เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 5 บทที่ 176.2
เล่ม 5 บทที่ 176.2
อาสทาน่าไม่โผล่หน้ามาที่วังจักรพรรดินีตั้งแต่เมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อน
“มีข่าวลือว่าเสด็จแม่บ้าคลั่งไปแล้วกระจายไปทั่ววัง! ข้าเป็นเจ้าชายที่จะขึ้นสืบทอดบัลลังก์ ถ้าอยู่ข้างกายคนบ้าแล้วเกิดได้รับบาดเจ็บขึ้นมาจะทำยังไง ท่านน้าก็แวะไปบอกข่าวคราวของข้าแทนก็แล้วกัน!”
นั่นเป็นข้ออ้างที่อาสทาน่าตอบกลับมา เพื่อที่จะหลบเลี่ยงเรื่องน่ารำคาญใจอย่างการแวะมาเยี่ยมเยียนทักทายที่วังจักรพรรดินี
มันเป็นคำพูดที่ฟังดูเลือดเย็นต่อคนเป็นแม่ก็จริง แต่ดิวอิจ อังเกนัส ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย
‘ยังไงอาสทาน่าก็เป็นโอรสของราวีนี จะมีนิสัยเหมือนกันก็เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว’
จะว่าเป็นบาปของราวีนีก็ได้ที่คลอดโอรสแบบนั้นออกมา
“เจ้าชายงานยุ่งมากเลยไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ดิวอิจเก็บซ่อนความคิดเอาไว้ในใจขณะที่เอ่ยปากราวกับเป็นเรื่องช่วยไม่ได้
และบอกเล่าเรื่องความเป็นไปล่าสุดเกี่ยวกับอาสทาน่าออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร
“ยิ่งเวลาผ่านไปเจ้าชายก็ยิ่งพัฒนาความสามารถในการล่าสัตว์มากขึ้นเรื่อยๆ พ่ะย่ะค่ะ เมื่อไม่นานมานี้ได้ข่าวว่าแย่งชิงอันดับที่ 2 ในการแข่งขันล่าสัตว์ประจำฤดูใบไม้ร่วงมาได้ด้วย”
ในวินาทีที่คำพูดนั้นหลุดออกจากปาก ดิวอิจก็รู้ตัวทันทีว่าพลาดไปเสียแล้ว
เป็นอย่างที่คิดจริงๆ จักรพรรดินีราวีนีหรี่ตาลง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“อันดับ 2 เหรอ เช่นนั้นอันดับ 1 เป็นใครกัน”
“ระ…เรื่องนั้น…”
“พูดมาเดี๋ยวนี้ ดิวอิจ”
ดิวอิจ อังเกนัส แทบจะเคี้ยวลิ้นของตัวเองกลืนลงคอ
ทำไมถึงได้เล่าเรื่องนี้ออกไปเนี่ย!
ภายใต้สายตาดุร้ายของจักรพรรดินี เขาก็เอาแต่เงียบต่อไปก็ไม่ได้ด้วย
สุดท้ายจึงได้แต่หลับตาแน่น เปิดปากพูดขึ้น
“จะ…เจ้าชายลำดับที่สองพ่ะย่ะค่ะ”
กรอดดดด
เสียงกัดฟันคำรามดังขึ้น
แค่คำว่า ‘เจ้าชายลำดับที่สอง’ เพียงคำเดียวก็ทำให้ราวีนีเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง
ใบหน้ายิ้มแย้มที่เคยหัวเราะอ่อนโยนดูใจดีจางหายไป แววตาพลันส่องประกายไปด้วยโทสะ
แกรก
“นำน้ำร้อนมาเปลี่ยนให้ตามที่องค์จักรพรรดินีมีรับสั่งแล้วเพคะ”
โชคร้ายที่นางกำนัลสาวดันถือกาน้ำชาเข้ามาอย่างระมัดระวังผิดจังหวะพอดี
“ให้ตายเถอะ”
ดิวอิจ อังเกนัส เดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะ
โชคร้ายเป็นบ้า
ทำไมต้องเข้ามาตอนนี้ด้วยวะเนี่ย
สำหรับจักรพรรดินีที่กำลังมองหาที่ระบายโทสะอันแสนเดือดพล่านแล้ว นางกำนัลผู้ไร้เดียงสาไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่อันใดด้วยนางนี้ ก็ไม่ต่างอันใดกับเหยื่อที่เหมาะสมยิ่ง
จักรพรรดินีเขวี้ยงกาน้ำชาที่วางอยู่บนถาดกระเด็นตกใส่ปลายเท้าของนางกำนัล
เพล้ง-!
“กรี๊ด!”
น้ำร้อนสาดกระเซ็นลงบนเท้าลามไปถึงข้อเท้า ทำให้นางกำนัลสาวกรีดร้องเสียงดังลั่น
“อะ…องค์จักรพรรดินี…”
“นี่เจ้าคิดจะลอบทำร้ายข้าหรือยังไง”
“ทะ…ทรงตรัสเรื่องใดกัน…หม่อมฉันเพียงแค่ทำตามรับสั่ง…”
“น้ำเดือนปุดๆ ขนาดนี้ ยังเอามาให้ข้าดื่มเนี่ยนะ คิดว่าข้ารู้ไม่ทันความคิดในใจของเจ้าหรือไงกัน!”
“ฮึก!มะ…หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจทำเช่นนั้นจริงๆ …”
นางกำนัลสาวตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวและความเจ็บปวด นางส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางดิวอิจ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลับมีเพียงแค่เสียงเดาะลิ้นดังจิ๊จ๊ะ พร้อมกับที่อีกฝ่ายแค่เบือนหน้าหันไปทางอื่นเท่านั้น
นางกำนัลสาวรีบคุกเข่าก้มหมอบด้วยใบหน้าซีดเผือด
“วะ…ไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วยเพคะ องค์จักรพรรดินี!”
น้ำเสียงนั้นอาจจะฟังดูน่าสงสาร แต่จักรพรรดินีไม่แม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ
“หัวหน้านางกำนัล ลากตัวนังนี่ออกไป!”
สุดท้ายหัวหน้านางกำนัลผู้เป็นมือขวาอยู่ข้างกายจักรพรรดินีก็เดินนำเหล่าข้ารับใช้ร่างกายกำยำสูงใหญ่เข้ามา ก่อนจะให้พวกเขาลากตัวนางกำนัลสาวออกไป หลังจากนั้นสีหน้าของจักรพรรดินีถึงได้ค่อยดูอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง
ราวีนีเอ่ยพูดพลางใช้มือปัดชายชุดเดรสที่เลอะเปรอะน้ำชาออกเบาๆ
“ปล่อยเอาไว้แบบนี้ไม่ได้ ดิวอิจ เจ้าจงส่งคนของอังเกนัสเข้ามาแทนที่นางกำนัลนางนั้นเสีย”
“…พ่ะย่ะค่ะ?”
“ถึงแม้จะเรียกว่าชนชั้นสูง แต่พวกนั้นก็มาจากครอบครัวชั้นต่ำไม่ต่างจากพวกสามัญชน ถึงได้ไม่เคยเล่าเรียนจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นไม่ใช่หรือไง ถ้าเป็นคนของอังเกนัสละก็ คงพอจะเอามาใช้งานข้างกายข้าได้บ้าง”
ในอังเกนัสตอนนี้ หญิงสาวที่เติบโตจนอยู่ในช่วงวัยที่พอจะเข้ามาทำงานในฐานะนางกำนัลได้ ก็มีแต่บุตรสาวของดิวอิจเท่านั้น
ดิวอิจใช้สมองครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เพื่อหาข้ออ้างในการหลีกเลี่ยงคำถามนี้ แต่ใบหน้าก็ยังคงยิ้มแย้มไม่จางหาย
พยายามนึกถึงเรื่องอื่นที่พอจะยกมาเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาเสีย
ในตอนนั้นเองพลันนึกขึ้นได้ว่ายังมีสารฉบับหนึ่งที่เขาเก็บเอาไว้ในอกเสื้อ จึงเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ซะ…เซรัลฝากกระหม่อมนำจดหมายฉบับนี้มามอบให้องค์จักรพรรดินีพ่ะย่ะค่ะ”
เห็นบอกว่าตอนนี้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจเดินทางเข้าพระราชวังได้ จึงส่งสารมาแจ้งเขาที่คฤหาสน์อังเกนัสแทน
“เซรัล?”
พอเห็นว่าราวีนีดูจะสนอกสนใจขึ้นมา ดิวอิจก็รีบส่งซองจดหมายฉบับนั้นให้อย่างรวดเร็ว
“ตายจริง…”
ราวีนีกวาดสายตาอ่านเนื้อหาในจดหมายที่เซรัลเขียนส่งมา นางพึมพำอุทานเสียงแผ่วคล้ายกับสงสารลูกพี่ลูกน้องคนสนิท
“เซรัลกับเบเจอร์ ลอมบาร์เดีย กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากนี่เอง ดูท่าจะโดนเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียเพ่งเล็งเพราะเรื่องจัดการหมั้นหมายเป็นแน่”
แต่ก็เท่านั้น
ราวีนีโยนจดหมายของเซรัลทิ้งไปด้านข้าง ราวกับแค่กำจัดเศษขยะน่ารำคาญสายตาทิ้ง
ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับลอมบาร์เดียมากไปกว่านั้น
ถึงแม้จะนั่งนิ่งครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่เงียบๆ แต่ภายในใจนางไม่ได้เป็นกังวลเรื่องของเซรัลเลย
“…ท่านพี่?”
ดิวอิจ อังเกนัส เอ่ยถามอย่างระมัดระวังด้วยความแปลกใจ
“ไม่ต้อง…ช่วยเซรัลหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ราวีนีกะพริบนัยน์ตากลมโตงดงามปริบๆ สองสามครั้ง ก่อนจะเอ่ยตอบ
“ทำไมข้าต้องช่วยเซรัลด้วย”
“ระ…เรื่องนั้น…”
ที่ผ่านมาเซรัลก็จงรักภักดีต่อจักรพรรดินีราวีนีเป็นอย่างยิ่ง
นางยอมให้เบเลซักเข้ามาเป็นสหายเพื่อนเล่นของอาสทาน่า ส่วนตัวเองก็แบกรับทำงานสกปรกให้แก่จักรพรรดินีทุกครั้งที่ราวีนีต้องการความช่วยเหลือในงานสังคมต่างๆ
ไม่ใช่แค่นั้น
นางยังจัดการควบคุมเบเจอร์ คอยชักใยอีกฝ่ายอยู่เบื้องหลังเพื่อผลประโยชน์ของอังเกนัสตามที่ราวีนีซึ่งเป็นพี่สาวลูกพี่ลูกน้องสั่งการทุกอย่าง
เพราะอย่างนั้นกิจการใหญ่น้อยต่างๆ ของลอมบาร์เดียอย่างกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มเหมืองแร่ จึงได้ยอมให้ความช่วยเหลือราวีนีอยู่เรื่อยมา
แต่ตอนที่เซรัลกำลังตกอยู่ในปัญหาอย่างตอนนี้ จักรพรรดินีกลับมีท่าทางราวกับลืมบุญคุณทุกอย่างไปจนหมดสิ้น
“ดิวอิจ”
ราวีนีเอ่ยพูดยิ้มๆ
“เห็นว่าโดนริบอำนาจทุกอย่าง ทั้งยังถูกขับไล่ไปอยู่เรือนเล็กแล้ว เซรัลย่อมไม่สามารถช่วยเหลืออะไรข้าได้อีกแล้ว”
ขนลุกชันไปทั่วแขนของดิวอิจ
กระทั่งตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของราวีนีก็ยังมีเพียงแค่ ‘เซรัลไม่มีประโยชน์ต่อนางอีกต่อไปแล้ว’ เท่านั้นเอง
“จะว่าไปในเมื่อสามีของเซรัลก็ถูกขับไล่ขนาดนั้น อย่างนี้คงต้องรีบสืบดูเสียแล้วว่าเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียถูกใจบุตรคนใดให้เป็นผู้สืบทอด น่าจะเป็นแคลอฮันหรือเปล่านะ”
จักรพรรดินีพึมพำในขณะที่นัยน์ตาส่องประกายเปี่ยมไปด้วยความมาดหมายอะไรบางอย่าง ส่วนจดหมายของเซรัลก็ถูกลมที่พัดเข้ามาจากด้านนอกพัดพามันปลิวร่วงหล่นลงไปนอนนิ่งอยู่บนพื้นห้องเสียแล้ว
* * *
“คุณหนู มีจดหมายมาค่ะ”
ลอรีลพูดพลางส่งจดหมายปึกหนึ่งให้เธอ
เธอเอ่ยตอบกลับไปทั้งๆ ที่ยังฝังใบหน้าตัวเองจมอยู่กับหนังสือที่กำลังนอนอ่าน
“อื้อ น่ารำคาญน่ะ ยังไงทั้งหมดนั่นก็คงเป็นบัตรเชิญไปร่วมงานเลี้ยงนั่นแหละ”
“ไม่…ก็อยากจะบอกว่าไม่ใช่นะคะ แต่ดูเหมือนคุณหนูจะเดาถูกแล้วละค่ะ”
“วางกองไว้บนโต๊ะก็แล้วกัน ลอรีล เอาไว้เดี๋ยวมีเวลาข้าค่อยตอบกลับไปพร้อมกันว่าไปไม่ได้…เดี๋ยวนะ”
นี่ตอนนี้เธอกำลังเห็นอะไรอยู่เนี่ย
เธอสะดุ้งพรวด หยัดกายที่เคยกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาขึ้น แล้วรีบเดินตรงเข้าไปหาลอรีล
“นั่น…”
ท่ามกลางจดหมายจำนวนมากมาย มีจดหมายฉบับหนึ่งที่ดูโดดเด่นมากเป็นพิเศษปนอยู่ด้วย
“ลอรีล…นี่เจ้าเอาอะไรมากันแน่…”
“ขออภัยค่ะ คุณหนู!ข้าเอาอะไรติดมาหรือคะเนี่ย!”
พอเห็นเธอขมวดคิ้วหน้าบึ้งตึง ลอรีลก็รีบขอโทษขอโพยไม่หยุด
“เฮ้อ…”
เธอถอนหายใจด้วยความหน่ายใจ หลังจากนั้นจึงค่อยจีบนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เข้าด้วยกัน แล้วดึงเอาซองฉบับหนึ่งออกมา
มันเป็นซองจดหมายสีม่วงอันแสนคุ้นตา
“จักรพรรดินีไม่ใช่หรือไง”
สีม่วงเข้มสด
บัตรเชิญของจักรพรรดินีราวีนีจริงด้วย
ก็อยากจะหวังอยู่หรอกว่า บางทีนี่อาจจะต้องถูกส่งไปยังเรือนเล็ก แต่ดันผิดพลาดส่งมาหาเธอเองหรือเปล่า แต่ด้านหลังของซองกลับถูกเขียนเอาไว้ด้วยลายมืองดงามอย่างชัดเจน
‘ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย’
“น่ารำคาญชะมัด”