุณมากค่ะ ]
ฉันก้มหัวให้
[ งั้นก็เอาล่ะ… ]
ฉันเงยหน้าขึ้นแล้วหันหน้าไปทางโอมิรอส
[ ไปกันเถอะเรจิน่า ]
ฉันวิ่งตามหลังโอมิรอสไป
[ จะไปไหนนะโอมิรอส? ]
[ ก่อนอื่นก็หลุมศพ ]
โอมิรอสตอบมาโดยไม่ได้หันกลับมามอง
[ ทำไม… ต้องหลุมศพ? ]
[ หลุมศพของแม่เธอน่ะ ถ้าเธอไปที่นากอลอาจจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว ]
ฉันไม่รู้ว่าทำไมโอมิรอสถึงอยากพาฉันไปที่หลุมฝังศพของแม่
[ ไม่ ฉันไม่อยากไป! ]
แต่ฉันปฏิเสธ
[ ทำไมล่ะเรจิน่า? ]
[ ที่ฉันหมายถึงก็คือ…เพราะทุกคนที่นากอลไม่มีโอกาสได้มาหลุมศพนี้ด้วยซ้ำ… ดังนั้นแค่ตัวฉันคนเดียวน่ะไม่เอาหรอก… ]
ถ้าทุกคนมาเยี่ยมไม่ได้ ฉันเองก็ไม่สมควรเหมือนกัน
[ ถ้างั้น… ]
[ ขอโทษนะโอมิรอส… เรื่องนี้ฉันคิดมาอย่างดีถึงได้พูดออกไป… ]
[ อืม…. ข้าดีใจนะที่ได้เจอกับเรจิน่าอีกครั้ง ]
โอมิรอสหันมามองพร้อมกับรอยยิ้ม
หัวใจของฉันราวกับถูกรัดแน่น
ฉันเข้าใจความรู้สึกของโอมิรอส แต่หัวใจของฉันมันได้ตัดสินใจแล้ว
ถึงแม้ฉันจะอยู่ที่อัลโกลี่ต่อไปก็ไม่สามารถตอบรับความรู้สึกของโอมิรอสได้
ฉันจำในวันนั้นได้ดี
วันที่พวกฉันถูกเนรเทศไปที่รังก็อบลิน
ฉันกลัวก็อบลินมาก หนีเต็มกำลังเพื่อไม่ให้พวกก็อบลินเจอตัว
กลุ่มของเราลดลงไปทีละคนๆ ราวกับหัวใจฉันแตกสลายและถูกครอบงำด้วยความกลัว
และแล้วเขาก็ปรากฏตัวออกมาต่อหน้าพวกเรา ผู้ที่ขี่มังกรตัวใหญ่ราวกับว่าตนคือความกลัวของโลกใบนี้
เมื่อชายคนนั้นลงมาจากมังกร หัวใจของฉันเหมือนแตกสลาย
ฉันกลัว กลัวมากจนอยากจะร้องไห้
แต่ก็มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น
อัศวินดำถอดหมวกเกราะแล้วยิ้มให้กับพวกเรา
อัศวินดำนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าก็อบลินหลายเท่า
แต่ช่วงเวลาที่ฉันได้เห็นรอยยิ้มของเขาก็เหมือนหัวใจถูกชิงไป
ความลัวหายไปราวกับคำโกหก
ตั้งแต่นั้นมาชีวิตของฉันในนากอลก็เริ่มขึ้น
แม้ว่าจะมีปีศาจอยู่รอบตัวแต่มันก็แปลกที่ฉันไม่กลัวเลย
เพราะมีนายท่านอยู่ ขอแค่ได้เคียงข้างนายท่านความกลัวที่เกิดจากก็อบลินในตอนนั้นก็หายไปในพริบตา
ถ้ามีนายท่านผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคอยยิ้มให้ ฉันก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว
ฉันมีชีวิตโดยขาดนายท่านไม่ได้ แต่ฉันไม่มั่นใจว่าจะได้อยู่ข้างๆ นายท่านได้นานแค่ไหน
พอไม่มีนายท่านอยู่เคียงข้างฉันก็ฝันร้ายเห็นก็อบลินตามมาทุกครั้ง แต่ตอนที่อยู่กับนายท่านไม่เคยฝันร้ายเลยสักครั้ง
นั่นคือเหตุผลที่ฉันอยากอยู่ข้างๆ นายท่าน ไม่จำเป็นต้องเป็นภรรยา ไม่จำเป็นต้องเป็นคนรัก ขอเพียงแค่เป็นคนรับใช้และอยู่เคียงข้างก็พอใจแล้ว
ฉันอยากกลับไปหานายท่านให้เร็วที่สุด
ถึงจะผิดต่อโอมิรอสที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อฉัน… แต่มันก็ไม่สำเร็จ ฉันรู้สึกขอโทษเขาอยู่ในใจ
[ ดีล่ะ งั้นเราไปที่หอสังเกตการณ์ดีกว่าหากเป็นที่นั้นน่าจะหาอัศวินดำเจอได้ง่ายกว่า ]
จากนั้นโอมิรอสก็เดินไป
หอสังเกตการณ์สูงกว่ากำแพงซะอีก มันมีไว้เพื่อตรวจสอบนากอล
ถ้าเป็นที่นั้นนายท่านจะต้องหาฉันเจอแน่
พวกเรามุ่งหน้าไปที่นั่น
หลังจากเดินมาสักพักเราก็มาถึงหอสังเกตการณ์
ที่นั้นมีหอสังเกตการณ์กว้างมากจนไม่คาดคิดขนาดที่คน 20-30 คนเดินขึ้นมาพร้อมกันได้
[ ถ้าเป็นที่นี่ต้องหาเจอแน่ ]
โอมิรอสหัวเราะ
[ ขอบคุณมากนะโอมิรอส ]
ฉันขอบคุณโอมิรอส
นายท่านอยู่ที่ไหนกันนะ? ฉันมองไปรอบๆ
[ เดี๋ยวเรจิน่า! มีใครบางคนกำลังมา! ]
เพราะโอมิรอสบอก ฉันเลยรีบซ่อนตัว
คนของอัลโกลี่เกลียดฉัน ถ้าโดนพบตัวเข้าจะลำบาก
จากนั้นฉันก้ได้ยินเสียงใครบางคนขึ้นบันไดมา
[ ใครนะ! ที่นี่ไม่น่าจะมีใครมาแล้วไม่ใช่เหรอ! ]
โอมิรอสพูดกับผู้ที่ขึ้นมา
[ ข้าเองเจ้าชาย ]
[ พาซัส! ]
คนที่ขึ้นมาก็คือพาซัส
เขาปีนบันไดขึ้นมาแล้วยืนขึ้น
[ ท่านพาซัส! นี่หายไปที่ไหนมานะ!? แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่!? ]
โอมิรอสถามพาซัส
[ เรื่องนั้นก็เพราะข้าเห็นเจ้าชายปีนขึ้นมาบนหอสังเกตการณ์… นอกจากนี้ข้ามีเรื่องอยากจะถาม ทำไมเจ้าหญิงเรจิน่าถึงได้มาอยู่ที่นี่กันล่ะ? ]
ทั้งที่ฉันปิดหน้าไว้แต่ดูเหมือนเขาก็ยังรู้ว่าเป็นฉัน
[ เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับนาย! ยังไงตอนนี้ไปจากที่นี่ก่อนซะ! ]
แต่พาซัสส่ายหัวแล้วยิ้มออกมา
[ ไม่เกี่ยวที่ไหนกันล่ะเจ้าชาย… ]
[ หมายความว่ายังไง? ]
[ ยังไงช่วยบอกเหตุผลที่พาเจ้าหญิงมาที่นี่หน่อยสิ ]
ฉันกลัวกับคำพูดของเขา ทำไมเขาถึงอยากรู้เรื่องแบบนั้นล่ะ
[ โอเค จะบอกก็ได้… เพราะจะส่งตัวเจิน่าคืนให้กับอัศวินดำ เอาล่ะในเมื่อรู้แล้วก็ลงไปได้แล้ว ]
โอมิรอสที่หมดความอดทนบอกกับพาซัส
[ ไม่ดีนะเจ้าชาย… คงปล่อยให้ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก.. ]
พาซัสส่ายหัวพึมพำคำพูดนั้น
ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีกับท่าทางของเขา
เป็นความรู้สึกที่ไม่ดี ฉันเอามือไปแตะดาบ
เมื่อมองไปทางโอมิรอส ก็รู้สึกว่าโล่ของโอมิรอสกำลังส่องแสง
[ มีอะไรงั้นเหรอท่านพา— โล่มัน? ]
โอมิรอสเองก็รู้สึกตัวแล้วว่าโล่ของเขากำลังส่องแสง
[ เคี๊ยกกกกกก! ]
ทันใดนั้นพาซัสก็ดึงดาบออกมาแล้วฟันโอมิรอส
มันเป็นการเคลื่อนไหวที่เร็วจนไม่มีเวลาเตือนโอมิรอส
แต่ดูเหมือนโอมิรอสจะขยับโล่ได้เร็วกว่าและจับดาบแล้วราวกับร่างกายของเขาขยับไปเอง
[ อะไรกัน…? ]
โอมิรอสล้มลงมาทางฉัน
[ ไม่เป็นไรนะโอมิรอส? ]
[ โล่มันขยับไปเอง… เลยรอดมาได้นะ ]
โอมิรอสพูดแล้วมองไปที่โล่
โล่กำลังส่องแสงจางๆ ดูเหมือนนี่จะเป็นโล่เวท นี่เขาไปได้โล่นี้มาจากที่ไหนนะ?
แล้วทำไมพาซัสถึงโจมตีใส่โอมิรอส?
[ หืม… โล่มันปกป้องเอาไว้เรอะ… ชิ คิดว่าจะฆ่าในดาบเดียวแท้ๆ … ]
เสียงของพาซัสเปลี่ยนไป ราวกับเสียงสุภาพๆ เมื่อกี้เป็นเรื่องโกหก
[ พะ พาซัส? ]
ใบหน้าของพาซัสเบลอไป จากนั้นใบหน้าก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น แต่มันเป็นใบหน้าที่แตกต่างกันคนละเรื่อง
ฉันตะโกนออกมา เพราะเคยเห็นใบหน้านั้นมาก่อน
[ นะ นายคือ… ]
ฉันจำใบหน้านั้นได้ ความทรงจำที่อันน่ารังเกียจที่ถูกผนึกไว้ในตัวฉันกลับคืนมาอีกครั้ง
[ นาย… โกสุ? ]
โอมิรอสเรียกชื่อของเขา
[ ใช่แล้ว… ข้าคือโกสุ โอมิรอส… ไม่นึกเลยนะว่าเจ้าจะเจ้าข้าได้ ]
โอมิรอสส่ายหัว
[ ถึงจะอยากลืม แต่ก็ลืมไม่ได้หรอก… โกสุ ข้าไม่เคยลืมหน้าแกจนถึงวันนี้… ไม่นึกเลยว่าพาซัสจะเป็นแก… ]
โอมิรอสดึงดาออกมา
[ เป็นเกียรติจริงๆ ที่จำได้เจ้าชาย ]
โกสุหัวเราะน่าเกลียด
[ หลบไปก่อนเรจิน่า ]
โอมิรอสบอกกับฉัน แต่ที่หอสังเกตการณ์มันไม่มีที่ให้หลบเลยนะสิ
ดวงตาของโกสุจับจ้องมาที่ฉัน ฉันขนลุกไปหมดเมื่อเห็นสายตานั้น
[ มาสิเรจิน่า ข้ามาหาเจ้าแล้วนะ ]
จากนั้นโกสุก็ยิ้มแล้วหัวเราะออกมา