เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 - เล่มที่ 4 ตอนที่ 113 ไปตั้งแผงที่หอพักองค์การรถไฟ
- Home
- เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80
- เล่มที่ 4 ตอนที่ 113 ไปตั้งแผงที่หอพักองค์การรถไฟ
เล่มที่ 4 ตอนที่ 113 ไปตั้งแผงที่หอพักองค์การรถไฟ
ตอนนี้สมควรแยกแผงให้หลี่เฟิ่งเหมยลองขายสินค้าด้วยตนเองได้แล้ว
อนาคตเมื่อเปิดกิจการ คนดูแลร้านหลักก็ต้องเป็นหลี่เฟิ่งเหมย
เซี่ยเสี่ยวหลานจะรับผิดชอบเพียงนำเข้าสินค้าเท่านั้น และก่อนการสอบเกาเข่าสองสามเดือนเธอยังต้องรีบเร่งทบทวนบทเรียน
แผนที่เธอกำหนดให้ตนเองคือเริ่มตั้งสมาธิจดจ่อกับการทบทวนตั้งแต่เดือนมกราคม
ถึงเวลาหน้าร้านตกแต่งสำเร็จ ย่อมไม่ต้องระหกระเหินไปตั้งแผงแล้ว
ทุกเดือนไปหยางเฉิงนำเข้าสินค้าสักสองสามหน ร้านเสื้อผ้าก็สามารถดำเนินกิจการได้
ช้าที่สุดคือหลังการสอบเกาเข่าปีหน้า เธอต้องทำให้ป้าสะใภ้หลี่เฟิ่งเหมยยืนหยัดด้วยลำแข้งตนเองให้ได้
อย่างน้อยร้านเสื้อผ้านี้จำเป็นต้องอาศัยหลี่เฟิ่งเหมยเป็นผู้จัดการ ในเมื่อตกลงกับโจวเฉิงแล้วว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปักกิ่ง
เซี่ยเสี่ยวหลานคาดว่าเดือนสิงหาคมหรือกันยายนปีหน้าก็จะไปยังปักกิ่ง
ย่อมไม่มีทางใส่ใจธุรกิจในซางตูไปพร้อมกันได้ จึงต้องให้หลี่เฟิ่งเหมยรับหน้าที่นี้
ส่วนตัวเธอเองนั้น พอในมือมีเงินทุน ธุรกิจที่ทำได้ก็จะมากไปด้วย
และอาจไม่อยู่ในซางตูเท่านั้น บางทีเธอคงไปบุกเบิกขยับขยายที่ปักกิ่งก็เป็นได้
เมื่อตระหนักว่าชีวิตจะดีขึ้นเรื่อยๆ แรงกายและกำลังใจของเซี่ยเสี่ยวหลานจึงเต็มเปี่ยม
เธอลากกระเป๋าสินค้าถ่อไปถึงเขตที่อยู่อาศัย
นำเสื้อนอกซึ่งรีดเรียบแล้วแขวนไว้ทีละตัว
เสื้อผ้าราคาแพงออกแบบประณีตเรียบร้อย สีน้ำเงินนาวีและสีดำล้วนไม่ฉูดฉาด
เดี๋ยวนี้ผู้ชายที่ค่อนข้างมีเงินไม่โปรดปรานเสื้อผ้าฉูดฉาดนัก
มิใช่พวกนักเลงตามถนนเสียหน่อย เสื้อผ้าสตรีต้องการแบบและสีสันที่ถูกใจ
ความต้องการของเหล่าคุณผู้ชายคือคุณภาพดี สวมใส่ได้ทุกโอกาส
เสื้อนอกรุ่นนี้ที่เซี่ยเสี่ยวหลานนำเข้ามาเติมเต็มความต้องการได้อย่างสมบูรณ์
เห็นแล้วดูหรูหรามีระดับ การออกแบบทันสมัยดูเหมาะสม
ทั้งสองสีรองรับความจุกจิกของผู้คนได้
นอกจากราคาแพงก็หาข้อเสียอื่นไม่พบ
ว่าไปแล้วช่างประหลาด
เซี่ยเสี่ยวหลานตั้งแผงบนถนนตรอกซอกซอยซางตูหลายครั้งหลายครา เคยเจอมารดาจูฟ่าง
แต่กลับไม่เคยเจอจูฟ่าง พอเพิ่งย้ายแผงไปยังหน้าอาคารเอื้ออาทรขององค์การรถไฟ
ก็ได้พบกับจูฟ่างเป็นครั้งแรก
วันนี้ที่ทำงานของจูฟ่างปิดทำการ เขามาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยียนมิตรสหาย
ขี่จักรยานวนผ่านหัวมุมถนน มองเห็นทางเข้าอาคารเอื้ออาทรมีแผงลอยจากไกลๆ
วันนี้เซี่ยเสี่ยวหลานใส่เสื้อกันหนาวสีเหลืองยิ่งเสริมให้ใบหน้าของเธอขาวผ่อง
มัดผมเป็นหางม้าสูง ท่อนล่างใส่กางเกงยีนส์ อีกทั้งวันนี้เธอเปลี่ยนมาใส่รองเท้าผ้าใบหุยลี่ [1] ดูอ่อนเยาว์น่ารัก เมื่อศีรษะเธอขยับเล็กน้อย หางม้าก็สะบัดเบาๆ พาดผ่านก้นบึ้งของหัวใจจูฟ่างทุกการเคลื่อนไหว
เซี่ยเสี่ยวหลานที่เป็นแบบนี้เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ไม่ต้องแต่งตัวก็พริ้มเพราเป็นทุนเดิม ตอนนี้ยังสลัดเสื้อผ้าซอมซ่อที่เคยสวมใส่ในชนบททิ้ง
ยิ่งทำให้ละสายตาไม่ได้
ทำไมเซี่ยเสี่ยวหลานตั้งแผงลอยขายของถึงขายได้ไว
เพราะตัวเธอก็คือนางแบบที่มีชีวิตชีวา ไม่ว่ายืนอยู่ตรงไหน คนสัญจรผ่านไปมาก็อดไม่ได้ที่จะเมียงมองดูเสียหน่อย
จูฟ่างไม่เพียงแค่เมียงมองเท่านั้น อิริยาบถขณะที่เขาขี่จักรยานมันแข็งทื่อไปหมด
เซี่ยเสี่ยวหลานเป็นฝ่ายทักทายเขาก่อน พี่จูฟ่าง
ทำไมมาถึงที่นี่ได้เล่า?
อา เซี่ยเสี่ยวหลานยอมคุยกับเขา
ตอนแรกในใจของเขายังยุ่งเหยิงพลางทำให้ทุกย่างก้าวอ่อนแรง
ชั่วพริบตาก็มีพลังขึ้นมาได้
ฉันมาหาเพื่อน…
จูฟ่างใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นสี สรรพสิ่งใต้หล้าล้วนมีจุดอ่อน
ติงอ้ายเจินต้านทานลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไม่ได้
ทว่าจูฟ่างต้านทานเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ ต่อให้เซี่ยเสี่ยวหลานทำเรื่องเลวทราม เพียงเขาเห็นใบหน้านี้เข้าความขุ่นเคืองก็มลายสิ้นไปจนหมด
ยิ่งไปกว่านั้นเซี่ยเสี่ยวหลานไม่เคยทำเรื่องร้ายกาจ
โจวเฉิงตามไปถึงภัตตาคารหวงเหอ จูฟ่างทั้งโกรธทั้งอาย
แต่ความขุ่นเคืองไม่ตกถึงเซี่ยเสี่ยวหลาน
เขาขาอ่อนแรงเพราะรู้สึกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานถูกมารดาของตนเหยียดหยามเข้ากลางถนน
นึกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะรังเกียจเขา จิตใจจึงเกิดความรวนเรขึ้น
คาดไม่ถึงว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะทักทายเขาอย่างเป็นธรรมชาติ
หัวใจดวงน้อยของจูฟ่างแทบหลุดออกมา
เสี่ยวหลาน ขอโทษจริงๆ นะ แม่ฉันไม่สนเหตุผล
แต่เขาจะไม่มาก่อความวุ่นวายแก่เธออีกแน่ ฉัน—
เขาอยากพูดว่าฉันพบคนรักของเธอแล้ว ทว่าชะงักที่มุมปากแล้วก็เปลี่ยนเรื่อง เธอตั้งแผงที่นี่หรือ?
สุดท้ายจูฟ่างก็ไม่ใจกว้างถึงขนาดสามารถอวยพรเซี่ยเสี่ยวหลานและโจวเฉิง ได้เขาไม่อยากเอ่ยถึงชายอื่นกับเซี่ยเสี่ยวหลาน
จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปที่แผงลอยของเซี่ยเสี่ยวหลาน!
ที่แท้เพราะจูฟ่างยับยั้งมารดาของเขาไว้แล้ว?
หลายวันมานี้เซี่ยเสี่ยวหลานยังกลัวว่าตระกูลจูจะมาแก้แค้น ปรากฏว่าทางด้านบ้านจูกลับไร้ความเคลื่อนไหว
แผงลอยของเธอก็ไม่เห็นจะมีคนมาสร้างปัญหาให้
วาจาที่จูฟ่างกล่าวออกมานั้นจะมีประสิทธิภาพหรือไม่ยังต้องรอเวลามาพิสูจน์
แม้เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ถูกโรคกับติงอ้ายเจิน แต่เธอก็ไม่พาลใส่จูฟ่างอยู่ดี
เธอตอบไปตามเรื่องตามราว
ฉันนำเข้าเสื้อคลุมขนแพะของผู้ชายมาจำนวนหนึ่งน่ะ ราคาสูงเลือกลูกค้า
เลยมาลองขายละแวกนี้
จูฟ่างมองเสื้อนอกที่เซี่ยเสี่ยวหลานจับแขวนบนราว
มือไม่สัมผัสยังรู้ว่าวัสดุไม่เลว พอถามราคา 140 หยวน จึงไม่กังขาเรื่องที่เสื้อขายได้ไม่ดี เสื้อผ้าประเภทนี้ต้องแขวนขายในห้างสรรพสินค้า อยู่แผงข้างทางใครจะยอมจ่าย 140 หยวนเพื่อซื้อเสื้อผ้าสักตัว?
จูฟ่างเกิดความคิดขึ้นในใจ เธอเอาตัวที่ฉันใส่ได้ให้ฉันสักตัวสิ
ฉันพกเงินมาไม่พอ อีกครู่เดียวจะออกมาให้เงินเธอ
ในกระเป๋าของจูฟ่างพกเงินออกนอกบ้านเพียงไม่กี่สิบหยวน
จะซื้อสินค้าราคาสูงต้องเตรียมเงินล่วงหน้า
เขาก็ไม่คิดว่าตนเองจะซื้อเสื้อนอกใส่สักตัวกะทันหัน
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่กลัวที่จูฟ่างจะโกงเงินเช่นกัน ทั้งสองคนมีปฏิสัมพันธ์กันตั้งหลายครั้ง
อีกทั้งจูฟ่างมีการงานที่ทำอย่างจริงจังอีกด้วย เสื้อหนึ่งตัวจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร
ยังจะต้องผิดหนี้หนีหายอีกหรือ?
พี่ชอบสีน้ำเงินนาวีหรือสีดำ?
น้ำเงินนาวีแล้วกัน!
จูฟ่างเป็นคนร่างกายสูงใหญ่ เซี่ยเสี่ยวหลานจึงหาเสื้อขนาดพอดีตัวให้
จูฟ่างถอดเสื้อนอกอันอบอุ่นที่สวมไว้ออกพาดบนที่นั่งซ้อนของจักรยาน จากนั้นก็สวมเสื้อนอกตัวใหม่แล้วเดินเข้าไปในอาคาร
เสื้อมียอดขายแรกของวันแล้ว ทว่าไม่ได้รับเงินสด
คนทำธุรกิจไม่สามารถละเลยเงินทองได้ จูฟ่างจะซื้อเสื้อ
เซี่ยเสี่ยวหลานจะไม่ขายได้หรอกหรือ?
อย่าว่าแต่จูฟ่าง แม้ติงอ้ายเจินจะซื้อ เงินมาของไป
เซี่ยเสี่ยวหลานย่อมขายแน่นอน… ทว่าสำหรับติงอ้ายเจินคนอย่างนั้น เธอสนใจแต่จะคิดราคาแพง
อยากซื้อก็ซื้อ ไม่ซื้อก็ไสหัวไป!
เซี่ยเสี่ยวหลานยืนย่ำเท้าอยู่ที่เดิม
ขนาดใส่ถุงเท้าฝ้ายสองชั้นยังคงหนาว รองเท้าผ้าใบกันลื่นน้ำหนักเบาทว่าไม่สามารถเก็บความอบอุ่นได้
หากไปหยางเฉิงอีกครั้งเธอจะซื้อรองเท้าหุ้มข้อนวมสองคู่กลับมาใส่
————————————————-
จูฟ่างมาเพื่อเยี่ยมเยียนเพื่อน เขาจอดจักรยานไว้ด้านล่างตึก
ขึ้นไปถึงชั้น 5 อย่างแคล่วคล่องว่องไว
สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามัน ฝ่ายชายทำงานในองค์การรถไฟ ฝ่ายหญิงทำงานในโรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สาม
เป็นคู่สามีภรรยาที่ติงอ้ายเจินทำหน้าที่เป็นแม่สื่อให้
ทั้งสองได้รับจัดสรรห้องชุดหนึ่งห้องนอนหนึ่งห้องรับแขก ตอนจูฟ่างเข้ามาข้างใน
ภรรยาป้ายแดงของเพื่อนได้ห่อเกี๊ยวเสร็จเรียบร้อยแล้ว
จูฟ่างมาแล้วหรือ? นั่งพักก่อนเถอะ
เหล่าเฉิงคุณมาพูดคุยเป็นเพื่อนเขาหน่อยสิ
จิตใจของจูฟ่างไม่อยู่กับเกี๊ยว เขาทักทายกับภรรยาเหล่าเฉิง
และถามเหล่าเฉิงว่ามีเงินอยู่กับตัวหรือไม่
เจอเพื่อนหน้าประตูคนหนึ่ง ยังติดเงินคนเขาอยู่ จะกลับบ้านไปเอาก็ไกลทีเดียว
นายเอาเงินให้ฉันยืมก่อนสิ พรุ่งนี้ฉันคืนให้นาย
เหล่าเฉิงหยอกเย้าเล็กๆ นายติดเงินใครถึงได้รีบร้อนขนาดนี้?
จูฟ่างคิดถึงว่าเสื้อนอกตัวใหม่บนร่างกายของตนตัวนี้ก็ยังไม่ได้ชำระเงิน
จึงยืมเงินจากเหล่าเฉิงเป็นจำนวนเต็ม
1000 หยวน?
เหล่าเฉิงเดาะลิ้น เดี๋ยวนี้ใครจะเก็บเงินสดไว้ในบ้านมากมายขนาดนี้
แต่มิใช่ว่าเขาเพิ่งแต่งงานหรือ เงินเดือนเงินพิเศษที่สามีภรรยาได้รับ
รวมกับเงินของขวัญแต่งงานที่แขกเหรื่อมอบให้ซึ่งยังไม่ได้นำไปฝากธนาคาร
หนึ่งพันหยวนจึงยังพอมีอยู่บ้าง
เสี่ยวฉิน เธอเอาเงินพวกเราไปไว้ไหนแล้ว วันนี้ช่างสุดยอด นานๆ
ทีสหายจูฟ่างจะออกปากขอหยิบยืมเงิน
สามีภรรยาคู่นี้ต่างคนต่างมีเงิน ครอบครัวจูฟ่างมั่งคั่งร่ำรวย
มิใช่คนประเภทที่ยืมเงินได้แต่ไม่คืนเสียด้วย ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็นำเงิน 1000 หยวนมามอบให้แก่จูฟ่าง เสี่ยวฉินผู้เป็นเจ้าสาวมองจูฟ่างมากกว่าปกติ ฉันก็ว่าวันนี้มีตรงไหนไม่เหมือนเดิม
ที่แท้เสื้อตัวนี้ทำให้คุณดูมีภูมิฐาน ซื้อจากไหนล่ะ ฉันจะซื้อให้เหล่าเฉิงสักตัวบ้าง!
จูฟ่างเก็บเงินแล้วก็ไป ซื้อหน้าประตูหอพวกคุณนั่นแหละ
ฉันลงไปคืนเงินก่อน เกี๊ยวน่ะรอฉันมาค่อยต้มนะ
เสื้อที่ซื้อจากหน้าประตูเขตหอพัก?
เสี่ยวฉินหลุดหัวเราะ ทำไมไม่บอกว่าเก็บได้จากบนถนนเลยเล่า