ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 559
ตอนที่ 559 เขาคิดไม่ซื่อกับเจ้าใช่หรือไม่
เฉินยางเป็นคนความรู้สึกช้า เรื่องบางเรื่องนางมองได้เพียงผิวเผิน ลึกลงไปแล้วเป็นเช่นไร นางก็คร้านจะคิดและคิดไม่ออก การแย่งชิงระหว่างอวี่เหวินลู่กับเฝิงเยี่ยไป๋นางไม่รู้เรื่องและมองไม่ออก ความสงสัยอยู่เต็มหัวกระนั้นก็ยังทำหน้าซื่อๆ “พวกเจ้ามีอะไรต้องคุยกันหรือ เขาเป็นอะไร น่าประหลาดยิ่งนัก ก็เพียงแค่หาเรื่องเท่านั้น ท่านไม่ต้องสนใจเขาก็ได้ อย่างไรก็อยู่ในเมืองหลวง เขาไม่กล้าทำอะไรวู่วามหรอก”
เฝิงเยี่ยไป๋นวดศีรษะนาง เชิดมุมปากยิ้ม “เจ้ายังต้องกลัวเขาวางแผนใส่ข้าอีกหรือ เจ้าวางใจเถิด เขาไม่ได้ฉลาดเช่นนั้น ต่อให้ฉลาด จะวางแผนใส่ข้าก็ยังไม่ถึงขั้น”
นางไม่ได้กังวลเรื่องนี้ นางเม้มปากจะพูดแต่ก็หยุดแล้วรับเสี่ยวจินอวี๋จากอ้อมกอดของเขา ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้มีลมพัดมา นางกลัวลูกจะถูกลมหนาว จึงเชิดคางให้เขาพูดว่า “เช่นนั้นแล้วท่านรีบไปเสียเถิด รีบคุยให้จบเรื่องเสีย”
เฝิงเยี่ยไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่ดีนัก ในใจก็คิดไป โกรธหรือ ก็ไม่ถึงขนาดนั้น เขาไม่ได้ไปพบแม่นางเสียหน่อย ใจนางก็ไม่ได้แคบเช่นนั้น บอกว่าโกรธก็ไม่ใช่ เพียงแต่เป็นอะไรกัน จู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งโผล่ขึ้นมา หรือว่าเจ้าอวี่เหวินลู่นั้นทำอะไรลงไป
“ตั้งแต่เมื่อครู่เจ้าก็ทำหน้าบูดบึ้งใส่เขา เจ้าเป็นอะไรหรือ เจ้าบอกข้ามาเสียดีๆ เขาทำมิดีมิร้ายกับเจ้าหรือไม่”
นางไม่เคยเห็นท่าทางร้อนรนของเขาเช่นนี้ เฉินยางเบือนหน้าหลบมือเขาไปพูดว่า “ไม่มีอะไร ท่านคิดอะไรอยู่กัน เขาจะกล้าทำอะไรข้า ข้าไม่ตีเขาให้ตายหรือ ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนดีนัก ไม่มีเวลาใดที่ปกติเลย ท่านเกี่ยวพันกับเขาต้องไม่มีเรื่องดีแน่ๆ ท่านระวังหน่อย”
ไม่ได้ทำอะไรกับนางก็ดีไป ที่เขาวางใจก็เพราะนางไม่ใช่คนที่จะยอมเสียเปรียบได้ ที่กังวลก็คือกังวลว่านางถูกเอาเปรียบแล้วไม่ยอมพูด ก็ไม่รู้เกิดความรู้สึกสงสารจากที่ใด เขาโอบไหล่นาง รู้สึกว่าไม่เคยพอเช่นนั้น “เดิมทีบอกเจ้าไว้ว่าจะพาเจ้ากลับหรู่หนาน เพียงแต่ยามนี้ที่เมืองหลวงมีความผันเปลี่ยน อาจจะต้องอยู่ต่ออีกสักระยะ ข้ารู้ว่าเจ้าคิดถึงบ้าน เพียงแต่ช่วยไม่ได้ ถ้าทางนี้ไม่จัดการให้เรียบร้อย พวกเรากลับไปก็ใช้ชีวิตสงบสุขไม่ได้”
เฉินยางเข้าใจเขา นางไม่เคยเอาแต่ใจกับเขาเลย เขาพูดอย่างไรนางก็ว่าตามนั้นเสมอ แม้ว่าในใจจะเศร้าสร้อย แต่ก็อดกลั้นเอาไว้ไม่แสดงออกมา นางเชิดมุมปากฝืนยิ้มออกมา ไม่พูดอะไรต่อแล้วอุ้มเสี่ยวจินอวี๋กลับไป
เฝิงเยี่ยไป๋รู้สึกติดค้างนาง หากนางโวยวายกับเขา ถึงขั้นร้องไห้ด่าเขาก็ยังดี เพราะอย่างน้อยก็ยังรู้สึกได้ว่านางโกรธ เพียงแต่นางไม่ร้องไม่โวยวายเลย เขาว่าสิ่งใดก็เป็นสิ่งนั้น ยอมรับทุกอย่างเงียบๆ ยิ่งนางไม่แสดงออกเช่นนี้ ความรู้สึกผิดหวังที่สั่งสมอยู่ในใจนางก็ยิ่งมีมากขึ้น ยิ่งนางผิดหวัง ความรู้สึกผิดที่ตัวเองมีต่อนางก็ยิ่งมากขึ้น บางครั้งก็ไม่ควรรับปากนางง่ายๆ เช่นนี้ สุดท้ายแล้วจะกลายเป็นความว่างเปล่า สู้ไม่เคยเห็นความหวังตั้งแต่แรกเสียจะดีกว่า
คนใช้ที่อยู่ในจวนท่านอ๋องที่ยังไม่ได้กลับบ้านก็เป็นคนที่เชื่อใจได้ อวี่เหวินลู่อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เกรงใจแต่อย่างใด ทำเหมือนอยู่บ้านตัวเองอย่างนั้น เขาไปที่ห้องครัวเอาอาหารแกล้มเหล้า อุ้มสุราสิบแปดเซียนมาไหหนึ่ง แล้วไปนั่งรอการมาของเฝิงเยี่ยไป๋ที่สวนตะวันตกเงียบๆ
เขาคิดเอาไว้แล้ว รอให้เฝิงเยี่ยไป๋มาแล้วจะพูดกับเขาเรื่องนี้ เล่าสิ่งที่คิดอยู่ในใจให้เขาฟังให้หมด ไม่สนว่าสุดท้ายจะเป็นเช่นไร หากไม่พูดออกมา เขาต้องทรมานตายแน่ๆ
ตอนที่ 560 หัวอกเดียวกัน
ฝ่ายอิ๋งโจวก็พักอยู่ที่ฝั่งสวนตะวันตก ตอนนี้เขาปล่อยวางให้มีที่ว่างในหัวใจรับคนหนึ่งเข้ามาอย่างยากลำบาก เพียงแต่ครั้งนี้ฟ้าสวรรค์ไม่เป็นใจ ครั้งแรกเจอกันช้าไป ยามที่ช่วยชีวิตนางแม้ใช้วิชาทั้งตัวก็ไม่อาจช่วยนางกลับมาได้ ครั้งนี้เล่า แม้ว่าจะยังทันอยู่ เพียงแต่ไม่อาจไปช่วยได้ เฝิงเยี่ยไป๋ไม่อาจเก็บคนที่คิดทำร้ายเขาไว้อยู่ข้างกาย แต่เดิมบอกว่าประหารเสีย ตอนหลังเป็นเฉินยางที่ขอร้องให้นางเป็นไปตามกรรม เขาชอบน่าอวี้และอยากจะช่วยนาง เพียงแต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของเขาคนเดียวแล้ว แถมยังเป็นเรื่องในครอบครัวเฝิงเยี่ยไป๋และเฉินยาง น่าอวี้จะทำร้ายพวกเขา จะจัดการอย่างไรก็ต้องว่าตามพวกเขา หากพูดเป็นกลาง ผลลัพธ์นี้สำหรับน่าอวี้อาจจะดีที่สุดแล้ว
น่าอวี้ถูกขังเอาไว้ เพียงแต่คนที่เสียใจกลับเป็นเขา ดั่งที่ว่ากันไว้ คนเราจะมอบใจให้ใครไม่ได้ หากมอบใจไปแล้ว ก็ห่างจากความตายไม่ไกลแล้ว ไม่ใช่ว่าตายจริงๆ เพียงแต่ความรู้สึกนั้นก็เหมือนดั่งมีมีดพันเล่มแทงอยู่ที่กาย เจ็บยิ่งกว่าถูกแทงจริงๆ แม้ไม่เห็นเลือดแต่กลับทำให้เจ็บปางตาย
คนที่เสียใจเหมือนกันทั้งสองคนเจอกันในสวน ผู้ชายนั้น เหล้าไหเดียวก็สามารถคุยถูกคอกันได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงต่างตกอยู่ในสภาพเดียวกัน ล้วนรักแต่ไม่ได้มาครอง คนที่มีหัวอกเดียวกันยิ่งเข้าใจกันและกันได้ดี พูดคุยกันก็ยิ่งถูกคอ มาพบเจอกันที่นี่ต่างสบตากัน อิ๋งโจวก็นั่งลงเหมือนมีบางอย่างดึงดูดให้มา อวี่เหวินลู่ก็ไม่ถามว่าเขาเป็นใคร เขาหยิบจอกเหล้าที่เหลืออยู่ใบหนึ่งให้เขาแล้วรินจนเต็ม ชนแก้วกับเขา พูดด้วยความรู้สึกออกมาว่า “การรักใครคนหนึ่งนี้ก็เหมือนดั่งดื่มเหล้า ดื่มคำแรกอาจไม่รู้สึกว่าอร่อยนัก ทั้งขมทั้งฝาด แถมยังเผ็ดอีก เพียงแต่ตอนหลังรสชาตินี้ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา รอให้เจ้าลิ้มรสได้แล้วก็วางมือไม่ลง เพียงแต่ถึงยามนั้นก็สายไปเสียแล้ว เหล้าดีๆ ถูกคนอื่นที่เห็นค่ายกไปแล้ว ไม่เหลืออะไรเลย จึงได้แต่กลับไปหวนนึกถึง อาศัยรสที่ยังติดอยู่ปลายลิ้นนั้นใช้ชีวิต พวกเราไม่มีโชคจึงไม่อาจครองได้”
แต่เดิมอิ๋งโจวก็เป็นคนพูดไม่มาก พอดื่มเหล้าไปแล้วก็เริ่มพูดมากขึ้น ถึงกับเอ่ยปากบ่นขึ้นมา “ตั้งแต่อดีตก็มีเพียงคำว่า ‘รัก’ นั้นทรมานคน มีวีรบุรุษมากมายถึงกับพ่ายแพ้ ขอเพียงเป็นคนย่อมมีความรู้สึก คนที่มีความรู้สึกนั้นก็หนีไม่พ้น นี่เป็นกรรมที่ทุกคนต้องเจอหนีไม่พ้นเลย”
อวี่เหวินลู่มองท่าทางสุภาพของเขา พูดจาก็สง่า หลังถอนหายใจก็รู้สึกอยากรู้ขึ้นมา “เจ้าก็ช้ำใจหรือ เจ้าก็ชอบแม่นางคนหนึ่งแต่ไม่อาจอยู่กับนางได้หรือ”
อิ๋งโจวสนใจแต่เหล้าที่อยู่ในมือ เขาพูดอะไรไม่ได้เข้าหูอิ๋งโจวเลย ผ่านไปอยู่ครู่หนึ่ง เขายกแขนเสื้อเช็ดที่หางตา เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นดวงตาแดงก่ำ เขาดื่มเหล้าหมดจอก ทำเสียงสะอื้นพูดอะไรไม่ออก
เป็นครั้งแรกที่อวี่เหวินลู่เห็นผู้ชายร้องไห้ ทั้งสองคนต่างช้ำใจเช่นกัน ในใจเขาก็รู้สึกแย่ นี่ก็ฝืนกลั้นไว้อยู่ไม่ใช่หรือ เห็นอิ๋งโจวร้องไห้ ก็ทำเอาเขารู้สึกเศร้าเช่นกัน เขากะพริบตา จู่ๆ ดวงตาก็พร่ามัวเปียกชื้น บนตัวเขามีผ้าเช็ดหน้าอยู่เป็นผืนสี่เหลี่ยม เพราะเป็นผู้ชายจึงใช้สีเข้ม เขาเองใช้ผ้านั้นเช็ดหางตาจากนั้นก็พับแล้วส่งด้านที่สะอาดให้เขา “เจ้าอย่าได้รังเกียจไปเลย อย่างน้อยก็เช็ดเสีย ผู้ชายไม่หลั่งน้ำตาง่ายๆ หากถูกคนอื่นพบพวกเราในสภาพเช่นนี้เข้าจะหัวเราะเอาได้ ลูกผู้ชายร้องไห้ได้อย่างไรกัน ไม่ใช่แม่นางเสียหน่อย ในใจมีอะไรเจ็บช้ำ ดื่มเหล้าระบายถึงจะดีที่สุด”