เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 - เล่มที่ 2 ตอนที่ 42 หงส์ฟ้าทองของตระกูลเซี่ย
- Home
- เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80
- เล่มที่ 2 ตอนที่ 42 หงส์ฟ้าทองของตระกูลเซี่ย
กลางเดือนกันยายน ช่วงเวลาที่อากาศร้อนที่สุดของปีได้ผ่านพ้นไปแล้ว
นักศึกษามหาวิทยาลัยไม่ต้องเข้าร่วมการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ผลินั้นราวกับใช้ชีวิตอยู่บนหอคอยงาช้าง
วิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งที่ตั้งอยู่บริเวณซีซานหวน [1] ฟังเพียงชื่อมักถูกคนสับสนกับ ‘มหาวิทยาลัยครุศาสตร์ปักกิ่ง’ วิทยาลัยฝึกหัดครูย่อมเทียบมหาวิทยาลัยครุศาสตร์ไม่ได้ แต่ก็เป็นสถานศึกษาระดับปริญญาตรีกลุ่มที่หนึ่งซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของเมืองหลวง หากอาศัยคุณภาพการศึกษาและประสิทธิภาพอาจารย์ของเขตอันชิ่ง ก็จำเป็นต้องกระเสือกกระสนมากกว่าคนทั่วไปถึงจะสอบเข้าได้
เซี่ยจื่ออวี้จากหมู่บ้านต้าเหอและจือชิงหวังเจี้ยนหัวสอบติดมหาวิทยาลัยฝึกหัดครูนั่นเอง
คู่รักชายหญิงทั้งสองคนได้รับเลือกให้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกัน นี่ช่างเป็นเรื่องราวความรักสุดแสนประทับใจ อย่างน้อยภายในห้องนอนของเซี่ยจื่ออวี้ หลังจากดับไฟเอนกายลงแล้ว คนที่ถูกเพื่อนร่วมหอนอนหยอกเย้ามากที่สุดก็คือเซี่ยจื่ออวี้ผู้สนิทสนมกลมเกลียวกับหวังเจี้ยนหัวอย่างเปิดเผยนั่นเอง
เพื่อนร่วมหอของเซี่ยจื่ออวี้ล้อเธอว่า ‘ตาหวังของเซี่ยจื่ออวี้’ หวังเจี้ยนหัวอายุได้ 25 ปีถึงจะสอบติดมหาวิทยาลัย ถือว่าอายุค่อนข้างมาก
ทว่าหวังเจี้ยนหัวร่างกายสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลา ดูแล้วเหมาะสมกับเซี่ยจื่ออวี้ผู้มีใบหน้ารูปไข่หงส์เป็นอย่างมาก เพื่อนร่วมหอของเซี่ยจื่ออวี้อิจฉาตาร้อนกันทั้งนั้น
แม้จะนำเงินจากบ้านมาไม่น้อย แต่ค่าใช้จ่ายกินอยู่ของเซี่ยจื่ออวี้ยังคงเรียบง่ายดังที่ผ่านมา เธอเชื่อมั่นเสมอว่าหวังเจี้ยนหัวคือหุ้นที่มีศักยภาพเพิ่มมูลค่า [2] ผู้หญิงจะลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพ มิใช่ว่าต้องจ่ายเงินหรอกหรือ?
หวังเจี้ยนหัวเป็นจือชิงที่ลงทำงานในชนบท สถานการณ์ในครอบครัวของเขาซับซ้อนยิ่งนัก เงินที่เซี่ยจื่ออวี้ต้องจ่ายจึงมากตามไปด้วย
เซี่ยจื้ออวี้เป็นคนเรียบง่ายไม่ปรุงแต่ง ด้านการเรียนก็ขยันจริงจัง รูปลักษณ์สง่างามอัธยาศัยดี เพิ่งเข้าเรียนได้เพียงครึ่งเดือน ทว่าสร้างความนิยมชมชอบอันดีในชั้นเรียนได้แล้ว แม้แต่อาจารย์เองยังมีความประทับใจ ในการเรียนมหาวิทยาลัยครั้งแรก เซี่ยจื่ออวี้สัมผัสได้ถึงความแปลกใหม่กับทุกสิ่งรอบตัว หยาดเหงื่อที่เธอหลั่งไหลเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้มาซึ่งผลตอบแทนแล้ว ความสัมพันธ์กับหวังเจี้ยนหัวก็อยู่ในระยะพัฒนาไปในทิศทางที่ดี… หากไร้เรื่องน่ารำคาญใจของบ้านเกิด เซี่ยจื่ออวี้ต้องสบายใจกว่านี้เป็นแน่
ตอนที่เธอเพิ่งมาถึงมหาวิทยาลัยก็ได้รับโทรเลขจากครอบครัว บอกว่าลูกพี่ลูกน้องเซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกกดดันจากข่าวลือจึงชนผนังฆ่าตัวตาย แต่ดันไม่ตายสมดั่งใจหวัง
เวลาผ่านไปได้ครึ่งเดือน จื่ออวี้ได้รับโทรเลขอีกฉบับ โทรเลขฉบับนี้รวบรัดเพียงสิบกว่าตัวอักษร แต่ปริมาณข้อมูลกลับมากมาย
หลิวเฟินหย่าแล้ว แม่ลูกย้ายออก จางเสเพลโดนจับข้อหาขโมย
โทรเลขคิดเงินตามจำนวนตัวอักษร เซี่ยจื่ออวี้รู้ดีว่าแม้ตอนนี้บิดามารดาจะหาเงินได้มากขึ้น แต่ยังทำใจใช้เงินเยอะไม่ได้ เมื่อเซี่ยจื่ออวี้ได้รับโทรเลขเธอก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ในบัดดล
อาสะใภ้รองนี่เป็นคนอย่างไรกัน?
เอากระบองตีไม่มีลมออกมาสักแอะ [3] เป็นที่รองรับอารมณ์ได้อย่างน่าทึ่ง เพราะไม่สามารถมีลูกชายให้อารองได้ อาสะใภ้รองผู้ที่เชื่อฟังอารองขนาดชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้กลับกล้าพูดถึงเรื่องการหย่า? ต้องมิใช่อารองเสนอแน่ มิเช่นนั้นในโทรเลขคงไม่เขียนชื่อ ‘หลิวเฟิน’ ไว้ นี่คือการเน้นย้ำถึงผู้ที่หยิบยกเรื่องการหย่าขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่เซี่ยเสี่ยวหลานชนผนังนั้นกระตุ้นความขัดแย้งในบ้านที่ทับถมมานาน
แม้เซี่ยจื่ออวี้ไม่ชอบเซี่ยเสี่ยวหลาน แต่ไม่เคยคิดต้องการให้เธอตาย อย่างไรเสียชีวิตของเธอและเซี่ยเสี่ยวหลานก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เธอจึงใช้ทัศนคติของ ‘ผู้ประสบความสำเร็จ’ ในการแสดงความใจกว้างได้ แต่เธอยังคงไม่พอใจอยู่ดี ไม่พอใจอะไรหรือ ก็ไม่พอใจที่บิดามารดาของเธอมีความสามารถในการปฏิบัติงานต่ำน่ะสิ!
พูดออกง่ายขนาดนี้ กำชับไว้ชัดเจนขนาดนั้น ยังปล่อยให้เรื่องนี้หลุดการควบคุมไปได้อีก?
จางเสเพลถูกจับเพราะลักขโมย หลิวเฟินหย่าแล้ว สองแม่ลูกย้ายออกจากตระกูลเซี่ย เช่นนั้นแล้วเธอจะกุมชะตาชีวิตของเซี่ยเสี่ยวหลานไว้ในมืออย่างแน่นหนาได้อย่างไร? เซี่ยเสี่ยวหลานและมารดาต้องย้ายไปหมู่บ้านชีจิ่งเป็นแน่ บ้านมารดาของหลิวเฟินจำนวนสมาชิกน้อย มีน้องสาวที่ออกเรือนแล้วซึ่งไปมาหาสู่กันไม่บ่อย จะมีก็แต่พี่ชายคนเดียวที่คอยดูแลเซี่ยเสี่ยวหลานและมารดาอยู่เสมอ
พอคิดว่าพวกเธออาศัยอยู่กับหลิวหย่ง เซี่ยจื่ออวี้ก็เบาใจขึ้นมาก
หลิวหย่งเป็นพวกไม่เอาไหน หลิวเฟินยิ่งไร้ต้นทุนในการแต่งงานใหม่ ขลุกอยู่แต่ในชนบท เซี่ยเสี่ยวหลานผู้มีชื่อเสียงป่นปี้คงไม่มีอนาคตสดใสได้อีก
ผู้หญิงหน้าตาสะสวยอาจได้เปรียบชั่วคราว ที่สำคัญกว่าคือต้องมีสมอง
เซี่ยจื่ออวี้ทิ้งโทรเลขไป นึกได้ว่าคาบเรียนของหวังเจี้ยนหัวเต็มทั้งวัน อาจารย์สาขาวิชาการเมืองและกฎหมายมักสอนเกินเวลา เธอจึงนำกล่องข้าวสองกล่องไปโรงอาหาร
รออยู่ในแปลงดอกไม้ตรงทางเดินระหว่างห้องเรียนไม่นาน เธอก็เห็นหวังเจี้ยนหัวเลิกเรียน ไม่ต้องบอกเลยว่าเพื่อนร่วมชั้นที่สนิทกับหวังเจี้ยนหัวอิจฉามากเพียงใด
เจี้ยนหัว แฟนนายช่วยไปรับอาหารมาให้อีกแล้ว!
ไอ้หมอนี่ ไม่รู้ไปโชคดีมาจากไหน…
เซี่ยจื่ออวี้ทักทายพวกเขาอย่างเป็นกันเอง ทุกคนหยอกล้อไม่กี่ประโยคก็จากไป
พวกเราเลิกเรียนช้า เธอไปกินข้าวคนเดียวก่อนก็ได้ รอฉันทำไมกัน?
หวังเจี้ยนหัวคือแบบฉบับของคนทางเหนือ ตัวสูง คิ้วเข้มตาโต เป็นชายหนุ่มที่หน้าตาสมดุล เพียงแต่รูปลักษณ์มักให้ความรู้สึกเหมือนรักษาระยะห่างจากผู้คนไกลออกไปพันลี้ [4]
เซี่ยจื่ออวี้พินิจผู้ชายคนนี้ สายตาทั้งอ่อนโยนทั้งชมชอบ ก็ไม่ได้รอนานเท่าไร อีกอย่างพวกเราเป็นแฟนกัน ฉันไม่ห่วงเธอแล้วจะให้ห่วงใครกัน
หวังเจี้ยนหัวโต้แย้งไม่ได้เลย
ทั้งสองหาที่ข้างแปลงดอกไม้นั่ง เซี่ยจื่ออวี้ส่งข้าวกล่องในมือให้เขา
หวังเจี้ยนหัวเปิดออกดูก็พบว่าข้าวกล่องใบใหญ่แบ่งส่วนกันอย่างชัดเจน ครึ่งหนึ่งคือข้าวสวยสีขาววาววับ อีกครึ่งหนึ่งคือเนื้อหมูน้ำแดงมันชุ่มฉ่ำ พอเซี่ยจื่ออวี้เปิดกล่องข้าวของตนเองออก กลับเป็นหมั่นโถวเคียงด้วยผัดกะหล่ำปลี ชุดหนึ่งคือมาตรฐานระดับสูงของโรงอาหารในมหาวิทยาลัย แม้แต่อาจารย์ก็ไม่อาจตัดใจกินแบบนี้ลง อีกชุดหนึ่งกลับเป็นอาหารมาตรฐานแย่ที่สุด หมั่นโถวคู่ผัดกะหล่ำปลี… ต่อให้เป็นหวังเจี้ยนหัวที่มีนิสัยค่อนข้างนิ่งเฉยก็อดใจอ่อนระทวยไม่ได้
เขากับเซี่ยจื่ออวี้เริ่มต้นด้วยอุบัติเหตุครั้งหนึ่ง
เขาเองก็ไม่อยากเป็นคนรักที่ไม่ซื่อสัตย์ เพียงแต่เขามิอาจละเลยความรับผิดชอบต่อเซี่ยจื่ออวี้ได้
เดิมทีหวังเจี้ยนหัวไม่เต็มใจอย่างมาก อย่างไรคนที่เขาชอบก็คือเซี่ยเสี่ยวหลาน แต่พอได้อยู่กับเซี่ยจื่ออวี้เข้าจริงๆ หัวใจซึ่งทำจากก้อนหินของหวังเจี้ยนหัวก็ค่อยๆ ถูกโอบอุ้มด้วยความอบอุ่น เซี่ยเสี่ยวหลานเปราะบาง ทั้งสองมักงี่เง่าใส่กันและยังต้องให้หวังเจี้ยนหัวคอยโอ๋ ทว่าเซี่ยจื่ออวี้อ่อนโยนและมีเหตุผล ไม่เพียงแต่ดูแลจัดการชีวิตของเขาอย่างสมควร ทั้งยังห่วงใยครอบครัวของเขาเท่าที่จะทำได้
เธอเอาเนื้อให้ฉันหมด จนตัวเองไม่ได้กินสินะ
หวังเจี้ยนหัวนำหมูน้ำแดงในกล่องข้าวของตนไปให้เซี่ยจื่ออวี้ แต่เซี่ยจื่ออวี้ไม่ยินยอม เธอยกกล่องข้าวของตนหลบหลีกพลางหัวเราะ ก็ฉันชอบกินผัก
ในยุค 80 มีอยู่ไม่กี่คนที่ชอบรับประทานผักจริง ทุกคนล้วนครุ่นคิดว่าจะรับประทานเนื้อมากขึ้นหน่อยได้อย่างไร
เซี่ยจื่ออวี้จริงใจต่อเขาเป็นแน่แท้
หวังเจี้ยนหัวรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก ถ้าเธอไม่กิน ฉันก็ไม่กิน
สองคนยื้อยุดกันต่อไปไม่ได้ สุดท้ายเซี่ยจื่ออวี้จึงคีบหมูน้ำแดงมารับประทานไปสองชิ้น
นี่คือชีวิตประจำวันอันอบอวลด้วยความรักและเสน่หาของคู่รักนักศึกษามหาวิทยาลัย เซี่ยจื่ออวี้ไม่มีทางพูดถึงโทรเลขที่ได้รับฉบับนั้น เรื่องของหมู่บ้านต้าเหอก็ให้มันอยู่ในหมู่บ้านต้าเหอ ที่นี่คือปักกิ่ง กว่าเธอจะจากชนบทที่แร้นแค้นมาได้ จะให้กลับไปได้อย่างไร?
และเธอจะไม่กล่าวถึงเซี่ยเสี่ยวหลานต่อหน้าหวังเจี้ยนหัวด้วย
ผู้หญิงที่โง่งมมักจะคว้าบางสิ่งไว้ไม่ปล่อย ยิ่งใส่ใจมากเท่าไรผู้ชายยิ่งลืมไม่ลง เวลานี้เธอเคียงข้างกายหวังเจี้ยนหัวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เมื่อเวลาค่อยๆ เปลี่ยนผันไป ย่อมต้องเข้ายึดครองจิตใจทั้งหมดของเขาได้
เซี่ยเสี่ยวหลานหรือ?
ไม่ควรค่าแม้แต่การเป็นศัตรูด้วยซ้ำ
หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อย หวังเจี้ยนหัวเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เงินที่พวกเราส่งไปที่นา พวกพ่อฉันได้รับแล้วนะ จื่ออวี้ เธอมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อพวกเราตระกูลหวังจริงๆ
เซี่ยจื่ออวี้กระดากอายอยู่เล็กน้อย เงินส่วนนั้นก็จัดการเรื่องใหญ่โตไม่ไหวหรอก แต่พอสามารถจุนเจือความเป็นอยู่ของพวกคุณลุงได้
ที่เซี่ยจื่ออวี้นำเงิน 500 หยวนจากบ้านมาถึงปักกิ่ง แต่ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันช่างธรรมดาสามัญนั้น ก็เพราะว่าเธอส่งเงินทั้งหมดให้คนในครอบครัวของหวังเจี้ยนหัว หวังเจี้ยนหัวโดนลดระดับส่งไปเป็นจือชิงที่หมู่บ้านต้าเหอ แต่บิดามารดาของเขากลับอยู่ในที่นาที่สภาพความเป็นอยู่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่า หวังเจี้ยนหัวสอบติดวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งแล้วจึงหลุดพ้นจากหมู่บ้านต้าเหอ ทว่าการกลับเมือง [5] ของคนอื่นในตระกูลหวังยังไร้ความเคลื่อนไหว
อย่างไรเสียไม่ช้าก็เร็วตระกูลหวังต้องได้กลับเมืองเป็นแน่
เซี่ยจื่ออวี้เชื่อมั่นในสิ่งนี้มาก ราคาที่ต้องจ่ายของเธอในตอนนี้ ต้องมีค่าตอบแทนอย่างแน่นอน!
เชิงอรรถ
[1] 西三环 ซีซานหวน คือ ส่วนตะวันตกของถนนวงแหวนรอบที่สาม 3 ในปักกิ่ง
[2] 潜力股 หุ้นที่มีศักยภาพเพิ่มมูลค่า เปรียบเทียบว่าคุ้มค่าแก่การลงทุนลงแรง
[3] 八棍子打不出一个屁 เอากระบองตีไม่มีลมออกมา มีที่มาจากการตีก้นเท่าไรก็ไม่ผายลมออกมา หมายถึง คนที่ไม่เก่งในการพูดจา ไม่ชอบพูด
[4] 拒人千里之外 กันให้ผู้อื่นอยู่ห่างออกไปพันลี้ หมายถึง คนที่มีลักษณะเย่อหยิ่ง สันโดษ เข้าถึงได้ยาก
[5] 返城 กลับเมือง หมายถึง ผู้มีทะเบียนบ้านในเมืองที่ไปอยู่ชนบทระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นกลับไปยังถิ่นฐานเดิมของตน