เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 - เล่มที่ 2 ตอนที่ 60 อนาคตลูกสะใภ้ที่ตระกูลเฉินหมายปอง
- Home
- เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80
- เล่มที่ 2 ตอนที่ 60 อนาคตลูกสะใภ้ที่ตระกูลเฉินหมายปอง
แซ่เหลิวและแซ่เฉินจะกลายเป็นครอบครัวเดียวได้อย่างไรบ้าง?
แซ่ไม่เหมือนกัน แต่สามารถเกี่ยวข้องกันทางการแต่งงานได้ สะใภ้ใหญ่เฉินโกหกอย่างไร้ยางอาย คนของสถานีก็ลืมตาข้างหลับตาข้าง ตรวจรับผลผลิตของบ้านหลี่เฟิ่งเหมยจนเสร็จสิ้น ไม่กดน้ำหนักสักชั่งเดียว ทว่าประเมินเป็น ‘ระดับสอง’ ให้อยู่ดี
เพียงเท่านี้หลี่เฟิ่งเหมยก็ดีใจเหลือเกินแล้ว
พี่สะใภ้ แค่พี่เอ่ยปาก ปัญหาก็ลดลงไปเยอะเลย!
สิ่งที่สะใภ้ใหญ่เฉินพึ่งพาต้องเป็นเกียรติของพ่อสามีเฉินวั่งต๋าอย่างแน่นอน ส่งผลผลิตต้องปล่อยให้คนของสถานีเอาเปรียบผลประโยชน์เล็กน้อย ใครจะไม่รู้อยู่แล้วบ้าง? แม้เฉินวั่งต๋าจะสุดยอดขนาดไหน แต่ก็ไม่อาจทำให้คนทั้งหมู่บ้านชีจิ่งล้วนไม่โดยเอาเปรียบจากสถานีรับผลผลิตได้ ทว่าเพราะเฉินวั่งต๋าวาจาตรงไปตรงมา คนในหมู่บ้านชีจิ่งจึงเดือดร้อนน้อยที่สุด ข้าว 100 ชั่งอย่างไรก็ต้องชั่งออกมาได้มากกว่า 80 ชั่ง หากเปลี่ยนเป็นหมู่บ้านอื่นมาส่งผลผลิตบ้าง ไม่บอกก่อนว่าจะประเมินระดับผลผลิตให้เท่าไร ข้าวซึ่งชั่งจากบ้านอย่างดีจำนวน 100 ชั่ง ถึงสถานีรับผลผลิตแล้วได้ 70 ชั่งก็ถือว่าเยี่ยมแล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานจะพูดอะไรได้?
ผ่านไปอีก 30 ปี เรื่องราวเลี้ยวลดคดเคี้ยวพวกนี้ในชนบทก็ไม่อาจหมดสิ้นไปได้ และไม่จำกัดเพียงชนบทเท่านั้น น้ำใสสะอาดกลับไร้ปลา [1] ทั่วทุกมุมโลกล้วนมี ‘กฎที่ไม่ระบุ’ ละม้ายคล้ายคลึงกันทั้งนั้น
เซี่ยเสี่ยวหลานก็เป็นผู้ได้ประโยชน์จาก ‘กฎที่ไม่ระบุ’ เช่นกัน
เธอมีแนวทางจริยธรรม สัก 60 ส่วนขึ้นย่อมไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าให้เธอใช้มาตรฐานของปราชญ์ผู้ประเสริฐในการปฏิบัติตนย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน
สะใภ้ใหญ่เฉินส่งผลผลิตเรียบร้อยแต่ยังไม่กลับไปชั่วคราว ผู้ชายบ้านเธอจำนวนหนึ่งต้องอยู่ช่วยงานที่สถานีรับผลผลิต เซี่ยเสี่ยวหลานและป้าสะใภ้จึงกลับไปก่อน ระหว่างเดินทางหลี่เฟิ่งเหมยนั้นอดไม่ได้ที่จะใช้วาจาที่ไม่กำกวมนักในการตักเตือนเซี่ยเสี่ยวหลาน
ป้าบอกอะไรไปหลานอย่าเห็นว่าเป็นคนนอกเลยนะ เฉินชิ่งเป็นเด็กดีคนหนึ่ง แต่หลานมีโอกาสสอบมหาวิทยาลัย เรื่องคู่หมายก็ช่างมันไปก่อน รอสอบเกาเข่าเสร็จแล้วค่อยว่ากันดีไหม?
เซี่ยเสี่ยวหลานพูดไม่ออกเลยทีเดียว
ป้าจ้ะ ฉันไม่ได้คบหากับพี่เฉินชิ่งจริงๆ ทำไมป้าคิดอย่างนี้เล่า?
แม่ของเฉินชิ่งเขาทำแบบนี้กับหลาน มองหลานเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ไปแล้ว… ลุงวั่งต๋ามีหน้ามีตาขนาดนั้น แต่น้ำใจไมตรีของบ้านเฉินก็ไม่ใช่มีให้คนอื่นได้ง่ายๆ
อย่างไรเสีย ‘ความสนิทสนม’ เช่นนี้ ขนาดคนแซ่เฉินเหมือนกันในหมู่บ้านชีจิ่งยังวนมาไม่ถึงเลย ไฉนวนมาถึงแซ่หลิวเสียได้
หลี่เฟิ่งเหมยมีตาชั่งอยู่ในใจ เฉินชิ่งคิดอย่างไรกับเสี่ยวหลาน ตระกูลเฉินมีทัศนคติอย่างไร หลี่เฟิ่งเหมยล้วนเห็นอยู่ในสายตาทั้งหมด
ยอมแล้ว ถูกป้าสะใภ้วิเคราะห์เข้า เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
แม่เฒ่าเซี่ยด่าทอเธอเป็นหญิงสำส่อน บอกว่าไม่มีผู้ใหญ่บ้านไหนจะยอมรับให้เซี่ยเสี่ยวหลานเข้าบ้าน พอหลุดพ้นจากตระกูลเซี่ย ดอกท้อ [2] ของเซี่ยเสี่ยวหลานก็บานสะพรั่งไปทุกหนแห่ง โจวเฉิงนั้นไม่ขอกล่าวถึงดีกว่า เซี่ยเสี่ยวหลานพบว่าตนเองโดน ‘พบผู้ปกครอง’ ถึงสองหน—ในยุคนี้ เป็นช่วงเวลาที่สตรีสามารถยืนหยัดด้วยลำแข้งของตนเองได้ ไม่ใช่สังคมเฟะฟะของอนาคตที่เร่งเร้าให้ผู้หญิงทำงานกลับบ้านไปมีลูกคนที่สอง ทำไมเธอจะมีการงานของตัวเองไม่ได้กัน?
อยากมีการงาน ก็ต้องติดต่อพบปะกับคนอื่น ไม่ต้องสนว่าเป็นชายหรือหญิง เซี่ยเสี่ยวหลานล้วนปฏิบัติตนด้วยอย่างเท่าเทียมกัน
ใบหน้านี้ของเธอคือหินเคาะประตูโดยแท้จริง [3] บางครั้งนำความสะดวกสบายมาให้เธอ แต่ก็เช่นเดียวกันที่บางครั้งก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงซึ่งการนำมาซึ่งความเข้าใจผิดในทำนองเดียวกันได้
สนทนากันมากหน่อยก็หมายถึงจะคบหากันแล้วหรือ?
ยังดีที่ป้าเฉินกับมารดาจูฟ่างไม่เหมือนกัน ดูท่าทางแล้วคือโปรดปรานเธอ… ชอบอะไรในตัวเธอหรือ? ผู้ใหญ่ไม่ได้ชอบที่เธอหน้าตาสะสวยแน่นอน ความคิดของป้าเฉินเซี่ยเสี่ยวหลานก็น่าจะพอเดาได้ ชื่นชอบที่เธออดทนต่อความยากลำบากได้ หรือชื่นชอบที่เธอมีโอกาสสอบติดมหาวิทยาลัยกัน?
ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่รู้สึกอึดอัดเพราะเหตุแค่นี้แน่
‘หน้าตาดี’ อาจคงอยู่ไว้ไม่ได้ชั่วชีวิต แต่ ‘ความสามารถ’ จะเป็นของเธอตลอดกาล
อย่างไรเสียเซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีความรู้สึกอะไรต่อเฉินชิ่ง เพื่อมิให้ตระกูลเฉินและตัวเฉินชิ่งเองเข้าใจผิด อีกหน่อยเธอต้องใส่ใจรักษาระยะห่างเอาไว้เสียหน่อย
ป้าจ้ะ ตอนนี้ฉันไม่มีใจไปคบหากับใครหรอก ฉันเห็นพี่เฉินชิ่งเป็นพี่ชายบ้านใกล้เรือนเคียง แต่ปู่เฉินช่วยเหลือฉันและแม่มามาก ดังนั้นการทดแทนน้ำใจให้คนตระกูลเฉินจึงเป็นเรื่องที่สมควร เรื่องเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมฉันตกลงกับคุณป้าเฉินไปก็ต้องทำให้ได้ตามที่รับปาก ใจฉันไม่มีความคิดอื่นๆ และก็ไม่อยากให้คนตระกูลเฉินเข้าใจผิดด้วย ป้าว่าฉันควรทำอย่างไรดี?
เป็นพี่ชายบ้านใกล้เรือนเคียง?
หลี่เฟิ่งเหมยฟังจนเข้าใจแล้ว
นี่ก็เหมือนกับบัตรคนดี [4] ในยุคอนาคต เฉินชิ่งดีไปเสียทุกอย่าง แต่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้มีความรู้สึกฉันชายหญิงต่อเขา
อย่างนั้นก็อย่าปล่อยโอกาสให้ตระกูลเฉินได้พูดอะไรชัดเจน…
แต่หากตระกูลเฉินเกริ่นถึงเรื่องของเฉินชิ่งและเซี่ยเสี่ยวหลาน แล้วเซี่ยเสี่ยวหลานปฏิเสธเข้า ถึงตระกูลเฉินจะใจกว้างแค่ไหนก็ต้องมีความคิดในแง่ลบอะไรบ้างหรือเปล่า? อย่างที่เซี่ยเสี่ยวหลานว่า พวกเธอสองแม่ลูกรวมถึงครอบครัวของตนเอง ล้วนติดหนี้น้ำใจของเฉินวั่งต๋าไว้ เฉินชิ่งเป็นเด็กดี สถานะทางบ้านไม่ขี้เหร่ ตัวเขาเองก็โดดเด่นทีเดียว ถ้าตระกูลเฉินถูกปฏิเสธ คงจะไม่เข้าใจว่าเฉินชิ่งไม่คู่ควรกับเซี่ยเสี่ยวหลานตรงไหนกัน?
ทำคนอื่นขุ่นเคืองใจจนอาจเกิดความผิดใจต่อกันได้ย่อมไม่ดีแน่นอน
ไม่ว่าจะเกิดความผิดใจกับบ้านใคร ก็ห้ามผิดใจกับบ้านเฉินเด็ดขาด เหตุการณ์ส่งผลผลิตวันนี้ก็เป็นตัวอย่างแล้ว ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์สนิทสนมหรือห่างเหินกับบ้านเฉิน ล้วนมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันโดยตรง!
หลี่เฟิ่งเหมยครุ่นคิดอยู่นานสองนาน จากนั้นหัวเราะ
เช่นนั้นก็เว้นแต่หลานจะหาคู่หมายของตัวเองไว้สักคน รีบหาก่อนตระกูลเฉินจะออกปากอะไร
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกพิลึกพิกล เธอจะไปหาคู่หมายสักคนมาจากไหนกัน?
โจวเฉิง?
เซี่ยเสี่ยวหลานนึกถึงชื่อของคนคนนี้ขึ้นมาทันที
นอกจากที่รู้ว่าโจวเฉิงเป็นคนปักกิ่ง ปีนี้อายุ 20 ปี เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้รายละเอียดปลีกย่อยอื่นโดยสิ้นเชิง โจวเฉิงจากไปได้ครึ่งเดือนกว่าแล้ว ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด เซี่ยเสี่ยวหลานคิดๆ ดู ก็ไม่แปลกใจที่คนอื่นเห็นหน้าแล้วจะชอบเธอ มิใช่เธอเองก็มองว่าโจวเฉิงหน้าตาหล่อเหลา ในใจถึงได้หลงเหลือร่องรอยประทับใจเอาไว้หรอกหรือ?
อย่างไรก็ตามก่อนฉันจะสอบติดมหาวิทยาลัย ไม่มีแผนคบหาใครแน่นอนจ้ะ
หลี่เฟิ่งเหมยพยักหน้ารับ จ้า ป้าเข้าใจเรื่องราวดี เรื่องนี้ป้าจะช่วยคิดหาวิธีเอง
ปกติเวลาพูดคุยยามว่างในชนบทก็จะจบด้วยการแสดงความห่วงใยเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้แหละ จะทำอะไรได้ ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานสอบติดมหาวิทยาลัยจริง หลี่เฟิ่งเหมยยังต้องกังวลว่าเธอจะหาคู่หมายแสนดีไม่ได้อีกหรือ!
ตอนนี้ไม่ชอบเฉินชิ่ง นานเข้าเกิดความรู้สึกก่อตัวขึ้นมาเล่า?
จิตใจของหญิงสาววัยรุ่นเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว หลี่เฟิ่งเหมยเองก็เป็นผู้มีประสบการณ์
ณ ปักกิ่ง
เดินทางไปเซี่ยงไฮ้มาหนึ่งรอบ ทำเงินได้ก้อนใหญ่ คังเหว่ยจึงลำพองในหมู่มิตรสหายขึ้นมาบ้าง
ครอบครัวคังเหว่ยมิใช่ฐานะไม่ดี
ทว่าบิดาของเขาสละชีพตั้งแต่ยังหนุ่ม ปู่ก็เกษียณจากตำแหน่งดั้งเดิมไปนานแล้ว ทุกวันนี้คนที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลคังคืออารองของคังเหว่ย คุณอาเอ็นดูหลายชายอย่างไรก็ยังเว้นไว้ระดับหนึ่งอยู่ดี อารองยังมีลูกชายลูกสาวของตนเองให้เลี้ยงดู จะดูแลคังเหว่ยไปเสียทุกเรื่องได้อย่างไร
เขาจึงจัดการหางานให้คังเหว่ยสักอย่าง ไม่ดีไม่แย่ ถือว่าทำๆ ไปก่อน
โชคดีที่คังเหว่ยเองมุ่งมั่นเพื่อความสำเร็จ ใช้คำพูดของคนอื่นบรรยายจะบอกว่าเด็กคนนี้รู้จักเผาเตาร้อน [5] บ้านหลังใหญ่คนมากมายขนาดนั้น คังเหว่ยเชื่อฟังโจวเฉิงตั้งแต่วัยเยาว์ ชอบที่จะวิ่งติดตามก้นของโจวเฉิงเสมอ ตระกูลโจวก็คือเตาร้อน เด็กโจวเฉิงนั้นเป็นองค์ชายในหมู่เด็กๆ อย่าว่าแต่เด็กอายุน้อยกว่าเขาต้องเรียกพี่ชาย ตอนนั้นขนาดเด็กโตกว่าเขาสักสองสามปีก็ต้องก้มหัวเรียกพี่เลย
ตอนนี้ทุกคนเติบโตกันแล้ว บางคนต้องการรักษาหนังหน้าของตัวเองบ้าง แต่ก็ยังต้องเรียก ‘โจวเฉิง’ ด้วยความเกรงอกเกรงใจอยู่ดี
ในขณะที่ตระกูลโจวรุ่งโรจน์ โจวเฉิงและคังเหว่ยผู้น่าสงสารย่อมมีอนาคตที่ต่างกัน อนาคตของเขาถูกวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่นานมานี้โจวเฉิงต้องโทษฐานผิดวินัย ไม่หือไม่อือก็กลับมาจากหน่วยงาน… คนอื่นยังนึกว่าโจวเฉิงถูกไล่ออกจากหน่วยงานด้วยซ้ำ แต่กลับไม่รู้ว่าโจวเฉิงเองก็ไม่ได้ไตร่ตรองให้ชัดเจน
เรื่องที่เกิดขึ้นเขาไม่ใช่คนผิด โทษฐานผิดวินัยเขาแบกไว้ด้วยความไม่เต็มใจ เลยส่งรายงานขอลาหยุดไปเสีย จากนั้นก็พักอยู่บ้านยาวๆ
อย่างไรคังเหว่ยก็เที่ยวเล่นมาด้วยกันตั้งแต่เด็กจนโต บิดาบังเกิดเกล้าของคังเหว่ยเสียชีวิตในแนวหน้าของกองทัพ จะเป็นจะตายย่าคังก็ไม่มีทางยอมรับให้คังเหว่ยเดินทางเดิมเหมือนลูกชายของตนเป็นแน่
จะเรียนหนังสือ คังเหว่ยก็ไม่มีหัวทางด้านนั้น
สูงไม่ถึงต่ำไม่ยอม ทำงานธรรมดาสามัญ ตอนนี้ยังดูไม่ออกว่าไม่เอาอ่าว แต่ผ่านไปอีกหลายปีความแตกต่างของทุกคนก็ชัดเจนออกมาเอง
คังเหว่ยเป็นคนคิดลบพอสมควร ขอร้องอ้อนวอนโจวเฉิงจนเขายอมพาไปเซี่ยงไฮ้สักรอบ
ในการเดินทางครั้งนี้ เงินที่ทั้งสองได้มาทำให้กระเป๋าของคังเหว่ยอุดมสมบูรณ์ คนอื่นจะหาว่าเขาประจบประแจงก็ดี เผาเตาร้อนก็ช่าง คังเหว่ยรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร และพี่เฉิงจื่อดูแลเขาได้ดีจริงๆ ในเมื่อได้รับไมตรีจากโจวเฉิงแล้ว คังเหว่ยจึงต้องพิจารณาแทนโจวเฉิง
ก่อนหน้านี้โจวเฉิงกล่าวว่าจะไปหนเดียวเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับวางแผนจะเดินทางครั้งที่สองแล้ว
คังเหว่ยอกสั่นขวัญแขวน เพราะกลัวว่าคนตระกูลโจวจะคิดบัญชีกับเขา
พี่เฉิงจื่อเป็นผู้มีอนาคตยิ่งใหญ่เหลือเกิน เงินที่หาได้จากงานนี้ดีเสียจนไม่ต้องพูดถึง แต่จะสำคัญเท่าอนาคตของพี่เฉิงจื่อได้อย่างไรกัน?
เชิงอรรถ
[1] 水至清则无鱼 น้ำใสสะอาดกลับไร้ปลา หมายถึง น้ำที่ใสสะอาดมากเกินไปไม่มีปลาอาศัยอยู่ได้ เปรียบเทียบถึง คนที่มีมาตรฐานกับผู้อื่นเข้มงวดเกินไป ไม่ยอมรับแม้แต่ข้อเสียเล็กน้อย คนอื่นย่อมอยู่ด้วยไม่ได้เช่นกัน
[2] 桃花 ดอกท้อ เปรียบเทียบถึงความรักหรือดวงเรื่องความรัก
[3] 敲门砖 อิฐเคาะประตู หมายถึง ใช้ประโยชน์จากบางสิ่งบางอย่างให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงหรือผลประโยชน์
[4] 好人卡 บัตรคนดี หมายถึง ถูกปฏิเสธจากคนที่ชอบ มีที่มาจากวัฒนธรรมย่อยทางอินเตอร์เน็ตในจีนและไต้หวัน เมื่อต้องการปฏิเสธคนที่ไม่ได้ชอบ จะใช้คำที่นุ่มนวลอย่าง ‘คุณดีมาก คุณไปหาคนที่เหมาะสมเถอะ’ ต่อมาจึงใช้คำพูดหยอกเย้าว่า ‘ส่งบัตรคนดี’ หรือ ‘ได้รับบัตรคนดี’
[5] 烧热灶 เผาเตาร้อน เดิมทีเป็นคำในวงการการพนัน หมายถึง พนันข้างที่มีโอกาสชนะสูง ในที่นี้เปรียบเทียบว่า เอาอกเอาใจคนที่มีอำนาจ
ยอดเหรียญของคุณ
ไอคอนเหรียญทอง
20.00