อัศวินดำ - ตอนที่ 7
◆ เด็กหนุ่มผู้ผันตัวกลายเป็นอัศวินดำคุโรกิ
[ และนี่คือเวทมนตร์บินขอรับท่านไดร์ฮาร์ด ]
รูคัสกำลังคุยกับผมขณะที่ผมลอยอยู่กลางห้อง
นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน หลังจากที่ผมต่อสู้กับเรย์จิ ผมได้รับการสอนเวทมนตร์จากรูคัสในห้องๆ หนึ่งของปราสาทราชาปีศาจ
หลังจากต่อสู้กับเรย์จิ ผมก็ได้รับคำชมจากโมเดสใหญ่เลย
สถานะปัจจุบันของผมในนากอลจึงกลายเป็นอันสอง เป็นรองแค่เพียงโมเดส
ผมก็ดีใจหรอกนะที่ตัวเองได้รับการเทิดทูญแต่ผมอยากให้เขาเลิกกอดผมสักทีนะ เขากอดผมขณะที่พูดว่า [ โอ้ เพื่อนรักของฉัน ] อยู่นั้นล่ะ
แต่รอเดี๋ยวก่อนนะ มันก็ช่วยไม่ได้ที่ผมจะได้รับรางวัลตอบแทนนี่นะ
จากที่โมเดสเล่ามา ดูเหมือนผมจะกลับโลกของผมด้วยเวทมนตร์อัญเชิญที่ใช้เรียกผมไม่ได้ ไม่งั้นผมจะติดอยู่ระหว่างช่องว่างมิติระหว่างการส่งไปยังต่างโลก ดังนั้นเวทที่ใช้ในการกลับจึงต่างกัน
น่าเสียดายที่โมเดสดูจะไม่มีประสบการณ์ในการใช้เวทมนตร์แบบนี้ แม้เขาจะเป็นคนอัญเชิญผมมาก็เถอะ
แต่โมเดสสัญญาว่าจะหาวิธีที่ปลอดภัยในการส่งผมกลับยังโลกเดิมให้ได้
ที่เอลีอัสอาจจะพอมีวิธีที่ทำให้ผมกลับไปได้ใช่มั้ย?
พอผมถามเขาดู
โมเดสบอกว่าความเป็นไปได้ค่อนข้างต่ำ
แม้ผมจะนึกสสัยว่าโมเดสเอาความเชื่อมั่นแบบนั้นมาจากไหน แต่ดูเหมือนความแหล่งข้อมูลของเขาจะน่าเชื่อถือนะ
เรื่องมันคงกลับตาลปัตรถ้าโมเดสเลือกที่จะโกหกผม แล้วใช้เหตุผลเดียวกันว่า “ถ้าเจ้าไม่จัดการผู้กล้า ข้าจะไม่ส่งเจ้ากลับไปยังโลกเดิม”
อีกอย่างผมไม่คิดว่าโมเดสจะพูดคำพูดพวกนั้นออกมาหรอก
และพอผมมองดูโมเดสเวลาที่เขาคุยกับโมน่านั้นคืออาการของคน ‘เดเระเดเระ(รักหมดใจ)ชัดๆ’
สองคนนี้นี่เหมือนกับพวกคู่รักงี่เง่าเลยนะ
ถ้างั้นแล้วเหตุผลที่ผมต่อสู้คือเพื่ออะไร?
ก็เพราะโมโหเจ้าพวกคนจากเอลีอัสที่มาอัญเชิญคนอื่นมายังต่างโลก แต่กลับไม่มีวิธีส่งกลับไปนะสิ
ผมคิดว่าเรย์จิเองก็คงถูกเทพธิดาแสนสวยล่อลวงจนหลงคารมเข้า แต่สำหรับเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกเธอถึงต่อสู้ด้วย
เรย์จิกับคนอื่นๆ เองก็คงอยากกลับไปที่โลกเดิมเหมือนกัน
จะว่าไปเมื่อตอนบ่ายวันนี้ ผมได้ข่าวมาว่าเรย์จิถูกช่วยเอาไว้ได้อย่างปลอดภัยแล้วล่ะ
โล่งอกไปที เพราะที่จริงผมก็ไม่ได้อยากจะฆ่าเรย์จิหรอกนะหรือพยายามฆ่าเขาหรอกนะ ผมยังไม่คิดว่าเขาน่ารังเกียจจนถึงขั้นต้องฆ่าทิ้งหรอกน่า
ด้วยความโล่งใจ ผมจึงได้มาเรียนวิธีการใช้เวทมนตร์ของโลกนี้จากรูคัส
ผมต้องการข้อมูลโดยไม่สนใจว่ามันจะสำคัญแค่ไหน
ชายแก่ที่มีเขางอกขึ้นจากหัวและมีหูแหลมข้างหน้าผมนั้นดูเหมือนว่าเขาจะเป็นนักปราชญ์และเป็นคนที่ฉลาดที่สุดแถมยังเป็นถึงนายกรัฐมนตรีของนากอล นี่เขาควรไปทำงานจะดีกว่ามั้ย ไม่เห็นจำเป็นต้องมาทำอะไรอย่างการสอนผมเลย แต่เอาเถอะ เขาก็ดูกระปรี้กระเปร่าที่ได้เป็นอาจารย์ให้ผม
ตอนนี้ผมกำลังเรียนเรื่องการใช้เวทมนตร์
[.. ท่านดูจะใช้เวทมนตร์บินได้ไม่มีปัญหานะขอรับ แต่โปรดระวังด้วยเพราะเวลาที่ท่านใช้เวทมนตร์นี้อยู่ท่านจะใช้เวทมนตร์อื่นไม่ได้จนกลายเป็นเป้าของธนูได้ขอรับ… ]
ผมสร้างลูกบอลไฟสีดำบนนิ้วขณะที่ลอยอยู่กลางอากาศ
[… ถึงแม้ว่าข้าจะบอกให้ท่านระวัง แต่ดูแล้วความเป็นห่วงของข้าจะไม่มีผลกับท่านเลยนะขอรับท่านไดร์ฮาร์ด ]
รูคัสบอกผมด้วยความประหลาดใจ
เดาจากเสียงของรูคัสดู ท่าทางการใช้เวทมนตร์สองอย่างพร้อมกันจะเป็นเรื่องที่ยากพอดู
[ ทั้งท่านและผู้กล้าต่างก็เป็นคนจากอีกโลกหนึ่ง ช่างลึกลับเสียจริง มนุษย์ปกตินั้นต้องฝึกฝนอย่างยากลำบากถึงจะควบคุมเวทมนตร์บินได้… และลอร์ดไดร์ฮาร์ดยังสามารถใช้เวทมนตร์ระดับสูงที่เหมือนกับผู้บัญชาการทัพปีศาจได้อีกด้วย ]
พอพูดอย่างนั้นแล้ว ดูเหมือนเรย์จิและคนอื่นๆ ก็ใช้เวทมนตร์ระดับสูงได้ง่ายดายเหมือนเป็นเรื่องปกติเลยนี่นะ ปกติแล้วไม่มีทางใช้ได้หรอกตราบใดที่ไม่ฝึกฝนอย่างหนักน่ะ
และดูเหมือนพวกเขาจะมีความสามารถด้านเวทมนตร์ที่สูงเหมือนกับผม หากมีใครมาถามเหตุผลล่ะก็ ผมคงตอบได้แต่ว่า… ผมก็ไม่รู้ครับ
ผมยกเลิกเวทมนตร์บินจากนั้นก็ลงมาที่พื้น
[ และเพลิงทมิฬนั้นมันน่าจะเป็นสิ่งที่ลอร์ดรันฟิวเพียงคนเดียวที่ใช้ได้แต่ท่านลอร์ดไดร์ฮาร์ดกลับใช้ได้ด้วย ช่างน่าสนใจจริงๆ ไอ้การที่ท่านใช้เพลิงทมิฬได้โดยไม่เคยใช้เวทไฟธรรมดามาก่อน… บอกตามตรงนี่มันผิดสามัญสำนึกมากเลยขอรับ ]
รูคัสส่ายหัวราวกับไม่อยากเชื่อไม่สิ่งที่เห็น
[ แต่มันจะไม่สะดวกหากท่านไม่สามารถใช้เวทไฟปกติได้ งั้นเรามาลองใช้เวทมนตร์ไฟจากสปิริตแห่งไฟกันเถอะขอรับ ]
รูคัสจ้องมองบางอย่าง จากนั้นหนังสือก็ปรากฏขึ้นมาในมือของรูคัส
[ เอาล่ะ มาลองใช้เวทมนต์จากสปิริตกันเถอะขอรับ แต่ขอให้ท่านระวังไว้ด้วย เพราะเวทมนร์นี้แตกต่างจากเวทมนตร์อื่นที่ข้าเคยสอนจนถึงตอนนี้ ]
ผมนึกถึงเวทมนตร์ก่อนหน้านี้ที่รูคัสสอนมา
ดูเหมือนว่าเวทมนตร์ที่โลกนี้จะมีระบบอยู่สองแบบใหญ่ๆ คือเวทมนตร์จากพลังเวทของตัวเองและเวทมนตร์ที่แหล่งพลังเวทมาจากภายนอก ซึ่งดูเหมือนว่าเวทมนตร์บินนั้นจะเป็นแบบใช้พลังเวทของตัวเอง ในช่วงถัดมาจึงพัฒนาเป็นเวทมนตร์ที่ใช้พลังของสปิริต
เวทมนตร์จากสปิริตนั้นจะเป็นตามความปรารถนาของตัวเองที่อยากจะใช้เวทมนตร์ เราไม่สามารถมองเห็นสปิริตได้ ไม่ว่าจะสื่อสารหรืออะไรก็ตาม แต่เหล่าสปิริตจะได้ยินคำขอของเรา ซึ่งการจะใช้เวทมนตร์ประเภทนี้ได้จำเป็นต้องมีใจหลอมรวมกับสปิริตจึงจะสามารถใช้ได้
ดูเหมือนว่าเรื่องจิตใจนั้นจะสามารถทำได้ง่ายๆ หากเป็นคนที่มีสติปัญญา ฉลาดพอควร ซึ่งคนเราเมื่อมีความรู้ที่สูงขึ้นจะทำให้เข้าใจสัตว์เดรัจฉานหรือจิตวิญญาณได้ ดังนั้นถึงจะเป็นผู้ที่มีพลังเวทมนตร์สูงเพียงใดแต่ถ้าไม่มีความเข้าใจต่อเวทมนตร์นี้ก็ใช้ไม่ได้
[ โอ้ สปิริตแห่งไฟเอ๋ย ได้ยินเสียงของข้ารึไม่ ]
เปลวไฟขนาดเล็กปรากฏที่ปลายนิ้วของรูคัส
จากนั้นเมื่อเขาชี้นิ้วออกไป เปลวไฟเล็กๆ นั้นก็ลอยออกจากนิ้วเขาไป
ขณะที่รูคัสทำการให้เปลวไฟลอยอยู่ในอากาศ หลังจากมันลอยไปมาสักสิบครั้ง เปลวไฟก็ดับลง
[ ลองทำตามดูนะครับ ]
ผมพูดประโยคเดียวกับรูคัส
[ อืมม.. สปิริตแห่งไฟเอ๋ย ได้ยินเสียงของข้ารึไม่!!! ]
ผมพูดประโยคเดียวกัน ขณะที่ทำนิ้วชี้ขึ้นเปลวเพลิงก็ปรากฏขึ้นบนนิ้วของผมจากนั้นก็ลอยจากนิ้วของผมออกไป
[ อุว๊าาาา! ]
ผมหลบเปลวไฟเพราะกลัวเจ็บ หลังจากวิ่งไปมารอบห้องจนเปลวไฟไปชนกับกำแพง จากนั้นเปลวไฟก็ดับลง
[ ขอโทษด้วยครับคุณรูคัส ]
ผมขอโทษรูคัส
[ ไม่เป็นไรขอรับ มันคงจะยุ่งยากน่าดูถ้าผมไม่ทำการติดตั้งเวทมนตร์ป้องกันในห้องไว้ก่อน ดูเหมือนท่านจะไม่สามารถใช้เวทสปิริตได้นะครับ ]
รูคัสพูดด้วยท่าทางสนอกสนใจ
หลังจากนั้น ผมก็พยายามฝึกแล้วนะ แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้งสปิริตก็จะอาละวาดแล้วพยายามโจมตีใส่ผมซะอย่างนั้น
รูคัสบอกว่าเพราะผมไม่ชำนาญในการควบคุมสปิริตไฟ เขาเลยบอกให้ผมลองเรียกสปิริตน้ำที่ใช้งานได้ง่ายกับมนุษย์ได้
แต่ไม่ว่าจะเป็นสปิริตน้ำหรือลม ไม่ว่าผมจะเรียกอะไรสุดท้ายก็อาละวาดอยู่ดี ทั้งน้ำท่วมห้องบ้าง ของในห้องกระจัดกระจายบ้าง
หลังจากพยายามอย่างหนัก ผมก็สามารถใช้สปิริตระดับต่ำของธาตุน้ำได้ และมันก็ค่อนข้างสะดวกทีเดียว บางทีสปิริตระดับสูงคงจะเป็นภาระที่หนักนาเกินไปสำหรับผม
เพราะความไม่เข้าใจกันและสื่อสารกันด้วยคำพูดไม่ได้นั้นล่ะ
ผมจำได้ว่าซาซากิ ริโนะเองก็ใช้อะไรที่คล้ายกับสปิริตด้วยสินะ แต่นั่นเป็นสปิริตขั้นสูงเลยล่ะ
ความเข้ากันได้ของเธอกับสปิริตคงจะมากพอดู
ถึงแม้ว่าสปิริตจะเป็นไปไม่ได้ แต่ผมยังไม่ได้ทดสอบกับสัตว์เวทมนตร์เลยนี่นะ อยากลองดูจัง
[ บทเรียนวันนี้พอเท่านี้ขอรับ ]
รูคัสปิดหนังสือที่ถืออยู่ในมือ
[ เอ่อ คุณรูคัส… ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ?]
[ ได้สิครับ ]
[ทำไมตอนที่คุณใช้เวทมนตร์ถึงได้เปิดหนังสือล่ะครับ?]
[ อ่า หมายถึงเจ้านี้สินะขอรับ นี่คือกริมมัวร์ครับ ]
หนังสือเล่มหนึ่งปรากฏออกหลังบนฝ่ามือของรูคัส หลังจากเขาพูดคำนั้น
ผมหยักหน้าให้เขา
[ ลอร์ดไดร์ฮาร์ด ที่จริงรูคัสผู้นี้ไม่สามารถใช้เวทสปิริตได้หรอกครับ ]
[ ? ]
ผมเอียงหัวด้วยความสงสัยในคำพูดของเขา
[ เอ่อ… แต่ตอนนั้นคุณพึ่งใช้เวทสปิริต ]
ผมถามเขา
และตอนนี้รูคัสก็กำลังใช้เวทสปิริตอยู่ แล้วทำไมเขาถึงบอกว่าตัวเองใช้ไม่ได้กันล่ะ?
[ ผมสามารถใช้ได้เพราะยืมพลังมาจากกริวมัวร์ครับ ซึ่งแท้จริงแล้วข้าใช้เวทสปิริตไม่ได้หรอก แต่เพราะกริวมัวร์แห่งสปิริตไฟเล่มนี้ต่างหาก ]
[ เอ่อ งั้นผมเองก็สามารถใช้เวทสปิริตได้เหมือนกันหากใช้กริมมัวร์งั้นเหรอ? ]
ถ้ามีของที่สะดวกสบายแบบนั้นอยู่ เขาน่าจะบอกให้เร็วกว่านี้นะ
[ อยากจะลองมั้ยครับ? ]
[ เอ๊ะ ให้ผมใช้ได้เหรอ?! ]
ผมพยักหน้ากับข้อเสนอของรูคัส แล้วได้หนังสือเล่มเล็กๆ เล่มนั้นมาจากรูคัส
แล้วเปิดมันออกมา
[ เอ๋ พอตอนที่คุณรูคัสใช้มันยังส่องแสงเลยนี่นา ]
[ ฟุฟุฟุ กริวมัวร์เล่มนี้เป็นของพิเศษขอรับ ซึ่งมีเพียงข้าที่เป็นเจ้าของเท่านั้นที่ใช้มันได้ ]
รูคัสกำลังหัวเราะ
[ งั้นเองเหรอครับ… น่าเสียดายนิดหน่อยนะ ]
ผมพูดด้วยสีหน้าเศร้า
นอกเหนือจากนั้น รูคัสยังสามารถใช้เวทสปิริตและเวทรักษาที่ปกติแล้วตัวเขาใช้ไม่ได้ด้วย ตราบใดที่เขาถือกริมมัวร์ไว้ในมือ ดูเหมือนว่าจำนวนเวทมนตร์ที่เขาใช้ได้นั้นมากกว่าของโมเดสซะอีก
แต่โมเดสก็ไม่สามารถสู้กับผู้กล้าได้ เพราะการจะร่ายเวทนั้นจำเป็นต้องอาศัยเวลานานหน่อย การที่เขาจะถือกริมมัวร์ไปด้วย ต่อสู้ไปด้วยจึงเป็นเรื่องลำบากมาก แต่การที่ใช้กริมมัวร์นั้นจะทำให้สูญเสียพลังเวทมากกว่าปกติถึงสองเท่าในการใช้เวทปกติ
[ สำหรับข้าแล้ว ช่างอิจฉาท่านลอร์ดไดร์ฮาร์ดจริงๆ ที่สามารถใช้เพลิงทมิฬได้ เพราะถึงแม้ข้าจะใช้กริมมัวร์แต่ก็ใช้เพลิงทมิฬไม่ได้อยู่ดี ]
รูคัสพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า
หลังจากนั้นเขาก็พึมพำอะไรสักอย่างแล้วยิ้มให้ผม จากนั้นกริวมัวร์ที่ผมถืออยู่ในมือก็หายไป
[ เป็นพลังนี้ที่สะดวกสบายจังนะครับ สามารถเอาคืนได้โดยแค่การเรียกไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเลยงั้นเหรอครับ? ]
[ ใช่ขอรับ การเคลื่อนย้ายวัตถุเป็นเรื่องง่ายมากตราบเท่าที่เป็นไอเท็มเวทมนตร์ ดาบของท่านไดร์ฮาร์ดเองก็เหมือนกัน ]
[ เอ๊ะ งั้นเหรอครับ? ]
ผมลองเรียกดาบต้องสาปที่ได้จากโมเดส คงไม่ต้องบอกนะ ก็ไอ้ดาบที่เกือบจะฆ่าเรย์จินั้นล่ะ
[ ลองเรียกดาบมาที่นี่โดยนึกในใจดูสิครับ ]
ผมลองเรียกดาบต้องสาปให้มาอยู่ในมือ
จงมา!!!
หลังจากั้นไม่กี่วินาที ดาบก็ปรากฏขึ้นในมือของผม
[ นี่ก็ถือว่าท่านได้รับการยอมรับจากดาบต้องสาปให้เป็นเจ้านายของมันแล้วครับ อาวุธที่เป็นไอเท็มเวทมนตร์นั้นจะมีเอกลักษณ์ของตัวเอง ดังนั้นหาชื่อให้มันจะดีกว่านะครับ ]
ผมมองไปที่ดาบต้องสาป มันเป็นดาบที่ค่อนข้างน่ากลัวและมีลายสีแดงอยู่บนดาบ
[ ชื่อของดาบต้องสาปเล่มนี้คือดาบต้องสาป ‘โลหิตดำ’ เพราะมันเป็นดาปต้องสาปที่มีพลังแห่งความมืดและจะค่อยๆ กลืนกินจากภายใน และเพราะการฟันดาบเล่มนี้ก็ทำให้ผู้กล้าถึงกับอยู่ในสภาพปางตายได้เลย ]
รูคัสหัวเราะอย่างมีความสุข
คำพูดพวกนี้ทำให้หัวใจของผมสั่นระรัว
[ เอ่อ… ผมได้ยินมาว่าผู้กล้าปลอดภัยแล้วนั้นมัน…]
ถึงผมจะโล่งอกแล้วว่าเรย์จิยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่า…
[ ดูเหมือนชีวิตเขาจะยังต่อชีวิตได้อยู่เพราะพลังของเซนต์นะขอรับ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว ]
ลูคัสหัวเราะเบาๆ
เพราะเรย์จิที่เป็นผู้กล้า ซึ่งเป็นศัตรูของกองทัพปีศาจกำลังจะตาย เขาก็ต้องดีใจอยู่แล้วล่ะ
แต่ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น
ไม่ว่าผมจะพูดอะไรไป แต่นั้นก็เป็นฝีมือของผมเอง แต่ผมไม่ได้คิดจะฆ่าเรย์จิเลยนะ
แม้ว่าผมจะเกลียดขี้หน้าเขา แต่ก็ไม่ได้เกลียดถึงขั้นต้องฆ่าแกงกัน ผมไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเขาสักหน่อย
ผมเริ่มกังวลขึ้นมา
อืมมม คงจะดีกว่าถ้าผมไปดูสถานการณ์ด้วยตัวเอง
เพราะความจริงก็ใช่ว่าผมจะห่วงแค่เรย์จิคนเดียวหรอก
ที่ผมเป็นห่วงที่สุดก็คือชิโรเนะต่างหาก
ชิโรเนะที่จู่ๆ ก็หายตัวไป
แล้วยังมาอยู่บนโลกนี้ พอมองไปที่เธอ ผมก็รู้สึกอดห่วงไม่ได้ทุกที
ดังนั้นต้อนนี้คงต้องคิดหาวิธีการค้นหาพวกเขาก่อน
[ เอ่อ… คุณลูคัสผมมีเรื่องอยากจะขอร้อง.. ]
◆ คุโรกิพบกับราชาปีศาจ
[ งั้นรึครับ เพราะคุณเป็นกังวลสภาพของผู้กล้า ข้าเข้าใจแล้ว งั้นข้าจะเตรียมของที่จำเป็นสำหรับออกเดินทางให้ นี่คงเป็นการเดินทางที่ยาวนานน่าดู ]
โมเดสพนักหน้าตอบตกลง
ผมรู้สึกโล่งใจที่รู้ว่าเขายอมคำตามคำขอร้องของผม
ในระหว่างเดินชมปราสาทราชาปีศาจ ผมก็บอกว่าอยากเห็นสภาพของผู้กล้า
แม้ว่าในทีแรกมันดูจะเป็นไปไม่ได้ แต่โมเดสก็ยอมรับคำขอของผม เขาคงจะคิดว่าผมอยากดูสภาพผู้กล้าให้แน่ใจว่าตายจริงมั้ย เพราะผมไม่ได้เล่านี่นะว่าทำไมถึงได้อยากรู้สถานการณ์ของพวกผู้กล้า
แม้จะโล่งใจที่ได้รับอนุญาตจากโมเดส แต่ตัวผมนั้นแทบไม่มีความรู้ของโลกใบนี้อยู่เลย แต่เพราะความช่วยเหลือจากเขาทำให้การเดินทางของผมง่ายขึ้นเยอะ
[ ลูคัส เจ้าจงไปสิ่งของจำเป็นสำหรับออกเดินทางให้ลอร์ดไดร์ฮาร์ดซะ ]
ลูคัสก้าวมาข้างหน้าตามเสียงเรียกของโมเดส
[ พะยะคะ ข้าได้เตรียมการไว้เสร็จสิ้นตั้งแต่เมื่อวานที่ท่านไดร์ฮาร์ดมาขอปรึกษาแล้วครับ และข้าจะให้ผู้นำทางเดินทางไปพร้อมกับท่านไดร์ฮาร์ดด้วย เพราะเขาแทบไม่รู้เรื่องของโลกมนุษย์เลย จงมาที่นี่เดี๋ยวนี้นัค ]
สัตว์ตัวเล็กตัวหนึ่งปรากฏที่ปลายเท้าของลูคัสตามเสียงเรียกของลูคัส
มันดูคล้ายกับหนู หรือบางทีจะเป็นกระรอกขนสีแดงกันนะ สัตว์ตัวนั้นเดินมาทางใต้จนถึงเท้าของผม
[ ยินดีที่ได้พบท่านไดร์ฮาร์ด ชื่อของข้าคือนัคแห่งเผ่าหนูขอรับ ]
หนูที่เรียกตัวเองว่านัคแนะนำตัวกับผม ขณะที่ก้มหัวให้ผมเบาๆ
ถ้านี่เป็นสถานการณ์ปกติ ผมคงตกใจที่หนูพูดได้ไปแล้ว แต่เพราะได้เห็นอะไรแปลกๆ ที่นี่มาเยอะ เลยแทบจะไม่ตกใจอีกแล้ว
[ ผมชื่อไดร์ฮาร์ด ยินดีที่ได้รู้จักนะนัค ]
ผมทักทายกลับ
นัคที่ได้รับคำพูดตอบกลับจากผมดูจะตกใจมาก หน้าตกใจแบบหนูล่ะนะ
[… ไม่มีอะไรหรอกครับ ข้าก็แค่ไม่อยากเชื่อ เพราะในข่าวลือนั้นบอกว่าท่านเป็นคนที่น่ากลัวมาก ]
นัคพูดขึ้นแล้วทำท่ายักไหล่
ผมยิ้มให้ขนาดนี้ยังดูเป็นคนน่ากลัวอีกเรอะ
แต่ดูเหมือนลูกน้องของโมเดสจะกลัวผมกันนะ
ในกรณีลูกน้องของโมเดส เพราะเผ่าปีศาจส่วนใหญ่มีหน้าตาคล้ายมนุษย์ และส่วนใหญ่ก็มีแต่เผ่าทีมีรูปร่างเป็นมอนสเตอร์ทั้งนั้น แต่การที่พวกเขากลัวผมนี่ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยนะ(อย่างที่เคยเกริ่นไว้ เผ่าปีศาจแข็งแกร่งที่สุด)
และผมก็ไม่คิดว่าความกลัวจะเป็นเรื่องดีหากผมต้องอยู่ที่นี่
ในโลกเดิมของผมมีคนเคยกล่าวไว้ว่าให้ซ่อนสายตาไว้หน่อย เพราะสายตาของผมมันน่ากลัว ต้องขอบคุณเจ้าสายตานี้จริงๆ ที่ทำให้รูปลักษณ์ของผมน่ากลัวไปด้วย (ประชด)
แต่ขนาดคน(มอนสเตอร์)ในโลกนี้ก็ยังกลัวน่ากลัวของผม สงสัยผมต้องหาวิธีปิดบังใบหน้าหน่อยแล้วสิ
จะทำยังไงดีนะ?
ลองไปเต้นแล้วพูดว่า [ ผมไม่น่ากลัวหรอกน้า ~ ผมไม่น่ากลัวหรอกน้า ~ ] ดีมั้ย
โมเดสกับคนอื่นคงสงสัยกันน่าดู ถ้าผมทำท่าทางงี่เง่าแบบนั้น
[ เอ่อ… ท่านลอร์ดไดร์ฮาร์ด? ]
[ เปล่านะ ผมไม่ได้คิดเรื่องแปลกๆ อยู่หรอกนะ ขอบคุณที่มานำทางให้ผมนะ ]
[ ลองตรวจสอบดูสิครับ นี่เป็นของจำเป็นสำหรับการเดินทางของท่าน ]
จากนั้นลูกน้องของลูคัสก็อธิบายเกี่ยวกับอุปกรณ์เวทที่ผมได้มา
แผนที่โลก ฮู้ดเวทมนตร์ที่สามารถลบสถานะได้ อัญมณีที่ทำห้ผมสร้างกองทหารเวทมนตร์ของตัวเองได้ อัญมณีที่ผนึกเวทมนตร์เคลื่อนย้ายเอาไว้ อัญมณีที่ใช้แลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินของพวกมนุษย์
[ นี่คือของที่จำเป็นครับ ยังมีสิ่งใดต้องการอีกรึไม่ครับ? ]
[ไม่หรอกครับ แค่นี้ผมก็คิดว่ามากพอแล้ว]
ผมพูดขอบคุณ เพราะผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกนี้เลย ดังนั้นเลยไม่รู้ด้วยว่าจะต้องเตรียมอะไรไปบ้าง
[ ลอร์ดไดร์ฮาร์ด พื้นที่นอกนากอลนี้เป็นอาณาเขตของเหล่าเทพแห่งเอลีอัส หากท่านตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายขอให้ใช้อัญมณีนี้หนีมานะครับ ]
โมเดสพูดกับผม
เวทมนตร์เคลื่อนย้ายนั้นสามารถเดินทางไปยังสถานที่ที่ตั้งไว้ล่วงหน้าได้ โดยเพียงแค่ทำให้อัญมณีแตก ซึ่งเป็นอุปกรณ์เวทที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว อัญมณีก้อนนี้ถึงเป็นคนที่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้ก็ยังใช้มันได้
“ขอบคุณมากครับ”
ผมขอบคุณกับโมเดส
ผมต้องตอบแทนบุญคุณครั้งนี้แน่นอน นี่เองก็ถือเป็นสามัญสำนึกทั่วไป
หลังจากนั้นผมใช้เวทเคลื่อนย้าย
◆ อัศวินดำคุโรกิ
[ ที่นี่มันที่ไหนนะ? ]
สถานที่ที่ผมเคลื่อนย้ายไปคือสถานที่มืดๆ ที่ไร้ผู้คน
[ นี่คือจุดป้องกันยุทธศาสตร์ที่เทือกเขาอาเครอนครับ อันที่จริงเพราะอัศวินหลายคนที่ประจำการอยู่ที่นี่ได้รับบาดแผลสาหัสไม่ก็เสียชีวิตในการต่อสู้กับพวกผู้กล้า พวกเขาจึงไม่อาจมาต้อนรับพวกเราได้ครับ… ]
นัคอธิบายให้ผมฟังด้วยความห่อเหี่ยว
เทือกเขาอาเครอนเป็นเขตแดนที่แบ่งแยกระหว่างโลกมนุษย์กับนากอล
โดยมีอัศวินดำขี่ไวเวิร์นคอยปกป้องเส้นทางนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครบุกรุกเข้ามาได้ นี่สินะ จุดป้องกันยุทธศาสตร์
หลังจากเตรียมตัวพร้อมสำหรับการเดินทาง ผมก็ออกมาจากปราสาทด้วยเวทมนตร์
ตอนนี้เรามาถึงภูเขาที่กำลังลงไปสู่โลกมนุษย์แล้ว
[ และปกติจะมีไวเวิร์นคอยรับส่งเราไปที่เชิงเขาด้วยนะครับ มันน่าจะยืนอยู่ข้างๆ นี้… ]
ความจริงการลงจากเขาด้วยเวทมนตร์บินมันเร็วกว่าอีกนะ แต่เราก็ตัดสินใจจะขี่ไวเวิร์นลงมาแทน เพราะผมอยากลองขี่ดูนี่นา
อัศวินดำคนหนึ่งกำลังขี่ไวเวิร์น
อัศวินดำขี่ไวเวิร์นของเขาไปใต้ๆ อาคารจากนั้นก็กระโดดจากหลังมันลงมา
[ ยินดีที่ได้พบครับฝ่าบาทไดร์ฮาร์ด ข้าคืออัศวินกอร์ด]
อัศวินดำถอดหมวกแล้วแนะนำตัว
ถ้าเทียบกับอายุของมนุษย์ เขาน่าจะอายุประมาณช่วงวัยรุ่นถึงอายุ 20 เท่านั้นเอง
ลูคัสได้บอกผมเกี่ยวกับเผ่าปีศาจมาแล้ว
เผ่าปีศาจคือเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดของนากอล มีลักษณะคล้ายมนุษยทุกอย่าง ยกเว้นแต่เพียงเขาที่งอกอยู่บนหัวสองข้างเท่านั้น และยังเป็นเผ่าที่เยี่ยมยอดทั้งพลังกายและพลังเวทมนตร์
แต่หากพูดถึงจุดอ่อนใหญ่ของพวกเขาก็คือจำนวนที่น้อยมาก จำนวนของพวกเขามีไม่ถึง 1 ใน 20 ของเผ่าออคที่เป็นเผ่าที่มีประชากรมากที่สุดในนากอลเลย
และลูคัสยังบอกอีกว่า อัศวินดำนั้นส่วนใหญ่เป็นอัศวินชั้นเลิศของนากอลกันทั้งนั้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือคนของเผ่าปีศาจ
บางทีใบหน้าของอัศวินกอร์ดคงแข็งไป เพราะกำลังเครียดสินะ
[ ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณกอร์ด ไม่จำเป็นนักพิธีการนักก็ได้ ]
พูดตามตรงนะ ผมรู้สึกแปลกๆ เวลาเขาเรียกผมว่าฝ่าบาท พอโดนเรียกแบบนั้นแล้วรู้สึกไม่ดีเลย และเขายังอายุน่าจะมากกว่าผมซะอีก
ผมสังเกตร่างกายของกอร์ดกำลังสั่นเทา
นี่เขากำลังกลัวผมงั้นเหรอ?
ถือเป็นความจริง ผมนี่ล่ะที่จะตกใจ
[ ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้ขอรับ เพราะท่านคือผู้ที่อยู่ตำแหน่งรองแค่เพียงจากราชาแห่งนากอลครับฝ่าบาท! ]
ผมไม่รู้ว่าเพราะเขากำลังพูดความจริงหรือเพราะเครียดเกินไป หรือว่าเพราะเขากลัวกันแน่
แต่ดูแล้วแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้เขาเลิกพูดด้วยคำพูดทางการ
[ ห-หลังจากนี้ข้าจะเป็นผู้พาฝ่าบาทไปยังสุดปลายของเทือกเขาเองครับ ]
กอร์ดพูดแล้วบอกให้เราไปนั่งบนหลังของไวเวิร์น
[…. งั้นผมจะรอวันที่เราจะได้ต่อสู้ร่วมกันนะกอร์ด ]
[ร-รับทราบครับ]
หลังจากนั้นผมก็ขึ้นไปยังบนหลังของไวเวิร์น
สายลมราวกับถูกหั่นเป็นชิ้นด้วยปีกของไวเวิร์น
จนผมเผลอปล่อยเสียง “โอ๊” ออกไป
มันรู้สึกดีใช้ได้เลยนะเนี่ย
ทันทีที่ไวเวิร์นบินขึ้นผมก็มองเห็นจุดป้องกันเป็นจุดๆ
ความรู้สึกเวลาได้บินบนฟ้านี่รู้สึกดีจังแฮะ อยากได้ไวเวิร์นของตัวเองสักตัวจัง
พอผมคิดแบบนั้น ไวเวิร์นก็เริ่มลดระดับความสูงลง
[มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอกอร์ด?]
ทั้งที่ท้องฟ้าก็สดใส ทำไมเขาถึงได้ลดระดับความสูงลงล่ะ
[ร เราต้องบินต่ำไว้ เพราะจากนี้จะมีการเฝ้าตรวจตราที่เข้มงวดขึ้นครับ ]
เฝ้าตรวจตราที่ว่าหมายถึงอะไรนะ?
[ ท่านไดร์ฮาร์ด อาณาเขตนี่อยู่ภายใต้การดูแลของอัศวินศักดิ์สิทธิ์จากเอลีออส หากเราบินสูงกว่าระดับ พวกเขาอาจจะรู้ตำแหน่งของเราได้ครับ ]
นัคที่อยู่ในถุงเสื้อผ้าผมอธิบาย
จากคำอธิบายของนัคบอกว่า อัศวินศักดิ์สิทธิ์ของเอลีอัสนั้นเหมือนกับตำรวจซึ่งมีทั้งเผ่านางฟ้าและยังมีวีรบุรุษของเผ่ามนุษย์ด้วย มนุษย์นั้นได้ให้คำมั่นว่าจะภักดีต่อราชาเทพจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่นากอลและเอลีออสจะเป็นพันธมิตรกัน แล้วก็อัศวินศักดิ์สิทธิ์นี่มันก็ตรงข้ามกับอัศวินดำเลยนี่นะ
และเพราะการบุกรุกของเรย์จ์ทำให้อัศวินศักดิ์สิทธิ์ได้เข้ามายังเขตนานฟ้าของดินแดนนากอล ดังนั้นการบินต่ำไว้เพื่อไม่ให้พวกเขาพบจะเป็นการดีกว่า
กอร์ดตึงเครียดมาก อาจจะเป็นเพราะการขี่ไวเวิร์นในระดับความสูงเท่านี้นั้นมันอันตรายมาก
[…. เหมือนกับว่าคุณไม่ค่อยได้ขี่ไวเวิร์นบ่อยๆ เลยนะครับคุณกอร์ด ]
เพราะอัศวินดำกำลังประสบปัญหาขาดแคลนคน ทำให้เขาที่ปกติขี่เป็นแต่เพียงม้าต้องมาขี่ไวเวิร์นแทน
[…. แต่ถ้าเป็นระดับความสูงเท่านี้ เราอาจจะตกเป็นเป้าของพวกก๊อปลินก็ได้ครับ]
[เอ๊ะ ทำไมก็อปลินถึงได้โจมตีเราล่ะ?]
ลูคัสบอกผมเกี่ยวกับปีศาจมาบ้างนิดหน่อย ก๊อปลินก็คือปีศาจน่าตาน่าเกลียด ผิวสีเขียว สูงประมาณ 140 เซนติเมตร พวกมันมีหัวที่แข็งยิ่งกว่าเหล็กและมีความสามารถพิเศษด้านดนตรีด้วย
แต่ถึงก๊อปลินจะเป็นปีศาจ แต่ดูท่าพวกมันจะไม่ใช่ลูกน้องของโมเดส
นั่นล่ะคำตอบที่ผมได้มา
[ ก๊อปลินแถบนี้ไม่ใช่ลูกน้องของท่านโมเดสหรอกครับ ]
ตามที่นัคบอก โมเดสนั้นคือผู้ปกครองของเผ่าปีศาจ เขาถูกเรียกเช่นนั้นเพราะไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ในนากอลและปีศาจส่วนมากก็อาศัยอยู่ในนากอล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าปีศาจที่อยู่นอกนากอลจะเป็นลูกน้องของโมเดสไปด้วย ตรงกันข้ามยังมีเหล่าปีศาจที่อยู่นอกนากอลที่ไม่เชื่อฟังโมเดสอยู่อีกมาก
และก๊อปลินแถวนี้ก็เป็นเช่นนั้น มีเพียงแค่ปีศาจไม่มากที่ยอมทำตามคำสั่งของโมเดสสินะ
ถึงขนาดมีคนที่อยากจะเป็นราชาปีศาจเองซะด้วยซ้ำ
แต่ถึงแม้โมเดสจะมีพลังมากพอที่จะทำให้เผ่าปีศาจทั้งหมดบนโลกนี้สยบแทบเท้าตัวเอง แต่เขาก็ไม่ทำและไม่เคยไปโจมตีเมืองของมนุษย์เลย
แต่ดูเหมือนผู้คนจะคิดว่าปีศาจที่อยู่นอกนากอลโจมตีมนุษย์เพราะคำสั่งของราชาปีศาจ นี่เองก็เป็นความจริงอีกข้อหนึ่ง
สรุปก็คือลูกน้องของโมเดสไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลย แต่ที่เกิดปัญหาก็เพราะปีศาจจากภายนอกต่างหาก
ผมจับดาบต้องสาปที่เอวเอาไว้ เพราะถ้าจะเรียกดาบมันจะช้ากว่านิดหน่อย
ในสถานการณ์แบบนี้ เราไม่รู้ว่าจะมีปีศาจดักโจมตีมาจากทางไหนบ้าง
ตอนที่ผมกำลังคิดนั้นเองก็มีลูกธนูลอยมาจากข้างล่าง
[ก-ก๊อปลิน!]
นัคพูดด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว
เมื่อผมมองลงไปก้เห็นสิ่งมีชีวิตสีเขียวคล้ายเด็กกำลังชี้มาทางเรา
ไวเวิร์นตกเป็นเป้าของลูกธนู
[ เย็นไว้! บอกให้ใจเย็นไว้!! ]
ความพยายามที่จะหยุดอาการร้อนใจของไวเวิร์นดูจะไร้ผล
กอร์ดพยายามขี่ไวเวิร์นโดยหลบลูกธนูที่ยิงมา
[ อุโว้วว!! ]
ผมเผลอร้องออกไปโดยไม่ตั้งใจ
เราห่างจากระยะของลูกธนูมาพอควรแล้ว
[ เย็นไว้! เย็นไว้! ]
ไวเวิร์นสงบสติได้หลังจากเราหนูออกมาจากห่าธนูได้
[ ตอนนี้เราปลอดภัยแล้วใช่มั้ย…]
ผมแสดงท่าทีโล่งใจ แต่กอร์ดกลับมีสีหน้าหวาดกลัว
[ ร ร เราถูกพบแล้วครับ! ]
เมื่อผมมองไปยังทิศที่กอร์ดชี้ก็เห็นคนที่มีปีกติดอยู่ข้างหลังกำลังตามเรามา มีประมาณ 10 คนเห็นจะได้
ชายมีปีกสวมเกราะสีทองถือธนูเล็งมาทางพวกเรา
[ พวกนั้นมันเผ่านางฟ้า อัศวินศักดิ์สิทธิ์!! หนีเร็วลอร์ดกอร์ด!! ]
เผ่านางฟ้าคือเผ่าที่มีลักษณะคล้ายกับมนุษย์แต่มีปีกติดอยู่ที่หลัง
การบินด้วยปีกของเผ่านางฟ้านั้นไม่จำเป็นต้องใช้เวทมนตร์ ดังนั้นพวกเขาเลยสามารถใช้ได้ทั้งดาบและเวทมนตร์ขณะอยู่กลางอากาศ
เพราะเดิมทีคนบนโลกนี้ต่อสู้ขณะที่ใช้เวทมนตร์บินไม่ได้ ดังนั้นการสู้กับเผ่านางฟ้าจึงถือเป็นศัตรูตัวฉกาจ
แม้ว่าตอนนี้กอร์ดจะอยู่บนหลังไวเวิร์นแต่ก็อาจจะแพ้ได้เพราะเขายังไม่เคยชำนาญการขี่ไวเวิร์น
ขนาดตอนที่นัคเตือนแล้วบอกเขาให้หนี กอร์ดยังเอาแต่หันไปหันมาอยู่เลย
เมื่อผมคิดว่าไม่มีทางเลือก ผมเลยใช้เวทมนตร์บิน
[ ฝาบาท!? ]
[ คุณกอร์ดให้ความสำคัญกับการขี่ไวเวิร์นไปเถอะครับ ทางนี้ให้ผมจัดการเอง ]
เมื่อพูดจบ ผมก้ตรงดิ่งเข้าไปหาเหล่านางฟ้า
เหล่านางฟ้ายิงธนูมาทางผม
แต่ธนูมันจะช้าเกินไปแล้ว
[ ฮาา!! ]
ผมตวัดดาบแล้วทำให้ลูกธนูหายไป
[ ไม่จริง!!! ]
เหล่านางฟ้าตะโกนด้วยเสียงหวาดกลัว
[เพลิงทมิฬ!!]
ผมปล่อยเพลิงสีดำขนาดมหึมากลางอากาศขณะที่ลอยอยู่บนฟ้า
[ เพลิงพิษ!! ]
ไฟสีดำแผ่ขยายออกไปยังเหล่านางฟ้า
ที่จริงผมแค่คิดจะทำให้พวกเขาตกใจ ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเลยสักนิด
แต่ดูเหมือนมันจะได้ผลมากกว่าที่คิด
[ไฟสีดำ… นั่นมันรันฟิว! หนีเร็วเข้า!!]
พวกเขาคงเข้าใจผิดว่าผมเป็นรันฟิว เพราะผมสวมเกราะสีดำไว้อยู่ พวกนางฟ้าเลยไม่รู้ว่าผมเป็นใคร
จากนั้นผมก็กลับไปนั่งที่ข้างหลังไวเวิร์นเหมือนเดิม
[ สุดยอด… ]
ผมได้ยินเสียงพึมพำของกอร์ด
[ ผมไล่พวกนางฟ้าไปให้แล้ว คุณกอร์ดช่วยบินให้สูงๆ ทีได้ไหมครับ?]
ผมยิ้มให้กอร์ด
[ ร-รับทราบแล้วครับ!! ]
กอร์ดพูดด้วยความรู้สึกยกย่อง
ไวเวิร์นตัดผ่านอากาศขึ้นไปบนท้องฟ้า
นี่มันยอดเลยแฮะ
แต่ผมสนุกไปกับทิวทัศน์ด้วยท่าทางสนุกไม่ได้ เพราะต้องตั้งสมาธิเวทมนตร์บางส่วนไปที่เวทมนตร์สำหรับบินด้วย การบินไปบนท้องฟ้านี่ขึ้นขี่หลังอะไรสักอย่างคงดีกว่าสินะ
ดีล่ะ ผมคิดได้แล้ว ถ้าผมกลับไปผมจะขอไวเวิร์นสักตัว
ในที่สุดเราก็มาถึงจุดสิ้นสุดของเทือกเขาอาเครอน
[ ขอบคุณมากคุณกอร์ด ]
ผมกระโดดลงจากหลังไวเวิร์นและขอบคุณกอร์ด
[ รู้สึกเป็นพระคุณมากครับ!!]
กอร์ดนี่จะเครียดตั้งแต่ต้นจนจบเลยสินะ
แต่ผมรู้สึกว่าเขาจะดูผ่อนคลายขึ้นกว่าตอนที่พบกันตอนแรกอยู่หรอก
[ ขอภาวนาให้ท่านเดินทางปลอดภัยครับฝ่าบาท!! ]
[ ขอบคุณมากกอร์ด ]
หลังจากนั้นเขาก็ขึ้นไวเวิร์นไป
เอาล่ะ จากนี้ไปเราต้องเดินเท้าแล้ว
ตามที่นัคบอก ดูเหมือนว่าสถานที่ที่เรย์จิอยู่จะเป็นประเทศอื่น เป็นประเทศที่เรียกว่าอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์เลนาเรีย
แม้ว่าผมจะใช้เวทเคลื่อนย้ายได้แต่ก็ใช้ไปยังสถานที่ที่ยังไม่ได้ทำเครื่องหมายไม่ได้
แม้ว่าระยะทางไปยังอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์เลนาเรียจะไกลอยู่มาก แต่คนต่างโลกที่มายังโลกนี้ก็เหมือนกับจอมพลัง ถ้าวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดของผมอาจจะใช้เวลาไม่นานก็ได้
[ เราไปกันเถอะนัค ]
และนี่คือก้าวแรกของผมสู่โลกมนุษย์