ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 533
ตอนที่ 533 ฮ่องเต้ไม่ให้อภัยนาง
ฮ่องเต้ถูกลอบสังหาร ผู้ที่ลอบสังหารนั้นเป็นท่านหญิง กององครักษ์พกดาบ ไล่ค้นดูทีละกระโจม ความรักช่างฝังลึกนัก ท่านหญิงเกือบจะเอาพระชนม์ชีพของฮ่องเต้ไปแล้ว ฮ่องเต้ยังคิดจะจับทั้งเป็นอยู่ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว พวกเขาหาท่านหญิงเจอก็ยังต้องเชิญนางกลับไปดีๆ มิน่าคนถึงว่าผู้หญิงทำให้วีรบุรุษสิ้นชีพ ความสุขชั่วคราวที่แลกไปนั้นกลับเป็นชีวิต
ฝั่งนั้นมีความเคลื่อนไหวอยู่ไม่น้อย ค่ายก็ไม่ได้ใหญ่ตั้งแต่แรก กององครักษ์ที่อยู่ข้างนอกได้ข่าวอย่างรวดเร็ว บอกว่าท่านหญิงลอบสังหารฮ่องเต้ ให้รีบไปตามจับ!
เว่ยหมิ่นนึกไม่ถึงว่าคนไร้ความสามารถที่ฮ่องเต้เลี้ยงไว้นั้นกลับยังมีประโยชน์อยู่บ้าง ถึงกับรู้เรื่องที่ฮ่องเต้ถูกลอบสังหารได้รวดเร็วเช่นนี้ หากค้นเช่นนี้ต่อไป ไม่นานก็จะค้นนางเจอ อย่างไรเสียถูกจับกลับไปก็ต้องตาย ไม่สู้เสี่ยงฝ่าออกไป ไม่แน่อาจจะฝ่าเอาชีวิตรอดได้
กององครักษ์ที่อยู่ด้านนอกได้ข่าวก็เริ่มค้นหา ตอนนี้จะซ่อนก็ซ่อนไม่ได้แล้ว นางเพิ่งเดินอ้อมมาถึงกองทัพต้องห้ามที่อยู่ด้านนอก เพิ่งหันกลับไปก็ถูกคนเห็น ที่จริงแล้วคนเหล่านี้อาจจะไม่เคยเห็นนางมาก่อน อีกอย่างตอนนี้นางก็สวมชุดนางกำนัลบวกกับฟ้ามืดอีก พวกเขาก็ใช่ว่าจะจำนางได้
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่” หัวหน้ากองย่อยค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ “เป็นนางกำนัลฝ่ายใด ดึกเช่นนี้แล้ว ไฉนเจ้าถึงยังอยู่ที่นี่อีก”
เว่ยหมิ่นค่อยๆ หันกลับมา นางก้มศีรษะ โค้งคำนับให้เขา “ตอบใต้เท้า บ่าวปรนนิบัติฝ่าบาท ฝ่าบาทมีโรคประจำเป็นโรคปวดพระเศียร บ่าวได้ยินหมอหลวงบอกว่าที่นี่มีสมุนไพรตัวหนึ่ง เด็ดตอนกลางคืนชงเป็นชาแล้วดื่มสามารถรักษาได้ จึงวิ่งมาที่นี่โดยไม่ทันรู้สึกตัว”
การโกหกนี้ก็ช่างเชี่ยวชาญยิ่งนัก พูดโกหกในยามคับขันก็น่าเชื่อถือ พูดจาไม่รีบร้อน ไม่ว่าใครฟังแล้วก็คิดว่าเป็นจริง จิตใจของผู้ชายไม่ละเอียดอ่อนเท่าผู้หญิง เจอเรื่องเช่นนี้ไม่สืบต่อ เห็นนางไม่หลบสายตา ไม่มีท่าทางร้อนรน จึงคิดว่าเป็นจริงเช่นนั้น
“ฝ่าบาทถูกลอบสังหาร เจ้าก็อย่าได้เดินอยู่ข้างนอกเลยรีบกลับไปเสียเถิด กลับไปปรนนิบัติอยู่ข้างกายฝ่าบาท ไม่เช่นนั้นหากฝ่าบาทเป็นสิ่งใดขึ้นมา พวกเราไม่มีใครรอดแน่ๆ!”
เว่ยหมิ่นทำหน้าประหลาดใจ เหมือนดั่งเพิ่งรู้ข่าวนี้เช่นนั้น “ฝ่าบาทถูกลอบสังหาร เรื่องเมื่อใด รู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนทำ”
หัวหน้ากองย่อยมองนาง รู้สึกคุ้นตาเพียงแต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ใด อย่างไรเสียก็ไม่ใช่คนที่อยู่ข้างพระกายฮ่องเต้ คนที่อยู่ข้างพระกายฮ่องเต้เขาเคยเห็นหมด คนนี้ไม่คุ้นตานัก คงจะเพิ่งถูกย้ายมาปรนนิบัติฮ่องเต้กระมัง!
“ได้ยินว่าเป็นท่านหญิงที่ลอบสังหารฝ่าบาท ตอนนี้กำลังตามจับอยู่ เจ้าก็อย่าได้เดินเล่นอยู่ข้างนอกเลย”
นางขานรับ เอียงศีรษะคิดอยู่เล็กน้อย เหมือนดั่งนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ “ท่านหญิง? เมื่อครู่ข้าเห็นท่านหญิงอยู่บ่อน้ำข้างหน้า ยังไม่ทันได้ถวายความเคารพเลย ท่านหญิงก็เดินจากที่นั่นไปแล้ว มาคิดดูตอนนี้แล้ว…ที่แท้ก็เป็นเพราะลอบสังหารฝ่าบาท”
“ที่เจ้าว่านั้นจริงหรือ” หัวหน้ากองย่อยมองไปทางที่นางชี้ เชื่อคำพูดของนางเจ็ดแปดส่วนแล้ว
เว่ยหมิ่นกลอกลูกตา รู้สึกโล่งใจ “เรื่องใหญ่เช่นนี้บ่าวไม่กล้าโกหก”
หัวหน้ากองย่อยโบกมือ “พวกเจ้า ตามข้ามา ไปค้นทางนั้น!”
กององครักษ์กองหนึ่งเดินผ่านหน้านางไปเช่นนี้เลย ที่จริงแล้วในใจเว่ยหมิ่นก็หวาดกลัว หากถูกจำได้จับนางกลับไป ฮ่องเต้ยังจะทรงอภัยให้นางได้อีกหรือ เพียงแต่โชคยังดีที่คนผู้นั้นไม่รู้จักนาง เพียงแต่ดูจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้แล้ว เกรงว่าจะหลอกได้อีกไม่นาน รอพวกเขาตั้งสติกลับมาได้ ตัวเองก็หนียากแล้ว ฉวยโอกาสที่ตอนนี้วุ่นวายอยู่ ไม่มีใครสนใจ รีบไปพบกับคนของเฝิงเยี่ยไป๋เสียดีกว่า
ตอนที่ 534 จอมมาร
ฮ่องเต้ถูกลอบสังหารยังไม่รู้เป็นหรือตาย ยังไม่ทันฟ้าสว่างข่าวก็แพร่มาถึงที่เฝิงเยี่ยไป๋นี้แล้ว ส่วนเว่ยหมิ่น หนีเข้าป่าทางใต้ของทะเลสาบเป้เอ่อร์ ตัดขาดการติดต่อกับคนของเขา ตอนนี้ก็ไม่รู้เป็นตายร้ายดีเช่นกัน
เรื่องที่ฮ่องเต้ถูกลอบสังหารปิดไม่อยู่ ไม่ใช่อยู่ในวัง อยู่นอกวังมากสายตามีความเคลื่อนไหวอะไรข่าวก็สามารถแพร่ไปได้ไกลกดเอาไว้ไม่อยู่เลย
นี่เป็นถึงเจ้าแคว้น ไม่ใช่ประชาชนธรรมดา หากเรื่องนี้ไปถึงหูของซู่อ๋องและอ๋องนอกด่านอีกสองคน ยกทัพเข้าตี ถึงยามนั้นไม่มีคนเป็นผู้นำ ปัญหาทั้งภายในภายนอกโถมเข้ามา พวกเขายังจะมีทางรอดใดอีก
ท่านหญิงยังจับไม่ได้ ฮ่องเต้จะประทับที่นี่ตลอดก็ไม่ได้เช่นกัน พั่งไห่ให้คนส่วนหนึ่งค้นหาท่านหญิงอยู่ที่ทะเลสาบเป้เอ่อร์ต่อแล้วพาคนที่เหลือพาฮ่องเต้กลับไปที่เมืองหลวง
เรื่องที่ฮ่องเต้ถูกลอบสังหารนั้นได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในฝั่งนี้ ฝั่งซู่อ๋องนั้นได้ข่าวก็ยกทัพขึ้นเหนือทันที ที่ด่านเอี้ยนหง ได้ปะทะกับกองทัพของเอี๋ยนเลี่ยง ในวันเดียวกัน อ๋องนอกด่านอันชิ่ง อันผิงก็นำทัพเรือเข้าตีที่ด่านซื่อสุ่ย ทั้งสองฝั่งสู้กันยืดเยื้อ ยากจะรู้แพ้รู้ชนะในทันที
อวี่เหวินลู่อยู่ที่เมืองหลวงก็ไม่มีสิ่งใดกระทำ ฮ่องเต้จะยังมีพระชนม์อยู่ได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่ ต่อให้โชคดีไม่สิ้นพระชนม์ก็ยากจะทำอะไรได้ ส่วนเฝิงเยี่ยไป๋ ถือว่าเขารู้ตัวดี ไม่ได้ทำให้เขาผิดสังเกต ตอนนี้ที่ด่านเอี้ยนหงนั้นถึงจะสำคัญที่สุด เขาได้บอกเฝิงเยี่ยไป๋ ฟ้ายังไม่สว่าง ก็ไปที่ด่านเอี้ยนหงแล้ว
ในใจเฉินยางรู้สึกร้อนรน ตอนนี้ความคิดของเฝิงเยี่ยไป๋คือสงบนิ่งดูความเคลื่อนไหว ไม่ใส่ใจว่าฮ่องเต้กับซู่อ๋องวุ่นวายกันจนเป็นเช่นใด เขาที่นี่ยังสงบ ไม่ได้สนใจสงครามที่อยู่ข้างนอก และไม่สนใจว่าพวกเขาใครจะแพ้หรือชนะ ในมือเขาไม่มีกำลังทหาร ไม่อาจช่วยใครได้ ที่เขาควรจะทำก็ทำเสียหมดแล้ว ตอนนี้ที่ต้องทำก็คือดูความเคลื่อนไหว ยืนดูเสือสู้กันเอง
ที่ท้องของเสี่ยวจินอวี๋ได้ทายาแล้วหลับลงไปแล้ว เฝิงเยี่ยไป๋โอบเฉินยางนอนลง เหมือนดั่งสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างที่อยู่ข้างนอกนั้นไม่เกี่ยวกับเขาเช่นนั้น เขาไม่อยู่ ใจของนางก็เหมือนดั่งมีก้อนหินแขวนอยู่ เขากลับมาแล้ว ไม่ว่าข้างนอกจะมีความวุ่นวายเพียงใดก็เข้ามาอยู่ในใจนางไม่ได้ อยู่เคียงข้างเขา นางก็รู้สึกปลอดภัย
“เว่ยหมิ่นล่ะ เว่ยหมิ่นจะทำอย่างไรดี นางยังไม่ได้ติดต่อกับคนของท่านเลยหรือ ป่ากว้างใหญ่เช่นนี้ จะไปตามหานางได้ที่ใด”
เขาเหนื่อยเกินไปแล้ว เขาพลิกตัวกอดนางไว้ ซุกหน้าไว้ที่ซอกคอของนาง กลิ่นนมแทรกเข้าไปในจมูก ดมแล้วช่างทำเอารู้สึกสดชื่น “นามจอมมารของนางไม่ใช่ได้มาเปล่า ในหัวของนางมีความคิดมากมาย เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก วางใจเสียเถิด นางมีวิธี จะต้องหนีออกมาได้”
ิิ่ที่พูดไปนั้นก็เพื่อปลอบนาง ความสามารถของเว่ยหมิ่นมีมากมายเพียงใดก็เป็นเพียงผู้หญิงเท่านั้น กององครักษ์แต่ละคนล้วนเป็นคนมีวิชา มุดป่า วิ่งบนเขาไม่ใช่เรื่องยาก แต่นางไม่ใช่ ผู้หญิงไม่มีแรงมากมายเช่นนั้น อาศัยแรงฮึดที่มีในตอนแรกจะวิ่งไปได้ไกลเพียงใดเชียว ยังต้องมีคนนำทาง ไม่มีคนนำทางก็วิ่งได้ไม่ไกล
ฟ้าใกล้สว่างแล้ว ฟ้าสว่างทุกสิ่งก็ผันเปลี่ยน แผ่นดินนี้ก็ควรจะเปลี่ยนแล้ว
ท้องฟ้าที่ใกล้จะสว่างนั้น คนยังไม่ตื่น จวนท่านหญิงได้มีความวุ่นวายแล้ว ท่านจวิ้นหม่าถูกไฟคลอกตายแล้ว ยามที่กององครักษ์เห็นนั้นก็ถูกเผาจนเป็นเถ้าถ่านไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว ตายอนาถยิ่งนัก
พั่งไห่พาฮ่องเต้เดินทางไม่หยุด มาถึงที่เมืองหลวงยามรุ่งสาง ฮ่องเต้ยังอยู่ในอาการสลบอยู่ บาดแผลที่ท่านหญิงลงมือนั้นไม่เบานัก แทงจนพระศอเป็นรู ฮ่องเต้เสียพระโลหิตมาก ยามนี้จะยังมีพระชนม์ชีพรอดได้หรือไม่ก็ยังมิอาจรู้ได้