เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 - เล่มที่ 2 ตอนที่ 49 ย้ายทะเบียนบ้านด้วยความราบรื่น
- Home
- เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80
- เล่มที่ 2 ตอนที่ 49 ย้ายทะเบียนบ้านด้วยความราบรื่น
เซี่ยเสี่ยวหลานสอบเสร็จด้วยตนเอง และกลับบ้านอย่างเงียบๆ ด้วยตนเองเช่นกัน
เธอสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ คนในครอบครัวกลับใส่ชุดเก่า เซี่ยเสี่ยวหลานจึงไปซื้อผ้าจำนวนหนึ่งที่สหกรณ์ เตรียมนำกลับบ้านไปตัดเสื้อผ้า ปัจจุบันนี้คนในชนบทล้วนตัดเสื้อผ้าใส่เอง สาวน้อยสาวใหญ่ก็มีทักษะนี้กันทั้งนั้น ซื้อผ้ามาตัดชุด ประหยัดเงินทองให้ได้มากที่สุด มีน้อยคนนักที่จะไปซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูป เมื่อก่อนแม้แต่ผ้ายังต้องใช้ตั๋วซื้อ ไม่มีตั๋วผ้า มีเงินมากเท่าไรก็ซื้อผ้าไม่ได้อยู่ดี… ครอบครัวที่สามีภรรยามีรายได้สองทางยังไม่ฟุ่มเฟือยถึงขนาดอยู่ดีๆ ก็ตัดเสื้อผ้าให้คนทั้งบ้าน เนื่องจากสภาพคล่องทางเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย และสะสมตั๋วผ้าจำนวนมากขนาดนั้นไม่ได้
ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว มณฑลอวี้ได้ทยอยยกเลิกตั๋วประเภทต่างๆ
ที่ไหนยังไม่ยกเลิกก็ไม่เข้มงวดมากนัก ไม่มีตั๋วผ้าก็สามารถซื้อผ้าได้ เพียงแต่ราคาจะต้องสูงหน่อย เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ซื้อพวกผ้าไหมผ้าต่วนที่สีสันฉูดฉาด มิใช่เพราะดูหรูหราไป แต่เพราะใช้งานไม่สะดวกในชนบท ผ้าม่อฮ่อมที่เกษตรกรและคนงานใส่กันทั่วไปราคาเพียงเมตรละ 1.9 หยวน ผ้าทอลายทแยงที่ทอผสมขนสัตว์ราคาแพงกว่าผ้าม่อฮ่อมถึง 2 เหมา เซี่ยเสี่ยวหลานขนผ้ากองหนึ่งกลับบ้าน ไม่มีใครถามเธอเรื่องการสอบตามคาด เอาแต่บ่นว่าเธอใช่เงินซี้ซั้ว
ไม่กล้าถามน่ะสิ
เพราะกลัวว่าจะทำลายความตั้งใจของเซี่ยเสี่ยวหลาน
หลิวหย่งเคยปรึกษากับหลิวเฟินเป็นการส่วนตัวแล้ว
เสี่ยวหลานอยากเรียนหนังสือ ไม่เช่นนั้นให้หลานเรียนตั้งแต่ปีหนึ่งดีไหม? ค่าเรียนค่าใช้จ่าย น้องไม่ต้องกังวล มีลุงอย่างฉันคอยสนับสนุนอยู่ทั้งคน!
หลิวเฟินไม่อยากใช้เงินของพี่ชายส่งลูกสาวเรียนหนังสือเท่าไรนัก
ธุรกิจที่เสี่ยวหลานทำอยู่ ฉันจะเรียนรู้ไว้ ต่อให้เธอไปเรียนแล้ว ฉันก็สามารถไปทำงานเพื่อส่งลูกเรียนได้
เธอทำธุรกิจไม่เก่งกาจเท่าเซี่ยเสี่ยวหลาน
ธุรกิจปลาไหลอะไรนี่ ต่อให้ตีหลิวเฟินจนตาย เธอก็หาช่องทางธุรกิจอย่างบ้านพักรับรองไม่ได้แน่ พบกับโอกาสเหมือนๆ กัน ทว่าอุปนิสัยจะติดสินชะตาชีวิต แม้เถ้าแก่หูขายบะหมี่ปลาไหลจะบอกวิถีทางหาเครือข่ายให้หลิวเฟินแล้ว หลิวเฟินก็ไม่กล้าซื้อบุหรี่เป็นคอตตอนไปพบคนจัดซื้อหูหย่งไฉประจำบ้านพักรับรองอยู่ดี
แต่หลิวเฟินคิดว่าเธอพอทำงานอย่างการขายกากน้ำมันได้ สองสามวันนี้เธอฝึกขี่จักรยานจนเป็นแล้ว แม้จะล้มจนมือเขียวเท้าม่วง ทว่าแรงกายของเธอมีมากกว่าเซี่ยเสี่ยวหลาน จึงไม่มีปัญหาหากหนึ่งรอบจะขนเพิ่มสัก 100 ชั่ง แค่ธุรกิจกากน้ำมันก็รับรองชีวิตของสองแม่ลูกได้สบายหายห่วง แถมยังสะสมเงินค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายประจำวันให้แก่เซี่ยเสี่ยวหลานได้อีกด้วย
ทั้งร่างของหลิวเฟินกำลังเปล่งประกายด้วยแสงสว่างแห่งความหวัง
ไม่ว่ายุคเก่าหรือยุคปัจจุบัน ไม่ว่าสังคมตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ทว่าแม้แต่เกษตรกรที่ไร้ทัศนะที่สุดยังรู้ดีว่าการเรียนคือเส้นทางที่ถูกที่ควร ยิ่งยากจนยิ่งต้องเรียนหนังสือ การเรียนจะทำให้หลุดพ้นจากความยากจนและตั้งตนให้มั่งคั่ง เปลี่ยนจากคนบ้านนอกกลายเป็นคนเมือง คือสัจธรรมที่ไม่เคยแปรผันตั้งแต่โบราณกาลจวบจนถึงวันนี้
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เรื่องมากในการกินอยู่และแต่งตัว ทุกวันเธอแค่จัดการดูแลร่างกายให้สะอาดสะอ้าน แต่ไม่พิถีพิถันทำอะไรกับรูปลักษณ์ของเธอ
ชั่วข้ามคืนได้เติบโตขึ้น เข้าใจการพยายามพัฒนาตน ครั้งนี้สอบไม่ติด ก็ค่อยเริ่มเรียนจากมัธยมปลายปีหนึ่งก็ได้… เซี่ยเสี่ยวหลานเพิ่งอายุ 18 เรียนมัธยมปลายสามปีก็อายุแค่ 21 ปี พวกที่สอบหลายปีแล้วตกอันดับ พวกที่ทำงานหลายปีแล้วร่วมสอบเกาเข่า พวกที่เดิมทีการเรียนโดนถ่วงรั้งเพราะต้องเลี้ยงดูครอบครัวและตั้งใจจะสอบมหาวิทยาลัย ไม่ว่าคนไหนล้วนอายุมากกว่า 21 ปีทั้งนั้น
เซี่ยจื่ออวี้อายุ 20 ปีถึงสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ จือชิงหวังเจี้ยนหัวผู้เข้าเรียนพร้อมเธอก็อายุ 25 ปีถึงสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้
การที่เซี่ยเสี่ยวหลานเรียนมัธยมปลายจบตามเกณฑ์ก่อนค่อยสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ถือว่าสายไปเลยแม้แต่น้อย
คำพูดเหล่านี้ สองพี่น้องไม่มีทางกล่าวกับเซี่ยเสี่ยวหลาน กลัวว่าจะเป็นการเพิ่มความกดดันให้กับเธอ แถมหลิวหย่งได้ไปหาเฉินวั่งต๋าเป็นการส่วนตัวอยู่หลายครา เรื่องราวกลายเป็นว่าบังเอิญเกิดในวันเดียวกัน พอตีสี่หลิวหย่งก็ไปส่งปลาไหลในเมืองซางตูแทนเซี่ยเสี่ยวหลาน ตอนเช้ารีบกลับมาและออกไปหมู่บ้านต้าเหอกับเฉินวั่งต๋า
เฉินวั่งต๋าไหว้วานคนในตัวเมืองให้ช่วยเหลือ ย้ายทะเบียนบ้านของเซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวเฟินออกจากหมู่บ้านต้าเหอ ทำเรื่องอาศัยในหมู่บ้านชีจิ่งอีกครั้ง—หญิงชราเซี่ยตั้งใจโวยวาย ทว่าเซี่ยต้าจวินกลับทำตัวผิดปกติ เขาสนับสนุนสองแม่ลูกย้ายทะเบียนบ้าน เรื่องการหย่าทำให้เซี่ยต้าจวินสูญเสียหน้าตาและศักดิ์ศรี เขาจึงต้องการตัดขาดความสัมพันธ์กับสองแม่ลูกโดยสมบูรณ์
เซี่ยเสี่ยวหลานเข้าสอบที่เซี่ยนอีจงจนถึงบ่ายสองโมง จากนั้นเธอก็ไปซื้อผ้าแล้วค่อยเดินทางจากเขตอันชิ่งกลับมา เลยถึงบ้านช้ากว่าหลิวหย่งไปหนึ่งก้าว
หลิวหย่งได้สาธยายเรื่องย้ายทะเบียนบ้านสำเร็จกับกับหลี่เฟิ่งเหมย รวมถึงรายละเอียดอีกเล็กน้อย ขณะกำลังย้ายทะเบียนบ้าน เขาก็ไม่กล้าหลุดปากเรื่องเซี่ยเสี่ยวหลานอยากเรียนหนังสือ เพราะกลัวว่าคนตระกูลเซี่ยจะเล่นสกปรกอีก
ในปี 83 ระบบภูมิลำเนาประกอบด้วยระบบเล็กๆ น้อยๆ ยิบย่อยเหลือเกิน ไม่ว่าทะเบียนบ้านของเซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ที่ไหน เมื่อเธอออกไปอยู่ข้างนอกก็จำเป็นต้องใช้ใบรับรองแนะนำจากคณะกรรมการหมู่บ้านที่ทะเบียนบ้านตั้งอยู่ ถ้าไม่มี ‘จดหมายแนะนำ’ เซี่ยเสี่ยวหลานไม่สามารถเข้าเรียน ไม่สามารถแต่งงาน และไม่สามารถจากภูมิลำเนาเดิมไปที่อื่นได้
ของแบบนี้ถ่วงเส้นทางชีวิตของเซี่ยเสี่ยวหลานเอาไว้ชัดๆ ถึงแม้จะมิใช่ว่าแก้ไขไม่ได้ แต่อย่างไรก็เป็นเรื่องยุ่งยากน่ารำคาญ ทว่าตอนนี้ย้ายทะเบียนลงหมู่บ้านชีจิ่งแล้ว เธอจึงไม่ต้องโดนเอารัดเอาเปรียบจากตระกูลเซี่ยอีกต่อไป เมื่อเซี่ยเสี่ยวหลานกลับมาจากการสอบ สิ่งที่รอเธออยู่ก็คือข่าวดีข่าวนี้
เพื่อเป็นการตอบแทน เซี่ยเสี่ยวหลานเลยรีบแบ่งปันข่าวดีของตนให้ครอบครัวเช่นกัน
ฉันคิดว่าข้อสอบไม่ได้ยากเกินไป ตัวฉันก็พอทำได้อยู่จ้ะ
ป้าสะใภ้รับผ้าในมือไป ปากบ่นว่าเธอฟุ่มเฟือยไม่หยุด และไม่เชื่อความคาดหมายที่ดีในการสอบของเธอเลยแม้แต่ครึ่งส่วน
ในเมื่อหลานสอบเสร็จก็บอกการวางแผนของคนในบ้านให้หลานได้แล้ว ลุงหลานกับแม่หลานเห็นด้วยกับการส่งหลานไปเรียนหนังสือ เริ่มเรียนจากปีหนึ่งเสีย สู้จนสามปีข้างหน้าสามารถสอบติดมหาวิทยาลัยได้… ไม่ขอให้หลานเรียนถึงปริญญาตรีหรอก แค่เรียนวิชาชีพก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีสุดๆ แล้ว! ลุงของหลานกำลังวอแวลุงต๋าอยู่ เส้นสายลุงเขานี่ไม่ต้องพูดถึง ตอนไปย้ายทะเบียนให้หลานที่หมู่บ้านต้าเหอ หัวหน้าจากเขตอะไรนั่นก็ไปด้วยกัน แม้แต่หัวหน้าหมู่บ้านต้าเหอยังเกรงใจเลย
มีเพียงแม่เฒ่าเซี่ยที่ถือเรื่องความสัมพันธ์ทางสายเลือด โวยวายใหญ่โตเสียหน้าไม่อาย
เปิดปากทีก็เอาแต่พูดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานคือหลานสาวของเธอ หลิวเฟินหย่าแล้วอย่าคิดจะพาคนตระกูลเซี่ยไปด้วย ยังพูดอีกว่าหลิวหย่งเป็นคนชั่วขายน้องสาว หลิวเฟินกลับไปบ้านอยู่บ้านแม่ไม่กี่วันก็หาสามีใหม่ให้น้องสาวแล้ว… ด่าทอเสียระคายหูเป็นที่สุด หลี่เฟิ่งเหมยได้ฟังรายงานเข้าก็จินตนาการภาพเหตุการณ์ออกเลยทีเดียว
โชคช่วยที่เซี่ยเสี่ยวหลานไปเข้าสอบ หลิวเฟินเองก็ยุ่งกับการไปรับซื้อของที่หมู่บ้านอื่น
สองแม่ลูกไม่ต้องไปเยือนหมู่บ้านต้าเหอ ไม่อย่างนั้นต้องเกิดมหันตภัยขึ้นบ้างไม่มากก็น้อยเป็นแน่ หญิงชราเซี่ยไม่ได้เสียดายเซี่ยเสี่ยวหลานเลยสักนิดเดียว เดิมทีเธอเกลียดหลานสาวคนนี้เข้าไส้ เธอเพียงเดือดดาลที่หลิวเฟินกล่าวเรื่องหย่า รู้สึกว่าตระกูลเซี่ยเสียหน้า เธอจึงต้องการหาเรื่องให้คนอื่นแย่ไปด้วย เช่นนั้นจะต่อกรกับหลิวเฟินอย่างไร? เซี่ยเสี่ยวหลานคือชีวิตของหลิวเฟิน แม่เฒ่าเซี่ยชักดิ้นชักงอลงกับพื้น อยากทำให้หลิวหย่งยอมแพ้ แม้เพียงสักเล็กน้อยเธอก็พอใจ ถ้าไม่มีผู้บริหารของเขตอยู่ด้วย เธอคงไม่ยอมให้หลิวเฟินกับลูกสาวย้ายทะเบียนบ้าน—และต่อให้อีกหน่อยหลิวเฟินจะแต่งงานใหม่ เซี่ยเสี่ยวหลานก็ห้ามเปลี่ยนแซ่!
เธอแค่สะอิดสะเอียนสองแม่ลูกคู่นี้ หลิวหย่งเองก็ถูกเธอเกลียดจนแทบทนไม่ได้
อย่างไรเสียในตอนนั้นทุกคนล้วนไกล่เกลี่ยให้หลิวหย่งถอยสักก้าว เขาจึงตัดสินใจตกลงเงื่อนไขนี้ด้วยตนเอง
เขารู้สึกผิดกับหลานสาว หลี่เฟิ่งเหมยกล่าวถึงก็กระสับกระส่าย แต่เซี่ยเสี่ยวหลานกลับไม่ใส่ใจเท่าไรนัก
แซ่อะไรไม่สำคัญหรอก ฉันก็ใช้ชื่อนี้จนชินแล้ว
เธอแซ่เซี่ย แต่ไม่ใช่แซ่ตามเซี่ยต้าจวิน แซ่สกุล ‘เซี่ย’ หรือแม้แต่ชื่อ ‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ นี้ ล้วนเป็นร่องรอยในชาติก่อนของเธอ ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับตระกูลเซี่ยเลยแม้แต่นิดเดียว
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่อยากใส่ใจความคิดไร้ศีลธรรมของหญิงชราเซี่ยด้วยซ้ำ และเธอก็ไม่เถียงกับหลี่เฟิ่งเหมย คนในครอบครัวต้องการให้เธอเริ่มเรียนตั้งแต่มัธยมปลายปีหนึ่ง เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าเสียเวลา เธอเชื่อว่าตนเองสามารถสอบได้มากกว่า 350 คะแนนแน่นอน ผลประกาศของโรงเรียนมาถึงเมื่อไร ทุกคนในบ้านย่อมได้รู้กันเอง
ป้าจ้ะ ผ้าอยู่ตรงนี้นะ จะตัดเสื้ออะไรก็ให้ป้าตัดสินใจเลย ฉันมีเสื้อผ้าใหม่แล้ว ส่วนนี้เอาไว้ให้ทั้งสี่คนนะ
พอพูดถึงเรื่องนี้เข้า หลี่เฟิ่งเหมยก็เอามือทาบอกพร้อมบอกว่าเธอฟุ่มเฟือยอีกแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานจึงได้หัวเราะเจ้าเล่ห์ออกมา