อัศวินดำ - ตอนที่ 69
◆ วาลคีเรีย ชิสุเฟย์
[ ชิสุเฟย์! ทำไมฉันถึงไม่ได้รับเชิญไปด้วยกันล่ะ!! ]
โนวิคส่งเสียงบ่น
เขาส่งเสียงดัง ทำให้คนที่จตุรัสกลางเมืองอาเรียดิน่ามองมาที่พวกเรากันหมด
[ อย่ามาพูดเสียงดังในที่แบบนี้สิ! ]
ฉันพูดออกไป
อีกทั้งตอนนี้ยังกลางวันอยู่ทำให้ที่นี่มีผู้คนเยอะมาก ดังนั้นอย่ามาเสียงดังในที่แบบนี้สิ
โนวิคโกรธที่เมื่อคืน ตัวเองไม่ได้ถูกเชิญไปงานเลี้ยงด้วย
ฉันเองก็ไม่รู้จนกระทั่งเราพบกันวันนี้นี่ล่ะ
[ ขอโทษนะโนวิคคุง ที่พวกเราสนุกอยู่คนเดียว ]
มาเดียที่อยู่ด้วยกันขอโทษ ไม่ต้องไปขอโทษหรอกน่ามาเดีย
เดิมทีถ้าเชิญโนวิคไปล่ะก็มีหวังงานเลี้ยงได้เละไม่เป็นท่าแน่
ฉันถึงไม่ได้เรียกโนวิคไปด้วยไงล่ะ
ถึงจะรู้ทีหลังว่าโนวิคจะต้องโกรธก็ตาม
ฉันพยายามเก็บเป็นความลับเท่าที่ทำได้ แต่เพราะพี่เคย์น่าไปเล่าให้ฟังนะสิ
เขาถึงได้มาบ่นอยู่อย่างนี้ไงล่ะ
[ มาเดียไม่ต้องไปขอโทษหรอก โถ่ เพราะพี่เคย์น่าไปบอกนั้นแหละ… ]
ฉันจ้องเขม็งไปที่พี่เคย์น่า
[ ขอโทษนะชิสุเฟย์ เผลอบอกไปอ่ะ แฮะๆ ]
พี่เคย์น่าขอโทษ แต่ดูจะไม่ได้จริงจังเลยสักนิด
[ แล้วมาทำอะไรที่นี่ล่ะโนวิค!! ไม่ใช่แค่มาบ่นหรอกใช่มั้ย? ]
โนวิคที่น่าจะยุ่งมาก กลับมาที่นี่แค่บ่นเนี่ยนะ
[ ไม่ใช่…. คือว่า… ได้ยินว่าเธอโดนผู้กล้าแห่งแสงขอร้องมา… ]
โนวิคหันหน้าหนีเพราะยากเกินที่จะพูดออกมาตรงๆ
ฉันได้พบกับท่านเรย์จิและเขาได้ขอร้องให้ฉันช่วยในการสืบสวนคดีด้วย
แต่ฉันไม่คิดว่าตัวคนเดียวจะทำได้ เลยคิดจะร่วมมือกันเป็นกลุ่ม
และที่นี่ก็คือสถานที่นัดพบของพวกเรา
ทุกคนมารวมตัวกันครบยกเว้นคุณลีเรียคนเดียว
[ อะไร? ฉันไม่เห็นเข้าใจเลยว่าอยากจะบอกอะไร? ]
โนวิคจริงๆ แล้วอยากจะพูดอะไรกันแน่?
[ อาร๊า ~ โนวิคคุงนี่น่าสงสารจริงๆ … ]
[ จริงด้วยค่ะ… ]
มาเดียกับพี่เคย์น่าพูดคุยอะไรกันบางอย่าง
ส่วนทางคุณนอร่าดูจะไม่สนใจและไม่ร่วมวงสนทนาด้วย
[ พวกพี่รู้อะไรกันแน่คะ? ]
ฉันมองไปที่ทั้งสองคน
[ ก็น๊า ~ โนวิคก็แค่อยากช่วยชิสุเฟย์เท่านั้นเอง ]
พี่เคย์น่าพูดขณะที่มองไปยังโนวิค
โนวิคหันหน้าไปมา
ที่จริงโนวิคก็แค่อยากช่วยงั้นเหรอ? งั้นคงต้องขอบคุณล่ะนะ
เพราะยังไงเขาก็มีฝีมือดีนี่นา
[ งั้นก็แค่พูดมาก็จบเรื่องแล้วโนวิค ขอบคุณที่มาช่วยนะ ]
ฉันพูดขอบคุณกับโนวิค
แม้โนวิคจะไม่มีฝีมือด้านการค้นหาหรือตรวจสอบ แต่ก็แข็งแกร่งใช้ได้ ดังนั้นในเรื่องการต่อสู้จึงไว้ใจเขาได้ เห็นได้ชัดว่ามีประโยชน์ล่ะนะ
[ อา… อืม จะพยายามเต็มที่เลย! ]
โนวิคตอบกลับมาอย่างดีใจ ราวกับเรื่องที่เขาบ่นเมื่อกี้ไม่อยู่ในหัวเลย
[ ว๊า ง่ายจังนะคะ ]
ฉันได้ยินเสียงมาเดียหัวเราะ
[ เหลือแค่คุณลิเรียคนเดียวสินะ ]
ฉันมองไปรอบๆ แต่เธอก็ไม่มาสักที
แต่เจอคนๆ หนึ่งแทน
[ เอ๊ะ? คนๆ นั้น? ]
รู้สึกว่าเคยเจอเขามาแล้วครั้งนึง
แต่ชื่ออะไรกันนะ? แต่กลับคุ้นหน้ามาก
ใช่แล้ว เขาคือชายถือกระเป๋าที่โดนโนวิคชกไงล่ะ
[ เอ่อ… ลืมชื่อไปแล้ว แต่รู้สึกว่าเขาจะเป็นคนใช้ของท่านเคียวกะ ]
พี่เคย์น่ามองไปยังทิศที่ฉันมองอยู่และมองไปที่ชายคนนั้น
[ แต่เขาอยู่กับผู้หญิงอีกคนด้วยนะ เธอใครกันนะ? ]
อย่างที่มาเดียบอก ชายคนนั้นกำลังคอยรับใช้ผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ แม้เธอคนนั้นจะปิดหน้าอยู่ แต่ดูจากขนาดหน้าอกที่ดันเสื้อออกมาจะต้องเป็นผู้หญิงแน่นอน
[ โฮ่… ถึงจะปิดหน้าไว้ แต่ดูก็รู้ว่าต้องเป็นคนสวยมากแน่ๆ ]
คุณนอร่าพูดพร้อมกับหัวเราะ
ดวงตาของคุณนอร่าแม่นมาก สามารถมองสาวสวยได้ในพริบตาเลยล่ะ
เสื้อผ้าของเธอคนนั้นดูดีกว่าชายที่เดินอยู่ด้วยกัน ผ้าคลุมที่ปักด้วยโทนสีทองและสะท้อนแสงแดดส่องออกมา
เป็นคุณหนูจากที่ไหนกันนะ?
แต่เพราะเธอปิดหน้าไว้ทำให้ไม่มีใครรู้ แต่ฉันกลับรู้สึกว่า… เหมือนจะรู้จักเธอคนนั้น
[ มีความสัมพันธ์กันยังไงนะ? ]
มาเดียพึมพำ
[ ดูๆ ไปก็ไม่เหมือนเป็นแค่เจ้านายกับคนรับใช้เท่าไหร่ เพราะดูพวกเขาจะใกล้ชิดกันมาก ]
โนวิคมองไปที่ทั้งสองคนด้วยรอยยิ้มหยาบคาย
ขณะที่ชุดของหญิงสาวคนนั้นดูดีมาก แต่ชุดของชายคนนั้นกลับสกปรกมอมแมม หากเป็นธรรมดาคงคิดว่าเป็นแค่เจ้านายกับคนรับใช้
แต่ผู้หญิงคนนั้นกำลังควงแขนชายคนนั้นอยู่
หากจะบอกว่าเป็นเจ้านายกับคนรับใช้ก็ดูจะสนิทสนมกันเกินไป
ทั้งสองคนเดินกันอย่างสนิมสนมที่จัตุรัสกลางเมือง
[ จะว่าไปโนวิค ไปขอโทษคนๆ นั้นรึยังล่ะ? ]
[ ขอโทษ? หมายถึงเรื่องอะไรนะชิสุเฟย์? ]
โอ้ย ปวดหัวชะมัด
[ โนวิค! มาด้วยกันเดี๋ยวนี้เลย ไปขอโทษเขาซะ! ]
ฉันดึงมือของโนวิคมาด้วยกัน
[ เดี๋ยวสิ?! จู่ๆ ก็อะไรของเธอนะชิสุเฟย์! ]
เขาพยายามท้วง แต่ฉันไม่ตอบและลากโนวิคไปหาชายคนนั้น
[ เดี๋ยว ไปด้วยสิ ]
[ ฉันด้วย!! ]
[ ฉันเองก็อยากไปด้วย อยากเห็นผู้หญิงคนนั้นใกล้ๆ น่ะนะ ]
สุดท้ายพี่เคย์น่า มาเดีย และคุณนอร่าก็มาด้วย
[ คือว่า..!! ]
ฉันเรียกทั้งสองคน
จากนั้นพวกเขาก็หันกลับมามอง
[ อะไร? พวกนายเป็นใคร? ]
ผู้หญิงคนนั้นมองพวกเราและกำลังอารมณ์ไม่ดี
เสียงของเธอไพเราะเหมือนกับท่านเรน่าเลย
แต่จากน้ำเสียงแล้ว ดูเธอจะโกรธมาก
คงจะโกรธเพราะเรามารบกวนเวลาสองต่อสองของเธอ
[ แฮะๆ เจอกันอีกแล้วนะครับ บาดแผลที่หัวเป็นยังไงบ้างครับ? ]
ชายคนนั้นถามพวกเราและหัวเราะ ต่างกับคุณหนูคนนั้นที่กำลังโกรธอยู่
แต่ฉันจำไม่เห็นได้ว่าเคยบอกใครว่าบาดเจ็บที่หัวเลยนะ
บางทีอาจจะเป็นตอนที่ได้เจอกับท่านเทพธิดาเรน่า
ชายคนนี้เป็นคนพาฉันไปที่วิหารเรน่าเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ
ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นห่วงฉันด้วย
[ ค่ะ เพราะมีคนช่วยใช้เวทรักษาให้เลย…. ]
ฉันพูดออกไปเพียงไม่กี่คำ คงบอกไม่ได้หรอกว่าเทพธิดาเป็นคนใช้เวทรักษาให้ แต่พูดไปใครจะเชื่อกันล่ะ
[ งั้นก็ดีแล้วครับ ว่าแต่มีธุระกับผมงั้นเหรอครับ? ]
ชายคนนั้นไม่มีท่าทางโกรธเหมือนหญิงสาวข้างๆ แม้แต่นิดเดียว เขายิ้มรับแบบเต็มใจ
[ ไม่ค่ะ … คือ… คิดว่าจะมาขอโทษเรื่องของโนวิค … ]
พอฉันพูดขึ้น ชายคนนั้นก็ทำสีหน้าเหมือนกับว่าจำได้แล้ว ด้วยท่าทีสบายๆ
[ อ่อ เรื่องนั้นเองหรอกเหรอครับ? ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะผมเองก็ได้นอนหนุนตักด้วย ]
ชายคนนั้นหัวเราะและโบกมือไปมา
นอนหนุนตัก? เรื่องอะไรนะ?
แต่ยังไงก็ต้องให้โนวิคขอโทษอยู่ดี
ถึงได้พาโนวิคมา
[ นี่ โนวิค!! ]
ฉันพยายามดันโนวิคไปข้างหน้า
[ อา ต้องขอโทษด้วยนะ ]
โนวิคพูดออกไปแบบไม่สำนึก
เดี๋ยวสิยะ!! นั่นมันไม่ใช่การขอโทษแล้ว
ฉันจับหัวโนวิคและบังคับให้เขาก้มหัวลง
[ ขอโทษด้วยค่ะ ไว้ฉันจะอบรมเขาทีหลังเอง ]
ฉันเองก็ก้มหัวด้วย
[ ไม่เป็นไรๆ พอเถอะครับ ]
เขาดูจะไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ
[ นี่ พี่ชาย เธอคนนั้นใครเหรอ? เป็นหนึ่งในพรรคพวกของผู้กล้าเหรอคะ? ]
พี่เคย์น่าถามด้วยความสนใจ
ที่จริงฉันก็อยากรู้เหมือนกัน
เพราะเขาน่าจะเป็นคนรับใช้ของท่านเคียวกะ
ถ้างั้นแล้วเธอก็อาจจะเป็นหนึ่งในพรรคพวกของท่านผู้กล้าเหมือนกัน
การที่เธอปิดซ่อนหน้าตาไว้ แปลว่าจะต้องเป็นบุคคลสำคัญพอควร
[ เธอคนนี้คือ… เธอคือ… ภรรยาของผมครับ ]
แต่คำพูดที่ออกมาจากปากของชายคนนั้นทำให้ทุกคนต่างแปลกใจกันหมด
ทุกคนต่างส่งเสียง [ โอ้ว!! ] ด้วยความประหลาดใจ
ฉันได้ยินเสียงพึมพำของโนวิคที่อยู่ข้างๆ
[ ใช่แล้ว เป็นภรรยาค่ะ ]
ผู้หญิงคนนั้นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงดีใจ หน้าอกของเธอส่ายไปมา
และฉันรู้สึกได้ว่าโนวิคกำลังจ้องมองหน้าอกเธออยู่
[ งั้นผมคงต้องขอตัวไปเดินเที่ยวอาเรียดิน่ากับภรรยาก่อนนะครับ ]
ชายคนนั้นก้มหัวให้เราจากนั้นก็หายไปพร้อมกับภรรยา
[ ไม่นึกเลยว่าเธอจะแต่งงานแล้ว ]
โนวิคบ่นพึมพำ ขณะที่มาเดียพยักหน้า เพราะพวกเขาดูไม่เหมือนคู่สามีภรรยากันเท่าไหร่ล่ะนะ
[ ทั้งสองคนดูสนิทกันมาก… น่าอิจฉาจัง… ]
ฉันเป็นผู้ศรัทธาของเทพธิดาแห่งการแต่งงานและการคลอด ดังนั้นเลยรู้สึกอยากได้คู่แต่งงานดีๆ บ้างจัง
[ เอาน่า อย่างชิสุเฟย์เดี๋ยวก็หาใครสักคนได้เองแหละ… ]
พี่เคย์น่ามองไปทางโนวิค
[ แล้วทีพี่เคย์น่าล่ะคะ! ไม่คิดจะแต่งงานรึไงกัน? ]
[ คุณค่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับการแต่งงานหรอกนะ… อย่างลีเรียยังแต่งงานช้าเลย ]
พี่เคย์น่าพยายามเบี่ยงประเด็น
ฉันถอนหายใจ
เอาเถอะ ฉันเองก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องแต่งงานนัก
เพราะฉันรู้สึกยังไม่อยากแต่งงาน
ก่อนหน้านี้จำได้ว่าเคยคุยกับเหล่าคุณแม่มาล่ะนะ
คู่แต่งงานช่วงอายุ 20 ถึง 30 นี่ก็หาคู่แต่งงานได้ยากแล้ว แต่ใช่ว่าจะต้องหาคนที่หล่ออย่างเดียวเท่านั้น จะต้องเป็นคนที่รวยและจริงใจด้วย
ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่ชอบหนุ่มหล่อหรอกนะ
แต่หนุ่มหล่อน่ะนะ เป็นไปได้น้อยมากที่เขาจะแต่งงานกับผู้หญิงแค่คนเดียว ดังนั้นฉันไม่อยากแต่งงานแบบนั้นหรอก
เพราะคนหนุ่มน่ะเป็นไปได้ยากมากที่จะรวยและซื่อตรง จนถึงขั้นได้แต่งงานกัน
แม้อีกฝ่ายจะดียังไงแต่ก็ขอปฏิเสธดีกว่า
จนมีบางครั้งที่ฉันคิดว่าไม่มีคงจะดีกว่า
ไปคิดเรื่องอื่นดีกว่า
ขณะที่พวกเรากำลังคุยกันเรื่องโอเปร่าที่ถูกเลื่อนการแสดง คุณลีเรียก็มาถึงพอดี
[ ทุกคน ขอโทษนะที่มาสาย ]
คุณลีเรียขอโทษ
[ โถ่ จะช้าเกินไปแล้วนะคะ! คุณลีเรีย!! ]
ฉันพูดจาติดตลก
[ ขอโทษด้วยนะชิสุเฟย์ โอย๊ะ… ]
คุณลีเรียมองมาที่หัวฉัน
[ เป็นยังไงบ้างคะ? ฉันกลายเป็นวาลคีเรียไปแล้วค่ะ ]
ฉันจับที่หมวก
ตอนนี้หมวกทั้งสองด้านของฉันมีเครื่องประดับรูปปีกติดอยู่
การตกแต่งปีกที่หมวกเกราะนี้เป็นสัญลักษณ์แสดงว่าเป็นวาลคีเรีย
ฉันได้รับพรจากท่านเรน่าและตอนนี้ได้รับชื่อว่านักรบแห่งวิหารเรน่าแล้ว หมวกนี้แสดงถึงตัวตนนั้น
ฉันเป็นผู้ศรัทธาของท่านเฟย์เรีย แต่ไม่มีปัญหาอะไร เพราะท่านเทพเรน่าก็เสมือนลูกสาวของท่านเฟย์เรีย ในทางกฏหมายจึงอนุญาตและสามารถนับถือไปพร้อมๆ กันได้
ปกติแล้ววาลคีเรียจะหมายถึงนางฟ้าที่ทำหน้าที่คอยรับใช้ท่านเรน่าและมอบให้แก่ผู้รับใช้คนพิเศษเท่านั้น
สำหรับผู้มีถูกเรียกว่าวาลคีเรียจะได้รับหมวกเกราะเวทจากวิหารมา
หมวกเกราะนี้มีความสามารถในการตรวจจับศัตรูและเพิ่มความสามารถของผู้สวมใส่
ที่สำคัญปีกนี้จะเป็นลักษณะเฉพาะของผู้มีฉายาวาลคีเลียเท่านั้น หากคนอื่นใส่มันจะไม่มีปีกงอกออกมาหรอกนะ
[ ค่ะ เหมาะมากเลย ]
คุณลีเรียตอบมาทั้งรอยยิ้ม
[ ดีล่ะ งั้นเราไปกันเลยมั้ย? ]
เมื่อได้ยินเสียงฉัน ทุกคนก็โห่ร้อง(โอ้ว!!)
◆ อัศวินดำคุโรกิ
[ คุโรกิ คนเยอะเดินลำบากจังเลยนะ บึ้มคนพวกนี้ทิ้งได้มั้ย? ]
กี่ครั้งแล้วนะ? ที่คุนะพูดอย่างนี้ออกมา
[ ไม่ได้ ห้ามเด็ดขาดเลยนะคุนะ… ]
ผมจำได้ว่าเรน่าก็เคยพูดทำนองนี้อยู่เหมือนกัน ที่มีนิสัยเหมือนกันก็เพราะได้มาจากร่างต้นแบบงั้นเหรอ?
ผมกับคุนะเดินเล่นกันกลางแสงแดดในสาธารณรัฐอาเรียดิน่า
ไม่ใช่ที่คุนะที่อึดอัดคนเดียว ทุกคนก็คงอึดอัดเหมือนกัน
เพราะมีนักเดินทางมาที่นี่มากมายเพราะอยากเห็นเรย์จิ
แม้จะไม่มีนักเดินทางมา แต่ผู้คนในอาเรียดิน่าก็เยอะอยู่แล้ว
เพราะอาเรียดิน่าเป็นประเทศที่อยู่ขอบชายแดนระหว่างตะวันออกและตะวันตกของทวีป
จึงมีนักเดินทางมากกว่าประเทศอื่นๆ
ผมมองไปยังเหล่านักเดินทางที่มาเยี่ยมชมอาเรียดิน่า
บางคนคงมาจากทางตะวันออก เพราะเขาสวมกางเกงในรองเท้าบูทที่ดูหนา
ที่ทางตะวันออกมีภูเขาและป่าอยู่มาก ทำให้หลายๆ คนต้องใส่กางเกงที่หนาหน่อยเวลาเดินทาง
ตรงกันข้ามกัน ทางทวีปฝั่งตะวันตกจะมีทะเลและใกล้ชายฝั่ง ผู้คนจึงสวมรองเท้าแตะไม่ก็เท้าเปล่ากันมากมาย มีคนที่ไม่สวมกางเกงอยู่ด้วย
แน่นอนว่ามีข้อยกเว้นอยู่บ้าง ทางตะวันออกก็มีประเทศที่อยู่ใกล้กับทะเลและเท้าเปล่ากับสวมรองเท้าแตะเหมือนกัน ทางฝั่งตะวันตกก็มีบางประเทศที่ใกล้ภูเขาทำให้ต้องสวมกางเกงกับรองเท้าหนาๆ เช่นกัน
อาเรียดิน่าจึงเป็นเหมือนศูนย์รวมแฟชั่นของตะวันออกและตะวันตกในโลกนี้
ยิ่งเป็นจัตุรัสกลางเมืองนี้จะเดินยากมาก เพราะเป็นสถานที่ที่นักเดินทางจากตะวันออกและตะวันตกนิยมไปกัน
อีกอย่าง ตอนนี้คุนะสวมผ้าคลุมและปิดหน้าอยู่ทำให้เดินยาก และดูจะรำคาญอยู่เล็กน้อย
นั่นคือเหตุผลที่เธออารมณ์เสียตอนที่พวกชิสุเฟย์เข้ามาทัก
แต่ตอนนี้ก็อารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยแล้ว
[ คุนะ อยากจะกลับรึยัง? ]
เมื่อผมถาม คุนะก็ส่ายหัว
[ ไม่เลย คุนะอยากจะเดินเล่นกับคุโรกิอีก ]
คุนะเกาะแขนซ้ายของผมแน่นขึ้น ทำให้หน้าอกนุ่มๆ ของคุนะสัมผัสกับแขนซ้าย
ดูเหมือนผมจะเข้าใจผิดเองว่าคุนะเดินลำบากทำให้ไม่อยากเดินต่อแล้ว แต่ดูเหมือนเธอกำลังสนุกอยู่
[ ดีล่ะ งั้นไปไหนกันดีนะ? ]
ข้างหน้ามีร้านไอศครีมอยู่ข้างหน้า
ซึ่งเรน่าเคยกินมาครั้งนึงแล้ว ผมเดินตรงไปที่ร้านนั้น
[ อืออ? คุนะรู้จักถนนสายนี้ เพราะเคยกินไอศครีมกับคุโรกิในฝัน ]
ผมแปลกใจกับคำพูดของคุนะ
อะไรนะ?
หรือบางทีเรน่ากับคุนะจะเชื่อมต่อทางวิญญาณกัน
และผมก็เพิ่งสังเกตเห็นบางอย่าง
เพราะตอนนั้นคุนะกำลังฝันว่าเป็นเรน่าเลยรู้จักที่นี่เหรอ?
เพราะงั้นแล้วเรน่าถึงได้รู้ว่าผมจะไปที่ไหน
เพราะเรน่าเองก็รู้มาผ่านคุนะ
[ มีอะไรเหรอคุโรกิ ]
เพราะเห็นผมเงียบ คุนะเลยเงยหน้ามองผมจากข้างหน้า
[ ไม่… ไม่มีอะไรหรอก ]
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ถึงแม้จะคิดให้ตายผมก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เพราะเบาะแสมีอยู่แค่นิดเดียว ช่วยไม่ได้แฮะ
[ อืม ไปกันเถอะคุโรกิ! ]
คุนะดึงมือผม
รอยยิ้มไร้เดียงสาของเธอ ไม่มีคิดเรื่องอะไรน่าหนักใจอยู่เลย
กลับมีแต่ความร่าเริง
ผมคิดขณะที่เดินไปกับคุนะ
◆ นักปราชญ์ผมดำจิยูกิ
ในตอนบ่าย ฉันกับเรย์จิไปที่สำนักงานรัฐบาลกันสองคน
เหตุผลก็เพราะคดีที่เกิดขึ้นจากคาคินอส
ที่จริงพวกเราก็ไม่ได้คิดจะมากันสองคนหรอก แต่ชิโรเนะ ริโนะ นาโอะนั้นนอนเมาค้างอยู่ ซึ่งซาโฮโกะกำลังคอยดูแลทั้งสามคน ส่วนเคียวกะกับคายะไปทำธุรกิจที่สาธารณรัฐลีนาเรีย
เรย์จิเองก็ยังดูง่วงๆ อยู่ แต่ฉันก็บังคับมาด้วย
เมื่อเข้ามาในห้อง ก็มีคลาสกับเดคิอัสรออยู่แล้ว
[ ขอโทษที่ให้คอยโกบุ ]
ทาสก็อบลินของฉันกับคลาสนำชามาให้ฉันและเรย์จิ
ต้องขอบคุณล่ะนะ
แต่เราไม่ควรแสดงท่าทีสุภาพกับทาส
จากที่ตรวจสอบมา ดูเหมือนว่าทาสก็อบลินคนนี้จะเป็นของนักเวทที่ชื่อว่าโฮบาดิส
จึงมีชื่อว่าโฮบาดิส ・ ก็อบลิน เพราะเป็นทาสของเขาจึงถูกเรียกสั้นๆ ว่าโฮก็อบลิน
แต่นักเวทโฮบาดิสมักจะยุ่งอยู่บ่อยๆ ทำให้ต้องออกไปไหนมาไหนตลอด ดังนั้นในระหว่างออกไปจึงได้ขอให้คนรับใช้คอยเฝ้าบ้านให้
มองดูเหล่าก็อบลิน เขาได้สร้าง [ ที่พำนักของนางฟ้า ] ซึ่งเป็นเวทที่ใช้ควบคุมให้ก็อบลินกลายเป็นทาส
โฮก็อบลินที่อยู่ใต้การควบคุบนั้นกลายเป็นทาส แต่ก็มีโอกาสเป็นไปได้ว่าเวทจะคลายหากทาสทำตัวไม่เหมาะสม
อาหารในการให้ทาสก็แค่ขนมปังเหลือๆ หรือไม่ก็นม เสื้อผ้าก็ไม่จำเป็นต้องให้เสื้อผ้าดีๆ
จะให้เสื้อผ้าดีๆ ใส่ก็ไม่ได้เพราะ [ ทาสน่ะไม่จำเป็นต้องให้ของดีๆ หรอก ] ผู้คนมากมายคิดแบบนี้
แม้แต่การจะขอบคุณก็ยังไม่ได้ เพราะพวกเขาเป็นทาส
โฮก็อบลินนำชามาให้และออกไป
[ ขอโทษด้วยครับ… แต่ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะลงมือสืบสวนยังไงดี… ]
เดคิอัสขอโทษ
เรย์จิที่อยู่ข้างๆ ฉันมองด้วยท่าทีผิดหวัง
[ งั้นเหรอคะ… เพราะลำพังแค่พวกคุณนี่ค่ะ ไม่เป็นไรหรอก นายพลคลาสพอจะระดมคนมาได้เท่าไหร่กันคะ? ]
ฉันมองไปทางคลาส
ที่เรามาที่สำนักงานใหญ่รัฐบาลก็เพื่ออยากจะพึ่งจำนวนคนในการสืบสวน
จำนวนอัศวินของวิหารโอดิสเองก็มีไม่มาก ดังนั้นคงใช้ไม่ได้มากนัก
[ ถ้าเป็นทหารล่ะก็จะเตรียมให้มากที่สุดครับ ไม่ว่าจะกี่คนก็สามารถเรียกทหารรับจ้างจากเทสซาเซียมาได้ด้วยครับ ]
คลาสตอบด้วยรอยยิ้ม แล้วความปลอดภัยของคนพวกนั้นล่ะ นี่เขาไม่คิดเลยเหรอ?
เมื่อคลาสพูดก็มีคนเข้ามาในห้อง
ซึ่งก็คือพวกชิสุเฟย์นั่นเอง
[ ขอโทษที่มาสายค่ะ ]
ชิสุเฟย์ก้มหัวลง
[ ไม่ต้องขอโทษหรอก เราเองก็เพิ่งมา ]
เรย์จิตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ทางโนวิคทำท่าทีขมวดคิ้ว ส่วนชิสุเฟย์ยิ้มอย่างสดใส
ที่โนวิคมาที่นี่
ก็คงเพื่อปกป้องชิสุเฟย์จากเงื้อมมือของปีศาจเรย์จิแน่เลย
[ เอ๊ะ คุณชิสุเฟย์หมวกนั่น? นี่คุณกลายเป็นผู้ศรัทธาของเทพธิดาเรน่าไปแล้วเหรอคะ? ]
หมวกของชิสุเฟย์นั้นคล้ายคลึงกับของนักรบวาลคีเรีย
ปีกศักดิ์สิทธิ์ของเรน่า เหล่าวาลคีเรียและหญิงสาวที่เป็นผู้ศรัทธาของเรน่าจะได้รับหมวกที่ประดับปีกทั้งสองข้าง
ในฐานะที่เป็นวาลคีเรียแห่งวิหารเรน่าจะถูกเรียกว่านักรบแห่งปีก
และปีกที่เป็นสัญลักษณ์ของเรน่าตอนนี้ก็อยู่บนหมวกของชิสุเฟย์
[ ค่ะ ฉันได้รับพรจากท่านเรน่าด้วยค่ะ ]
ชิสุเฟย์ยิ้มด้วยความสุข
[ ดีใจด้วยนะชิสุเฟย์จัง ]
[ ขอบคุณมากค่ะท่านเรย์จิ จริงด้วย เมื่อกี้ฉันเจอคุณคนรับใช้ชายด้วยค่ะ ]
[ คนรับใช้ชาย? ]
หมายถึงใครกันนะ?
[ ไม่รู้จักเลยแฮะ จิยูกิพอจะรู้บ้างมั้ย? ]
[ ไม่รู้เหมือนกัน สงสัยจะเป็นคนรับใช้ใหม่ของคุณเคียวกะรึเปล่านะ? ]
เพราะเคียวกะกับคายะต้องไปทำธุรกิจบ่อยๆ
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องจ้างคนด้วย แต่ปกติจะจ้างผู้หญิงมากกว่า เพราะไม่จำเป็นต้องจ้างผู้ชาย
[ งั้นเหรอคะ…? แต่ได้ยินว่าเป็นคนรู้จักเก่าของท่านชิโรเนะนะคะ? ]
ชิสุเฟย์เอียงหัว
[ กับชิโรเนะเหรอ? ]
[ ค่ะ เมื่อกี้เห็นเดินอยู่กับภรรยานะคะ ]
สับสนไปหมดแล้ว ไม่เห็นรู้เลยว่าชิโรเนะมีคนรู้จักที่แต่งงานแล้วด้วยสิ
[ ไม่รู้สิ เรื่องนั้นไม่เห็นได้ยินจากชิโรเนะเหมือนกัน ]
เรย์จิพูดออกมา
ฉันก็เหมือนกัน เป็นคนรู้จักจากที่สาธารณรัฐลีนาเรียเหรอ? แต่เราก็ไม่ได้อยู่ที่โลกนี้มานานหลายปีนะ แต่ชิสุเฟย์กลับบอกว่าเป็นคนรู้จักกันมานานแล้ว?
แล้วไปรู้จักกับชายคนนั้นได้ยังไง? ยิ่งกว่านั้นเขายังแต่งงานแล้วด้วยอีก?
[ คุณชิสุเฟย์ ผู้ชายคนนั้นชื่ออะไรเหรอคะ? ]
ฉันถามชิสุเฟย์
[ ขอโทษด้วยค่ะ… เหมือนเขาจะเคยแนะนำตัว แต่จำไม่ได้เลย… ]
ชิสุเฟย์มองไปที่เพื่อนด้านหลัง
เพื่อนๆ ของเธอก็ต่างส่ายหัว ดูเหมือนจะไม่มีใครจำชื่อเขาได้เลย
[ เอาเถอะ ถ้าจำชื่อไม่ได้ก็ไม่ใช่คนสำคัญอะไรหรอก คงจะสนิทกันเพราะเป็นคนรับใช้ที่ทำงานให้เคียวกะล่ะมั้ง ]
เรย์จิพูดเพราะขี้เกียจทำความเข้าใจ
แน่นอน เรย์จิพูดถูก เป็นไปได้ว่าชายคนนั้นจะเพิ่งถูกเคียวกะจ้างมา
แต่มันสับสนเพราะคำพูดที่ว่าเป็นคนรู้จักเก่านี่ล่ะ
[ คิดว่าคงอย่างนั้นค่ะ ถ้างั้นก็ช่างมันเถอะค่ะ ]
ลืมๆ มันไปแล้วกัน
[ เอาล่ะ เกี่ยวกับแผนในอนาคต ตอนนี้ข้าอยากพยายามหาคนแล้วให้มาร่วมตัวกันในตอนเย็น ]
คลาสและเดคิอัสยิ้มและมองไปที่ทุกคน
แน่นอน เพราะเราต้องใช้คนจำนวนมากในการสืบสวน แต่ถึงจะมีทหารและเหล่าคนใช้ แต่ก็ยังต้องการคนเพิ่ม
[ ดีล่ะ งั้นมาสรุปกัน… สำหรับฝ่ายผู้ชายให้เดคิอัสกับพวกทหารของนายพลคลาสคอยจัดการ ส่วนผู้หญิงให้ชิสุเฟย์กับคนอื่นๆ ตกลงนะ? ]
เมื่อได้ยินฉันพูด ชิสุเฟย์ก็พยักหน้า ทหารส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย
เราจึงไม่มีกำลังคนมากพอจะไปตรวจสอบผู้หญิง ฉันจึงได้ขอร้องให้พวกชิสุเฟย์ช่วย
[ ไว้ใจได้เลย เรื่องการตรวจสอบผู้หญิงให้ข้าจัดการเอง! ]
โนวิคพูดจาโผงผางออกมา ขณะที่ชิสุเฟย์ใช้ศอกกระแทกใส่เขา
[ ขอโทษด้วยค่ะ จะตรวสอบไม่ให้คนร้ายหนีไปแน่ค่ะ… ]
ชิสุเฟย์ขอโทษ
จะว่าไปฉันลืมไปเลยว่ามีผู้ชายคนนี้อยู่ด้วย แต่ถ้ามีพวกชิสุเฟย์… คงไม่มีปัญหาล่ะมั้ง
[ ดีล่ะ ถ้างั้น…. ]
ขณะที่ฉันกำลังจะพูด เจ้าหน้าที่ซึ่งเฝ้าประตูอยู่ก็บอกว่ามีคนมาหา
คนที่มานั้นชื่อมิดัส ดูเหมือนเขาจะเป็นหัวหน้าของโรงละคร
[ มีอะไรงั้นเหรอครับหัวหน้าคณะมิดัส หรือว่าจะเกี่ยวกับเซนน่าน้องสาวของผม ผมขอตัวสักเดี๋ยวนะครับ? ]
จากนั้นเดคิอัสก็ขอตัวและลุกไป
[ เดี๋ยวนะ จะว่าไปตอนที่เกิดเรื่องก็มีนักเต้นเซนน่าอยู่ด้วยนี่นา? ถ้างั้นเราก็ควรฟังก่อนและคุยกันด้วยว่าเด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้าง ]
จากคำพูดของเรย์จิ ทำให้ฉันจำได้ขึ้นมา
เธอคือนักเต้นที่อยู่ในที่เกิดเหตุตอนคาคินอสปรากฏตัว แต่จำหน้าเธอไม่ได้มากนัก เรย์จินี่จำแม่นจริงๆ นะ
ฉันเองก็อยากรู้ว่าเรื่องอะไรด้วย
[ ค่ะ ถ้างั้นเซอร์เดคิอัสช่วยบอกเขาให้เล่าให้พวกเราฟังด้วยจะได้รึเปล่าคะ? ]
เดคิอัสพยักหน้า
[ … ครับ ผมจะพาเข้ามาเดี๋ยวนี้ ]
เดคิอัสตอบด้วยใบหน้าลำบากใจเล็กน้อย
จากนั้นก็มีชายร่างใหญ่คนหนึ่งเข้ามาในห้อง
[ ยินดีที่ได้รู้จักฮะท่านผู้กล้า ข้าชื่อมิดัสเป็นหัวหน้าโรงละครหูลา ]
เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของมิดัสดังขึ้น
เพราะมันรู้สึกแปลก ฉันเลยขมวดคิ้วและเรย์จิเองก็รู้สึกแปลกๆ
[ ท่านจิยูกิ ท่านเรย์จิ มิดัสเป็นผู้มีศรัทธาแรงกล้าของเทพธิดาอิชเทียนะครับ ]
เดคิอัสอธิบายในสิ่งที่ฉันกำลังสงสัย
[ จริงเหรอคะ…. ]
ฉันพอจะยืนยันความรู้สึกแปลกๆ ได้แล้ว
เทพธิดาอิชเทีย เทพแห่งความรักและความงาม สำหรับผู้ชายที่ศรัทธาอิชเทียจะต้องถวายอวัยวะเพศให้ในพิธีกรรม
โดยพิธีกรรมจะนำอวัยวะเพศนั้นไปค้างคืนขณะที่เต้นรำ รำดาบ และตีกลองจนจบพิธีกรรม
มิดัสคือคนที่ผ่านพิธีกรรม(ถูกตอนมาแล้ว)มาแล้ว จึงถือว่าในศาสนาอิชเทียเขาเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง
ดังนั้นฉันถึงรู้สึกแปลกๆ กับเสียงของมิดัส ตอนนี้เขากลายเป็นผู้หญิงที่คล้ายผู้ชายไปแล้วล่ะ
[ หัวหน้ามิดัส แล้วมีเรื่องอะไรเหรอครับ? ]
เมื่อถูกเดคิอัสถาม มิดัสก็ทำสีหน้าลำบากใจ
[ ท่านเดคิอัส ความจริงแล้ว… เซนน่าไม่ได้กลับมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ ]
[ ว่าไงนะ เซนน่าน่ะเหรอครับ!?? ]
มิดัสพยักหน้า
[ ไม่ว่าสมาชิกคนอื่นๆ จะพยายามหายังไง ก็หาตัวเซนน่าไม่เจอเลยฮะ เธอออกไปตั้งแต่เมื่อคืนแต่จนป่านนี้ทั้งๆ ที่เที่ยงวันแล้ว ข้าจึงคิดว่ามาแจ้งท่านเดคิอัสไว้จะดีกว่า… ]
มิดัสพูดออกมา ผู้ชายคนอื่นต่างมีสีหน้ารังเกียจแสดงออกมายกเว้นแต่เพียงเดคิอัสคนเดียว
[ เซนน่า…. หายตัวไป … ไม่จริง… ]
เดคิอัสคิดอะไรบางอย่างจากนั้นก็เอาอะไรออกมาจากเอว
มันเป็นของยาวๆ ที่ถูกห่อด้วยผ้า
[ มันคืออะไรเหรอครับ? ]
[ นี่เป็นของที่เซนน่าให้ผมไว้ หลังเกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้นครับ ]
เดคิอัสอธิบายให้คลาสฟัง
[ มีอะไรอยู่ข้างในเหรอคะเซอร์เดคิอัส? ]
[ ผมเองก็ยังไม่ได้ดูเหมือนกันครับท่านจิยูกิ แต่บางทีอาจจะมีเบาะแสเกี่ยวกับที่เซนน่าหายตัวไปอยู่ก็ได้… ]
เดคิอัสเอามือที่คลุมอยู่ออกมาด้วยสีหน้าลำบากใจ
สิ่งที่อยู่ข้างในคือ สิ่งของรูปร่างหลอดยาวๆ
[ เจ้านั่นมัน!!! ]
มิดัสรีบปิดปาก
ทุกคนต่างมองไปที่มิดัสกันหมด
[ มีอะไรงั้นเหรอครับหัวหน้ามิดัส? ]
[ ไม่ฮะ… ไม่มีอะไร… ]
ใบหน้าของมิดัสซีดจนกลายเป็นสีฟ้า
[ นี่มันขลุ่ย แต่ตรงนี้วงเวทอยู่ด้วย ท่านจิยูกิช่วยดูให้ได้มั้ยครับ? ]
เดคิอัสส่งขลุ่ยมาให้ฉัน
เรย์จิที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็จ้องมองไปที่ขลุ่ยที่ฉันถืออยู่เช่นกัน
[ ค่ะ ไม่ผิดแน่ มันคือวงเวท ]
เรย์จิพูดออกมา บนขลุ่ยมีดาวห้าแฉกสลักเอาไว้อยู่
ดาวห้าแฮกเป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดาโทโทน่า เทพธิดาแห่งความรู้และหนังสือซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสมาคมผู้ใช้เวท
ในโลกนี้ดาวห้าแฉกส่วนใหญ่จะสลักที่เสื้อ แต่ในญี่ปุ่นมันเป็นสัญลักษณ์ที่อยู่ในวงเวทของเวทมนตร์
แตกต่างจากที่นี่
[ ไม่ใช่เรย์จิคุง นี่มันต่างกัน ดาวห้าแฉกนี่มันกลับด้านตัวอักษรไปอยู่ด้านบนหมดเลย ]
ฉันพลิกขลุ่ยดู
ซึ่งดาวห้าแฉกมันคว่ำอยู่ มันดาวห้าแฉกกลับด้าน
[ ดาวห้าแฉกกลับด้าน… แพะสีดำ… สัญลักษณ์ของลัทธิบูชาปีศาจ ]
หญิงสาวที่ชื่อมาเดียพึมพำ เธอคงจะรู้ความหมายของวงเวทนี้แล้ว
ฉันพยักหน้าตอบไป
ดาวห้าแฉกกลับด้านนี้เป็นสัญลักษณ์ของปีศาจแพะสีดำ ซึ่งเป็นลูกสมุนของลูคัส ซาทูนาเคียซึ่งเป็นเทพปีศาจซึ่งอยู่ฝ่ายราชาปีศาจ
ตอนที่เราไปโจมตีนากอล เทพปีศาจตนนั้นไม่ได้ปรากฏออกมา แต่เหล่าลูกน้องของเขาต่างยกธงที่มีสัญลักษณ์นี้และต่อสู้กับเรา
นอกจากนี้ไม่ใช่ว่ามีแต่ปีศาจเท่านั้นที่บูชาเทพปีศาจคนนี้ แม้แต่มนุษย์เองก็ยังมีหลายคนที่บูชาเทพปีศาจ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือมีความเป็นไปได้สูงว่าขลุ่ยนี้จะเป็นของพวกลัทธิที่บูชาราชาปีศาจ
[ งี่เง่าชัดๆ ! ถ้างั้นเซนน่าก็… ?!! ]
เดคิอัสยืนขึ้นและตะโกนเสียงดัง
[ กรุณาใจเย็นก่อนเซอร์เดคิอัส ท่านจิยูกิ… นั่นหมายความว่ายังไงครับ? ]
คลาสถาม
[ ค่ะ ฉันรู้สึกถึงพลังเวทจากขลุ่ยนี้ ดูเหมือนมันจะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมบางอย่าง… แปลว่าที่คาคินอสมาปรากฏตัวที่งานเลี้ยงก็อาจจะเพราะขลุ่ยนี้ก็ได้คะ ]
ฉันพูดขณะที่มองไปยังขลุ่ยเพื่อสัมผัสพลังเวท ใบหน้าของทุกคนต่างถูกย้อมด้วยความตกใจ
[ งั้นทำไมน้องสาวของท่านเดคิอัสถึงได้มีสิ่งนี้ล่ะ? ไม่ใช่ว่าเธอเป็นคนร้ายเองหรอกเหรอ? ]
[ นายพลคลาสครับ! คนร้ายต้องไม่ใช่เซนน่าแน่!! ]
เดคิอัสปฏิเสธทันควัน
[ ฉันคิดว่าเธอน่าจะฝากไว้มากกว่า เพราะพี่ชายก็เป็นถึงผู้ตรวจการ บางทีเธอคงจะเก็บได้ในที่เกิดเหตุจึงได้มอบมันไว้ให้กับพี่ชายก็ได้ ]
เรย์จิออกความเห็น
เรื่องปกป้องผู้หญิงนี้เร็วจริงนะเรย์จิ
[ ฉันเองก็เห็นด้วยค่ะ เพราะยังไม่แน่ว่าเธอจะเป็นคนร้าย และในที่เกิดเหตุฉันเห็นชายที่สวมชุดเซเทอร์ถือขลุ่ยนี้เอาไว้ด้วย บางทีเขาอาจจะเกี่ยวข้องกับคดีครั้งนี้ก็เป็นได้? ]
ฉันมองไปที่ขลุ่ย
ขลุ่ยนี้เป็นแบบเป่าสองรู การจะเป่าขลุ่ยนี้ได้ต้องมีฝีมือมากทีเดียว
จึงน่าจะเป็นมืออาชีพมากกว่าที่จะเป็นขลุ่ยของพวกขุนนางหรือชนชั้นสูงที่เล่นเป็นงานอดิเรก
และนักแสดงมืออาชีพคนนั้นจะต้องเป็นคนเป่าขลุ่ยนี้แน่นอน
แต่ที่สงสัยคือเขาเป็นใครกันล่ะ?
[ อา ข้าเองก็เห็นชายที่สวมชุดเซเทอร์เป็นคนเป่าขลุ่ยนี้เหมือนกัน ]
คลาสเห็นด้วย
[ และเซเทอร์ซึ่งเป่าขลุ่ยในงานเลี้ยงก็คือ… ]
ฉันมองไปทางมิดัส ในตอนนั้นเซนน่าได้เรียกให้พวกเรามาช่วยเพราะเพื่อนที่แต่งกายด้วยชุดเซเทอร์กำลังจมน้ำ
[ …. ชายคนนั้นเป็นคนของคณะเราเองครับ… ]
มิดัสพูดออกมา
[ เพราะเธอรู้ว่าชายที่แต่งตัวด้วยชุดเซเทอร์เป็นคนเป่าขลุ่ยจึงได้พยายามหาทางแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง เพื่อไม่ให้โรงละครต้องเสียหายไปด้วย เผื่อในกรณีที่พลาด เธอเลยฝากขลุ่ยนี้ไว้สินะ? ]
เรย์จิพูดจาอย่างมีเหตุผล
[ ถ้างั้นเซนน่าก็กำลังตกอยู่ในอันตราย! ต้องรีบแล้ว!! ]
[ เซอร์เดคิอัสใจเย็นก่อนค่ะ อย่าเพิ่งตัดสินใจว่าเธออยู่ในอันตรายจะดีกว่า ]
ฉันเข้าใจความรู้สึกของเดคิอัส เป็นฉันก็สงบใจไม่ได้เหมือนกันหากรู้ว่าเพื่อนกำลังอยู่ในอันตราย แต่เราต้องใจเย็นก่อน
[ หัวหน้ามิดัส เราอยากไปตรวจสอบคณะโรงละครของคุณสักหน่อย คงได้ใช่มั้ยคะ? ]
ฉันมองไปทางมิดัส
[ ฮะ… เพราะมันเป็นเรื่องจำเป็น…]
มิดัสพูดออกมาแบบไม่เต็มใจ
[ คงต้องเปลี่ยนตารางเวลาสักหน่อย จากนี้ไม่ต้องไปตรวจสอบชาวบ้านทุกคนแล้ว ]
ฉันมองไปที่ทุกคน ถึงจะไม่ดีต่อเดคิอัส แต่ฉันเองก็พยายามลดเวลาให้เหลือน้อยที่สุดแล้ว
จากนั้นเราก็ตัดสินใจไปตรวจสอบที่โรงละคร