เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 4 บทที่ 154.1
ตอนที่ 154
รอบด้านมันมืดมิดไปหมด
ตอนนี้ไม่อาจคาดเดาได้อีกแล้วว่าเวลาผ่านไปแล้วกี่วันกันแน่เวลาแบบนี้ถ้ามีนาฬิกาข้อมือก็ดีสิ
เธอคิดเช่นนั้นขณะเดียวกันก็ตั้งใจจะยกแขนขึ้นแต่เพราะเรี่ยวแรงมันหดหายไปหมด แค่การเคลื่อนไหวง่ายๆ นั่นก็ยังไม่อาจทำได้สำเร็จ
บริเวณหลังมือมีแต่เส้นเลือดปูดโปน เนื้อบริเวณนั้นซูบผอมลงไปมากได้แต่ดื่มน้ำกับอาหารแค่ให้ยังพอประทังชีวิตหายใจต่อไปได้นี่นะ มันก็ต้องมีสภาพเป็นแบบนี้แน่นอนอยู่แล้วสิ
เธอหมุนคอหันไปมองที่นั่งฝั่งตรงข้ามมิเคนเต้ ไอบันหลับตาทั้งสองข้างแน่น เขากำลังหลับลึกสภาพในตอนนี้หากบอกว่าตายแล้วยังฟังดูน่าเชื่อเลย
จู่ๆ ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา เธอเลยรีบเอียงหูไปหาเขาทันที โล่งอกที่ยังพอจะได้ยินเสียงลมหายใจเบาบางอยู่บ้าง
อา โล่งอกไปที
ว่ากันตามตรง เธอแค่รู้สึกโล่งใจที่ไม่ได้เหลืออยู่ตัวคนเดียว มากกว่าจะรู้สึกดีใจที่มิเคนเต้ ไอบันยังมีชีวิตอยู่เสียอีก
ภายในรถม้าเงียบสนิทมีเพียงเสียงสายลมพัดหวิวเข้ามาดังขึ้นเท่านั้น
ตอนแรกที่ถูกขังอยู่ในนี้ พวกเราสนทนากันหลายเรื่องแต่ไปๆ มาๆ ก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าจนสนทนากันต่อไม่ไหว
เพียงไม่นานความหิวโหยและความเหนื่อยล้าก็กลับมาครอบงำพวกเรา
ระยะเวลาในการพูดคุยเริ่มลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว เวลาในการนอนหลับเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้ที่เธอพอจะทำได้ก็มีแค่ลืมตาขึ้นมองเพดาน คอยเช็กว่ามิเคนเต้ ไอบันยังหายใจอยู่เป็นครั้งคราว
และหากกระหายน้ำจนทนต่อไปไม่ไหวเหมือนอย่างตอนนี้
แกรก
เธอเปิดฝาขวดน้ำที่วางไว้บริเวณสีข้างอย่างระมัดระวังและดื่มเพียงแค่จิบเดียวเท่านั้น
ในขณะที่ดื่มมันลงไปก็หลับตาลง เพื่อที่จะได้รู้สึกว่าน้ำกำลังไหลผ่านเข้าไปในร่างกาย
เฮ้อ น่าเสียดายจัง
น้ำแค่นี้ไม่มีทางแก้ปัญหาความกระหายที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว
บางครั้งยังยิ่งรู้สึกคอแห้งผากจนแทบไหม้เลยด้วยซ้ำ
เวลาแบบนั้นสัญชาตญาณมักจะกระตุ้นสั่งให้เธอยอมแพ้ในทุกสิ่ง แล้วจัดการกระดกน้ำดื่มลงไปให้หมดขวดในคราวเดียว
แต่เธอทำแบบนั้นไม่ได้
จะยอมแพ้ตรงนี้ไม่ได้
ทนอีกหน่อย ทนอีกแค่นิดเดียว เดี๋ยวก็มีคนมาช่วยเธอแล้ว
เมื่อออกไปจากพื้นที่เล็กแคบและมืดมิดแห่งนี้ได้ เธอก็จะสามารถกลับไปมีชีวิตปกติได้อีกครั้ง ราวกับไม่เคยเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน
ได้แต่ใช้ความคิดเช่นนั้นยับยั้งแรงกระตุ้นทั้งหมด แล้วอดทนเอาไว้
และเอาแต่นอนหลับใหลเหมือนอย่างมิเคนเต้ ไอบัน
หลังจากนั้นเธอก็ฝันในฝันเธอไม่ได้ถูกฝังเอาไว้ใต้ดินอย่างในตอนนี้
เธอฝันว่ากำลังอ่านหนังสืออย่างผ่อนคลายอยู่ในคฤหาสน์ และเดินเที่ยวไปในเมืองลอมบาร์เดียอันแสนคุ้นเคย
บางครั้งก็ฝันถึงเรื่องราวในชีวิตก่อน
เธอเบียดเสียดผู้คนมากมายจนไหล่กระทบกัน เขย่งเท้าชะโงกหน้ามองตรงไปเห็นเฟเรสขี่ม้าผ่านไปจากไกลๆ
เฟเรสเพียงแค่ก้มลงมองผู้คนที่มารวมตัวกันเพื่อยลโฉมเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ความรู้สึก
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกจนเต็มปอด เธอก็ตะโกนเรียกชื่อเขาเสียงดังจนคอแทบแตก
‘เฟเรส!’ วินาทีนั้นเอง นัยน์ตาสีแดงของเฟเรสก็หันกลับมามองเธอ
แค่ช่วงระยะเวลาอันแสนสั้นแค่เสี้ยววินาทีนั่น หัวใจของเธอกลับรู้สึกร้อนรนขึ้นมา
เขาจำเธอได้หรือเปล่า
และราวกับต้องการจะปลอบโยนหัวใจของเธอ นัยน์ตาของเฟเรสพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมา
เขาส่งยิ้มลึกลับที่มีแต่เธอเท่านั้นที่รู้จัก เปิดปากออกเพื่อเอ่ยเรียกชื่อเธอ
แต่ฝันก็มักจะจบลงตรงนั้นอยู่เสมอ
อยากได้ยินเสียงของเฟเรสแท้ๆ แต่กลับไม่อาจได้ยิน
คราวนี้จะต้องได้ยินให้ได้
เธอพึมพำเสียงแผ่ว ในขณะที่รู้สึกได้ถึงความง่วงงุนที่เริ่มคืบคลานเข้ามาอีกครั้ง
แต่แล้วในจังหวะที่กำลังจะหลับใหล โดยหวังว่าในฝันครั้งนี้เธอจะได้ยินเสียงเฟเรสเรียกชื่อเธอเสียที
เทีย!
เดี๋ยวนะ เหมือนมีใครกำลังเรียกชื่อเธออยู่เลย
แต่ก่อนที่จะได้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ความง่วงงุนก็เข้าครอบงำเธออีกครั้งเสียแล้ว
* * *
หากจะย้ายภูเขาออก จำเป็นต้องใช้คนกี่คนกันนะ
ไวโอเล็ตเหม่อมองผู้คนจำนวนมากมายที่กำลังทำงานกันอย่างแข็งขันอยู่ที่ลานกู้ภัยตรงหน้า พลางพูดพึมพำอย่างเหม่อลอย
อำนาจของลอมบาร์เดียยิ่งใหญ่มากจริงๆ เริ่มจากเหล่าพลทหารประจำภาคกลางที่เดินทางมาถึงในวันที่สอง หลังจากนั้นความช่วยเหลือก็เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งเหล่าทหารรับจ้างนับร้อยที่ทางร้านค้าเพลเลสว่าจ้างมาต่างก็ม้วนแขนเสื้อขึ้น ทั้งวิศวกรจากกลุ่มก่อสร้างลอมบาร์เดียที่เดินทางมายังไอบันเพื่อช่วยบูรณะสิ่งก่อสร้าง ทุกคนต่างร่วมแรงร่วมใจกันทำงานเพื่อไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้นอีก
และวันถัดมาอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือขนาดใหญ่จากกิจการเหมืองแร่ลอมบาร์เดียที่ตั้งอยู่แถวนั้นก็ถูกส่งมาถึง
นับตั้งแต่ตอนนั้น ภารกิจกู้ภัยก็ดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งวันคนหลายสิบจะคอยหมุนเวียนกันทำงานทีละหลายชั่วโมง ช่วยกันขุดดิน ช่วยกันยกหินออกไป
ดังนั้นภูเขาที่ถล่มลงมาจึงค่อยๆ หายไปตั้งแต่ส่วนบน
มันจึงกลายเป็นการย้ายภูเขาอย่างที่นางพูดไปจริงๆ
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเวลาที่เดินต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด มนุษย์ทุกคนย่อมเริ่มหมดเรี่ยวหมดแรง
นี่ก็ปาเข้าไปสี่วันแล้ว นับจากวันที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น
เมื่อพระอาทิตย์ตกดินจนเริ่มมืด แสงไฟก็ถูกจุดขึ้นทุกหนแห่ง
ถึงแม้จะเป็นเวลากลางคืน แต่พวกเขาก็ยังคงทำงานกันต่อไปโดยไม่หยุดพัก
ตอนนี้ผู้คนทั้งหลายที่มารวมตัวกันเพื่อภารกิจกู้ภัยแต่ละคน ต่างก็เริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมากันทีละคนสองคน
‘คุณหนูลอมบาร์เดียจะยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ’