ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 553
ตอนที่ 553 แพะรับบาปที่มีอยู่แล้ว
ความรักจากสามีมีระยะเวลา วันนี้คนหนึ่งพรุ่งนี้คนหนึ่ง นางมาถึงวัยนี้ ความงามถดถอยความรักจืดจางเป็นสิ่งแน่แท้ ฮ่องเต้มีวังหลังเต็มเปี่ยม ไม่เคยขาดหญิงงามที่จะมาแทนที่ หวังพึ่งสามีไม่อาจหวังพึ่งไปได้ตลอด เพียงแต่ลูกชายเป็นลูกแท้ๆ ของนาง ตั้งครรภ์สิบเดือนคลอดออกมา ยามแก่ยังต้องหวังพึ่งลูกชาย
ฮ่องเต้รักเว่ยหมิ่นไม่ใช่เรื่องวันสองวัน เป็นความรักที่สั่งสมมานานนับปี รักเข้ากระดูก ถึงขั้นที่เว่ยหมิ่นเกือบจะสังหารพระองค์ได้ พระองค์ก็ยังเต็มพระทัย แถมยังมีราชโองการให้จับเป็น ไม่ให้ทำร้ายนาง ดูเพียงความรู้สึกของพระองค์ที่มีต่อเว่ยหมิ่นนั้นก็สามารถคาดเดาชีวิตของนางเองในอนาคตได้แล้ว หากฮ่องเต้มอบพระทัยให้ใครคนนั้นแล้ว เช่นนั้นหญิงในวังหลังก็เป็นเพียงสิ่งประดับเท่านั้น รักเพียงคนเดียวเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ เพียงแต่สุดท้ายที่เสียใจก็คือสตรีในวังหลังทั้งหมด
เรื่องนี้ได้รับการยินยอมจากฮองเฮา จะลงมือทำก็สะดวกขึ้นมาก พั่งไห่เฝ้าอยู่ข้างกายฮ่องเต้ทุกวันก็กลัวว่าฮ่องเต้จะเป็นอะไรจนไม่อาจให้คำตอบได้ เพียงแต่ตอนนี้ผู้ที่คิดจะทำร้ายฮ่องเต้ไม่ใช่ใครอื่น เป็นลูกชายแท้ๆ ของพระองค์เอง ลูกชายแท้ๆ จะลงมือ โอกาสมีมากมาย ต่อให้เขาเฝ้าก็ไม่อาจเฝ้าได้ตลอดเวลา ต้องมียามที่หลับบ้าง ถึงยามนั้นให้คนเข้าเฝ้าแล้วลงมือ ฮ่องเต้สลบอยู่ ไม่อาจต้านได้ จะปลงพระชนม์พระองค์ก็เป็นเรื่องง่ายดายนักไม่ใช่หรือ
ถึงเวลาก็โยนโทษให้เว่ยหมิ่น เป็นนางที่ลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ก็สลบไม่ฟื้นเพราะถูกนางแทง ในเมื่อมีแพะรับบาปที่มีอยู่แล้ว ไม่ใช้ก็เสียเปล่า สวรรค์วางโอกาสไว้ตรงหน้า ไม่คว้าเอาไว้ก็เป็นคนโง่แล้ว
รัชทายาทจะสังหารฮ่องเต้เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิด เขาคือผู้สืบทอดราชบัลลังก์อย่างถูกต้อง หลังจากที่ฮ่องเต้สวรรคตแผ่นดินนี้ก็เป็นของพระองค์ ฮ่องเต้สวรรคตก็ไม่มีใครสงสัยถึงรัชทายาทได้
เฝิงเยี่ยไป๋ถูกเรียกเข้าวังยามวิกาล ฮ่องเต้สวรรคตแล้ว บอกว่าหายใจไม่ได้ พระองค์สำลักตัวพระองค์เอง ดูข้อแก้ตัวนี้ ตัวเองสำลักตัวเองตาย ตั้งแต่อดีตมา ก็มีฮ่องเต้พระองค์นี้เป็นพระองค์แรก
ตั้งแต่ที่ฮ่องเต้เสด็จกลับจากทะเลสาบเป้ยเอ่อร์ก็มีข่าวว่าไม่ไหวแล้ว มีพระชนม์อยู่ได้อีกไม่นาน หลายวันนี้หมอหลวงก็ส่ายหน้าพูดว่ารักษาไม่ได้ ดังนั้นฮ่องเต้สวรรคตจึงไม่มีใครสงสัยว่ามีคนลอบสังหาร เพียงแต่สวรรคตได้ไม่ถูกเวลานัก รัชทายาทจะสืบบัลลังก์ต่อกรกับซู่อ๋องยังไม่ถึงขั้น พอสวรรคต ราชสำนักต่างหวาดผวา ยามที่ร้องไห้นั้นต่างเสียงดังยิ่งกว่าคนอื่นๆ ไม่ใช่เสียใจกับฮ่องเต้ แต่ร้องไห้ให้กับตัวเอง ด้วยความเป็นกังวลถึงชีวิตหลังจากนี้
รัชทายาทอดกลั้นความเศร้าโศกไว้ ดวงพระเนตรแดงก่ำปลอบเหล่าขุนนาง และตรัสให้คำมั่นสัญญาจะเป็นกษัตริย์ที่รักประชาชนดูแลราชกิจ ปราบกบฏ คืนความสงบสุขให้กับแผ่นดินต้าเยี่ย
หากเป็นคนที่ละเอียดถี่ถ้วนย่อมรู้สึกได้ถึงการสวรรคตของฮ่องเต้ไม่ยากเย็นนัก วันก่อนรัชทายาทก็ได้ตรัสถึงเรื่องการคืนอำนาจทหารในการประชุมราชกิจกับเหล่าแม่ทัพ เพิ่งผ่านไปไม่นานฮ่องเต้ก็สวรรคตเสียแล้ว อาการฮ่องเต้ไม่สู้ดีมาตลอด เพียงแต่ก็สลบอยู่เช่นนั้น ไม่ดีขึ้นไม่เลวร้ายลง ก็ไม่ถึงกับจู่ๆ ก็สวรรคต ก่อนหน้านี้คิดเพียงว่ารัชทายาทมีเล่ห์เหลี่ยม ตอนนี้ดูแล้วไม่ใช่แค่มีเล่ห์เหลี่ยม แถมยังเ**้ยมโหด เทียบกับพระบิดาของพระองค์แล้วไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย
พั่งไห่กลับไปงีบเพียงเล็กน้อย กลับมาก็เห็นฮ่องเต้ไม่เคลื่อนไหวเสียแล้ว เขาใช้นิ้วอังลมหายใจของฮ่องเต้ สิ้นลมไปแล้วอย่างที่คิดไว้จริงๆ ก็ตกใจในทันใด พระองค์ยังดีๆ อยู่ ไฉนจู่ๆ ถึงสวรรคตได้
ตอนที่ 554 สีที่ทำให้ผู้ชายอ่อนไหวได้
ให้เฝิงเยี่ยไป๋ไว้ทุกข์ให้ฮ่องเต้ เขาไม่มีน้ำตา นอกจากจะไม่มีน้ำตาแล้ว กลับยังรู้สึกอยากจะหัวเราะด้วยซ้ำ ฮ่องเต้คิดว่าพระองค์ฉลาด เพียงแต่ความจริงนั้น ครั้งแรกพ่ายแพ้ในมือผู้หญิง โชคเข้าข้างไม่ได้สวรรคต ครั้งที่สองพ่ายให้กับลูกชายตัวเอง คราวนี้ใช้โชคหมดสิ้น ถูกลูกชายตัวเองฆ่าตาย ทั้งสองคนนี้เป็นผู้ที่พระองค์ไว้ใจมากที่สุด สุดท้ายกลับกลายเป็นคนที่ส่งพระองค์ไปสู่ปรโลก
เพราะศึกสงครามเข้าใกล้ พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพไม่ทันได้เตรียมอย่างละเอียด รัชทายาทรับสั่งว่าทุกอย่างให้จัดอย่างเรียบง่าย ไม่ต้องรอสวดอภิธรรม ให้ประกาศพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพทันที แม้จะเป็นเช่นนั้น พระราชพิธีที่ควรจะมีก็ไม่ได้ขาดแต่อย่างใด คราวนี้ทำเอาในวังวุ่นวายกันไปหมด รอเฝิงเยี่ยไป๋กลับมาที่จวนก็เป็นเที่ยงวันของวันถัดไปแล้ว
ข่าวประกาศเกี่ยวกับฮ่องเต้สวรรคตนั้นราชสำนักได้ติดไว้ทุกที่ รัชทายาทเถลิงพระนาม ‘เซี่ยวเซียนฮ่องเต้’ ภายในสามเดือนห้ามจัดงานรื่นเริงต่างๆ ในแคว้น ไว้ทุกข์ทั่วแคว้น ทุกบ้านต้องสวมชุดไว้ทุกข์ แขวนโคมขาว เพื่อน้อมส่งเซี่ยวเซียนฮ่องเต้ แม้แต่พระราชพิธีบรมราชาภิเษกก็ทำเพียงแค่สวมมงกุฎ พิธีฉลองต่างๆ นั้น ที่ควรจะละได้ล้วนละไว้ทั้งสิ้น
เฉินยางได้รับหนังสือราชสำนักให้ไว้ทุกข์แต่เช้า นางแขวนโคมขาวที่หน้าจวน ชุดต่างๆ ที่มีสีสันนั้นก็ไม่อาจใส่ได้ ล้วนเปลี่ยนเป็นสีเรียบ ไม่ใช่สีดำก็เป็นสีเทา ไม่อาจมีสีแดงแม้แต่น้อย
อวี่เหวินลู่โผล่ออกมากะทันหัน เขายืนอยู่ข้างหลังเฉินยาง ลูบคางไปพลาง พูดพึมพำไปพลางว่า “ไฉนบอกจะสวรรคตก็สวรรคตเสียแล้ว ไม่ใช่ว่ายังมีพระชนม์อยู่ได้อีกระยะหรือ”
เฉินยางตกใจจนแทบกระโดดตัวลอย นางหันไปกระทืบเท้าเขา “เจ้านี่ ไฉนถึงทำอย่างกับผีสาง เดินไม่ให้เสียง อยากให้ข้าตกใจตายหรืออย่างไร”
“เฝิงเยี่ยไป๋ยังไม่กลับมาหรือ” สายตาของเขาเหลือบมองที่ตัวนางอย่างควบคุมไม่ได้ เหมือนว่าตั้งแต่ที่เจอนาง ก็ไม่เคยเห็นนางทาแป้งชาด ใบหน้าของนางไม่มีการแต่งเติมมาตลอด สีที่ทำให้ผู้ชายอ่อนไหวได้นั้นบนตัวนางก็ไม่มี โดยเฉพาะวันนี้ยังสวมชุดสีเรียบ ก็ยิ่งสะท้อนถึงความไร้ชีวิตชีวา
เฉินยางเหลือบมองเขา “นี่เป็นโอกาสดีของพวกเจ้าไม่ใช่หรือ เจ้ายังไม่รีบไปบอกพ่อของเจ้า ยังยืนอยู่ที่นี่เพื่อสิ่งใดอีก”
“บอกว่าเจ้าโง่ก็โง่เสียจริงๆ ฮ่องเต้สวรรคตเรื่องใหญ่เช่นนี้แพร่กระจายไปทั่วแล้ว เจ้าคิดว่าที่พวกเรานั้นอยู่ไกลปืนเที่ยงหรืออย่างไร ข่าวใหญ่ขนาดนี้ยังต้องให้ข้ากลับไปบอกด้วยตัวเองอีกหรือ”
สามีของนางพูดถูก พูดกับคนเช่นอวี่เหวินลู่นั้นเหมือนดั่งสีซอให้ควายฟัง ไม่ว่าจะพูดสิ่งใดเขาก็มีเพียงสีหน้าบูดบึ้ง เหมือนดั่งคนทั่วแคว้นติดหนี้เขาอยู่เช่นนั้น ยโสจนฟ้าดินไม่อาจอยู่ในสายตาได้
เฉินยางไม่อยากคุยกับเขา นางหันหน้าเดินจากไป อวี่เหวินลู่หน้าด้านเดินตามนาง ไม่พูดกับนางราวกับมีสิ่งใดมากวนใจเช่นนั้น เห็นนางก้าวฉับก็คว้านางเอาไว้ “เจ้าจะรีบเดินอะไรขนาดนี้เล่า”
เฉินยางสะบัดเขาหนี สายตามองข้ามเขาไปเรียกซั่งเหมยซั่งเซียงที่เดินตามอยู่ “พวกเจ้าก็รีบเดินหน่อย บอกว่าจะปกป้องเจ้านายอยู่เลยมิใช่หรือ ไม่เห็นเจ้านายของพวกเจ้ากำลังเดือดร้อนหรืออย่างไร”
ตอนแรกซั่งเหมยซั่งเซียงก็กลัวอวี่เหวินลู่ ท่าทางดุร้ายของเขานั้นเหมือนดั่งเจ็บแค้นทุกคน แม้จะรู้ว่าอยู่ในจวนท่านอ๋องเขาไม่กล้าทำสิ่งใด เพียงแต่ความกลัวที่อยู่ในใจก็ไม่ได้ลดลงเลย พวกนางขานรับด้วยความหวาดกลัว เดินอ้อมผ่านตัวเขาไปยืนอยู่ข้างกายเฉินยางทั้งซ้ายขวา