เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 - เล่มที่ 4 ตอนที่ 96 หลิวหย่งย้ายบ้าน
หลี่เฟิ่งเหมยเป็นคนนิสัยใจร้อน.
เมื่อตกลงว่าจะร่วมลงทุนกับเซี่ยเสี่ยวหลาน
ใจทั้งดวงของเธอก็บินไปซางตูแล้ว
บ้านย่าอวี๋ไม่ต้องการผู้เช่าใหม่ เซี่ยเสี่ยวหลานจำเป็นต้องเสาะหาบ้านเพื่อพักพิงแทนลุงและครอบครัวอยู่แล้ว
ธุระนี้เธอได้ไหว้วานภรรยาของหูหย่งไฉ เพราะอีกฝ่ายสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย
ไม่ห่างไกลกันเกินไป บ้านชั้นเดียวหรือตึกก็ได้ค่ะ
ภรรยาหูหย่งไฉใจหายมาก นี่พวกเธอจะย้ายมาอยู่ในเมืองกันหมดเลยหรือ?
เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้ารับอย่างถ่อมตน ชีวิตในชนบทไม่ง่ายเลย
ทำงานเลี้ยงชีพในซางตูอาจจะสบายขึ้นบ้าง
เมื่อมีทรัพย์สินถึงกล้ากระเสือกกระสน ในมือของทั้งหลิวหย่งและเซี่ยเสี่ยวหลานต่างกำเงินเอาไว้
มิเช่นนั้นใครจะกล้าละทิ้งที่ดินของครอบครัวไม่สนใจดูแล
กระเตงคนทั้งบ้านเข้าเมืองกัน? ชีวิตของคนเมืองไม่ได้ผลิตและจำหน่ายได้เองเหมือนคนชนบท
ของใช้จำเป็นทุกประเภทล้วนต้องจ่ายเงินซื้อ นั่งกินนอนกินย่อมอยู่ได้ไม่นาน
บังคับให้คนในเมืองทำได้เพียงไปหาเงินอย่างไม่คิดชีวิตเท่านั้น
‘แรงงานอพยพ [1] ‘ คำนี้ยังไม่แพร่หลาย
ผู้ใช้แรงงานซึ่งมีจำนวนน้อยมากก็ออกเดินทางไปทางใต้กันหมด
ธุรกิจส่วนตัวในซางตูยังคงเปิดโดยคนในเมืองมากกว่า
เซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวหย่งถือว่าเป็นเกษตรกรที่เข้าเมืองมาหาเลี้ยงชีพกลุ่มแรกในยุค 80
ภรรยาของหูหย่งไฉอิจฉาในความเด็ดเดี่ยวของครอบครัวเซี่ยเสี่ยวหลานอยู่มากทีเดียว
เวลานี้มีเกษตรกรที่กล้าทิ้งผืนดินของตนเข้าเมืองดำรงชีวิตไม่มากนัก
ธุรกิจอิสระทำเงินได้ไม่น้อย แต่ก็ไม่เคยพบกรรมกรคนไหนทิ้งการงานแล้วไปตั้งแผงลอยมาก่อน
ธุรกิจส่วนตัวนั้นน่าอายขนาดไหน อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความลำบากและความเสี่ยงต่อการขาดทุน
ต่างจากคนได้รับเงินเดือนที่มีความมั่นคงในทุกสถานการณ์ ชีวิตไร้ซึ่งความกังวลและมีความสุขสบาย
บางหน่วยงานเงินเดือนอาจไม่มากเท่าไร แต่สวัสดิการดีเหลือเกิน! รับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ตั้งแต่ที่อยู่อาศัยไปจนถึงค่าเล่าเรียนของลูกหลานในครอบครัว
โรงเรียนสำหรับบุคลากร [2] สามารถศึกษาได้ตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมปลาย
หน่วยงานที่ดูแลชีวิตของพนักงานจนสะดวกสบายเช่นนี้ ทำให้พวกพนักงานเกิดความเฉื่อยชา
ต่อมาจึงเกิดการยกเลิกจ้างงานอย่างกว้างขวาง
ชามข้าวเหล็กในวันวานจึงต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น`
การเริ่มค้าขายเร่เล็กๆ น้อยๆ อีกครั้งในวัยกลางคนน่าปวดใจยิ่งกว่าความกระตือรือร้นออกมาแสวงหาความสำเร็จอย่างหลิวหย่งเสียอีก
แน่นอนว่าขณะนี้ภรรยาของหูหย่งไฉยังมองการณ์ไม่ไกลถึงขนาดนั้น
เธอเอ่ยปากยกย่องสองสามคำ แต่หากจะให้เธอปล่อยการงานอันมั่นคงไปทำธุรกิจอิสระน่ะหรือ?
หาเหาใส่หัวชัดๆ !
สุดท้ายบ้านที่หาให้หลิวหย่งได้นั้นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านย่าอวี๋
เป็นห้องชุดในอาคาร หอพักสังกัดองค์การบริหารทางรถไฟซางตู
ทุกคนขาดแคลนที่อยู่อาศัยกันทั้งนั้น
ถ้ายังนำบ้านออกมาปล่อยเช่าได้ หมายความว่าต้องมีเครือข่ายทางสังคมของตนเองแน่นอน
เซี่ยเสี่ยวหลานได้ไปดูบ้านเช่าด้วยตัวเอง สุขาสาธารณะใช้ร่วมกันทั้งชั้น
ห้องครัวแบบแยกเดี่ยว ห้องนอนรวมกับห้องรับแขกกลายเป็นห้องขนาดย่อม
จะบอกว่าหนึ่งห้องนอนหนึ่งห้องรับแขกก็ไม่ได้ แต่เป็น ‘หนึ่งห้องครึ่ง’ แบบมาตรฐาน แปลนบ้านในยุค 80 แตกต่างกับอาคารพาณิชย์ในอนาคตโดยสิ้นเชิง
องค์ประกอบบ้านปี 80 คือห้องรับแขกขนาดเล็กและห้องนอนขนาดใหญ่
ห้องรับแขกก็เป็นสถานที่สำหรับรับประทานอาหารด้วย ไม่เหมือนอาคารอยู่อาศัยในอนาคตที่แต่ละห้องนอนมีขนาดเล็ก
ห้องรับแขกกว้างขวางถึงจะดูโอ่อ่าสง่างาม
ค่าเช่าบ้านหนึ่งเดือนเพียง 15 หยวน เจ้าของบ้านคร้านจะมาทวงทุกๆ
เดือน จึงคาดหวังว่าจะได้รับค่าเช่าบ้านเป็นระยะเวลาจำนวนหนึ่งปี
เซี่ยเสี่ยวหลานยังต้องการหาบ้านอีกสักหน่อย มีห้องนอนแค่หนึ่งห้อง
ครอบครัวลุงมีกันสามคนคงอยู่ได้ไม่สะดวกสบายนัก
หลี่เฟิ่งเหมยกลับพอใจมาก ห้องรับแขกวางเตียงเล็กไว้สักหลังก็ได้แล้ว!
ภรรยาหูหย่งไฉแปลกใจ ถ้าอย่างนั้นก็นอนในห้องเดียวกันเลยสิ
ในห้องนอนใหญ่รูดม่านเสียหน่อยก็นอนได้แล้ว บ้านคุณยังมีเด็กผู้ชายตัวน้อยอยู่ด้วยนะ
ครอบครัวใครไม่เบียดกันอาศัยบ้าง เพียงแต่ที่อยู่อาศัยของซางตูยังเพียงพอ หากเป็นในสถานที่อย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้นั้น
มีกระทั่งคนทั้งครอบครัวเบียดเสียดในห้องนอนเดียว
สมาชิกทุกเพศทุกวัยนอนเตียงรวมขนาดใหญ่ด้วยกันด้วยซ้ำ
แถมตอนนี้บ้านช่องช่างหายากเหลือเกิน อีกทั้งในหน่วยงานอย่างองค์การทางรถไฟนี้
เมื่อคนหนุ่มสาวเข้าทำงานย่อมได้รับการจัดสรรหอพัก ตอนนี้ถึงได้มีบ้านว่างสำหรับปล่อยให้เช่า
หากไม่รีบตกลง เงินค่าเช่า 15 หยวนต่อหนึ่งเดือนคงไม่สามารถเรียกว่าย่อมเยาได้
เพราะมีครอบครัวซึ่งขาดแคลนที่พักอาศัยต้องการอยู่เสมอ
เรื่องเรียนชั่วคราวของเทาเทาก็รีบเร่งจัดการ ต้องขอบคุณ ‘ไฉ่เตี๋ย’ ที่โจวเฉิงเหลือไว้ ของแบบนี้ส่งเป็นของขวัญดูมีหน้ามีตาเป็นอย่างยิ่ง
หูหย่งไฉช่วยเป็นธุระแนะนำคนให้ หลิวหย่งก็ตอบแทนโดยการมอบบุหรี่จำนวนหลายคอตตอน
อีกทั้งเลี้ยงอาหารที่ภัตตาคารรัฐ ก็สามารถจัดการขั้นตอนขอเรียนชั่วคราวในโรงเรียนประถมใกล้เคียงได้เรียบร้อย
ทะเบียนบ้านชนบทแล้วอย่างไร ไม่อนุญาตคนชนบทมีเงินหรือ?
หลี่เฟิ่งเหมยเลี้ยงหมูไว้สองตัว จึงเชิญคนฆ่าสัตว์ในหมู่บ้านมาเชือด
ชาวบ้านชีจิ่งล้วนรู้สึกประหลาดใจ
ยังไม่ทันข้ามปี บ้านหย่งจื่อก็เชือดหมูแล้วหรือ?
หมูสองตัวบ้านเขาเลี้ยงกากน้ำมันไม่น้อย ส่งเชือดก่อนก็สมบูรณ์ดี
น้ำหนักมากกว่า 180 ชั่งทั้งหมดสินะ?
เสียดายออกนะ เลี้ยงอีกสักสองเดือน คงจะหนักถึง 200 ชั่ง!
หมูตัวใหญ่ 200 ชั่งพบได้ไม่บ่อย หมูที่ไม่ได้กินอาหารขุนจะเติบโตช้า มีเพียงหมูขนาด 200 ชั่งที่สามารถให้ไขมันหนาสามนิ้วมือได้ เนื้อหมูหนึ่งชิ้นแบบนั้น
แม่บ้านดูแลงานครัวครอบครัวไหนก็หาซื้อได้ แต่จะภูมิใจไปนานเลยทีเดียว
ชาวบ้านจำนวนหนึ่งให้ความช่วยเหลือ มัดขาทั้งสี่ของหมูไว้
ยกไปบนม้านั่งยาวจับให้มั่น คนฆ่าสัตว์ผู้ชำนาญแทงเข้าบริเวณคอมีดเดียว
ตอนเข้ามีดวาวตอนออกมีดแดง ในอ่างบรรจุน้ำสะอาดกับเกลือ เลือดหมูอุ่นพุ่งลงในอ่าง
ทิ้งไว้สักพักก็ค่อยๆ แข็งตัวกลายเป็นก้อนเลือดหมู
เลือดหมูสดใหม่เป็นของดี
ทางเหนือนิยมตุ๋นไส้กรอกเลือดและผักดองเข้าด้วยกัน
วิธีรับประทานที่มีชื่อเสียงในเสฉวนคือซุปเลือดไส้
ทางอันชิ่งนี้จะผัดรับประทานกับต้นหอม
รอจนเลือดหมูไหลหมดจด ถึงใช้น้ำร้อนลวกหนังถอนขน!
คนฆ่าสัตว์พาผู้ช่วยมาด้วย จึงจัดการหมูหนึ่งตัวได้อย่างรวดเร็ว หมูของบ้านหลิวไม่ถึงสองร้อยชั่ง
แต่ก็ห่างกันไม่มากเท่าไร
เนื้อหมูสีแดง ไขมันขาวผ่อง ผู้คนที่มามุงดูอดน้ำลายสอไม่ได้
เนื้อหมูบ้านหย่งจื่อขายหรือไม่?
คนหมู่บ้านเดียวกันทั้งนั้น หลิวหย่งไม่มีทางขายราคาสูงให้ทุกคน
นานครั้งที่บนโต๊ะอาหารจะมีเนื้อสัตว์บ้าง แบ่งเนื้อให้สักสองชั่งกลับบ้านเพื่อคลายความหิวโหย
ขายสิ ทำไมจะไม่ขาย!
เดิมทีหลิวหย่งต้องการขายหมูสองตัวทิ้ง ทว่าหลี่เฟิ่งเหมยบอกว่าไม่คุ้มค่า
และอีกอย่างตนเองต้องเหลือเนื้อสัตว์ไว้รับประทานเสียหน่อย
ดังนั้นจึงเชือดหมูทั้งสองตัวจนหมด หลงเหลือเท่าไรควรให้ใครก็ให้
เนื้อจำนวนส่วนเกินก็ขายไป พยายามสร้างมูลค่าของหมูสองตัวใหญ่ที่เลี้ยงมาด้วยความเหนื่อยยากอย่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เชือดหมูแล้ว คนในหมู่บ้านชีจิ่งถึงรับรู้
ที่แท้หลิวหย่งจะพาภรรยาและลูกย้ายไปอยู่ในเมือง
ก็เพื่อการศึกษาของเจ้าตัวแสบที่บ้านนั่นแหละ!
หลิวหย่งกล่าวเช่นนี้ คนในหมู่บ้านเชื่อครึ่งหนึ่งอีกครึ่งสงสัย
ร่ำรวยแล้วหรือ?
ไร่นาของครอบครัวยังไม่สนใจเลย
ส่งต่อให้ครอบครัวอื่นไปเพาะปลูกแทนเสียดื้อๆ
หลิวหย่งยังไม่ได้ร่ำรวยจริงๆ แต่หลิวหย่งคาดหวังว่าจะร่ำรวยให้ได้
ถ้าไม่จากสถานที่ล้าหลังไป เขาจะพึ่งพาสิ่งใดให้ร่ำรวยเล่า!
จัดการหมูและสัตว์ปีกในบ้านเสร็จสิ้น หลิวหย่งกับครอบครัวนำเนื้อหมูบางส่วนและสัมภาระย้ายไปยังซางตู
วันนั้นที่หลิวหย่งเดินทางไป ลูกสะใภ้คนโตของเฉินวั่งต๋ากระวนกระวายใจเหลือเกิน
บ้านหลิวเหลาะแหละมากเกินไปแล้ว!
หาเงินได้แค่เล็กน้อย ไม่มีใครจะขอยืมเสียหน่อย
ถึงกับต้องย้ายไปอาศัยในเมือง?
เช่าบ้านสักแห่งไม่ยุ่งยาก อย่างในเมืองนั้นไม่ต้องจ่ายเงินซื้อ
แต่เมื่อถึงเวลาส่งผลผลิตและค่าบำรุงของปีหน้า ก็ไม่รู้ว่าบ้านหลิวจะควักเงินจำนวนนี้จ่ายได้หรือไม่
ปู่เฉินชิ่งเขาบอกว่าจะแบ่งไร่นาให้สองแม่ลูก คนเขาย้ายไปเมืองมณฑลแล้ว
ยังรักใคร่ในที่ดินทำกินนี่อยู่ไหม?
เฉินเหล่าต้ารู้สึกรำคาญ เธอยุ่งขนาดนั้นทำไมกันเล่า
เธอดึงคุณพ่อเราลงมาแล้วไปเป็นหัวหน้าหมู่บ้านเองไหม?
สะใภ้ใหญ่เฉินกลอกตา
ที่เธอมักกังวลอยู่เรื่อย มิใช่เพื่อเก็บกวาดดูแลทุกสิ่งในบ้านนี้แทนหรือ? พอบ้านหลิวทำเงินได้มากแล้ว สะใภ้ใหญ่เฉินก็นึกถึงโทรเลขฉบับหนานั่น
นึกถึงจดหมายแนะนำที่เซี่ยเสี่ยวหลานทำเรื่องขอไปหยางเฉิง
จึงสงสัยว่าเซี่ยเสี่ยวหลานได้คู่หมายแสนดีสักคนเข้า คนมีเงินไม่ใช่หลิวหย่ง
อาจจะเป็นเซี่ยเสี่ยวหลาน พอหนึ่งคนกลายเป็นเซียน ไก่กับสุนัขยังได้ขึ้นสววรค์ [3] ด้วยกัน แม้แต่ครอบครัวลุงก็พลอยได้รับการสนับสนุนไปด้วย
เกลียดที่เจ้าเด็กแสบบ้านหลิวเป็นคนหลอกยากหลอกเย็นนัก
กินลูกกวาดไม่ใช่น้อยๆ ถามว่าพี่สาวเขาไปทำอะไรที่หยางเฉิง
ดันไม่ตอบอะไรเลยสักอย่างเดียว
เฮอะ ความสามารถแสร้งซื่อบื้อนี่ส่งต่อกันในครอบครัวโดยแท้
เมื่อก่อนสะใภ้ใหญ่เฉินหวังดีต่อบ้านหลิวรวมถึงเซี่ยเสี่ยวหลานและมารดาพอสมควร
ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่เริ่มเปลี่ยนแปลงทัศนคติ อาจจะเพราะแรกเริ่มเดิมทีเธอคือลูกสะใภ้ของหัวหน้าหมู่บ้าน
คุณสมบัติของเฉินชิ่งโดดเด่นมากในละแวกใกล้เคียง เธอจึงเลือกเฟ้นคนรักให้เฉินชิ่งด้วยมาตรฐานที่สูง
คนเราเมื่ออยู่ในตำแหน่งเหนือกว่าถึงจะมีความสงสารและความเห็นอกเห็นใจได้ ทว่าในชั่วพริบตาเซี่ยเสี่ยวหลานพัฒนาจากคนน่าสงสารไปสู่คนที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใคร
ยอดเยี่ยมกว่าเฉินชิ่งด้วยซ้ำ ความสงสารเล็กน้อยนั้นของสะใภ้ใหญ่เฉินจึงสูญเสียความสมดุลไป
—————————————-
ขณะที่หลิวหย่งหอบผ้าหอบผ่อนพาภรรยากับลูกเข้าเมือง โจวเฉิงผู้อยู่ห่างไกลถึงปักกิ่งได้รายงานตัวอย่างเป็นทางการ
พอเขามาถึงปักกิ่ง แม้แต่สินค้ายังวานคังเหว่ยไปจัดการ ส่วนตนเองเร่งส่งโทรเลขให้เซี่ยเสี่ยวหลานหนึ่งฉบับ
จากนั้นเขาก็ถูกเรียกตัวกลับหน่วยงานแล้ว
โอ้ โจวเฉิงของพวกเรายอมกลับมาแล้ว
เชิงอรรถ
[1]农民工 แรงงานอพยพ หมายถึง แรงงานที่เดิมทีเป็นคนในชนบท
มีทะเบียนบ้านอยู่ในชนบท เมื่อเข้าเมืองจึงทำงานใช้แรงงานตามภาคอุตสาหกรรม
หลังจากนั้นส่งรายได้กลับไปให้ครอบครัว
[2]子弟学校 โรงเรียนสำหรับบุคลากร หมายถึง
โรงเรียนที่บางหน่วยงานก่อตั้งขึ้นเองและรับลูกหลานของพนักงานในหน่วยงานเข้าเรียน
เนื่องจากบางหน่วยงานอยู่ห่างไกลจากโรงเรียนมาก
ผู้ปกครองไม่สะดวกส่งลูกหลานไปเรียนยังที่ห่างไกล
[3]一人得道鸡犬升天 หนึ่งคนกลายเป็นเซียน ไก่กับสุนัขยังได้ขึ้นสวรรค์ หมายถึง
บรรลุกลายเป็นเทพ ไก่กับสุนัขในบ้านก็ได้ขึ้นสวรรค์ตามไปด้วย ใช้เปรียบเปรยว่า
เมื่อคนคนหนึ่งได้รับอำนาจ คนอื่นที่เกี่ยวข้องก็ได้รับผลดีไปด้วยเช่นกัน