เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 3 บทที่ 87.1
“เอามาให้?”
“เอาเป็นว่าลองเปิดดูก่อนสิ”
เฟเรสหันมามองเธออีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดกล่องอย่างระมัดระวัง
ทันทีที่สัมผัสกับแสงแดดเล็กน้อย มันก็ส่องประกายระยิบระยับ เผยให้เห็นภาพอัญมณีที่ส่องแสงเจิดจรัสยิ่งขึ้น
“นี่มัน…เพชร?”
มันคือเข็มกลัดเพชรที่เจียระไนขึ้นเป็นพิเศษเพื่อเฟเรสโดยเฉพาะ
เด็กหนุ่มไม่คิดที่จะลองสัมผัสเพชรที่เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกในชีวิต เขาเอาแต่มองมันโดยไม่ละสายตา
“เป็นไง ถูกใจมั้ย”
“…สวย”
คำชมดูจืดชืดเป็นบ้า
ฟีเรนเทียรู้สึกน้อยใจขึ้นมาเล็กน้อย เลยพูดเสียงกระแทกกระทั้นออกไป
“ข้าสั่งทำเป็นพิเศษเพื่อเจ้าเลยนะ”
“ถูกใจมากเลย”
เฟเรสไม่หยุดคิดแม้แต่เสี้ยววินาที เขาก็ตอบออกมาในทันที
พลิกลิ้นไวเหมือนกันนะเนี่ย
“อย่าเอาแต่มองเฉยๆ สิ ลองติดดูหน่อยว่าเหมาะมั้ย”
ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะทำตัวเท่ๆ แล้วแท้ๆ แต่เธอก็เอาชนะความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวจนได้
เฟเรสลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหยิบเข็มกลัดขึ้นติดลงบนอกเสื้อ
อัญมณีที่ถูกเจียระไนด้วยวิธีที่ดีที่สุดในบรรดาคัตติ้งที่โครอิลลี่ภาคภูมิใจ มันไม่เพียงแต่ส่องประกายระยิบระยับเจิดจ้าจนตาพร่าเท่านั้น แต่ยังงดงามมากเสียจนไม่อาจละสายตาไปจากมันได้เลย
“ว้าว”
คาอิลรัสที่ยืนอยู่ด้านหลังอุทานชื่นชมเสียงแผ่ว
เธอเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
เข็มกลัดนั่นมันดูงดงามมากราวกับผลิตขึ้นมาเพื่อเฟเรสคนเดียวโดยเฉพาะ
เพชรเม็ดโต ความบริสุทธิ์ของแร่สูง แต่พอผสานเข้ากับหินแก้วอัคนีสีดำที่เจียระไนด้วยวิธีการเดียวกัน มันยิ่งทำให้ดูโดดเด่นมากกว่าเดิม
“นึกแล้วเชียวว่าต้องเหมาะกับเจ้า”
มันช่วยให้เฟเรสดูรูปงามมีชีวิตชีวามากกว่าเดิมอีกระดับ ทำให้เธอรู้สึกภูมิใจมากทีเดียว
คาอิลรัสกับแคทเธอรีนต่างก็พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับคำพูดของเธอ
“ขอบใจ”
เฟเรสรู้สึกอัศจรรย์ใจ เขายังคงไม่อาจละสายตาห่างไปจากเพชรเม็ดนี้ได้
“แต่น่าจะแพงมากเลยนะ”
“หืม ก็นิดหน่อยน่ะ”
ไม่ใช่แค่นิดหน่อยหรอก
หากต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อเข็มกลัดชิ้นนี้แล้วละก็ จะต้องเสียเงินจำนวนหลายร้อยเหรียญทองทีเดียว
ช่วงนี้เพชรยิ่งหายากจนแทบไม่มีวางขายอยู่ด้วย ดังนั้นราคาของมันจึงแพงกว่าเดิมไปอีกหลายเท่าตัว
เธอยักไหล่ไม่ยี่หระ ก่อนจะเปิดปากย้ำกับเฟเรส
“จะไปไหนก็ติดมันอย่างงดงามด้วยละ มันเหมาะสมกับทุกงานอยู่แล้ว”
เฟเรสลูบเข็มกลัดบนหน้าอกไปพลางพยักหน้าตอบรับแต่เพียงไม่นานเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจเก็บเข็มกลัดกลับลงใส่กล่องตามเดิม
“เอาไว้ติดในวันพิเศษ”
“อืม เรื่องพวกนี้ก็ตามใจคนรับอยู่แล้วนี่นะ”
ดูจากรอยยิ้มจางๆ ที่แต่งแต้มบนมุมปาก ดูเหมือนตอนนี้เฟเรสจะอารมณ์ดีมากจริงๆ
เธอเองก็เหมือนกัน
น่าขำชะมัด พอให้ของขวัญเฟเรสแบบนี้ มันทำให้เธอเพิ่งจะรู้สึกได้ว่าตัวเองเป็นเจ้าของเหมืองเพชรจริงๆ สินะ
“ตอนนี้พวกเราก็กลับกันได้แล้ว…”
แต่แล้วในตอนที่ตั้งใจจะเอ่ยชวนทุกคนให้กลับวังโฟอิรัคเนื่องจากสายลมที่พัดผ่านเข้ามามันเย็นลงจนเริ่มหนาว
“หืม…มีแขกมาหรือเนี่ย”
ทันใดนั้นก็พลันได้ยินเสียงทุ้มต่ำอันแสนคุ้นเคยของจักรพรรดิโยบาเนสดังขึ้น
องค์จักรพรรดิไม่ได้เสด็จมาคนเดียว
ข้างหลังจักรพรรดิที่ยืนเอามือไขว้หลังอยู่ที่หน้าทางเข้าสวน มีจักรพรรดินีกับอาสทาน่ายืนอยู่ด้วย
จักรพรรดินีคงตั้งใจจะพาอาสทาน่าออกมาใช้เวลาร่วมกันกับจักรพรรดิ นางไม่คิดเก็บซ่อนความไม่พอใจเมื่อเห็นพวกเราเลยแม้แต่น้อยและนัยน์ตาของเธอก็พลันสบเข้ากับนัยน์ตาของอาสทาน่าที่เอาแต่มองมาก่อนแล้วตั้งแต่แรก
ตอนนี้อาสทาน่าอายุได้สิบห้าปีแล้ว เขาอยู่ในภาพลักษณ์ที่เข้าสู่วัยหนุ่มเต็มตัว
รูปร่างหน้าตาเรียกได้ว่าใกล้เคียงกับ ‘เจ้าชายลำดับที่หนึ่งอาสทาน่า’ ในความทรงจำของเธอมากกว่าที่เคยอีกด้วย
“ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมจักรพรรดินี ถวายบังคมเจ้าชายลำดับที่หนึ่งเพคะ”
เธอรีบลุกขึ้นจากที่นั่ง กล่าวถวายบังคมตามธรรมเนียม
“ก็นึกอยู่ว่าใคร พวกเจ้านี่เอง”
โยบาเนสมองเธอสลับกับเฟเรสด้วยนัยน์ตาใคร่รู้แล้วจึงค่อยพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงให้ความสนิทสนม
“ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะ ฟีเรนเทีย ครั้งสุดท้ายก็ตอนที่แคลอฮันได้รับเหรียญรางวัลหรือเปล่าเนี่ย”
ใบหน้าแย้มยิ้มขณะที่พูดทักทายอย่างเป็นกันเองนั่น ให้ความรู้สึกเหมือนคุณลุงข้างบ้านที่สนิทสนมกันเสียจริง
ขนาดที่ทำให้จินตนาการได้ลำบากเลยทีเดียวว่าคนคนนี้เป็นคนเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าใคร ทั้งยังเป็นคนที่คำนวณผลได้ผลเสียทางการเมืองได้อย่างรวดเร็ว
แต่เรื่องเล่นละครน่ะ เธอเองก็เล่นเก่งพอกันกับพระองค์นั่นแหละ
ทั้งท่าทางที่เขาปฏิบัติต่อเฟเรส ทั้งเรื่องที่เอาบุตรชายของตัวเองมาแลกผลประโยชน์นั่น มันเป็นพฤติกรรมน่ารังเกียจจนทำให้รู้สึกหงุดหงิดแต่ถึงยังไงโยบาเนสก็เป็นจักรพรรดิของอาณาจักรแห่งนี้
เธอยิ้มกริ่ม แสร้งทำเป็นเขินอายในขณะที่ตอบกลับไป
“จำได้ถึงขนาดนั้นเลย เป็นเกียรติอย่างยิ่งเพคะ ฝ่าบาท”
“หืม?”
โยบาเนสเบิกตาโต แต่เพียงไม่นานก็ยกยิ้ม แล้วพูด
“เจ้านี่รู้จักพูดจาหวานหูจริงๆ”
“ขอบพระทัยที่ชมเพคะ ฝ่าบาท”
ท่าทีนอบน้อม ชวนให้รู้สึกน่ารักใคร่แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ถดถอย ดูมั่นใจ
เพราะเธอคือลอมบาร์เดีย
เธอยิ้มกว้าง ไม่คิดหลบสายตาของจักรพรรดิ
ทันใดนั้นนัยน์ตาของจักรพรรดิก็ส่องประกายวาบขึ้นมา
องค์จักรพรรดิลอบมองเธออยู่เงียบๆ ก่อนที่จะหันแต่ศีรษะไปมองจักรพรรดินีพลางพูด
“ในเมื่อไม่มีสถานที่เหมาะสมในการดื่มชาสักแก้ว เช่นนั้นเราก็ร่วมโต๊ะกับพวกเขาเป็นเช่นไร จักรพรรดินี”
จักรพรรดิกล่าวเช่นนั้น แต่คำพูดของพระองค์เป็นสิ่งที่กำหนดคำตอบของจักรพรรดินีเอาไว้อยู่แล้ว
“ตามที่พระองค์ประสงค์เพคะ ฝ่าบาท”
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ลืมที่จะจ้องเฟเรสราวกับจะฆ่าให้ตาย