เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 3 บทที่ 93.2
อันที่จริงมันเป็นหนังสือที่เธอตั้งใจซื้อเพื่อเก็บไว้มอบให้เครนีย์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เพราะไม่ได้หวงแหนอะไรมากมายอยู่แล้ว เธอเลยไม่ได้สนใจที่หนังสือมีสภาพเละเทะแบบนั้น
แต่การที่รอยเท้าเต็มหน้ากระดาษนั่น มันเหมือนกับรอยเท้าที่ประทับอยู่บนเสื้อเชิ้ตของเครนีย์ มันทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
อยากคิดว่าเครนีย์ไปทะเลาะกับใครมาหรือเปล่า แต่ดูจากขนาดของรอยเท้าแล้ว มันไม่ใช่ขนาดของเด็กวัยเดียวกับเครนีย์แน่นอน
มันเป็นรอยเท้าขนาดใหญ่ประมาณเท้าผู้ใหญ่ชัดๆ
“ใครทำเจ้าแบบนี้กัน”
เธอชี้ไปที่รอยเท้าขนาดใหญ่พลางถาม
“นะ…นี่…พะ พี่เบเลซักเขา…”
“เบเลซัก?”
ก็ว่าทำไมช่วงนี้ดูสงบเสงี่ยมจริง!
พอก้มลงไปมองให้ละเอียดถึงได้พบว่ามีกระทั่งรอยช้ำตามแขนของเครนีย์ด้วย
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เล่ามาให้ละเอียดเลยนะ เครนีย์”
“ฮึก! ก็แค่…ข้า ข้ากำลังอ่านหนังสืออยู่คนเดียวแต่…”
“แต่?”
“ฮือ ท่านพี่เบเลซักโผล่มา…ถามว่าหนังสืออะไร ฮึก! แล้ว แล้วก็…ข้าเลยบอกว่าของเทีย!”
มันค่อนข้างฟังได้ลำบากเพราะคำพูดเจือไปด้วยเสียงสะอื้น แต่เครนีย์ก็อธิบายออกมาได้ครบถ้วน
“เพราะงั้นเจ้าอ่านหนังสืออยู่คนเดียว แล้วเบเลซักก็โผล่มา พอรู้ว่าหนังสือที่เจ้าอ่านเป็นของข้า ก็ฉีกหนังสือทิ้งใช่หรือไม่”
“ฮืออ…”
“เจ้าพยายามขัดขวางก็เลยมีสภาพกลายเป็นแบบนี้”
“…อื้อ”
“เบเลซัก ไอ้ใจป๊อดรังแกคนไม่มีทางสู้!”
รู้สึกโมโหมากเสียจนก้อนสะอื้นขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ
“ไม่มีใครให้แกล้ง ก็เลยลงมือทำร้ายลูกพี่ลูกน้องที่ยังเด็กขนาดนี้เนี่ยนะ! ”
ไม่สิ ในชีวิตก่อน เจ้านั่นก็เป็นคนลงมือทำร้ายเธอแบบนั้นเหมือนกัน
เครนีย์ที่ยิ่งเด็กกว่าเธอในตอนนั้นย่อมไม่มีทางรอดปลอดภัยจากเงื้อมมือเจ้านั่นได้อยู่แล้ว
“พี่ชายของเจ้าล่ะ! อาสทัลลีอูมัวทำอะไรอยู่!”
“ยะ…ยืนอยู่ข้างๆ …”
“ไอ้โง่ไร้สมอง! น้องชายตัวเองถูกทำร้ายแท้ๆ !”
พอเธอโมโหเดือดด้วยความอัดอั้นตันใจ เครนีย์ที่อยู่ข้างๆ ก็เริ่มส่งเสียงร้องสะอึกสะอื้นอีกรอบ
ทั้งๆ ที่เด็กตัวเล็กๆ คนนี้ปกป้องหนังสือจนยอมถูกเหยียบ แต่คนที่เป็นพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองกลับเอาแต่ยืนนิ่งเฉย มองดูอยู่ข้างๆ ไม่ยอมช่วย
คงเสียใจมากทีเดียว
แต่เธอก็ยังตั้งใจดุเสียงเข้ม
“ฮึบเร็ว เลิกร้องไห้ได้แล้ว ร้องมาเยอะพอแล้วนะ หยุดร้อง”
“…ฮึบ”
เครนีย์กัดริมฝีปากล่างแน่น พยายามกลั้นเสียงร้องไห้เมื่อได้ยินเธอสั่งเช่นนั้น
เธออธิบายให้เครนีย์ที่มีสีหน้าสงบลงบ้างแล้วฟังอย่างใจเย็น
“เครนีย์ เจ้าคิดว่าหนังสือเล่มนี้ราคาเท่าไหร่”
“อืม ไม่รู้สิ…”
เพราะเขาไม่เคยได้ออกไปซื้อของข้างนอก จึงไม่มีประสบการณ์ทางด้านการคำนวณราคาข้าวของ
“เอาละหนังสือนี่น่ะ ข้าซื้อมาในราคาสี่เหรียญเงินแล้วเงินค่าขนมที่เจ้าได้ในแต่ละเดือนละ เท่าไหร่”
“หนึ่งเหรียญทอง”
ดูเหมือนคู่สามีภริยาลอเรนซ์กับโรเนสจะแบ่งเงินค่าขนมที่เครนีย์ควรได้รับให้เขาแค่ส่วนเดียวเท่านั้นสินะ
“อืม เพราะงั้นมันเป็นหนังสือที่สามารถใช้เงินค่าขนมของเจ้าซื้อแล้วยังเหลือเงินเลยนะ เจ้าแค่ไปซื้อเล่มใหม่มาคืนข้าก็หมดเรื่องแล้ว เพิ่มคำว่าขอโทษอีกสักคำก็ยิ่งดี”
“ตะ…แต่ว่า…”
“เพราะมันเป็นของที่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ตัวเองบาดเจ็บหรอก เข้าใจที่ข้าพูดมั้ย”
“อื้อ…”
“การปกป้องของที่หวงแหนมันเป็นเรื่องสำคัญก็จริง แต่ถึงยังไงสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือตัวเจ้า”
ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ นัยน์ตาที่ยังคงเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตากะพริบตามองเธอปริบๆ
เมื่อไม่นานมานี้เครนีย์อายุครบแปดขวบแล้ว เธอจึงให้คำแนะนำกับเขาหนักแน่นขึ้นอีกหน่อย
“ฟังให้ดีนะ เครนีย์ เจ้าคือลอมบาร์เดีย เป็นลอมบาร์เดียที่ไม่มีใครเทียบได้ ลอมบาร์เดียน่ะ เวลาโกรธเขาไม่วางมือ นั่งเฉยๆ ร้องไห้อยู่แบบนี้หรอกนะ พวกเราต้องแก้แค้นยังไงล่ะ”
“แก้แค้น…?”
“ใช่แล้วละแก้แค้น อย่างเท่าเทียมสาสมเลยด้วย”
ฟีเรนเทียไม่คิดที่จะปล่อยไอ้เบเลซักที่กล้าทำให้เด็กตัวเล็กๆ มีสภาพแบบนี้เอาไว้เฉยๆ หรอกนะ
เธอผู้เชี่ยวชาญในการสั่งสอนเบเลซักกับอาสทัลลีอูคนนี้ มั่นใจมากทีเดียวว่ารู้เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับสองคนนั่นดีกว่าที่พวกเขารู้จักตัวเองเสียอีก
แน่นอนว่ารู้กระทั่งจุดอ่อนของพวกนั้นด้วย
“แต่เครนีย์ เจ้ายังเด็กอยู่ เพราะฉะนั้นคราวนี้ข้าจะช่วยแก้แค้นแทนเจ้าให้เอง แต่ตั้งแต่ครั้งหน้าเจ้าจะเอาแต่นั่งร้องไห้อยู่แบบนี้ไม่ได้นะ เข้าใจมั้ย”
“อื้อ อื้อ! เข้าใจแล้ว!”
เธอลูบหัวเครนีย์ ก่อนจะหันหลังหมุนตัวกลับไปหาบุคคลที่แอบฟังบทสนทนาของพวกเธอมาโดยตลอด
“ท่านปู่”
เสียงเรียกของเธอทำให้ท่านปู่ที่ซ่อนตัวครึ่งหนึ่งอยู่หลังต้นสนต้นหนาเดินออกมา
“ฮ่าฮ่า รู้อยู่แล้วหรอกเหรอเนี่ย”
ท่านปู่เลียริมฝีปาก คงจะรู้สึกอายอยู่เหมือนกันที่โดนจับได้ว่าแอบซ่อนตัวอยู่แต่เธอไม่ได้หัวเราะท่านปู่ที่ทำตัวเช่นนั้น
ท่านปู่สังเกตเห็นว่าเธอโมโหมากจริงๆ ท่านขมวดคิ้วแน่น กวาดสายตามองสำรวจสภาพของเครนีย์อย่างช้าๆ
“ข้ามีเรื่องอยากรบกวนค่ะ ท่านปู่”
“…ว่ามาสิ”
“อนุญาตให้ข้าพาเครนีย์ออกไปข้างนอกสักครู่ได้มั้ยคะ”
“หืม? แค่นั้นเองหรือ”
บางทีคงคิดว่าเธอจะขอร้องให้ ‘ช่วยตำหนิเบเลซักให้ทีนะคะ’ ละมั้ง ท่านปู่ถึงได้มีสีหน้าตกใจแบบนั้น
แต่เธอไม่คิดที่จะขออะไรง่ายๆ แบบนั้นหรอก
สิ่งที่ท่านปู่ลงมือทำได้ อย่างมากก็แค่ตำหนิเบเลซักอย่างรุนแรง หรือไม่ก็สั่งห้ามไม่ให้เขาออกไปข้างนอกประมาณหนึ่งอาทิตย์เท่านั้นมันเทียบกันไม่ได้กับการที่เจ้านั่นทำกับเครนีย์แบบนี้ ทั้งยังกล้าใช้เท้าทำให้หนังสือของเธอขาดเละเทะแบบนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว
เธอตั้งใจจะลงมือจัดการเบเลซักด้วยตัวเอง เหมือนอย่างที่สัญญาเอาไว้กับเครนีย์
“จะไปไหนล่ะ”
ท่านปู่ถามด้วยความสงสัย
“จะพาเด็กนี่ไปทานขนมหวานๆ หน่อยน่ะค่ะ”
ฟีเรนเทียชี้ไปที่เครนีย์ที่กำลังใช้หลังมือเช็ดน้ำตาอยู่พลางตอบ
“เอาเถอะ…”
เธอจับมือเครนีย์ พาเด็กน้อยขึ้นรถม้าคันที่เธอเพิ่งนั่งกลับมาเมื่อครู่ในทันที
แน่นอนว่าสถานที่ที่เธอพาเครนีย์มา ย่อมเป็นร้านขนมคาราเมล อเวนิวเจ้าประจำ
“เอ้า กินนี่ด้วยสิกินเยอะๆ จะได้รีบๆ โต เอาให้สูงกว่าจะได้มองกดข่มไอ้เบเลซักนั่นเลยนะ”
ฟีเรนเทียเลื่อนจานเค้กช็อกโกแลตกับนมไปให้ตรงหน้าเครนีย์ในขณะที่พูด
เธอจำได้ว่าเครนีย์ในอนาคตจะตัวสูงที่สุดเมื่อเทียบกับลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ แตกต่างจากเบเลซักที่ถือว่าตัวค่อนข้างเตี้ยในหมู่พวกผู้ชาย
“แหะๆ อื้อ!”
เครนีย์ยิ้มชอบอกชอบใจด้วยนัยน์ตาสีแดง ทั้งๆ ที่ยังมีช็อกโกแลตเลอะอยู่ที่มุมปาก
เธอส่งผ้าเช็ดปากให้เครนีย์เอาไปเช็ดปากที่เลอะ แต่แล้วก็พลันได้ยินบทสนทนาที่ค่อนข้างพิเศษเล็กน้อย
“จะไม่ต่อสัญญาเช่าร้าน นั่นหมายความว่ายังไงกันครับ”