ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 617 ไม่คิดถึงข้อดีของข้าเลย / ตอนที่ 618 หายไปแล้ว
- Home
- ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง
- ตอนที่ 617 ไม่คิดถึงข้อดีของข้าเลย / ตอนที่ 618 หายไปแล้ว
ตอนที่ 617 ไม่คิดถึงข้อดีของข้าเลย
เสี่ยวจินอวี๋กินดี โตเร็ว ลูกตอนนี้เดือนกว่าแล้วทั้งขาวทั้งอ้วน แค่ว่าตอนร้องไห้นั้นเสียงดังก้องกังวานมาก ดังจนปวดสมองไปหมด ยามหัวเราะแม้ว่ายังหัวเราะไม่ออกเสียง เพียงอ้าปากก็ทำให้คนมีความสุข เฝิงเยี่ยไป๋ไปแล้วตกกลางคืนนางนอนกับเสี่ยวจินอวี๋ทุกคืน ความสัมพันธ์แม่ลูกได้อยู่ด้วยกันจริงๆ ก็แค่ชีวิตวัยเด็กไม่กี่ปีนี้ รอลูกโตแล้ว โตสักแปดเก้าขวบขึ้นก็เริ่มเรียนรู้เรื่องราวจากผู้เป็นพ่อแล้ว อย่างไรก็ลูกชาย ก็ต้องสืบทอดการค้าขายของตระกูลบิดา มารดารักและเอาใจลูก หากโตขึ้นแล้วยังเอาแต่อยู่ข้างกายมารดาลูกก็จะไม่เอาไหน ฉะนั้นจึงมีเพียงยามเด็กเท่านั้นที่จะมาวิ่งเล่นใต้หัวเข่ามารดาอยู่ไม่กี่ปี รอโตแล้วก็ต้องไปฝึกฝนข้างกายบิดา หากดูตามลักษณะนิสัยของเฝิงเยี่ยไป๋แล้ว แม้ว่าเป็นลูกในอุทรก็ไม่มีทางให้ท้ายอย่างแน่นอน เฉินยางตอนนี้แค่คิดก็ปวดใจแล้ว ลูกคนนี้หากบอกว่าโตก็ใช้เวลาเพียงไม่มีปี อาศัยช่วงนี้นางต้องสานสัมพันธ์กับลูกชายไว้ให้แน่นแฟ้น เผื่อว่าอีกหน่อยหากอยากจะเข้าใกล้ก็จะไม่มีโอกาสแล้ว
แม่นมเพิ่งป้อนนมให้เสี่ยวจินอวี๋ เด็กน้อยตอนนี้อะไรก็ไม่เข้าใจ อะไรก็ไม่ต้องคิด ทานอิ่มดื่มพอแล้วก็งัวเงีย งัวเงียเตรียมเข้านอนอีกแล้ว เฉินยางไกวเปลเบาๆ ทีแรกเสี่ยวจินอวี๋จะนอนแล้วแต่ก็ถูกนางไกวจนตื่น เบะปากเตรียมร้องเสียงดัง เฉินยางจึงปั่นป๋องแป๋งเริ่มกล่อมเขาอีกครั้ง ร้องเพลงที่ผิดทำนองพาลูกนอนอีกครั้ง
เหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาอย่างนี้หลายครั้ง ซั่งเหมยทนดูไม่ได้อีก ดึงนางออกมา “นายหญิง ท่านทำอะไร คุณชายน้อยกำลังจะหลับแล้วท่านก็ทำให้เขาตื่นอีก ไม่อย่างนั้นให้แม่นมมาดูเถิด ท่านทำอย่างนี้ อย่าว่าแต่นายท่านไปแล้วไม่วางใจเลย ผู้น้อยเองดูแล้วก็ไม่วางใจ”
เฉินยางหมอบลงที่เตียงน้อยนอนดูลูก มองอย่างไรก็ไม่พอ “ตอนเกิดมานั้นอัปลักษณ์เสียจริง ข้าเองก็ยังตกใจ แต่ตอนนี้หน้าตาเริ่มเข้ารูปแล้ว พอพิศดีๆ ยิ่งมองยิ่งน่ารัก เจ้าดูสิ ทำไมถึงได้น่ารักเพียงนี้กันนะ แขนเล็กๆ ขาเล็กๆ ข้าน่ะรักจะตายแล้ว”
ซั่งเหมยพูดอย่างจนปัญญาว่า “ท่านคือแม่แท้ๆ มีแม่ที่ไหนกันที่รังเกียจลูกอัปลักษณ์ แน่นอนว่าดูอย่างไรก็ชอบอย่างนั้น แต่ชอบอย่างไรก็คงไม่ต้องดูตลอดกระมัง ท่านดูสิ นี่เวลาใดแล้ว ท่านไม่นอน ท่านชายน้อยก็คงง่วงแล้ว ให้ผู้น้อยอุ้มท่านชายไปหาแม่นมเถอะ นายน้อยอยู่ที่นี่ก็หลับไม่สนิท”
เฉินยางเม้มปากคิดอยู่นานพลางส่ายหน้า “อย่างไรก็ให้นอนกับข้าเถิด ข้าจะนอนตอนนี้แล้ว ไม่รบกวนเขาหรอก เจ้ากับซั่งเซียงไม่ได้นอนให้ห้องเก็บฟืนรึ หากคืนนี้เรื่องธุระอะไรข้าค่อยเรียกพวกเจ้าแล้วกัน นายท่านของพวกเจ้านานทีจะไม่อยู่…ออกเดินทางไปตั้งหลายวันแล้วไม่รู้จักส่งข่าวคราวมาบ้าง ข้าก็ไม่รู้เลยว่าเขาตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ในสนามรบดาบมีดล้วนไร้ดวงตา หากเขาบาดเจ็บไป ข้างกายไม่มีคนดูแล จะทำอย่างไรดีเล่า”
“ตายแล้ว นายหญิง นายหญิงที่แสนดีของข้า…” ซั่งเหมยลากนางไปนั่งบนแท่นนอน “ท่านอย่ากังวลไปเปล่าๆ เลย นายท่านนั้นวิทยายุทธ์ไร้เทียมทาน ความสามารถมากขนาดนั้น ไม่ได้เกิดเรื่องง่ายเพียงนั้นหรอก หากจะเกิดเรื่องขึ้นจริงนั่นก็เป็นเพราะท่านบ่นอยู่ข้างหลังแบบนี้แหละเจ้าค่ะ ทำไมท่านไม่คิดถึงข้อดีของนายท่านเล่า ท่านรีบนอนเถิด นายท่านไม่เป็นอะไรแน่”
เฉินยางนอนลงอย่างเหม่อลอย ก่อนนอนยังมองไปทางเปลของเสี่ยวจินอวี๋คราหนึ่ง ในใจนั้นหมุนกลับไปมากว่าร้อยกว่าพันหนแล้ว ไม่ได้พักเลยสักเค่อเดียว ก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร คืนนี้รู้สึกว่าในใจนั้นทั้งกระวนกระวายทั้งหวาดกลัวไม่สงบเอาเสียเลย
ตอนที่ 618 หายไปแล้ว
ตั้งแต่เฝิงเยี่ยไป๋ไปแล้ว เสี่ยวจินอวี๋ก็นอนกับเว่ยเฉินยางมาตลอด หลายวันมานี้ก็ราบรื่นดีไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากเรื่องอวี่เหวินลู่ ที่เหลือก็เรียกได้ว่าลมสงบไร้คลื่นใด อีกคนคือฮ่องเต้องค์ปัจจุบันที่กำลังยุ่งกับการหาวิธีรับมือเจ้าครองแคว้นอันชิ่ง ซิงผิงทั้งสองคนก็ยังไม่มีเวลามาเล่นงานพวกเขา ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่อง ใครก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดสถานการณ์เช่นในวันนี้
เฉินยางในใจนั้นมีเรื่องมากมาย กลางคืนมักนอนไม่ค่อยหลับ ตกกลางคืนมักตื่นมาไม่รู้กี่หน ตื่นมาแล้วก็ไปดูเสี่ยวจินอวี๋ที่อยู่ข้างเตียง เกรงว่าตกดึกจะฉี่รดที่นอน หลังจากคลำหาร่องรอยเปียกชื้นที่บั้นท้ายแล้ว หลังจากดูอย่างนี้ไปหลายรอบ ตอนหลังไม่รู้อย่างไรก็เริ่มง่วงแล้ว เปลือกตาพอปิดลงแล้วก็ลืมไม่ขึ้นอีก นางหรี่ตาลงเป็นเส้นบางๆ อย่างง่วงงุน ดูเหมือนว่ามองเห็นเงาคน แต่ครานี้ความง่วงหนักหนานัก นางก็แยกไม่ออกว่านอนหลับฝันไปหรือว่าเรื่องจริงกันแน่ พึมพำงัวเงียไปหนึ่งประโยค พอเอียงศีรษะไปอีกทางก็หลับไปแล้ว
ห้องเก็บฝืนด้านนอกนั้น ซั่งเหมยกับซั่งเซียงก็นอนหลับเป็นตาย ปกติก็ไม่รู้สึก แต่คืนนี้นอนหลับลึกอย่างน่าประหลาดนัก หนังตาคล้ายกับมีทองคำหนักนับพัน แขนขาหนักจนยกไม่ขึ้น เมื่อสักครู่ซั่งเหมยสมองยังชัดเจน ยังบอกอีกว่าจะเข้าห้องมาดูนายหญิงกับนายน้อยว่านอนหลับดีหรือไม่ แต่กลับลืมตาไม่ขึ้น สุดท้ายก็เลยตัดสินใจนอนเสีย มือไร้เรี่ยวแรง หนักจนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนตั่งนอน จนกระทั่งยามซื่อ [1] ของวันถัดมาถึงตื่น รอจนนางกับซั่งเซียงลืมตา ด้านนอกฟ้าก็สว่างมากแล้ว แสงจากดวงอาทิตย์กลมโตสาดเข้ามา ส่องจนคนสับสนงงงวย
“ตายแล้ว นี่…นี่ทำไมนอนจนถึงเวลานี้เล่า” ซั่งเซียงตื่นก่อนแล้ว มองดูเวลา ทั้งยังรีบย้ายร่างไปด้านข้างซั่งเหมย “ยังนอนอีกหรือ รีบตื่นเถิด นอนไปกี่ชั่วยามแล้ว รีบตื่นไปดูนายหญิงเร็ว”
ซั่งเหมยพึมพำพลางพลิกตัว ตรงหน้าถูกแสงแดดสาดส่องมาจนขาวโพลน ขยี้ตาพลางนั่งขึ้นมา ซั่งเซียงตอนนี้สวนเสื้อคลุมเดินออกไปแล้ว
เฉาเต๋อหลุนรอรับฟังคำสั่งที่ห้องนอนใหญ่ตั้งแต่เช้าตรู่ แต่ด้านในกลับไร้ซึ่งเสียงใด ซั่งเหมยซั่งเซียงทั้งสองคนก็ไม่คอยรับใช้อยู่ด้านใน ขันทีที่ส่งไปเรียกก็กลับมารายงานว่าตอนหลับเสมือนตาย เรียกไม่ตื่น พอพูดจบ ซั่งเซียงก็รีบวิ่งออกมา เมื่อเผชิญหน้ากับเฉาเต๋อหลุนก็มิรู้ว่าจะแก้ต่างให้ตนเองอย่างไร
“นี่มันเวลาเท่าใดกันแล้วพวกเจ้าถึงเพิ่งจะตื่น ข้าว่าพวกเจ้าสองคนนับวันยิ่งไม่เคารพกฎแล้ว ยังยืนงงอยู่ทำไม ไม่รีบเข้าไปรับใช้พระชายาอีก วันคืนผ่านไปอย่างดีเสียจริง แม้แต่หนังก็ระคายแล้ว ยังไม่รีบไปอีก!”
ซั่งเซียงรับคำ “เจ้าค่ะ” แล้วรีบเข้าห้องไปรับใช้ นอกจากนางและซั่งเหมยแล้ว ห้องนอนของเฉินยางไม่ค่อยมีใครเข้ามา สภาพในห้องเหมือนเมื่อวานตอนพวกนางออกไปเลย เงียบสงัด แต่ยิ่งเงียบยิ่งรู้สึกแปลกใจ เฉินยางเวลานี้ยังไม่ตื่นก็ยังพอเข้าใจได้ แต่นายน้อยเวลาแบบนี้ไม่ควรยังนอนอยู่สิ คืนก่อนก็ดูเหมือนว่าไม่ได้ยินเสียงร้องของนายน้อย เหตุใดเช้านี้ก็ยังเงียบไร้เสียงแบบนี้ นางรู้สึกถึงความผิดปกติ รีบไปดูเฉินยางก่อน นางยังนอนหลับอยู่จริง พอเอี้ยวไปดูในเปลไกวข้างเตียงก็ตกใจจนตะลึงงัน ในนั้นเหตุไฉนจึงไร้เงาของนายน้อยเล่า ว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย!
ในใจนางส่งเสียงร้องดัง ถอยหลังไปหลายก้าว ไม่ทันระวัง บั้นท้ายล้มลงกับพื้น ซั่งเหมยที่เดินตามนางมารีบพยุงนางขึ้นแล้วตำหนิ “เหตุใดจึงไม่ระวังอย่างนี้” ทั้งยังถามต่อว่า “เจ้าเป็นอะไรไป เห็นวิญญาณหรืออย่างไร แล้วนายหญิงตื่นหรือยัง”
——
[1] ยามซื่อ ช่วงเวลาตั้งแต่ 9.00-10.59 น.