CatNovel
  • หน้าหลัก
  • นิยายทั้งหมด
Advanced
  • หน้าหลัก
  • นิยายทั้งหมด
  • โดจิน
  • นิยายทั้งหมด
  • จบแล้ว
  • นิยายวาย Yaoi
ตอนก่อน
ตอนต่อไป
สล็อตเว็บตรง

อัศวินดำ - ตอนที่ 7

  1. Home
  2. อัศวินดำ
  3. ตอนที่ 7
ตอนก่อน
ตอนต่อไป

◆ เด็กหนุ่มผู้ผันตัวกลายเป็นอัศวินดำคุโรกิ

 

[ และนี่คือเวทมนตร์บินขอรับท่านไดร์ฮาร์ด ]

 

รูคัสกำลังคุยกับผมขณะที่ผมลอยอยู่กลางห้อง

 

นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน หลังจากที่ผมต่อสู้กับเรย์จิ ผมได้รับการสอนเวทมนตร์จากรูคัสในห้องๆ หนึ่งของปราสาทราชาปีศาจ

 

หลังจากต่อสู้กับเรย์จิ ผมก็ได้รับคำชมจากโมเดสใหญ่เลย

 

สถานะปัจจุบันของผมในนากอลจึงกลายเป็นอันสอง เป็นรองแค่เพียงโมเดส

 

ผมก็ดีใจหรอกนะที่ตัวเองได้รับการเทิดทูญแต่ผมอยากให้เขาเลิกกอดผมสักทีนะ เขากอดผมขณะที่พูดว่า [ โอ้ เพื่อนรักของฉัน ] อยู่นั้นล่ะ

 

แต่รอเดี๋ยวก่อนนะ มันก็ช่วยไม่ได้ที่ผมจะได้รับรางวัลตอบแทนนี่นะ

 

จากที่โมเดสเล่ามา ดูเหมือนผมจะกลับโลกของผมด้วยเวทมนตร์อัญเชิญที่ใช้เรียกผมไม่ได้ ไม่งั้นผมจะติดอยู่ระหว่างช่องว่างมิติระหว่างการส่งไปยังต่างโลก ดังนั้นเวทที่ใช้ในการกลับจึงต่างกัน

 

น่าเสียดายที่โมเดสดูจะไม่มีประสบการณ์ในการใช้เวทมนตร์แบบนี้ แม้เขาจะเป็นคนอัญเชิญผมมาก็เถอะ

 

แต่โมเดสสัญญาว่าจะหาวิธีที่ปลอดภัยในการส่งผมกลับยังโลกเดิมให้ได้

 

ที่เอลีอัสอาจจะพอมีวิธีที่ทำให้ผมกลับไปได้ใช่มั้ย?

 

พอผมถามเขาดู

 

โมเดสบอกว่าความเป็นไปได้ค่อนข้างต่ำ

 

แม้ผมจะนึกสสัยว่าโมเดสเอาความเชื่อมั่นแบบนั้นมาจากไหน แต่ดูเหมือนความแหล่งข้อมูลของเขาจะน่าเชื่อถือนะ

 

เรื่องมันคงกลับตาลปัตรถ้าโมเดสเลือกที่จะโกหกผม แล้วใช้เหตุผลเดียวกันว่า “ถ้าเจ้าไม่จัดการผู้กล้า ข้าจะไม่ส่งเจ้ากลับไปยังโลกเดิม”

 

อีกอย่างผมไม่คิดว่าโมเดสจะพูดคำพูดพวกนั้นออกมาหรอก

 

และพอผมมองดูโมเดสเวลาที่เขาคุยกับโมน่านั้นคืออาการของคน ‘เดเระเดเระ(รักหมดใจ)ชัดๆ’

 

สองคนนี้นี่เหมือนกับพวกคู่รักงี่เง่าเลยนะ

 

ถ้างั้นแล้วเหตุผลที่ผมต่อสู้คือเพื่ออะไร?

 

ก็เพราะโมโหเจ้าพวกคนจากเอลีอัสที่มาอัญเชิญคนอื่นมายังต่างโลก แต่กลับไม่มีวิธีส่งกลับไปนะสิ

 

ผมคิดว่าเรย์จิเองก็คงถูกเทพธิดาแสนสวยล่อลวงจนหลงคารมเข้า แต่สำหรับเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกเธอถึงต่อสู้ด้วย

 

เรย์จิกับคนอื่นๆ เองก็คงอยากกลับไปที่โลกเดิมเหมือนกัน

 

จะว่าไปเมื่อตอนบ่ายวันนี้ ผมได้ข่าวมาว่าเรย์จิถูกช่วยเอาไว้ได้อย่างปลอดภัยแล้วล่ะ

 

โล่งอกไปที เพราะที่จริงผมก็ไม่ได้อยากจะฆ่าเรย์จิหรอกนะหรือพยายามฆ่าเขาหรอกนะ ผมยังไม่คิดว่าเขาน่ารังเกียจจนถึงขั้นต้องฆ่าทิ้งหรอกน่า

 

ด้วยความโล่งใจ ผมจึงได้มาเรียนวิธีการใช้เวทมนตร์ของโลกนี้จากรูคัส

 

ผมต้องการข้อมูลโดยไม่สนใจว่ามันจะสำคัญแค่ไหน

 

ชายแก่ที่มีเขางอกขึ้นจากหัวและมีหูแหลมข้างหน้าผมนั้นดูเหมือนว่าเขาจะเป็นนักปราชญ์และเป็นคนที่ฉลาดที่สุดแถมยังเป็นถึงนายกรัฐมนตรีของนากอล นี่เขาควรไปทำงานจะดีกว่ามั้ย ไม่เห็นจำเป็นต้องมาทำอะไรอย่างการสอนผมเลย แต่เอาเถอะ เขาก็ดูกระปรี้กระเปร่าที่ได้เป็นอาจารย์ให้ผม

 

ตอนนี้ผมกำลังเรียนเรื่องการใช้เวทมนตร์

 

[.. ท่านดูจะใช้เวทมนตร์บินได้ไม่มีปัญหานะขอรับ แต่โปรดระวังด้วยเพราะเวลาที่ท่านใช้เวทมนตร์นี้อยู่ท่านจะใช้เวทมนตร์อื่นไม่ได้จนกลายเป็นเป้าของธนูได้ขอรับ… ]

 

ผมสร้างลูกบอลไฟสีดำบนนิ้วขณะที่ลอยอยู่กลางอากาศ

 

[… ถึงแม้ว่าข้าจะบอกให้ท่านระวัง แต่ดูแล้วความเป็นห่วงของข้าจะไม่มีผลกับท่านเลยนะขอรับท่านไดร์ฮาร์ด ]

 

รูคัสบอกผมด้วยความประหลาดใจ

 

เดาจากเสียงของรูคัสดู ท่าทางการใช้เวทมนตร์สองอย่างพร้อมกันจะเป็นเรื่องที่ยากพอดู

 

[ ทั้งท่านและผู้กล้าต่างก็เป็นคนจากอีกโลกหนึ่ง ช่างลึกลับเสียจริง มนุษย์ปกตินั้นต้องฝึกฝนอย่างยากลำบากถึงจะควบคุมเวทมนตร์บินได้… และลอร์ดไดร์ฮาร์ดยังสามารถใช้เวทมนตร์ระดับสูงที่เหมือนกับผู้บัญชาการทัพปีศาจได้อีกด้วย ]

 

พอพูดอย่างนั้นแล้ว ดูเหมือนเรย์จิและคนอื่นๆ ก็ใช้เวทมนตร์ระดับสูงได้ง่ายดายเหมือนเป็นเรื่องปกติเลยนี่นะ ปกติแล้วไม่มีทางใช้ได้หรอกตราบใดที่ไม่ฝึกฝนอย่างหนักน่ะ

 

และดูเหมือนพวกเขาจะมีความสามารถด้านเวทมนตร์ที่สูงเหมือนกับผม หากมีใครมาถามเหตุผลล่ะก็ ผมคงตอบได้แต่ว่า… ผมก็ไม่รู้ครับ

 

ผมยกเลิกเวทมนตร์บินจากนั้นก็ลงมาที่พื้น

 

[ และเพลิงทมิฬนั้นมันน่าจะเป็นสิ่งที่ลอร์ดรันฟิวเพียงคนเดียวที่ใช้ได้แต่ท่านลอร์ดไดร์ฮาร์ดกลับใช้ได้ด้วย ช่างน่าสนใจจริงๆ ไอ้การที่ท่านใช้เพลิงทมิฬได้โดยไม่เคยใช้เวทไฟธรรมดามาก่อน… บอกตามตรงนี่มันผิดสามัญสำนึกมากเลยขอรับ ]

 

รูคัสส่ายหัวราวกับไม่อยากเชื่อไม่สิ่งที่เห็น

 

[ แต่มันจะไม่สะดวกหากท่านไม่สามารถใช้เวทไฟปกติได้ งั้นเรามาลองใช้เวทมนตร์ไฟจากสปิริตแห่งไฟกันเถอะขอรับ ]

 

รูคัสจ้องมองบางอย่าง จากนั้นหนังสือก็ปรากฏขึ้นมาในมือของรูคัส

 

[ เอาล่ะ มาลองใช้เวทมนต์จากสปิริตกันเถอะขอรับ แต่ขอให้ท่านระวังไว้ด้วย เพราะเวทมนร์นี้แตกต่างจากเวทมนตร์อื่นที่ข้าเคยสอนจนถึงตอนนี้ ]

 

ผมนึกถึงเวทมนตร์ก่อนหน้านี้ที่รูคัสสอนมา

 

ดูเหมือนว่าเวทมนตร์ที่โลกนี้จะมีระบบอยู่สองแบบใหญ่ๆ คือเวทมนตร์จากพลังเวทของตัวเองและเวทมนตร์ที่แหล่งพลังเวทมาจากภายนอก ซึ่งดูเหมือนว่าเวทมนตร์บินนั้นจะเป็นแบบใช้พลังเวทของตัวเอง ในช่วงถัดมาจึงพัฒนาเป็นเวทมนตร์ที่ใช้พลังของสปิริต

 

เวทมนตร์จากสปิริตนั้นจะเป็นตามความปรารถนาของตัวเองที่อยากจะใช้เวทมนตร์ เราไม่สามารถมองเห็นสปิริตได้ ไม่ว่าจะสื่อสารหรืออะไรก็ตาม แต่เหล่าสปิริตจะได้ยินคำขอของเรา ซึ่งการจะใช้เวทมนตร์ประเภทนี้ได้จำเป็นต้องมีใจหลอมรวมกับสปิริตจึงจะสามารถใช้ได้

 

ดูเหมือนว่าเรื่องจิตใจนั้นจะสามารถทำได้ง่ายๆ หากเป็นคนที่มีสติปัญญา ฉลาดพอควร ซึ่งคนเราเมื่อมีความรู้ที่สูงขึ้นจะทำให้เข้าใจสัตว์เดรัจฉานหรือจิตวิญญาณได้ ดังนั้นถึงจะเป็นผู้ที่มีพลังเวทมนตร์สูงเพียงใดแต่ถ้าไม่มีความเข้าใจต่อเวทมนตร์นี้ก็ใช้ไม่ได้

 

[ โอ้ สปิริตแห่งไฟเอ๋ย ได้ยินเสียงของข้ารึไม่ ]

 

เปลวไฟขนาดเล็กปรากฏที่ปลายนิ้วของรูคัส

 

จากนั้นเมื่อเขาชี้นิ้วออกไป เปลวไฟเล็กๆ นั้นก็ลอยออกจากนิ้วเขาไป

 

ขณะที่รูคัสทำการให้เปลวไฟลอยอยู่ในอากาศ หลังจากมันลอยไปมาสักสิบครั้ง เปลวไฟก็ดับลง

 

[ ลองทำตามดูนะครับ ]

 

ผมพูดประโยคเดียวกับรูคัส

 

[ อืมม.. สปิริตแห่งไฟเอ๋ย ได้ยินเสียงของข้ารึไม่!!! ]

 

ผมพูดประโยคเดียวกัน ขณะที่ทำนิ้วชี้ขึ้นเปลวเพลิงก็ปรากฏขึ้นบนนิ้วของผมจากนั้นก็ลอยจากนิ้วของผมออกไป

 

[ อุว๊าาาา! ]

 

ผมหลบเปลวไฟเพราะกลัวเจ็บ หลังจากวิ่งไปมารอบห้องจนเปลวไฟไปชนกับกำแพง จากนั้นเปลวไฟก็ดับลง

 

[ ขอโทษด้วยครับคุณรูคัส ]

 

ผมขอโทษรูคัส

 

[ ไม่เป็นไรขอรับ มันคงจะยุ่งยากน่าดูถ้าผมไม่ทำการติดตั้งเวทมนตร์ป้องกันในห้องไว้ก่อน ดูเหมือนท่านจะไม่สามารถใช้เวทสปิริตได้นะครับ ]

 

รูคัสพูดด้วยท่าทางสนอกสนใจ

 

หลังจากนั้น ผมก็พยายามฝึกแล้วนะ แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้งสปิริตก็จะอาละวาดแล้วพยายามโจมตีใส่ผมซะอย่างนั้น

 

รูคัสบอกว่าเพราะผมไม่ชำนาญในการควบคุมสปิริตไฟ เขาเลยบอกให้ผมลองเรียกสปิริตน้ำที่ใช้งานได้ง่ายกับมนุษย์ได้

 

แต่ไม่ว่าจะเป็นสปิริตน้ำหรือลม ไม่ว่าผมจะเรียกอะไรสุดท้ายก็อาละวาดอยู่ดี ทั้งน้ำท่วมห้องบ้าง ของในห้องกระจัดกระจายบ้าง

 

หลังจากพยายามอย่างหนัก ผมก็สามารถใช้สปิริตระดับต่ำของธาตุน้ำได้ และมันก็ค่อนข้างสะดวกทีเดียว บางทีสปิริตระดับสูงคงจะเป็นภาระที่หนักนาเกินไปสำหรับผม

 

เพราะความไม่เข้าใจกันและสื่อสารกันด้วยคำพูดไม่ได้นั้นล่ะ

 

ผมจำได้ว่าซาซากิ ริโนะเองก็ใช้อะไรที่คล้ายกับสปิริตด้วยสินะ แต่นั่นเป็นสปิริตขั้นสูงเลยล่ะ

 

ความเข้ากันได้ของเธอกับสปิริตคงจะมากพอดู

 

ถึงแม้ว่าสปิริตจะเป็นไปไม่ได้ แต่ผมยังไม่ได้ทดสอบกับสัตว์เวทมนตร์เลยนี่นะ อยากลองดูจัง

 

[ บทเรียนวันนี้พอเท่านี้ขอรับ ]

 

รูคัสปิดหนังสือที่ถืออยู่ในมือ

 

[ เอ่อ คุณรูคัส… ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ?]

 

[ ได้สิครับ ]

 

[ทำไมตอนที่คุณใช้เวทมนตร์ถึงได้เปิดหนังสือล่ะครับ?]

 

[ อ่า หมายถึงเจ้านี้สินะขอรับ นี่คือกริมมัวร์ครับ ]

 

หนังสือเล่มหนึ่งปรากฏออกหลังบนฝ่ามือของรูคัส หลังจากเขาพูดคำนั้น

 

ผมหยักหน้าให้เขา

 

[ ลอร์ดไดร์ฮาร์ด ที่จริงรูคัสผู้นี้ไม่สามารถใช้เวทสปิริตได้หรอกครับ ]

 

[ ? ]

 

ผมเอียงหัวด้วยความสงสัยในคำพูดของเขา

 

[ เอ่อ… แต่ตอนนั้นคุณพึ่งใช้เวทสปิริต ]

 

ผมถามเขา

 

และตอนนี้รูคัสก็กำลังใช้เวทสปิริตอยู่ แล้วทำไมเขาถึงบอกว่าตัวเองใช้ไม่ได้กันล่ะ?

 

[ ผมสามารถใช้ได้เพราะยืมพลังมาจากกริวมัวร์ครับ ซึ่งแท้จริงแล้วข้าใช้เวทสปิริตไม่ได้หรอก แต่เพราะกริวมัวร์แห่งสปิริตไฟเล่มนี้ต่างหาก ]

 

[ เอ่อ งั้นผมเองก็สามารถใช้เวทสปิริตได้เหมือนกันหากใช้กริมมัวร์งั้นเหรอ? ]

 

ถ้ามีของที่สะดวกสบายแบบนั้นอยู่ เขาน่าจะบอกให้เร็วกว่านี้นะ

 

[ อยากจะลองมั้ยครับ? ]

 

[ เอ๊ะ ให้ผมใช้ได้เหรอ?! ]

 

ผมพยักหน้ากับข้อเสนอของรูคัส แล้วได้หนังสือเล่มเล็กๆ เล่มนั้นมาจากรูคัส

 

แล้วเปิดมันออกมา

 

[ เอ๋ พอตอนที่คุณรูคัสใช้มันยังส่องแสงเลยนี่นา ]

 

[ ฟุฟุฟุ กริวมัวร์เล่มนี้เป็นของพิเศษขอรับ ซึ่งมีเพียงข้าที่เป็นเจ้าของเท่านั้นที่ใช้มันได้ ]

 

รูคัสกำลังหัวเราะ

 

[ งั้นเองเหรอครับ… น่าเสียดายนิดหน่อยนะ ]

 

ผมพูดด้วยสีหน้าเศร้า

 

นอกเหนือจากนั้น รูคัสยังสามารถใช้เวทสปิริตและเวทรักษาที่ปกติแล้วตัวเขาใช้ไม่ได้ด้วย ตราบใดที่เขาถือกริมมัวร์ไว้ในมือ ดูเหมือนว่าจำนวนเวทมนตร์ที่เขาใช้ได้นั้นมากกว่าของโมเดสซะอีก

 

แต่โมเดสก็ไม่สามารถสู้กับผู้กล้าได้ เพราะการจะร่ายเวทนั้นจำเป็นต้องอาศัยเวลานานหน่อย การที่เขาจะถือกริมมัวร์ไปด้วย ต่อสู้ไปด้วยจึงเป็นเรื่องลำบากมาก แต่การที่ใช้กริมมัวร์นั้นจะทำให้สูญเสียพลังเวทมากกว่าปกติถึงสองเท่าในการใช้เวทปกติ

 

[ สำหรับข้าแล้ว ช่างอิจฉาท่านลอร์ดไดร์ฮาร์ดจริงๆ ที่สามารถใช้เพลิงทมิฬได้ เพราะถึงแม้ข้าจะใช้กริมมัวร์แต่ก็ใช้เพลิงทมิฬไม่ได้อยู่ดี ]

 

รูคัสพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า

 

หลังจากนั้นเขาก็พึมพำอะไรสักอย่างแล้วยิ้มให้ผม จากนั้นกริวมัวร์ที่ผมถืออยู่ในมือก็หายไป

 

[ เป็นพลังนี้ที่สะดวกสบายจังนะครับ สามารถเอาคืนได้โดยแค่การเรียกไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเลยงั้นเหรอครับ? ]

[ ใช่ขอรับ การเคลื่อนย้ายวัตถุเป็นเรื่องง่ายมากตราบเท่าที่เป็นไอเท็มเวทมนตร์ ดาบของท่านไดร์ฮาร์ดเองก็เหมือนกัน ]

[ เอ๊ะ งั้นเหรอครับ? ]

 

ผมลองเรียกดาบต้องสาปที่ได้จากโมเดส คงไม่ต้องบอกนะ ก็ไอ้ดาบที่เกือบจะฆ่าเรย์จินั้นล่ะ

 

[ ลองเรียกดาบมาที่นี่โดยนึกในใจดูสิครับ ]

 

ผมลองเรียกดาบต้องสาปให้มาอยู่ในมือ

 

จงมา!!!

 

หลังจากั้นไม่กี่วินาที ดาบก็ปรากฏขึ้นในมือของผม

 

[ นี่ก็ถือว่าท่านได้รับการยอมรับจากดาบต้องสาปให้เป็นเจ้านายของมันแล้วครับ อาวุธที่เป็นไอเท็มเวทมนตร์นั้นจะมีเอกลักษณ์ของตัวเอง ดังนั้นหาชื่อให้มันจะดีกว่านะครับ ]

 

ผมมองไปที่ดาบต้องสาป มันเป็นดาบที่ค่อนข้างน่ากลัวและมีลายสีแดงอยู่บนดาบ

 

[ ชื่อของดาบต้องสาปเล่มนี้คือดาบต้องสาป ‘โลหิตดำ’  เพราะมันเป็นดาปต้องสาปที่มีพลังแห่งความมืดและจะค่อยๆ กลืนกินจากภายใน และเพราะการฟันดาบเล่มนี้ก็ทำให้ผู้กล้าถึงกับอยู่ในสภาพปางตายได้เลย ]

 

รูคัสหัวเราะอย่างมีความสุข

 

คำพูดพวกนี้ทำให้หัวใจของผมสั่นระรัว

 

[ เอ่อ… ผมได้ยินมาว่าผู้กล้าปลอดภัยแล้วนั้นมัน…]

 

ถึงผมจะโล่งอกแล้วว่าเรย์จิยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่า…

 

[ ดูเหมือนชีวิตเขาจะยังต่อชีวิตได้อยู่เพราะพลังของเซนต์นะขอรับ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว ]

 

ลูคัสหัวเราะเบาๆ

 

เพราะเรย์จิที่เป็นผู้กล้า ซึ่งเป็นศัตรูของกองทัพปีศาจกำลังจะตาย เขาก็ต้องดีใจอยู่แล้วล่ะ

 

แต่ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น

 

ไม่ว่าผมจะพูดอะไรไป แต่นั้นก็เป็นฝีมือของผมเอง แต่ผมไม่ได้คิดจะฆ่าเรย์จิเลยนะ

 

แม้ว่าผมจะเกลียดขี้หน้าเขา แต่ก็ไม่ได้เกลียดถึงขั้นต้องฆ่าแกงกัน ผมไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเขาสักหน่อย

 

ผมเริ่มกังวลขึ้นมา

 

อืมมม คงจะดีกว่าถ้าผมไปดูสถานการณ์ด้วยตัวเอง

 

เพราะความจริงก็ใช่ว่าผมจะห่วงแค่เรย์จิคนเดียวหรอก

 

ที่ผมเป็นห่วงที่สุดก็คือชิโรเนะต่างหาก

 

ชิโรเนะที่จู่ๆ ก็หายตัวไป

 

แล้วยังมาอยู่บนโลกนี้ พอมองไปที่เธอ ผมก็รู้สึกอดห่วงไม่ได้ทุกที

 

ดังนั้นต้อนนี้คงต้องคิดหาวิธีการค้นหาพวกเขาก่อน

 

[ เอ่อ… คุณลูคัสผมมีเรื่องอยากจะขอร้อง.. ]

 

◆ คุโรกิพบกับราชาปีศาจ

 

[ งั้นรึครับ เพราะคุณเป็นกังวลสภาพของผู้กล้า ข้าเข้าใจแล้ว งั้นข้าจะเตรียมของที่จำเป็นสำหรับออกเดินทางให้ นี่คงเป็นการเดินทางที่ยาวนานน่าดู ]

 

โมเดสพนักหน้าตอบตกลง

 

ผมรู้สึกโล่งใจที่รู้ว่าเขายอมคำตามคำขอร้องของผม

 

ในระหว่างเดินชมปราสาทราชาปีศาจ ผมก็บอกว่าอยากเห็นสภาพของผู้กล้า

 

แม้ว่าในทีแรกมันดูจะเป็นไปไม่ได้ แต่โมเดสก็ยอมรับคำขอของผม เขาคงจะคิดว่าผมอยากดูสภาพผู้กล้าให้แน่ใจว่าตายจริงมั้ย เพราะผมไม่ได้เล่านี่นะว่าทำไมถึงได้อยากรู้สถานการณ์ของพวกผู้กล้า

 

แม้จะโล่งใจที่ได้รับอนุญาตจากโมเดส แต่ตัวผมนั้นแทบไม่มีความรู้ของโลกใบนี้อยู่เลย แต่เพราะความช่วยเหลือจากเขาทำให้การเดินทางของผมง่ายขึ้นเยอะ

 

[ ลูคัส เจ้าจงไปสิ่งของจำเป็นสำหรับออกเดินทางให้ลอร์ดไดร์ฮาร์ดซะ ]

 

ลูคัสก้าวมาข้างหน้าตามเสียงเรียกของโมเดส

 

[ พะยะคะ ข้าได้เตรียมการไว้เสร็จสิ้นตั้งแต่เมื่อวานที่ท่านไดร์ฮาร์ดมาขอปรึกษาแล้วครับ และข้าจะให้ผู้นำทางเดินทางไปพร้อมกับท่านไดร์ฮาร์ดด้วย เพราะเขาแทบไม่รู้เรื่องของโลกมนุษย์เลย จงมาที่นี่เดี๋ยวนี้นัค ]

 

สัตว์ตัวเล็กตัวหนึ่งปรากฏที่ปลายเท้าของลูคัสตามเสียงเรียกของลูคัส

 

มันดูคล้ายกับหนู หรือบางทีจะเป็นกระรอกขนสีแดงกันนะ สัตว์ตัวนั้นเดินมาทางใต้จนถึงเท้าของผม

 

[ ยินดีที่ได้พบท่านไดร์ฮาร์ด ชื่อของข้าคือนัคแห่งเผ่าหนูขอรับ ]

 

หนูที่เรียกตัวเองว่านัคแนะนำตัวกับผม ขณะที่ก้มหัวให้ผมเบาๆ

 

ถ้านี่เป็นสถานการณ์ปกติ ผมคงตกใจที่หนูพูดได้ไปแล้ว แต่เพราะได้เห็นอะไรแปลกๆ ที่นี่มาเยอะ เลยแทบจะไม่ตกใจอีกแล้ว

 

[ ผมชื่อไดร์ฮาร์ด ยินดีที่ได้รู้จักนะนัค ]

 

ผมทักทายกลับ

 

นัคที่ได้รับคำพูดตอบกลับจากผมดูจะตกใจมาก หน้าตกใจแบบหนูล่ะนะ

 

[… ไม่มีอะไรหรอกครับ ข้าก็แค่ไม่อยากเชื่อ เพราะในข่าวลือนั้นบอกว่าท่านเป็นคนที่น่ากลัวมาก ]

 

นัคพูดขึ้นแล้วทำท่ายักไหล่

 

ผมยิ้มให้ขนาดนี้ยังดูเป็นคนน่ากลัวอีกเรอะ

 

แต่ดูเหมือนลูกน้องของโมเดสจะกลัวผมกันนะ

 

ในกรณีลูกน้องของโมเดส เพราะเผ่าปีศาจส่วนใหญ่มีหน้าตาคล้ายมนุษย์ และส่วนใหญ่ก็มีแต่เผ่าทีมีรูปร่างเป็นมอนสเตอร์ทั้งนั้น แต่การที่พวกเขากลัวผมนี่ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยนะ(อย่างที่เคยเกริ่นไว้ เผ่าปีศาจแข็งแกร่งที่สุด)

 

และผมก็ไม่คิดว่าความกลัวจะเป็นเรื่องดีหากผมต้องอยู่ที่นี่

 

ในโลกเดิมของผมมีคนเคยกล่าวไว้ว่าให้ซ่อนสายตาไว้หน่อย เพราะสายตาของผมมันน่ากลัว ต้องขอบคุณเจ้าสายตานี้จริงๆ ที่ทำให้รูปลักษณ์ของผมน่ากลัวไปด้วย (ประชด)

 

แต่ขนาดคน(มอนสเตอร์)ในโลกนี้ก็ยังกลัวน่ากลัวของผม สงสัยผมต้องหาวิธีปิดบังใบหน้าหน่อยแล้วสิ

 

จะทำยังไงดีนะ?

 

ลองไปเต้นแล้วพูดว่า [ ผมไม่น่ากลัวหรอกน้า ~  ผมไม่น่ากลัวหรอกน้า ~ ] ดีมั้ย

 

โมเดสกับคนอื่นคงสงสัยกันน่าดู ถ้าผมทำท่าทางงี่เง่าแบบนั้น

 

[ เอ่อ… ท่านลอร์ดไดร์ฮาร์ด? ]

[ เปล่านะ ผมไม่ได้คิดเรื่องแปลกๆ อยู่หรอกนะ ขอบคุณที่มานำทางให้ผมนะ ]

[ ลองตรวจสอบดูสิครับ นี่เป็นของจำเป็นสำหรับการเดินทางของท่าน ]

 

จากนั้นลูกน้องของลูคัสก็อธิบายเกี่ยวกับอุปกรณ์เวทที่ผมได้มา

 

แผนที่โลก ฮู้ดเวทมนตร์ที่สามารถลบสถานะได้ อัญมณีที่ทำห้ผมสร้างกองทหารเวทมนตร์ของตัวเองได้ อัญมณีที่ผนึกเวทมนตร์เคลื่อนย้ายเอาไว้ อัญมณีที่ใช้แลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินของพวกมนุษย์

 

[ นี่คือของที่จำเป็นครับ ยังมีสิ่งใดต้องการอีกรึไม่ครับ? ]

[ไม่หรอกครับ แค่นี้ผมก็คิดว่ามากพอแล้ว]

 

ผมพูดขอบคุณ เพราะผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกนี้เลย ดังนั้นเลยไม่รู้ด้วยว่าจะต้องเตรียมอะไรไปบ้าง

 

[ ลอร์ดไดร์ฮาร์ด พื้นที่นอกนากอลนี้เป็นอาณาเขตของเหล่าเทพแห่งเอลีอัส หากท่านตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายขอให้ใช้อัญมณีนี้หนีมานะครับ ]

 

โมเดสพูดกับผม

เวทมนตร์เคลื่อนย้ายนั้นสามารถเดินทางไปยังสถานที่ที่ตั้งไว้ล่วงหน้าได้ โดยเพียงแค่ทำให้อัญมณีแตก ซึ่งเป็นอุปกรณ์เวทที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว อัญมณีก้อนนี้ถึงเป็นคนที่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้ก็ยังใช้มันได้

 

“ขอบคุณมากครับ”

 

ผมขอบคุณกับโมเดส

 

ผมต้องตอบแทนบุญคุณครั้งนี้แน่นอน นี่เองก็ถือเป็นสามัญสำนึกทั่วไป

 

หลังจากนั้นผมใช้เวทเคลื่อนย้าย

 

◆ อัศวินดำคุโรกิ

 

[ ที่นี่มันที่ไหนนะ? ]

 

สถานที่ที่ผมเคลื่อนย้ายไปคือสถานที่มืดๆ ที่ไร้ผู้คน

 

[ นี่คือจุดป้องกันยุทธศาสตร์ที่เทือกเขาอาเครอนครับ อันที่จริงเพราะอัศวินหลายคนที่ประจำการอยู่ที่นี่ได้รับบาดแผลสาหัสไม่ก็เสียชีวิตในการต่อสู้กับพวกผู้กล้า พวกเขาจึงไม่อาจมาต้อนรับพวกเราได้ครับ… ]

 

นัคอธิบายให้ผมฟังด้วยความห่อเหี่ยว

 

เทือกเขาอาเครอนเป็นเขตแดนที่แบ่งแยกระหว่างโลกมนุษย์กับนากอล

 

โดยมีอัศวินดำขี่ไวเวิร์นคอยปกป้องเส้นทางนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครบุกรุกเข้ามาได้ นี่สินะ จุดป้องกันยุทธศาสตร์

 

หลังจากเตรียมตัวพร้อมสำหรับการเดินทาง ผมก็ออกมาจากปราสาทด้วยเวทมนตร์

 

ตอนนี้เรามาถึงภูเขาที่กำลังลงไปสู่โลกมนุษย์แล้ว

 

[ และปกติจะมีไวเวิร์นคอยรับส่งเราไปที่เชิงเขาด้วยนะครับ มันน่าจะยืนอยู่ข้างๆ นี้… ]

 

ความจริงการลงจากเขาด้วยเวทมนตร์บินมันเร็วกว่าอีกนะ แต่เราก็ตัดสินใจจะขี่ไวเวิร์นลงมาแทน เพราะผมอยากลองขี่ดูนี่นา

 

อัศวินดำคนหนึ่งกำลังขี่ไวเวิร์น

 

อัศวินดำขี่ไวเวิร์นของเขาไปใต้ๆ อาคารจากนั้นก็กระโดดจากหลังมันลงมา

 

[ ยินดีที่ได้พบครับฝ่าบาทไดร์ฮาร์ด ข้าคืออัศวินกอร์ด]

 

อัศวินดำถอดหมวกแล้วแนะนำตัว

 

ถ้าเทียบกับอายุของมนุษย์ เขาน่าจะอายุประมาณช่วงวัยรุ่นถึงอายุ 20 เท่านั้นเอง

 

ลูคัสได้บอกผมเกี่ยวกับเผ่าปีศาจมาแล้ว

 

เผ่าปีศาจคือเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดของนากอล มีลักษณะคล้ายมนุษยทุกอย่าง ยกเว้นแต่เพียงเขาที่งอกอยู่บนหัวสองข้างเท่านั้น และยังเป็นเผ่าที่เยี่ยมยอดทั้งพลังกายและพลังเวทมนตร์

 

แต่หากพูดถึงจุดอ่อนใหญ่ของพวกเขาก็คือจำนวนที่น้อยมาก จำนวนของพวกเขามีไม่ถึง 1 ใน 20 ของเผ่าออคที่เป็นเผ่าที่มีประชากรมากที่สุดในนากอลเลย

 

และลูคัสยังบอกอีกว่า อัศวินดำนั้นส่วนใหญ่เป็นอัศวินชั้นเลิศของนากอลกันทั้งนั้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือคนของเผ่าปีศาจ

 

บางทีใบหน้าของอัศวินกอร์ดคงแข็งไป เพราะกำลังเครียดสินะ

 

[ ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณกอร์ด ไม่จำเป็นนักพิธีการนักก็ได้ ]

 

พูดตามตรงนะ ผมรู้สึกแปลกๆ เวลาเขาเรียกผมว่าฝ่าบาท พอโดนเรียกแบบนั้นแล้วรู้สึกไม่ดีเลย และเขายังอายุน่าจะมากกว่าผมซะอีก

 

ผมสังเกตร่างกายของกอร์ดกำลังสั่นเทา

 

นี่เขากำลังกลัวผมงั้นเหรอ?

 

ถือเป็นความจริง ผมนี่ล่ะที่จะตกใจ

 

[ ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้ขอรับ เพราะท่านคือผู้ที่อยู่ตำแหน่งรองแค่เพียงจากราชาแห่งนากอลครับฝ่าบาท! ]

 

ผมไม่รู้ว่าเพราะเขากำลังพูดความจริงหรือเพราะเครียดเกินไป หรือว่าเพราะเขากลัวกันแน่

 

แต่ดูแล้วแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้เขาเลิกพูดด้วยคำพูดทางการ

 

[ ห-หลังจากนี้ข้าจะเป็นผู้พาฝ่าบาทไปยังสุดปลายของเทือกเขาเองครับ ]

 

กอร์ดพูดแล้วบอกให้เราไปนั่งบนหลังของไวเวิร์น

 

[…. งั้นผมจะรอวันที่เราจะได้ต่อสู้ร่วมกันนะกอร์ด ]

[ร-รับทราบครับ]

 

หลังจากนั้นผมก็ขึ้นไปยังบนหลังของไวเวิร์น

 

สายลมราวกับถูกหั่นเป็นชิ้นด้วยปีกของไวเวิร์น

 

จนผมเผลอปล่อยเสียง “โอ๊” ออกไป

 

มันรู้สึกดีใช้ได้เลยนะเนี่ย

 

ทันทีที่ไวเวิร์นบินขึ้นผมก็มองเห็นจุดป้องกันเป็นจุดๆ

 

ความรู้สึกเวลาได้บินบนฟ้านี่รู้สึกดีจังแฮะ อยากได้ไวเวิร์นของตัวเองสักตัวจัง

 

พอผมคิดแบบนั้น ไวเวิร์นก็เริ่มลดระดับความสูงลง

 

[มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอกอร์ด?]

 

ทั้งที่ท้องฟ้าก็สดใส ทำไมเขาถึงได้ลดระดับความสูงลงล่ะ

 

[ร เราต้องบินต่ำไว้ เพราะจากนี้จะมีการเฝ้าตรวจตราที่เข้มงวดขึ้นครับ ]

 

เฝ้าตรวจตราที่ว่าหมายถึงอะไรนะ?

 

[ ท่านไดร์ฮาร์ด อาณาเขตนี่อยู่ภายใต้การดูแลของอัศวินศักดิ์สิทธิ์จากเอลีออส หากเราบินสูงกว่าระดับ พวกเขาอาจจะรู้ตำแหน่งของเราได้ครับ ]

 

นัคที่อยู่ในถุงเสื้อผ้าผมอธิบาย

 

จากคำอธิบายของนัคบอกว่า อัศวินศักดิ์สิทธิ์ของเอลีอัสนั้นเหมือนกับตำรวจซึ่งมีทั้งเผ่านางฟ้าและยังมีวีรบุรุษของเผ่ามนุษย์ด้วย มนุษย์นั้นได้ให้คำมั่นว่าจะภักดีต่อราชาเทพจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่นากอลและเอลีออสจะเป็นพันธมิตรกัน แล้วก็อัศวินศักดิ์สิทธิ์นี่มันก็ตรงข้ามกับอัศวินดำเลยนี่นะ

 

และเพราะการบุกรุกของเรย์จ์ทำให้อัศวินศักดิ์สิทธิ์ได้เข้ามายังเขตนานฟ้าของดินแดนนากอล ดังนั้นการบินต่ำไว้เพื่อไม่ให้พวกเขาพบจะเป็นการดีกว่า

 

กอร์ดตึงเครียดมาก อาจจะเป็นเพราะการขี่ไวเวิร์นในระดับความสูงเท่านี้นั้นมันอันตรายมาก

 

[…. เหมือนกับว่าคุณไม่ค่อยได้ขี่ไวเวิร์นบ่อยๆ เลยนะครับคุณกอร์ด ]

 

เพราะอัศวินดำกำลังประสบปัญหาขาดแคลนคน ทำให้เขาที่ปกติขี่เป็นแต่เพียงม้าต้องมาขี่ไวเวิร์นแทน

 

[…. แต่ถ้าเป็นระดับความสูงเท่านี้ เราอาจจะตกเป็นเป้าของพวกก๊อปลินก็ได้ครับ]

 

[เอ๊ะ ทำไมก็อปลินถึงได้โจมตีเราล่ะ?]

 

ลูคัสบอกผมเกี่ยวกับปีศาจมาบ้างนิดหน่อย ก๊อปลินก็คือปีศาจน่าตาน่าเกลียด ผิวสีเขียว สูงประมาณ 140 เซนติเมตร พวกมันมีหัวที่แข็งยิ่งกว่าเหล็กและมีความสามารถพิเศษด้านดนตรีด้วย

 

แต่ถึงก๊อปลินจะเป็นปีศาจ แต่ดูท่าพวกมันจะไม่ใช่ลูกน้องของโมเดส

 

นั่นล่ะคำตอบที่ผมได้มา

 

[ ก๊อปลินแถบนี้ไม่ใช่ลูกน้องของท่านโมเดสหรอกครับ ]

 

ตามที่นัคบอก โมเดสนั้นคือผู้ปกครองของเผ่าปีศาจ เขาถูกเรียกเช่นนั้นเพราะไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ในนากอลและปีศาจส่วนมากก็อาศัยอยู่ในนากอล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าปีศาจที่อยู่นอกนากอลจะเป็นลูกน้องของโมเดสไปด้วย ตรงกันข้ามยังมีเหล่าปีศาจที่อยู่นอกนากอลที่ไม่เชื่อฟังโมเดสอยู่อีกมาก

 

และก๊อปลินแถวนี้ก็เป็นเช่นนั้น มีเพียงแค่ปีศาจไม่มากที่ยอมทำตามคำสั่งของโมเดสสินะ

 

ถึงขนาดมีคนที่อยากจะเป็นราชาปีศาจเองซะด้วยซ้ำ

 

แต่ถึงแม้โมเดสจะมีพลังมากพอที่จะทำให้เผ่าปีศาจทั้งหมดบนโลกนี้สยบแทบเท้าตัวเอง แต่เขาก็ไม่ทำและไม่เคยไปโจมตีเมืองของมนุษย์เลย

 

แต่ดูเหมือนผู้คนจะคิดว่าปีศาจที่อยู่นอกนากอลโจมตีมนุษย์เพราะคำสั่งของราชาปีศาจ นี่เองก็เป็นความจริงอีกข้อหนึ่ง

 

สรุปก็คือลูกน้องของโมเดสไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลย แต่ที่เกิดปัญหาก็เพราะปีศาจจากภายนอกต่างหาก

 

ผมจับดาบต้องสาปที่เอวเอาไว้ เพราะถ้าจะเรียกดาบมันจะช้ากว่านิดหน่อย

ในสถานการณ์แบบนี้ เราไม่รู้ว่าจะมีปีศาจดักโจมตีมาจากทางไหนบ้าง

 

ตอนที่ผมกำลังคิดนั้นเองก็มีลูกธนูลอยมาจากข้างล่าง

 

[ก-ก๊อปลิน!]

 

นัคพูดด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว

 

เมื่อผมมองลงไปก้เห็นสิ่งมีชีวิตสีเขียวคล้ายเด็กกำลังชี้มาทางเรา

ไวเวิร์นตกเป็นเป้าของลูกธนู

 

[ เย็นไว้! บอกให้ใจเย็นไว้!! ]

 

ความพยายามที่จะหยุดอาการร้อนใจของไวเวิร์นดูจะไร้ผล

กอร์ดพยายามขี่ไวเวิร์นโดยหลบลูกธนูที่ยิงมา

 

[ อุโว้วว!! ]

 

ผมเผลอร้องออกไปโดยไม่ตั้งใจ

 

เราห่างจากระยะของลูกธนูมาพอควรแล้ว

 

[ เย็นไว้! เย็นไว้! ]

 

ไวเวิร์นสงบสติได้หลังจากเราหนูออกมาจากห่าธนูได้

 

[ ตอนนี้เราปลอดภัยแล้วใช่มั้ย…]

 

ผมแสดงท่าทีโล่งใจ แต่กอร์ดกลับมีสีหน้าหวาดกลัว

 

[ ร ร เราถูกพบแล้วครับ! ]

 

เมื่อผมมองไปยังทิศที่กอร์ดชี้ก็เห็นคนที่มีปีกติดอยู่ข้างหลังกำลังตามเรามา มีประมาณ 10 คนเห็นจะได้

 

ชายมีปีกสวมเกราะสีทองถือธนูเล็งมาทางพวกเรา

 

[ พวกนั้นมันเผ่านางฟ้า อัศวินศักดิ์สิทธิ์!! หนีเร็วลอร์ดกอร์ด!! ]

 

เผ่านางฟ้าคือเผ่าที่มีลักษณะคล้ายกับมนุษย์แต่มีปีกติดอยู่ที่หลัง

 

การบินด้วยปีกของเผ่านางฟ้านั้นไม่จำเป็นต้องใช้เวทมนตร์ ดังนั้นพวกเขาเลยสามารถใช้ได้ทั้งดาบและเวทมนตร์ขณะอยู่กลางอากาศ

 

เพราะเดิมทีคนบนโลกนี้ต่อสู้ขณะที่ใช้เวทมนตร์บินไม่ได้ ดังนั้นการสู้กับเผ่านางฟ้าจึงถือเป็นศัตรูตัวฉกาจ

 

แม้ว่าตอนนี้กอร์ดจะอยู่บนหลังไวเวิร์นแต่ก็อาจจะแพ้ได้เพราะเขายังไม่เคยชำนาญการขี่ไวเวิร์น

 

ขนาดตอนที่นัคเตือนแล้วบอกเขาให้หนี กอร์ดยังเอาแต่หันไปหันมาอยู่เลย

 

เมื่อผมคิดว่าไม่มีทางเลือก ผมเลยใช้เวทมนตร์บิน

 

[ ฝาบาท!? ]

 

[ คุณกอร์ดให้ความสำคัญกับการขี่ไวเวิร์นไปเถอะครับ ทางนี้ให้ผมจัดการเอง ]

 

เมื่อพูดจบ ผมก้ตรงดิ่งเข้าไปหาเหล่านางฟ้า

 

เหล่านางฟ้ายิงธนูมาทางผม

 

แต่ธนูมันจะช้าเกินไปแล้ว

 

[ ฮาา!! ]

 

ผมตวัดดาบแล้วทำให้ลูกธนูหายไป

 

[ ไม่จริง!!! ]

 

เหล่านางฟ้าตะโกนด้วยเสียงหวาดกลัว

 

[เพลิงทมิฬ!!]

 

ผมปล่อยเพลิงสีดำขนาดมหึมากลางอากาศขณะที่ลอยอยู่บนฟ้า

 

[ เพลิงพิษ!! ]

 

ไฟสีดำแผ่ขยายออกไปยังเหล่านางฟ้า

 

ที่จริงผมแค่คิดจะทำให้พวกเขาตกใจ ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเลยสักนิด

 

แต่ดูเหมือนมันจะได้ผลมากกว่าที่คิด

 

[ไฟสีดำ… นั่นมันรันฟิว! หนีเร็วเข้า!!]

 

พวกเขาคงเข้าใจผิดว่าผมเป็นรันฟิว เพราะผมสวมเกราะสีดำไว้อยู่  พวกนางฟ้าเลยไม่รู้ว่าผมเป็นใคร

 

จากนั้นผมก็กลับไปนั่งที่ข้างหลังไวเวิร์นเหมือนเดิม

 

[ สุดยอด… ]

 

ผมได้ยินเสียงพึมพำของกอร์ด

 

[ ผมไล่พวกนางฟ้าไปให้แล้ว คุณกอร์ดช่วยบินให้สูงๆ ทีได้ไหมครับ?]

 

ผมยิ้มให้กอร์ด

 

[ ร-รับทราบแล้วครับ!! ]

 

กอร์ดพูดด้วยความรู้สึกยกย่อง

 

ไวเวิร์นตัดผ่านอากาศขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

นี่มันยอดเลยแฮะ

 

แต่ผมสนุกไปกับทิวทัศน์ด้วยท่าทางสนุกไม่ได้ เพราะต้องตั้งสมาธิเวทมนตร์บางส่วนไปที่เวทมนตร์สำหรับบินด้วย การบินไปบนท้องฟ้านี่ขึ้นขี่หลังอะไรสักอย่างคงดีกว่าสินะ

 

ดีล่ะ ผมคิดได้แล้ว ถ้าผมกลับไปผมจะขอไวเวิร์นสักตัว

 

ในที่สุดเราก็มาถึงจุดสิ้นสุดของเทือกเขาอาเครอน

 

[ ขอบคุณมากคุณกอร์ด ]

 

ผมกระโดดลงจากหลังไวเวิร์นและขอบคุณกอร์ด

 

[ รู้สึกเป็นพระคุณมากครับ!!]

 

กอร์ดนี่จะเครียดตั้งแต่ต้นจนจบเลยสินะ

 

แต่ผมรู้สึกว่าเขาจะดูผ่อนคลายขึ้นกว่าตอนที่พบกันตอนแรกอยู่หรอก

 

[ ขอภาวนาให้ท่านเดินทางปลอดภัยครับฝ่าบาท!! ]

[ ขอบคุณมากกอร์ด ]

 

หลังจากนั้นเขาก็ขึ้นไวเวิร์นไป

 

เอาล่ะ จากนี้ไปเราต้องเดินเท้าแล้ว

 

ตามที่นัคบอก ดูเหมือนว่าสถานที่ที่เรย์จิอยู่จะเป็นประเทศอื่น เป็นประเทศที่เรียกว่าอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์เลนาเรีย

 

แม้ว่าผมจะใช้เวทเคลื่อนย้ายได้แต่ก็ใช้ไปยังสถานที่ที่ยังไม่ได้ทำเครื่องหมายไม่ได้

 

แม้ว่าระยะทางไปยังอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์เลนาเรียจะไกลอยู่มาก แต่คนต่างโลกที่มายังโลกนี้ก็เหมือนกับจอมพลัง ถ้าวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดของผมอาจจะใช้เวลาไม่นานก็ได้

 

[ เราไปกันเถอะนัค ]

 

และนี่คือก้าวแรกของผมสู่โลกมนุษย์

 

ตอนก่อน
ตอนต่อไป

ความคิดเห็นทั้งหมดของ "ตอนที่ 7"

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

*

*

  • อ่านนิยาย
  • แทงหวย24

© 2020 cat-novel.com
เว็บอ่านนิยาย นิยาย pdf เว็บ “cat-novel.com” เว็บอ่านนิยายสนุกๆ เพลิดเพลินไปกับนิยายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นิยายวาย, นิยายจีน, นิยายรัก, แฟนตาซี, กำลังภายใน, ผจญภัย สุดยอดวิชากำลังภายใน อัพเดททุกวัน พร้อมรองรับการอ่านบนมือถือ คอมพิวเตอร์ ไอแพด หรือแท็บเล็ต อ่านได้ตลอดเวลา ไม่มีโฆษณา อ่านนิยายฟรีต้อง เว็บ ”cat-novel.com”
นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์