ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 669 รายงานการเดินทางกับภรรยา / ตอนที่ 670 มิเป็นไร ข้าเพียงอยากหัวเราะเจ้า
- Home
- ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง
- ตอนที่ 669 รายงานการเดินทางกับภรรยา / ตอนที่ 670 มิเป็นไร ข้าเพียงอยากหัวเราะเจ้า
ตอนที่ 669 รายงานการเดินทางกับภรรยา
หัวหน้าสำนักงานตรวจการเซวียอิ๋นในมือบีบหลักฐานที่ฮ่องเต้ฆ่าพ่อตัวเองอยู่ ฮ่องเต้สั่งคนให้ไปฆ่าหมอหลวงที่เคยรักษาฮ่องเต้องค์ก่อน ถูกเซวียอิ๋นช่วยชีวิตมาได้ เขาอยากจะใช้โอกาสนี้เอาผิดฮ่องเต้ ให้ตัวเองได้หาหนทางที่จะมีชีวิตอยู่ มิเช่นนั้นถ้าตามนิสัยของฮ่องเต้แล้ว ขอเพียงแต่กฎของราชสำนักแข็งแกร่ง พวกเขาที่ได้ถูกเรียกว่าเป็นขุนนางอาวุโสคงไม่มีจุดจบที่ดี แทนที่จะต้องเหนื่อยสู้นั่งรอความตายเฉยๆ ยังไม่สู้วางแผนอนาคตข้างหน้าไว้แต่เริ่มแรก
เลิกจากราชสำนัก ข้างกายขาดไม่ได้ที่จะมีคนฝืนใจคอยประจบสอพลอ เฝิงเยี่ยไป๋ไม่มีอารมณ์จะไปรับมือด้วย ทำหน้าเย็นชาแล้วเดินออกจากพระตำหนักไท่เหอ คนรอบข้างรู้ว่าลูกชายของเขาหายตัวไป คนที่เอาตัวลูกชายของเขาไปก็คือคนที่นั่งอยู่ในท้องพระโรง เขาอารมณ์ไม่ดีก็สมควรแล้ว อยากจะไปพูดเอาใจสักสองสามประโยค แต่เห็นสีหน้าของเขาแล้วกลับต้องถอยกลับ อย่าขโมยไก่ไม่ได้แถมเสียข้าวสารอีกกำมือมันได้ไม่คุ้มเสีย และไม่กล้าจะไปรบกวนเขา อย่างมากที่สุดแค่เจอแล้วทำความเคารพพูดด้วยสองสามคำเป็นมารยาทแล้วก็รีบจากไป
เซวียอิ๋นเลิกจากประชุมราชสำนักก็รีบเดินทางกลับจวน ออกจากวัง พอถึงครึ่งทางถูกรถม้าของเฝิงเยี่ยไป๋ขัดขวางอยู่ในอุโมงค์ คนขับรถม้าของเซวียอิ๋นจำรถม้าของเฝิงเยี่ยไป๋ได้ ดึงให้รถม้าหยุด เปิดผ้าม่านออกมาแล้วพูดขึ้นว่า “นานท่าน รถม้าของท่านอ๋องอยู่ข้างหน้า”
เซวียอิ๋นเปิดม่านประตูรถม้าแล้วลงมา หน้าตาฉีกยิ้มเสแสร้งใส่อย่างคุ้นเคย แล้วเดินไปพูดว่า “ท่านอ๋อง นี้ท่าน…”
เฝิงเยี่ยไป๋เรียกเขาขึ้นรถ “ข้ามีธุระอยากจะคุยกับเซวียฮูหยิน”
เซวียอิ๋นไม่มีความมั่นใจ พวกเขาทั้งสองไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน มีอะไรจะต้องคุย แต่สถานการณ์ตรงหน้านี้ ถ้าเขาไม่ขึ้นรถไปก็เกรงว่าจะไปไหนไม่ได้ หันหลังไปคุยกับคนขับรถว่า “เจ้ากลับไปก่อนเถิด กลับไปบอกกลับฮูหยินว่าข้ามีธุระที่ราชสำนักนิดหน่อยคงไม่กลับไปกินข้าวที่บ้านแล้ว ให้นางไม่ต้องรอข้า”
คนขับรถหยักหน้าตอบกลับอย่างงงงัน กลับรถม้าอ้อมกลับไป
เฝิงเยี่ยไป๋ได้รับบทเรียนมาจากครั้งที่แล้ว ตอนนี้ถ้ากลับไปค่ำหน่อยก็รู้แล้วว่าจะต้องรายงานกับเฉินยางอย่างไร เขาพูดตามที่เซวียอิ๋นพูดไปเมื่อครู่อีกรอบหนึ่ง ไล่ให้คนเอาคำพูดไปบอกแก่เฉินยาง แล้วยังให้บอกอีกว่าดื่มชากับเซวียอิ๋นที่โรงน้ำชา บอกนางไม่ต้องเป็นห่วง
คนที่นำคำพูดไปบอกได้ยินจนต้องขนลุก เฝิงเยี่ยไป๋เติมน้ำมันเติมน้ำส้มสายชูลงไป พูดคำรักหวานชวนขนลุก ตัวเขาเองมีรู้สึกว่ามีอะไร แต่คนนอกที่ได้ฟังได้ยินจนเบื่อเหมือนตกอยู่ในโถน้ำตาล เซวียอิ๋นเช็ดเหงื่อที่ไหลบนหน้าผาก รู้สึกเขินจนทนไม่ได้
รอให้คำสั่งจนจบ เขาหลับตาลงอย่างอ่อนโยน พิงไปที่ผนังรถม้า สั่นสะเทือนไปตามการเดินของรถม้า หน้าส่ายไปมา มองไม่เห็นทางแม้แต่น้อย
เซวียอิ๋นคำนับแล้วถามขึ้นว่า “ท่านอ๋องหาข้ามีเรื่องอะไรจะสั่งหรือ”
เดิมทีคิดว่าเขาหลับตาอยู่ คงไม่ตอบกลับเร็ว แต่พอเขาพูดจบ เฝิงเยี่ยไป๋ก็ตอบกลับมาว่า “ก็ไม่ใช่การสั่ง เพียงแต่ข้าเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวงได้ยินเรื่องเรื่องหนึ่งเข้า…” เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา “ได้ยินว่าการตายของฮ่องเต้พระองค์ก่อนมีปัจจัยมาจากอย่างอื่นด้วย เป็น… เป็นฮ่องเต้คนปัจจุบันที่ฆ่าพ่อตัวเองเพื่อแย่งชิงบัลลังก์…ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ”
เรื่องนี้มีเพียงแค่เซวียอิ๋นเท่านั้นที่รู้ มากไปกว่านั้นเขาก็ไม่ได้เอาไปพูดข้างนอกเลย แต่ว่าทำไมเฝิงเยี่ยไป๋ถึงรู้เรื่องนั้น เขาก็ไม่รู้แล้ว และเขายังจงใจที่จะใช้มันขัดขวางเขาไว้กลางทางอีก เรียกให้เขาไปหา เห็นได้ชัดเจนเลยว่าข้อมูลนี้ได้มาจากปากของเขาแน่นอน มิเช่นนั้นขุนนางทั้งราชสำนัก ทำไมถึงมาหาเขาเพียงแค่คนเดียวเล่า
ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าท่านอ๋องคนนี้มีแผนการอะไร จะยอมรับแบบส่งๆ ไม่ได้ ถ้าหากเขาจงใจจะให้เขาพูดเล่า ถ้าเขายอมรับก็ไม่เท่ากับเขายังไม่ทำอะไรก็ยอมรับไปเองอย่างนั้นหรือ ดังนั้นเมื่อได้ยินเขาพูดอย่างนี้แล้วจึงทำได้แค่ยิ้มเสแสร้งไป
ตอนที่ 670 มิเป็นไร ข้าเพียงอยากหัวเราะเจ้า
เฝิงเยี่ยไป๋หลังจากไปร่วมประชุมราชการเช้าแล้ว เฉินยางจึงไปยับยั้งการลงโทษซั่งเหมยเสีย เนื่องจากนางออกไปเองโดยพลการ แต่กลับทำให้พวกนางต้องมารับโทษด้วย ในใจจึงรู้สึกผิดยิ่งนัก ซั่งเหมยเองก็ร้องไห้อย่างน้อยใจ แต่แม้ว่าจะน้อยใจเพียงใดก็ยังต้องรับใช้ต่อไป คราวนี้ถูกลงโทษเสียหลาบจำแล้ว ไม่ว่าเฉินยางจะเดินไปทางใดนางก็ตามไปแบบไม่ห่างแม้เพียงก้าวเดียว เข้าห้องน้ำนางก็เฝ้าอยู่หน้าประตู สักพักก็เรียกนายหญิงเสียที หากด้านในรับคำช้า นางก็จะผลักประตูเข้าไปทันที ตนนั้นก็อยู่ใต้หนังตาของเฝิงเยี่ยไป๋นี่เอง เฉินยางหากเป็นอะไรไปอีกนางเองคงไม่รอดแน่
เฉินยางจนใจเหลือเกิน นางนั้นแปดส่วนคือเสียขวัญแล้ว ชะตาของนายบ่าวสองคนล้วนผูกไว้ด้วยกัน หากกำชับนางว่าให้ระวังกว่าเมื่อก่อนก็ยังพอเข้าใจได้ ประเดี๋ยวนางจะต้องบอกเฝิงเยี่ยไป๋เสียหน่อย หากเขาไม่มีอะไรก็อย่าระบายอารมณ์กับบ่าวไพร่เลย ไม่อย่างนั้นนางอยู่ที่นี่จะซื้อใจคนได้อย่างไร
เย็นพลบค่ำ ไม่ทันรอให้เฝิงเยี่ยไป๋กลับมา กลับได้มาเพียงข่าวสารว่าคืนนี้เขามีงานเลี้ยงต้องไปร่วม ใครจะไปรู้ได้ว่าเขาต้องรับรองอะไร เฉินยางเพียงแค่โกรธเขา ล่วงเลยมาป่านนี้ยังทำท่าเหมือนไม่รีบไม่ร้อน ทำตัวราวกับว่าวันนี้เรื่องที่เกิดทั้งหมดดูเหมือนไม่เกี่ยวกับตนก็มิปาน ต้องทำกิจการอย่างไรก็ทำตามเดิม เสี่ยวจินอวี๋หายไป เขายังมีแก่ใจไปสมาคมกับคนพวกนั้น หากมิใช่เพราะลูกนั้นเป็นนางเองที่ให้กำเนิดมา นางคงจะเข้าใจไปแล้วว่าลูกนั้นไม่ใช่ลูกเขา
เฝิงเยี่ยไป๋นั้นท่าทีไม่ชัดเจน อวี่เหวินลู่ก็ได้ข่าวคราวทางอิ๋งโจวมาแล้ว เขาบอกน่าอวี้ไปแล้วถึงคำขอร้องของเฉินยาง น่าอวี้ตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่สะทกสะท้านอันใดเลย ฟังจนจบแล้วก็ตอบมาเบาๆ เพียงคำเดียวว่า “เกี่ยวอะไรกับข้าเล่า” นางแสดงทัศนคติมาถึงเพียงนี้ก็ชัดเจนแล้ว ก็คือไม่คิดจะยื่นมือเข้าช่วย สถานการณ์ของนางในวังนั้นไม่ได้ดีเหมือนที่ผู้อื่นจินตนาการ ฮ่องเต้ไม่ได้เชื่อใจนางเต็มที่ หากตอนนี้ช่วยเฉินยางตามหาลูกอีก ก็คงเจอทางตันเป็นแน่ นางเองไม่ง่ายนักกว่าจะอยากมีชีวิตรอดต่อ ยังไม่อยากตายเร็วนัก
ผลลัพธ์นี้สำหรับอวี่เหวินลู่นั้นไม่น่าแปลกใจนัก หากแต่สำหรับเฉินยางละก็ยังนับว่าปวดใจยิ่งนัก นางคิดว่านางกับน่าอวี้อย่างไรเสียก็เป็นมิตรสหาย นางคิดว่าน่าอวี้จะช่วยเหลือนาง แม้ว่าจะไม่เห็นแก่มิตรภาพในกาลก่อน แต่เฝิงเยี่ยไป๋ก็ช่วยนางตามหาน้องชายกลับมาเชียวนะ หากนับบุญคุณอันนี้ก็ไม่ควรนิ่งดูดาย ตอนนี้พอมาคิดเป็นนางเองที่เพ้อฝันไป เป็นนางที่คิดผิดไป
เฉาเต๋อหลุนยืนอยู่ด้านนอกศาลา กระแอมไอเป็นครั้งคราวเพื่อเตือนเฉินยางว่าประมาณนี้พอได้แล้ว หากรอจนเฝิงเยี่ยไป๋กลับก็จะโกรธอีก หากนายท่านโกรธขึ้นมา พวกเขาบรรดาข้ารับใช้ก็จะลำบาก ใครก็ล้วนไม่อยากรับใช้อย่างอกสั่นขวัญแขวน ดังนั้นอารมณ์ที่ดีของนายท่านนั้นขึ้นอยู่กับพระชายาอ๋องเท่านั้น
เฉินยางปัดกระโปรงแล้วลุกขึ้นยืน พลางถอนหายใจยาวหนึ่งที ดูเหมือนว่าคำพูดของเฝิงเยี่ยไป๋ที่คอยเตือนนางนั้นก็มิได้ไร้เหตุผลไปเสียทีเดียว หากดีกับผู้อื่น แต่ผู้อื่นอาจจะไม่ยินดีรับสิ่งดีๆ ที่นางมอบให้ คนที่นำความแค้นมาทดแทนบุญคุณนั้นมีมากโข และคนดีนั้นมักจะถูกรังแกเสมอ
รอจนนางเดินออกมาจากศาลา อวี่เหวี่นลู่อยู่ดีๆ ก็เรียกนางขึ้นมาอย่างกับคนเป็นลมบ้าหมู ซั่งเหมยกับเฉาเต๋อหลุนรีบหันไปมองอย่างพร้อมเพรียง เฉินยางนั้นหันมองอย่างเนือยๆ ดวงตาหลายคู่มุ่งมองไปยังเขา คำพูดที่กดอยู่ในใจเหล่านั้นอยู่ดีๆ ก็พูดไม่ออกเสียดื้อๆ มือไม้ไม่รู้จะไปวางไว้ที่ใด เช็ดมือไปสองที เหงื่อที่ชื้นกลางฝ่ามือถูกเช็ดจนแห้ง แล้วจึงกลืนคำพูดเหล่านั้นที่จุกอยู่ในลำคอลงไปเสีย “ไม่มีอะไร ข้าเพียงอยากหัวเราะเยาะเจ้า บอกตั้งแต่แรกแล้ว น่าอวี้จะไม่ช่วยเจ้าแน่ ก็มีเพียงเจ้าที่เป็นดั่งคนโง่งมที่ยังเชื่อนางอยู่”