เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 - เล่มที่ 2 ตอนที่ 35 การประชุมในครอบครัวของตระกูลเซี่ย
- Home
- เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80
- เล่มที่ 2 ตอนที่ 35 การประชุมในครอบครัวของตระกูลเซี่ย
หลิวเฟินตัดสินใจว่าจะไม่กลับตระกูลเซี่ย พอดีกับตระกูลเซี่ยก็กำลังหารือกันเรื่องของพวกเธอสองคนแม่ลูก
ตระกูลเซี่ยมีสมาชิกสิบกว่าคน คนเยอะที่ดินเยอะ แต่แรงงานที่ใช้งานได้จริงกลับมีน้อย สามพี่น้องตระกูลเซี่ยซ่อมคันกั้นน้ำ ทั้งวันทั้งคืนไม่ได้พักจนแล้วเสร็จกลับมาถึงบ้าน สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ระหว่างนั้นไม่มีเวลาให้พักผ่อน ร่างกายแข็งแกร่งราวกับเหล็กยังทนไม่ไหว อีกทั้งไม่มีหลิวเฟินผู้เป็นวัวแก่ที่ทำงานมากแต่กินน้อยตัวนี้แล้ว แม้แต่จางชุ่ยที่ไม่ได้ทำงานเท่าไรนักยังต้องลงไร่นา สะใภ้สามอย่างหวังจินกุ้ยก็แอบขี้เกียจไม่ได้แล้ว
แม่เฒ่าเซี่ยและเซี่ยหงเซี๋ยอยู่บ้านทำอาหารเลี้ยงเด็กๆ คนทั้งบ้านเหนื่อยแทบขาดใจกว่าจะนำข้าวเข้ายุ้งได้ แต่ละคนรู้สึกว่าการเก็บเกี่ยวของปีนี้ช่างเหนื่อยมากเหลือเกิน เซี่ยจื่ออวี้นำเงินเก็บของบ้านไปแล้ว เงินที่สามพี่น้องตระกูลเซี่ยได้จากการซ่อมคันกั้นน้ำยังต้องส่งไปให้เซี่ยจื่ออวี้อีก บัญชีกลางของตระกูลเซี่ยร่อยหรอจนเกือบไม่มีเงินกินข้าวแล้ว โดยพื้นฐานอาหารในฤดูเก็บเกี่ยวช่วงใบไม้ร่วงของปีนี้จึงไม่มีเนื้อสัตว์ ในกระเพาะไม่มีสารอาหารเพียงพอ ทำงานย่อมไร้ซึ่งแรงกายแรงใจสนับสนุน
เมื่อนำข้าวเก็บเข้ายุ้งด้วยความยากลำบากได้แล้ว ในที่สุดตระกูลเซี่ยก็สามารถรวมตัวประชุมกันในครอบครัวได้ ปรึกษาหารือกันเรื่องของเซี่ยเสี่ยวหลานและมารดา
ต้าจวิน แกคิดอย่างไร? พวกมันสองแม่ลูกกลับตระกูลหลิวไปนานขนาดนี้ แม้แต่ช่วงเก็บเกี่ยวก็ยังไม่กลับมา ไม่คิดว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของบ้านเซี่ยแล้วหรือ ชีวิตไร้เมียและลูกแบบนี้จะดำเนินต่อไปได้หรือ?
ใบหน้าของแม่เฒ่าเซี่ยเต็มไปด้วยความกังวล
แม่เฒ่าเซี่ยมีภูมิปัญญาในการใช้ชีวิตเป็นของตนเอง อยู่ต่อหน้าคนต่างกัน เธอย่อมสวมใบหน้าที่ไม่เหมือนกัน
เมื่ออยู่ต่อหน้าหลานสาวสุดที่รักเซี่ยจื่ออวี้ เธอคือคุณย่าผู้โอบอ้อมอารีมีเมตตา แน่นอนว่าหญิงชราเซี่ยมิได้เอ็นดูเซี่ยจื่ออวี้ถึงเพียงนั้นมาตั้งแต่แรก เธอมีแนวคิดแบบชนบทในการให้ความสำคัญกับเพศชายมากกว่าเพศหญิง รักที่สุดย่อมต้องเป็นหลานชายสามคน ทว่าอยู่ดีๆ หลังเซี่ยจื่ออวี้เรียนจบมัธยมต้นก็เริ่มหัวไวขึ้น ทุกคำพูด ทุกการกระทำล้วนร่วงหล่นฝังอยู่ในก้นบึ้งจิตใจของหญิงชราเซี่ย เธอเรียนเก่งอีกทั้งยังมีอนาคตไกล ใจของหญิงชราเซี่ยจึงได้ค่อยๆ เอนเอียง พอเซี่ยจื่ออวี้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว ในสายตาของหญิงชราเซี่ยนั้น ตำแหน่งหลานชายจึงเรียงแถวต่อกันหลังหลานสาวคนโต
เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกสะใภ้ที่ไม่มีลูกชายและเซี่ยเสี่ยวหลาน เธอคือสตรีผู้เจ้าเล่ห์เพทุบายไร้ความปรานี
หากไม่เอาเปรียบคนชนชั้นล่างของตระกูลเซี่ยอย่างหลิวเฟิน จะก่อเกิดอำนาจในการปกครองของแม่เฒ่าเซี่ยได้อย่างไร?
เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกชาย โดยเฉพาะลูกชายคนรองที่มีแต่กำลังทว่าไม่ฉลาดคิด แม่เฒ่าเซี่ยคือมารดาผู้ใส่ใจ เธอมิใช่ดอกบัวขาว[1] แต่ที่เธอทำอะไรเสียดสีแดกดันลงไป ก็มักจะพูดอย่างสง่าผ่าเผยว่าเพื่อให้เซี่ยต้าจวินได้ดี เพื่อให้ทั้งตระกูลเซี่ยได้ดี จิตใจเปี่ยมรักเช่นมารดาของเธอนั้น มักแสดงออกอย่างเป็นกังวลว่าเซี่ยต้าจวินจะไม่มีลูกชายเคารพในวันสุดท้ายของชีวิต กังวลว่าเซี่ยเสี่ยวหลานผู้เย่อหยิ่งเหยาะแหยะจะออกเรือนไปไม่รอด ดังนั้นถึงให้เซี่ยต้าจวินดีกับเซี่ยจื่ออวี้ซึ่งมีอนาคตก้าวไกลไว้สักหน่อย ให้หลิวเฟินที่ไม่มีลูกชายทำงานมากอีกสักนิด ให้สองสามีภรรยาอุทิศตนแด่ตระกูลเซี่ยมากขึ้น ภายภาคหน้าเหล่าหลานชายจึงจะกตัญญูต่อทั้งสองคน—อย่างน้อยหญิงชราเซี่ยในใจของเซี่ยต้าจวินก็มีภาพลักษณ์เช่นนี้
เขามิใช่ไม่รับรู้ว่าหลิวเฟินอยู่ในบ้านแล้วได้รับความทุกข์โศก
ทว่าเซี่ยต้าจวินเคยชินเสียแล้ว และคิดว่าหลิวเฟินอดทนสักหน่อยเดี๋ยวก็จะดีเอง
เขาเองรู้สึกว่าการที่ครอบครัวไม่ส่งเซี่ยเสี่ยวหลานไปโรงพยาบาลในครั้งนั้น ค่อนข้างทำเกินไปหน่อย แต่ในบ้านไม่มีเงินแล้วจริงๆ เด็กคนนั้นรึก็ดื้อรั้นเหลือทน เห็นของดีก็อยากแย่งชิง ยอมตกต่ำทำลายชื่อเสียงของตัวเอง ครอบครัวจะว่ากล่าวสักประโยคสองประโยคยังไม่ได้เลยหรือ?
ยิ่งเซี่ยจื่ออวี้ใจกว้าง เซี่ยเสี่ยวหลานยิ่งควรแสดงท่าทีต้องการขออภัยออกมาจึงจะถูก
สิ่งเหล่านี้เป็นความคิดในใจของเซี่ยต้าจวิน แต่วันนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานใช้กรรไกรจี้คอเพื่อต่อรองขอออกจากตระกูลเซี่ย อีกทั้งหลิวเฟินยังชนเขาให้พ้นทางอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรก เซี่ยต้าจวินอดสงสัยไม่ได้… เขาทำผิดต่อครอบครัวตนเองไปแล้วใช่หรือไม่?
การทำเวลารีบเร่งเก็บเกี่ยวข้าวทำเอาเซี่ยต้าจวินอ่อนระโหยโรยแรง การประชุมในครอบครัวหลังจากเก็บข้าวเข้ายุ้งจึงทำให้เขาไร้เหตุผลในการโต้แย้ง เมื่อหญิงชราเซี่ยถามเขาว่าชีวิตจะยังดำเนินต่อไปได้หรือ? เซี่ยต้าจวินรู้สึกเหมือนหนังหน้าของตนถูกเหยียบลงใต้เท้าแล้วจริงๆ
เขาให้กำเนิดลูกชายไม่ได้ ถูกคนในชนบทเสียดสีว่าไร้ลูกหลานสืบสกุล
แม้แต่เป็นผู้นำให้ภรรยาและลูกสาวในบ้านก็ยังทำไม่ได้?!
ฉันจะพาพวกเธอสองแม่ลูกกลับมาขอโทษแม่เอง
ในการประชุมครอบครัวครั้งนี้ไม่มีผู้น้อยของบ้านเลยสักคน เซี่ยหงเซี๋ยแอบฟังอยู่ใต้หน้าต่างด้านนอก ลุงรองของเธอยังอยากให้พวกเซี่ยเสี่ยวหลานกลับมา เซี่ยหงเซี๋ยโกรธเคืองเสียจนเจ็บอก เซี่ยเสี่ยวหลานถือดียังไงมาจองหองถึงเพียงนั้น หน้าตาก็ไม่สง่างาม ไม่ควรค่าเทียบเทียมกับพี่สาวคนโตด้วยซ้ำ กลับมาตระกูลเซี่ยย่อมต้องขัดขวางเรื่องการแต่งงานของเธอเป็นแน่… เซี่ยหงเซี๋ยไม่อยากยอมรับ ปากเธอบอกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานหน้าตาไม่สง่างาม แท้จริงแล้วกลับอิจฉาในรูปลักษณ์เช่นนั้น
คำพูดของเซี่ยต้าจวินทำให้คนตระกูลเซี่ยเงียบสงัด
ทุกคนเข้าใจแล้วว่าเซี่ยต้าจวินยังคงอยากดำเนินชีวิตต่อไป ไม่มีความคิดเปลี่ยนภรรยาใหม่ชั่วคราว หลังจินกุ้ยร้อนผ่าวอย่างร้อนรน หลิวเฟินควรจะกลับมาหรือไม่ เธอไม่มีความเห็นใด แต่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ควรกลับมาทำให้ชื่อเสียงของลูกสาวเธอเสียหายไปด้วย เธอกำลังจะพูด แต่เซี่ยหงปิงผู้เป็นสามีกลับใช้สายตาจดจ้องเธอไว้
จางชุ่ยดึงแขนเสื้อของเซี่ยฉางเจิงเบาๆ เซี่ยฉางเจิงจึงพยักหน้าพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงแบบพี่ชายคนโต
คนครอบครัวเดียวกันต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้าง ให้เซี่ยเสี่ยวหลานกลับมาขอโทษย่าเสีย พวกเรายังเป็นครอบครัวสายเลือดเดียวกันนะ เด็กคนนี้นี่ไม่รู้จักเหตุผลเกินไปแล้ว เรื่องชื่อเสียงข้างนอกเอาไว้ก่อนเถอะ ดูเข้าสิ เรื่องแค่นี้ก็ทำให้ใหญ่เสียจนย่าของเธอขุ่นเคือง
เซี่ยต้าจวินมองมารดาของเขาตาละห้อย แม่เฒ่าเซี่ยถอนหายใจหนักๆ ออกมา
ไม่ต้องให้มันมาขอโทษฉัน เกิดเรื่องน่าอายแบบนี้ขึ้น มันควรมาขอโทษจื่ออวี้มากที่สุด จื่ออวี้ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับมัน นั่นก็เพราะจื่ออวี้ใจกว้าง!
คำพูดนี้ฟังดูมีเหตุผล
ในเมื่อความสัมพันธ์ของเซี่ยจื่ออวี้กับหวังเจี้ยนหัวเปิดเผยแล้ว ทั้งสองคนเรียนจบมหาวิทยาลัยก็ต้องแต่งงานกันแน่นอน คนบ้านเดียวกันขัดแย้งกันแต่อย่างไรก็ยังตัดไม่ขาด เซี่ยเสี่ยวหลานจะไม่ไปมาหาสู่กับพี่สาวและพี่เขยเลยหรือ?
อายุน้อยไม่รู้จักคิด จะต้องแย่งชิงเอาแพ้ชนะกับเซี่ยจื่ออวี้ให้ได้ ทำความผิดแล้วยังเชิดคอไม่ยอมรับผิด… คนในครอบครัวจะชื่นชอบเธอได้อย่างไร?
จื่ออวี้ไม่ได้โทษเธอ แต่นิสัยนั่นของเซี่ยเสี่ยวหลาน… ให้เธออยู่ในบ้านหลิวก็เกรงว่าจะก่อเรื่องให้บ้านหลิวด้วย รับกลับมาให้พวกเราคอยดูเถอะ หลานอายุยังน้อย อบรมสั่งสอนดีๆ ต้องกลับตัวได้อยู่แล้ว
จางชุ่ยได้ทีทำตัวเป็นแม่พระแล้ว แต่หวังจินกุ้ยไม่พอใจอย่างมาก มีเธอหัวโด่อยู่ในบ้าน ใครจะกล้ามาทาบทามหาคู่หงเซี๋ยของฉัน? หรือว่าพี่สะใภ้จะวานจื่ออวี้แนะนำนักศึกษาให้หงเซี๋ยสักคนกัน?
กล่าวจนถึงประโยคหลัง แววตาของหวังจินกุ้ยก็ส่องประกาย เธอคาดหวังคำตอบมากจริงๆ!
จางชุ่ยเปลือกตากระตุกทันที แนะนำนักศึกษาสักคนให้เซี่ยหงเซี๋ย? เดี๋ยวนี้นักศึกษามหาวิทยาลัยไม่มีคุณค่าขนาดนั้นเชียวหรือ เซี่ยหงเซี๋ยหน้าตาไม่โดดเด่นที่สุดในหมู่พี่น้องสามสาวตระกูลเซี่ย ขนาดมัธยมต้นยังเรียนไม่จบ อีกทั้งใช้ทะเบียนบ้านชนบทซึ่งไม่สามารถสมัครงานได้ มีแต่นักศึกษามหาวิทยาลัยที่ตาบอดเท่านั้นถึงจะเห็นด้วยในการคบหากับเซี่ยหงเซี๋ย
เอาล่ะ อย่าพูดอะไรไร้สาระเลย ต้าจวินยังอยากใช้ชีวิตให้ดีต่อไป พรุ่งนี้ก็ไปรับคนที่บ้านหลิวกลับมาเสีย!
หลิวหย่งมิใช่คนที่รับมือได้ง่าย หญิงชราเซี่ยจงใจให้เซี่ยต้าจวินไปเจอตะปู [2] เข้า ทว่าเซี่ยฉางเจิงกลับไม่มีไหวพริบเอาเสียเลย พรุ่งนี้ฉันไปเป็นเพื่อนต้าจวินเอง
จางชุ่ยเห็นสีหน้าไม่ยินยอมของแม่สามีเขียนแปะอยู่บนหน้า จึงรีบเสริมไปอีกประโยค ให้ฉันไปกับต้าจวินดีกว่า ผู้ชายอย่างพวกเธอพูดจาแข็งกระด้าง จะทำให้เรื่องยากเข้าไปอีก
เซี่ยต้าจวินมองพี่สะใภ้ด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความขอบคุณ
หวังจินกุ้ยนึกอะไรบางอย่างออก อย่างนั้นฉันจะไปด้วย ฉันร่วมแรงกับพี่สะใภ้ใหญ่ ต่อให้ต้องแบกก็จะแบกพี่สะใภ้รองกลับตระกูลเซี่ยให้ได้!
เชิงอรรถ
[1] 老白莲 ดอกบัวขาว เดิมทีมีความหมายว่าดอกบัวเกิดจากดินโคลนแต่กลับบริสุทธิ์ผุดผ่อง ทว่าความหมายตามคำแสลงในโลกออนไลน์หมายถึง คนที่เสแสร้งว่าเป็นคนดี จิตใจงดงาม แต่แท้จริงแล้วในใจชั่วร้าย ความคิดเน่าเหม็น
[2] 碰钉子 เจอตะปู หมายถึง พบกับการถูกปฏิเสธหรือถูกตำหนิ