ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 505
ตอนที่ 505 ชื่อเล่นของอ๋องซื่อจื่อ
เฝิงเยี่ยไป๋เองก็รู้สึกเสียหน้า ใช้สายตาเย็นชามองไปที่ซั่งเหมยกับซั่งเซียง ทั้งสองคนก็พยายามกลั้นยิ้ม รู้สึกเขินขายแล้วหยุดไป
ปากเขาพูดออกมาอย่างนี้ แต่ความจริงแล้วความรักที่เขามีต่อลูกชายคนนี้ไม่ได้น้อยไปกว่านางเลย อย่างไรเสียลูกก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพวกเขาสองคนผสมปนรวมกัน ทั้งยังเกือบต้องแลกด้วยชีวิตของนางถึงจะสามารถคลอดออกมาได้ ใจของเขาทั้งรักทั้งทะนุถนอมขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ในโลกนี้ไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่รักลูกของตัวเอง เรื่องตั้งชื่อจะต้องครุ่นคิดทบทวนให้ดีก่อนถึงจะสามารถตั้งออกมาได้
คนทั้งห้องรอฟังสิ่งที่เขาจะพูด ในห้องเงียบเสียจนไม่มีเสียงเลยแม้แต่น้อย สุดท้าย เขาก็ลุกขึ้นยืน เดินไปที่หน้าโต๊ะ แล้วหยิบปากกาขึ้นมาเขียน ‘วั่วจิ่งวั๋ยอวี๋’ สี่คำนี้ แล้วพยักหน้าด้วยความพอใจมาก เขาลูบไปที่คางที่เต็มไปด้วยหนวดแล้วพูดขึ้นว่า “ให้ชื่อว่าเฝิงจิ่งอวี๋นะ เป็นลูกชายของเฝิงเยี่ยไป๋ ในวันข้างนอกจะต้องเป็นคนที่เก่งในหมู่ผู้คน จะต้องมีชีวิตให้ผู้คนเคารพยำเกรงถึงจะถูก ถ้าจะให้คนทุกคนเคารพยำเกรง อย่างแรกที่จะต้องทำคือจะต้องมีคุณธรรมและความประพฤติที่ดีเสียก่อน จิ่งอวี๋หมายถึงให้เขาเรียนรู้หน้าที่ในการเป็นคนที่ดี”
คนพูดที่พูดมาทั้งหมดนี้เฉินยางฟังไม่เข้าใจ แต่ว่าพอได้ฟังก็รู้ว่าเป็นชื่อที่ดี จิ่งอวี๋ เฝิงจิ่งอวี๋ ช่างไพเราะเหลือเกิน
“ชื่อจริงมีแล้ว ชื่อเล่นก็ต้องมีด้วย ไม่ใช่ว่าจะให้เรียกจิ่งอวี๋ จิ่งอวี๋ทุกวันนะ ถ้าอย่างนั้นคงจะตะกุกตะกักมาก” เฉินยางเช็ดน้ำลายให้ตัวเอง ทันใดนั้นในสมองก็มีแสงสว่างปรากฏออกมา “เช่นนั้นแล้วก็เรียกว่าเสี่ยวจินอวี๋ [1] เถอะ ชื่อนี้ดีมากเลย แล้วก็คล้ายกับชื่อจริงด้วย พอเรียกก็ง่ายดี”
เสียวจินอวี๋!
ก็ช่างลำบากสมองของนางที่ยังสามารถคิดชื่อที่ยากและเข้ากับชื่อจริงได้ แล้วจะมีอะไรที่จะไม่ได้ล่ะ นางพูดอะไรก็ได้หมด
“นายท่านดูสิ อ๋องซื่อจื่อยิ่มให้นายท่านด้วย น่าจะชอบชื่อที่ตั้งให้มาก”
แขนของเสียวจินอวี๋ดิ้นไปมา ปากก็ยิ้มให้พ่อแม่ เฝิงเยี่ยไป๋อยู่ข้างๆ ลูบไปที่หน้าผากแล้วถอนหายใจ เด็กคนนี้สืบทอดความอะไรของพ่อกับแม่มา แต่อย่าเรียนรู้สมองของแม่ก็พอแล้ว ในบ้านมีแค่คนเดียวก็ทำให้เขากลุ้มใจพอแล้ว วันข้างหน้าอ๋องทั้งสองจะได้ปกป้องคนคนเดียวกัน ไม่ใช่กำลังดีหรืออย่างไร
เฉินยางพอใจกับชื่อที่ตัวเองตั้งเป็นอย่างมาก หันไปถามเฝิงเยี่ยไป๋ “เสียวจินอวี๋อย่างไพเราะเหลือเกิน ท่านพี่คิดว่าใช่หรือ”
เฝิงเยี่ยไปไม่ได้พูดอะไร ได้แต่พยักหน้า ชื่อเล่นของเขา ในชื่อไม่มีคำว่า ‘เซวียน’ ก็มีคำว่า ‘ฉี’ ชื่อที่นางตั้งให้นี้ ตอนเด็กๆ ยังไม่รู้เรื่อง จะเรียกเช่นนี้ไม่เป็นอะไร แต่พอลูกโตขึ้นแล้ว มีความรู้แล้ว รู้ว่าชื่อนี้เป็นนางที่ตั้งให้คงจะรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นแน่
“วันนี้วันที่เก้าเดือนสิบสอง…” เขายืนเอามือไขว้หลัง ยืนตรงขึ้นต่อหน้านาง “ปีนี้ข้าอายุสามสิบปีพอดี วันที่แปดเดือนสิบสอง ข้ามีลูกชายแล้ว ชีวิตของผู้ชายมีในสิ่งที่ไม่ควรมี สิ่งที่สามารถทำได้ และสิ่งที่ทำไม่ได้ข้าก็มีหมดแล้ว นี่คือสิ่งที่สวรรค์ดูแลข้า”
บางครั้งการใช้ชีวิตก็เรียบง่ายจนเกินไป ก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดี ตอนนี้เขาทำอะไรก็ดูราบรื่นไปหมด ลูกเมียก็มีพร้อมหมดแล้ว แต่กลับยิ่งรู้สึกว่าเท้ายังไม่อยู่นิ่ง มีความสามารถแต่ไม่สามารถแสดงออกมาได้ วันข้างหน้าถ้าใครจะมาจับจุดอ่อนเขา ไม่ใช่แค่หนึ่งชีวิตแล้ว แต่เป็นสองชีวิต เขาจะต้องระวังมากยิ่งขึ้น ถ้าเดินทางผิดก็จะหมายถึงก็เอาชีวิตของทุกคนในครอบครัวของเขาไปเสี่ยงด้วย
เสี่ยวจินอวี๋ร้องอุแวอยู่ในอ้อมอกของเฉินยาง เฉินยางไม่เคยอุ้มเด็กมาก่อน ไม่มีประสบการณ์เลย ทำได้เพียงอุ้มเขาไปมาโยกไปโยกมาเท่านั้น ซั่งเหมยเข้ามารับเสี่ยวจินอวี๋ไป มองเขาแล้วพูดกับเฉินยางว่า “เมื่อครู่แม่นมป้อนนมให้ ยังไม่ทันได้ดื่มเลยก็ถูกอุ้มออกมาแล้ว ตอนนี้น่าจะหิวแล้ว ข้าอุ้มอ๋องซื่อจื่อไปกินนมนะเจ้าคะ”
เฉินยางยื่นลูกให้ซั่งเหมย ได้ยินเขาถอนหายใจ ใจก็พลันรู้สึกหดหู่ขึ้นมา
ตอนที่ 506 ไม่เสียแรงที่เป็นผู้หญิงของข้า
บางครั้งเฉินยางก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีประโยชน์ เขามีธุระมากมาย ในธุระของเขาไม่มีสักเรื่องเลยที่นางจะสามารถช่วยเหลือเขาได้ ไม่เพียงแต่จะช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ซ้ำร้ายยังก่อเรื่องวุ่นวายใจให้เขาอยู่บ่อยๆ ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงถอนหายใจ ไม่รู้ว่าพูดปลอบใจเขาอย่างไรดี
“เมื่อวานข้าไปหาองค์หญิงเว่ยหมิ่นมา วันมะรืนเป็นวันคล้ายวันประสูติของนาง” พูดถึงตรงนี้ บทสรุปอย่างไรก็ไม่พูดต่อ
เฉินยางอยากพลิกตัวลงจากเตียง เขาหันกลับมา มองนางครู่หนึ่ง พูดขึ้นด้วยแววตาที่ลังเลไม่มีความมั่นใจว่า “ถ้านางทำสำเร็จ แผ่นดินก็จะผลัดเปลี่ยนคนปกครอง บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย แต่ถ้านางทำไมสำเร็จ การลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้เป็นโทษหนักต้องประหารชีวิตเจ็ดชั่วโคตร ไม่เพียงแต่นาง ไทเฮา ข้าและเจ้า รวมถึงลูกของเราที่เพิ่งคลอดออกมาจะต้องตายกันหมด”
ในตอนนี้มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นคือการที่จะต้องเดินก้าวต่อไปข้างหน้า ไม่ใช่หยุดอยู่ครึ่งทาง พอหยุดก็ต้องใช้ชีวิตอยู่บนความแค้นไปตลอดชีวิต ถึงแม้ว่าใจจะไม่ยอมอย่างไรก็ต้องอดกลั้นไว้ ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ทุกๆ ก้าวที่เหยียบอยู่ในก้อนหมอกเมฆ มองไม่เห็นหนทางที่เท้าเหยียบเดิน ไม่รู้ว่าตอนไหนจะเดินไปถึงขอบหน้าผาสูงชัน ถ้าเดินพลาดก็หมายถึงการพลีชีพ
นางไม่สามารถทำอะไรได้ ฟังเขาพูดเรื่องราวเหล่านี้ ก็ไม่รู้ว่าควรจะปลอบใจเขาอย่างไรดี ทำได้แค่กุมมืออันกว้างของเขาไว้ “ถึงอย่างไรเสียเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้าอยู่ที่ไหนข้ากับเสี่ยวจินอวี๋ก็จะอยู่ที่นั่น เจ้าตายไป ข้ากับลูกก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ อย่างมากครอบครัวเราก็ไปวังยมบาลด้วยกัน ทูตวิญญาณยังขาดคนหนึ่งถึงจะสูสีกับพวกเราที่มีเจ้าอยู่ ข้าไม่กลัวอะไร”
เฝิงเยี่ยไป๋ดึงนางเข้ามากอด หัวเราะด้วยความดีใจ “ประเสริฐ ไม่เสียแรงที่เป็นเมียของเฝิงเยี่ยไป๋ผู้นี้ ได้ฟังที่เจ้าพูดแบบนี้ ในฐานะที่ข้าเป็นสามี ไม่ว่าข้าจะทำอะไรก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวอีกแล้ว”
เรื่องราวที่น่ายินดีของจวนอ๋องปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิด นับเป็นเรื่องธรรมดา พอฮ่องเต้ทราบข่าวคราวก็ดีใจและยินดีด้วยเป็นอย่างมาก สั่งให้คนนำของกำนัลมาพระราชทานให้ที่จวนเป็นพิเศษเพื่อแสดงความจริงใจ ซู่อ๋องเองก็สั่งให้คนนำของกำนัลมามอบให้มากมาย แต่นี่เป็นสถานการณ์แค่วันเดียวเท่านั้น ขุนนางในราชสำนักเข้าๆ ออกๆ กันอยู่หลายรอบ ความจริงแล้วแค่เห็นว่าตอนนี้เขาเป็นคนที่ฮ่องเต้ใช้ให้ปฏิบัติตำแหน่งสำคัญ วันปกติเขาก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กับคนในวัง แค่อยากใช้โอกาสนี้แสดงความสนิทชิดเชื้อก็แค่นั้น ของขวัญที่ซู่อ๋องให้คนส่งมาให้ ได้รับเสียงที่คล้ายกัน ใช้ชื่อท่านจั้วฟู่สั่งให้คนนำของมาให้เฝิงเยี่ยไป๋ด้วยตัวเอง
ตราประทับหยกชิ้นหนึ่งถูกสลักเป็นกุญแจคล้องเท้าอายุยืน และยังมีจดหมายอีกฉบับหนึ่ง ข้อความแรกของจดหมายใช้คำพิธีรีตองก่อน แล้วเขียนต่อว่า อ๋องพานสัวคนได้มาหาเขาโดยส่วนตัว แม้ว่าจะไม่ได้บอกอะไรชัดเจนนัก แต่ในความหมายที่เขียนมากลับเป็นการสงสัยซู่อ๋องว่าสั่งคนมาสืบอย่างใกล้ชิดพวกเขา ช่วงนี้ฮ่องเต้เพิ่มกำลังทหารทางน้ำมากกว่าวันก่อนๆ เป็นสองเท่า ทหารน้ำที่อยู่ที่ราชสำนักแม้ว่าจะไม่ถนัดด้วยการรบ แต่ถ้าหากจำนวนคนมาก อย่างน้อยก็ยังรักษาด่านซือสุ่ยไม่ให้เป็นอะไรได้ ทว่ายังไม่ทันได้เริ่มโจมตี สถานการณ์การรบก็ติดพันจนกลายเป็นเช่นนี้ ถ้าหากเกิดรบขึ้นมาจริงๆ จะชนะได้เท่าไหร่ยังไม่สามารถรู้ได้เลย
เฝิงเยี่ยไป๋คิดไม่ถึงเลยว่าฮ่องเต้จะแอบใช้วิธีการเช่นนี้ คำสั่งยังไม่ทันผ่านกรมทหาร ดูแล้วน่าจะจงใจหลบเขา เดิมทีคิดว่าจิตใจเขาคิดแต่เรื่องของเว่ยหมิ่น คิดไม่ถึงเลยว่ายังแอบมีแผนการอย่างนี้อยู่ ทหารน้ำของอ๋องพานด่านอันผง อันชิงทั้งสองรวมกัน พูดน้อยๆ หน่อยคงประมาณสี่ห้าหมื่นคนได้ ฮ่องเต้ไม่ได้โง่ ด่านซือสุ่ยเป็นสำคัญทางการค้า ถ้าด่านซือสุ่ยถูกโจมตีเสียหาย พวกเขาจะต้องเดินทางไปทางทิศเหนือ ระหว่างทางควบคุมเรือการค้าให้อยู่ เท่ากับว่าสามารถควบคุมฮ่องเต้ได้ระดับหนึ่ง หากไม่มีทุนสนับสนุน คนแสนกว่าคนในราชสำนัก ยังไม่ทันได้รบก็คงหิวตายกันก่อน
เมื่อก่อนเขาเคยพูดกับฮ่องเต้เรื่องสถานการณ์การกระจายกำลังทหารของสองที่ บอกว่าเป็นเช่นนี้ แต่พูดไปแบบมั่วๆ จุดประสงค์ก็เพื่อให้ทหารของอ๋องพานทั้งสองเกิดรบกัน ถ้าเป็นเช่นนี้ ตอนที่จะเข้ามาโจมตีเมืองหลวงจะเป็นการให้ฮ๋องซู่จัดการกับทหารของทั้งสองฝ่ายคนเดียว ก็ไม่ควรที่จะปลีกตัวออกไปได้ โดนโจมตีทั้งหน้าและหลัง ดูจากตอนนี้แล้ว น่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ขอเพียงแค่ซู่อ๋องยังไม่รู้แผนการของเขา ครั้งนี้ยังทำให้ยิ่งเป็นกังวล
——