เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 - เล่มที่ 1 ตอนที่ 27 สอบปากคำจางเสเพล
บ้านพักรับรองในยุค 80 มีรูปแบบเหมือนกับโรงแรมในยุคอนาคต มีคุณสมบัติของห้องพักหลากหลายมาตรฐาน กล่าวโดยยึดมาตรฐานของบ้านพักในเขตอันชิ่ง มีห้องเตียงรวมขนาดใหญ่ซึ่งนอนได้สิบกว่าคน หากไม่อยู่ในชั้นหนึ่งที่ค่อนข้างชื้นก็อยู่ในชั้นใต้ดิน พักหนึ่งคืนจ่ายเพียง 1 หยวน แบบที่ดีขึ้นมาเล็กน้อยคือห้องสำหรับสี่คน มีเตียงหนึ่งหลังในราคา 2 หยวน ดีขึ้นอีกก็คือห้องเดียวราคา 6 หยวน แน่นอนว่าดีที่สุดต้องเป็นห้องชุดราคา 15 หยวน
โดยปกติห้องชุดจะเป็นบรรทัดฐานสำหรับหัวหน้าของหน่วยงานที่เดินทางมาเพื่อเจรจาธุรกิจ
ถ้าเป็นหน่วยงานที่ผลประกอบการไม่ดี แม้เป็นหัวหน้าก็อยู่ห้องชุดหนึ่งคืนในราคา 15 หยวนไม่ลง
ห้องชุดของบ้านพักรับรองในเขตอันชิ่งจะว่างอยู่เกือบทั้งปี โจวเฉิงและคังเหว่ยนั้นอยู่ที่พักแบบนี้ กระเบื้องสีครีม เครื่องเรือนไม้แท้สีแดงก่ำ ดวงไฟสว่างเจิดจ้า ในห้องยังมีโทรทัศน์ 14 นิ้วอีกหนึ่งเครื่อง จางเสเพลไม่เคยพบเคยเจอห้องที่หรูหราขนาดนี้มาก่อน ยิ่งคาดเดาถึงเบื้องหลังของคังเหว่ยและโจวเฉิงไม่ได้เลย
เจ้าหน้าที่จับเขามาไว้ที่บ้านพักทำไม?
หากไม่ใช่เจ้าหน้าที่ แต่ในมือพวกเขามีปืน ในใจจางเสเพลยิ่งไม่มีความมั่นใจ
วันนี้โจวเฉิงเทียวไปเทียวมาอยู่ข้างนอกทั้งวัน อยู่กับเซี่ยเสี่ยวหลานแล้วยังไม่รู้สึก พอกลับมาแล้วพบว่าทั่วทั้งร่างมีแต่เหงื่อไคลเหนียวเหนอะไม่สบายตัว เขามองท่าทางกักขฬะของจางเสเพลพลันนึกถึงข่าวลือที่ไม่เสนาะหูเหล่านั้นก็ยิ่งไม่สบอารมณ์มากเข้าไปอีก
คนแบบนี้นั่งเก้าอี้ไปทำไมกัน อย่าได้ทำให้เก้าอี้ของบ้านพักสกปรกเลย
แกไปนั่งยองๆ ตรงนั้น อธิบายปัญหาของตัวเองมาเสียดีๆ
คังเหว่ยเปิดพัดลมเพดานในห้อง พัดลมหมุนส่งเสียงกระพือ ขจัดความร้อนอบอ้าวออกไปไม่น้อย
จางเสเพลตอบโดยไม่ละอายใจ สหาย ฉันไม่รู้ว่าพวกแกจะให้ฉันอธิบายปัญหาอะไร แกช่วยใบ้ให้ฉันหน่อยสิ?
โจวเฉิงปรายตามองไปที่คังเหว่ย
คังเหว่ยก็ดูออกว่าพี่เฉิงจื่อกำลังไม่สบอารมณ์ จึงพยายามฉอเลาะให้มากที่สุด มิใช่เรื่องของว่าที่พี่สะใภ้หรือ? เพราะเป็นอย่างนั้นฉันปล่อยให้พี่เฉิงจื่อจัดการเอง พอหาตัวไอ้เลวนี่เจอเลยจับกลับมาให้พี่สอบสวน
ไม่แปลกใจที่จางเสเพลจับต้นชนปลายไม่ถูก
โจวเฉิงถูกคำพูด ‘ว่าที่พี่สะใภ้’ ของคังเหว่ยประจบประแจงเข้าก็จุดบุหรี่ให้ตนเองหนึ่งมวน หันไปพยักหน้ากับจางเสเพล
พูดมาเถอะ เรื่องของเซี่ยเสี่ยวหลาน แท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น?
ถามเรื่องของเซี่ยเสี่ยวหลาน?
จางเสเพลรู้สึกสบายใจขึ้นมา ทั้งสองท่านก็อยากลิ้มลองบ้าง? นังคนนั้น—
แค่กล่าวถึงเซี่ยเสี่ยวหลานก็คือการพูดถึงจุดที่จางเสเพลภูมิใจที่สุด
เขาพูดด้วยหน้าตาเปรมปรีดิ์ เหลือแต่ออกมือออกเท้าเต้นรำแล้วเท่านั้น ทว่ายังไม่ทันได้พูดจนจบก็ถูกโจวเฉิงถีบจนคว่ำ โจวเฉิงถีบด้วยแรงทั้งหมดที่มี ทำเอาจางเสเพลชนเข้ากับมุมผนัง ไร้การขยับเขยื้อนอยู่เป็นนาน
ใบหน้าโจวเฉิงแผ่ความโหดเหี้ยม คว้าผมของเขาเพื่อดึงกระชากขึ้นมา
ปากของจางเสเพลมีแต่เลือด แม้แต่แรงที่ใช้ดิ้นรนก็ไม่มีเหลือ ลูกถีบของโจวเฉิงนั้นคงโดนอวัยวะภายในของเขาจนได้รับบาดเจ็บ
ตอนนี้จะพูดได้หรือยัง? ฉันต้องการฟังแค่ความจริง ถ้าใครโกหกต่อหน้าฉัน ฉันไม่ให้โอกาสมันเป็นครั้งที่สองแน่
แค่คุยโวก็สามารถตายได้แล้วหรือ?ก่อนหน้านี้จางเสเพลเคยไม่เชื่อ
พอใครๆ ล้วนบอกว่าเขากับเซี่ยเสี่ยวหลานมีความสัมพันธ์ชู้สาวกัน แม้แท้จริงแล้วเขาไม่รู้หรอกว่ามันยอดเยี่ยมเพียงใด แต่ก็ร่วมยอมรับและคุยโวไปกับคนอื่นด้วย
แต่ตอนนี้จางเสเพลถึงได้รับรู้แล้ว ที่แท้คุยโวก็สามารถทำให้คนถึงตายได้
เขาน้ำตาน้ำมูกไหลพราก
ฉัน… ฉันพูดความจริงแล้ว ฉันไม่เคยแตะต้องเซี่ยเสี่ยวหลานเลยด้วยซ้ำ!
โจวเฉิงจับผมเขาเอาไว้ไม่ปล่อย ไม่มีลมไม่เกิดคลื่น[1] ข่าวลือของแกกับเซี่ยเสี่ยวหลานแพร่ไปทั่วทุกที่ มันต้องมีเหตุผลสิ พูดมาเถอะ แกได้ทำเรื่องเลวๆ กับเธอใช่หรือไม่?
สายตาของจางเสเพลหลบเลี่ยง ไม่ยอมพูดสิ่งใด
โจวเฉิงจับศีรษะเขากระแทกลงกับพื้นอย่างรุนแรง จากนั้นใส่กระสุนลงปืนพกจนเกิดเสียงคลิก เห็นสีหน้าดุร้ายอำมหิตดุจหมาป่าแล้ว ดูท่าว่าจะกล้ายิงเขาเข้าจริงๆ
จางเสเพลก้มหัวลงโขกพื้นจนดังสนั่น
อย่าฆ่าฉัน อย่าฆ่า ฉันจะบอกแล้ว ฉันบอกหมดเลย! เซี่ยเสี่ยวหลานหน้าตาสะสวย สองปีก่อนฉันไปหาญาติที่หมู่บ้านชีจิ่ง แค่เห็นก็ถูกใจเธอแล้ว ตอนนั้นฉันรั้งเธอไว้แล้วหยอกเอินไปไม่กี่ประโยค ไอ้จือชิงแซ่หวังช่างสอดจากหมู่บ้านชีจิ่งก็มาออกตัวให้เซี่ยเสี่ยวหลาน ต่อมาฉันก็ไม่มีโอกาสเข้าใกล้เซี่ยเสี่ยวหลานเท่าไร ทำเพียงแค่ไปๆ มาๆ ในหมู่บ้านชีจิ่งนั่นแหละ แต่เซี่ยเสี่ยวหลานแข็งกร้าวจะตาย ฉันไม่เคยได้เอาเปรียบอะไรเธอเลย… หลังจากนั้น…
จางเสเพลพูดจาตะกุกตะกัก คังเหว่ยยกเก้าอี้ขึ้นเตรียมฟาดเขา จางเสเพลจึงปล่อยให้ไหที่ร้าวไปแล้ว แตกอีกรอบ[2]
หลังจากนั้นมีคนเอาเศษกระดาษมาทิ้งไว้ที่หน้าต่าง บอกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานนัดฉันออกไปพบ แถมยังบอกอีกว่าใจจริงแล้วเซี่ยเสี่ยวหลานนั้นชอบฉัน แค่เพราะว่าฉันไม่ทำการทำงาน กลัวว่าครอบครัวไม่เห็นด้วยเรื่องแต่งงาน ก็เลย… ก็เลย ให้ฉันกับเซี่ยเสี่ยวหลานหุงข้าวดิบให้สุกไปเลย [3] !
จางเสเพลเองก็ถูกตีจนหวาดกลัว จึงได้พูดทุกอย่างออกมาจนหมด
พอพูดถึงตรงนี้จางเสเพลดูเหมือนยังมีความอาฆาตของตนอยู่ ผลคือฉันไปหาเซี่ยเสี่ยวหลาน เธอไม่ยอมรับว่ามีเรื่องเศษกระดาษนั่น ทั้งยังด่าฉันว่าเป็นแค่คางคกดันอยากจะกินเนื้อหงส์ ฉันดึงเธอไว้ไม่ปล่อย ไอ้บ้าแซ่หวังนั่นก็มาทำลายเรื่องดีๆ ของฉันอีก! ได้ยินพวกเขาถกเถียงกัน ฉันถึงรู้ว่าที่แท้คนแซ่หวังคือคนรักของพี่สาวเซี่ยเสี่ยวหลาน เขากับเซี่ยเสี่ยวหลานคุยกันไร้สาระว่าผิดหวังมากอะไรเทือกนั้น เป็นทั้งสองคนที่มีความสัมพันธ์กัน!
ตนเองไม่ได้เอาเปรียบแถมโดนคนอื่นตัดหน้าอีก จางเสเพลต้องโกรธอย่างแน่นอน
อีกอย่างระหว่างเซี่ยเสี่ยวหลานกับว่าที่พี่เขยก็ช่างคุมเครือ ต่อหน้าเขาเอาแต่แสร้งทำเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ผุดผ่องท่าเดียว จางเสเพลยิ่งคิดยิ่งไม่ยอมรับ ไม่รู้ว่าข่าวลือเรื่องเขากับเซี่ยเสี่ยวหลานเกลือกกลั้วกันบนกองฟางมันเผยแพร่ไปทุกสารทิศได้อย่างไร เมื่อคนอื่นถาม จางเสเพลก็ยิ้มรับไม่ปฏิเสธ ทุกคนจึงคิดว่าเรื่องนี้เป็นความจริงจนเรื่องแพร่ออกไปหนักหนามากยิ่งขึ้น จางเสเพลเองก็กลัวอยู่ไม่น้อย หากเซี่ยเสี่ยวหลานไปสถานีตำรวจแจ้งความจับเขาเล่า?
ดีที่ไม่มีตระกูลเซี่ยคนไหนออกตัวช่วยเหลือ เซี่ยเสี่ยวหลานกลับตันอกตันใจจนชนเสาฆ่าตัวตายด้วยตัวเอง
จางเสเพลพยายามฟอกขาวตัวเองให้ได้มากที่สุด และไม่ลืมที่จะสาดน้ำเน่าให้กับเซี่ยเสี่ยวหลาน บอกว่าเธอและว่าที่พี่เขยมีความสัมพันธ์ชู้สาวกัน ยิ่งพูดให้เซี่ยเสี่ยวหลานดูแย่ สถานการณ์ยิ่งมีประโยชน์ต่อตัวเขา
ดวงตาของจางเสเพลถูกทำร้ายจนบวมปิดเป็นร่องเล็กๆ เหลือไว้แอบมองสีหน้าของโจวเฉิง
ต่อให้เขาจะพูดเก่งแค่ไหนก็เถอะ อย่าว่าแต่ปิดบังโจวเฉิงไม่ได้เลย แหกตาคังเหว่ยยังไม่รอดด้วยซ้ำไป
เซี่ยเสี่ยวหลานปล่อยพี่เฉิงจื่อไปไม่พุ่งเข้าหาเช่นนี้ แล้วไปหาจางเสเพลแทนหรือ? ให้ตายเถอะ จะโกหกก็ต้องรักษาหน้าตัวเองไว้หน่อยไหม?!
เรื่องเศษกระดาษต้องไม่ใช่เซี่ยเสี่ยวหลานเอาไปวางที่หน้าต่างของจางเสเพลอย่างแน่นอน
คังเหว่ยฟังจนเข้าใจแจ่มแจ้ง ระหว่างตรงกลางนี้มีคนวางอุบาย เป้าหมายก็คือทำลายเซี่ยเสี่ยวหลาน
พี่เฉิงจื่อ…
คังเหว่ยรู้สึกผิดพอสมควร
โจวเฉิงไม่คิดหยุมหยิมกับเขา หัวเราะเยือกเย็นพลางถามจางเสเพล มือข้างไหนของแกที่แตะต้องเธอ?
จางเสเพลปฏิเสธตัวสั่นเทา ไม่เคยแตะต้องจริงๆ ฉันแค่ฉีกแขนเสื้อเธอขาดไปข้างหนึ่ง
เซี่ยเสี่ยวหลานโดนไอ้ขี้ขลาดแบบนี้หักหาญจนต้องชนเสา โจวเฉิงโกรธจนถึงขีดสุด แต่กลับหัวเราะออกเสียงออกมา
ดีมาก!
คังเหว่ยกลัวว่าโจวเฉิงจะยิงจางเสเพลทิ้ง พี่… อย่าเพิ่งวู่วาม ย่านนี้ฆ่าคนไม่ได้นะ… ไม่ใช่สิ ฉันนี่ปากเสียจริงๆ ไม่ว่าย่านไหนๆ ก็ฆ่าคนไม่ได้ทั้งนั้น จะจัดการเขาโดยให้มือตัวเองแปดเปื้อนไปทำไม?
ส่งให้สถานีตำรวจเถอะ!
จางเสเพลกลัวจนแทบสิ้น เขาพอเดาหนทางนี้ออก เซี่ยเสี่ยวหลานคงจะสนิทสนมกับผู้ชายที่ร้ายกาจเข้าแล้ว คนตรงหน้าทั้งสองมาเพื่อระบายความพยาบาทแทนเซี่ยเสี่ยวหลาน หากเขาถูกส่งให้สถานีตำรวจ? เป็นเช่นนั้นจริงเขาก็เสร็จแน่
จางเสเพลหวาดกลัวจนเกิดความอาจหาญผิดมนุษย์มนา
ถ้าส่งฉันไปสถานีตำรวจชื่อเสียงของรองเท้าผุพังอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานก็ถูกรับรองแล้ว ฉันเจอใครเข้าจะเล่าเรื่องราวของฉันกับเซี่ยเสี่ยวหลานให้ละเอียดเลย
โจวเฉิงลงจากเตียงแล้วดันหีบใบหนึ่งออกมา เมื่อเปิดออก ข้างในปรากฏเงินอยู่เต็มหีบ
เขาหยิบเงินสิบหยวนจำนวนหลายฟ่อนยัดใส่มือของจางเสเพล จางเสเพลยังนึกว่านี่คือค่าปิดปาก
เดี๋ยวคงจะได้ร่ำรวยแล้ว เกรงว่าเงินสิบหยวนหลายฟ่อนจะเป็นจำนวนหลายพันหยวน แต่โจวเฉิงนำเงินออกมาด้วยท่าทางผ่อนคลาย ไม่รู้ว่าในหีบยังมีอีกมากน้อยเท่าไร!
จางเสเพลได้คืบแล้วจะเอาศอก ยังไม่ทันปริปากไถเงินเพิ่ม ประโยคถัดมาของโจวเฉิงก็ได้เนรเทศจางเสเพลลงนรก
เสียวเหว่ย วานบอกบ้านพักโทรศัพท์ติดต่อสถานีตำรวจหน่อย พวกเราจับหัวขโมยเงินหลวงได้หนึ่งคน
เชิงอรรถ
[1] 无风不起浪 ไม่มีลมไม่เกิดคลื่น หมายถึง เรื่องราวที่เกิดขึ้นต้องมีเหตุผลอยู่
[2] 破罐子破摔 ไหแตกแล้วแตกอีก หมายถึง เกิดเรื่องที่ไม่ดีขึ้น แต่ไม่คิดแก้ไข ปล่อยให้มันดำเนินไปตามเรื่องตามราว
[3] 生米煮成熟饭 หุงข้าวดิบเป็นข้าวสุก หมายถึง เรื่องราวเกิดขึ้นจนถึงระดับที่แก้ไขไม่ได้อีกแล้ว แต่ในที่นี้มีความหมายว่า หากชายหญิงมีความสัมพันธ์ทางกายกันแล้วก็จะไม่มีทางเลือ