เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 5 บทที่ 178.1
เล่ม 5 บทที่ 178.1
ตอนที่ 178
“คิดจะประจบข้าหรือไงกัน”
เธอพึมพำเสียงแผ่ว ขณะที่มองรถม้าจากพระราชวังที่อยู่ตรงหน้านิ่งๆ
ไม่อยากไปจริงๆ เลย แต่รถม้าคันหรูก็ดันมาจอดรอเธออยู่หน้าคฤหาสน์ลอมบาร์เดียตรงกับเวลาที่ควรออกเดินทางไปร่วมงานเลี้ยงของจักรพรรดินีพอดีเป๊ะ
สำหรับคนอื่นแล้ว มันอาจจะเป็นรถม้าหรูหราที่ทำให้รู้สึกปลื้มใจมาก แต่ขอโทษที รถม้าของเธอยังดูดีกว่ารถคันนี้เสียอีก
“สวัสดีครับ คุณหนูลอมบาร์เดีย ข้ามาเชิญไปวังจักรพรรดินีครับ”
กระทั่งมหาดเล็กประจำวังจักรพรรดินียังวิ่งมาต้อนรับเธอถึงที่ด้วยตัวเอง
“ไม่สิ นี่คิดจะบีบบังคับกันงั้นหรือไง”
ขนาดฝันเธอยังไม่คิดที่จะไปร่วมงานเลยนะ
ไม่ว่าจะฝันหรือเรื่องจริง ก็ไม่เคยมีอารมณ์คิดอยากจะไปร่วมงานบ้าบอพวกนี้ทั้งนั้นแหละ
“…ครับ?”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
พอเธอยิ้มหวานเข้าหน่อย ใบหน้าของมหาดเล็กก็ขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย
“ข้าต้องใช้แท่นรองเหยียบน่ะค่ะ”
เธอชี้ไปยังรถม้าที่ไม่มีอะไรวางอยู่เลย ทำให้มหาดเล็กประจำวังจักรพรรดินีสะดุ้งตกใจรีบตอบด้วยความร้อนรน
“อ๊ะ!ขะ…ขออภัยครับ! ข้าจะไปนำแท่นรองเหยียบมาให้เดี๋ยวนี้ครับ!”
ในระหว่างที่มหาดเล็กวิ่งไปหยิบแท่นรองเหยียบออกมาด้วยความรีบเร่ง เธอก็เหลียวหลังหันกลับไปมองทางฝั่งคฤหาสน์หลัก
รู้สึกได้ถึงสายตาจาบจ้วงจากทางด้านนั้นมาสักพักแล้ว
“อาฆาตแค้นอะไรขนาดนั้นอีกล่ะเนี่ย”
คนที่จ้องเขม็งมาที่เธอราวกับอยากจะฆ่ากันให้ตายคือเซรัลนั่นเอง
ปกติเธอไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่าไหร่ แต่หน้าตาตอนถลึงตาแบบนั้นนี่มันเหมือนกับจักรพรรดินีราวีนีสุดๆ
คงกลัวคนไม่รู้ว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกันละมั้ง
เจ้าตัวเองก็คงจะรู้สึกได้ว่าเธอมองจ้องตอบกลับไปเหมือนกัน
เซรัลถึงได้ไม่คิดที่จะหลบสายตาเธอเลยแม้แต่น้อย
แถมเปลวไฟในนัยน์ตาคู่นั้นกลับมีแต่จะยิ่งลุกโชนโหมกระหน่ำมากกว่าเดิม
ไม่ต้องถามหาสาเหตุที่ทำตัวแบบนั้นก็รู้ๆ กันอยู่
ในสถานการณ์ที่เจ้าตัวถูกขับไล่ไปอยู่เรือนเล็ก เธอกลับได้ไปร่วมงานเลี้ยงของจักรพรรดินี ก็คงจะรู้สึกอิจฉาตาร้อนจนแทบคลั่งนั่นแหละ
เซรัลเองก็น่าจะรู้ดี
ทั้งหมดนี่มันไม่ใช่ความตั้งใจของเธอ แต่เป็นความตั้งใจของจักรพรรดินีต่างหาก
แต่ดูจากการที่เซรัลเอาแต่จ้องเธอแบบนั้นอยู่เรื่อย ก็เพียงแค่เพราะแทนที่จะเกลียดชังจักรพรรดินี การอาฆาตแค้นเธอนั้นเป็นเรื่องง่ายกว่ามาก ก็เลยเลือกที่จะโกรธเธอโดยไม่ยอมซื่อสัตย์กับความรู้สึกที่แท้จริงของตัวนางเท่านั้นเอง
“อยากแกล้งต่ออีกสักหน่อยจัง”
ในตอนนั้นเอง มหาดเล็กก็หยิบเอาแท่นรองเท้ามาวางตรงหน้าเธอ
“ขอบคุณค่ะ”
มหาดเล็กยิ้มขวยเขินเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำขอบคุณจากเธอ
เธอยกเท้าขึ้นเหยียบลงบนแท่งรองเหยียบเบาๆ แล้วก้าวขึ้นไปบนรถม้า
ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดหน้าต่างออกกว้าง
มองออกไปเห็นเซรัลที่ยังคงยืนจ้องเธออยู่ตรงนั้นไม่ยอมขยับไปไหน
ในสถานการณ์แบบนี้ถ้าเป็นชนชั้นสูงทั่วไป ก็คงจะจ้องเซรัลตอบกลับไป แล้วสะบัดหน้าพ่นลมหายใจทางจมูกเสียงดัง ‘หึ’ ปิดประตูหน้าต่างใส่หน้านางไปแล้ว
นั่นเป็นปฏิกิริยาของคนทั่วไป
แต่เธอแค่มองเซรัลพลางยกมือขึ้นสูงและโบกมันไปมาเบาๆ พลางส่งยิ้มหวานไปให้
เลยได้เห็นเซรัลถลึงตาด้วยความโกรธแค้น สองมือที่กำชายชุดเดรสเอาไว้แน่นก็สั่นเทาไม่หยุดด้วยความโมโห
ดูจากจังหวะขยับปากแล้วก็คงจะกำลังด่าหรือสาปส่งอะไรสักอย่างมาทางเธอนั่นแหละ
ถึงยังไงไกลขนาดนี้ก็ไม่มีทางได้ยินเสียงอะไรอยู่แล้ว
มีแต่ตัวเองจะเจ็บใจเองเสียเปล่าๆ นะนั่น
เธอยิ้มหวานในขณะที่โบกมือให้เซรัลไม่หยุด จนกระทั่งรถม้าเคลื่อนตัวออกเดินทางไปจนมองไม่เห็นเซรัลอีกต่อไปแล้ว ถึงค่อยยอมลดมือลง
* * *
ระหว่างเดินทางออกจากลอมบาร์เดียมาจนถึงพระราชวัง พระอาทิตย์ก็คล้อยต่ำลาลับขอบฟ้าไปเสียแล้ว
แต่พอเหม่อมองดูรอบๆ วังจักรพรรดินีที่จุดไฟสว่างไสวไปทั่ว จู่ๆ ก็พลันสังเกตเห็นเส้นทางที่รู้สึกคุ้นตาอยู่เล็กน้อย
“อ๊ะ ที่นั่นมันตอนที่เจอเฟเรสครั้งแรกนี่นา”
สถานที่ที่รถม้าของท่านพ่อถูกพวกอัศวินที่รับคำสั่งจากจักรพรรดินีเข้ามาตรวจสอบอย่างกะทันหัน
รถม้าที่เธอนั่งโดยสารมากำลังวิ่งผ่านไปบนเส้นทางเดียวกันนี้พอดี
ตอนนั้นข้างนอกค่อนข้างมืดแล้วเลยมองเห็นไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่ก็ยังพอจะเห็นผมดำของเฟเรสที่อยู่ในป่าลึกตรงนั้น แล้วเธอก็ฉวยจังหวะนั้นแอบหลบออกมาจากรถม้าไปพบกับเฟเรส
เฟเรสในวัยเด็กที่ผอมแห้ง ทั้งยังตัวเล็กแคระแกร็นกำลังเด็ดหญ้ากินเพื่อประทังชีวิต
“เวลาผ่านไปเร็วจัง”
เด็กตัวน้อยที่ต้องอดข้าวอดน้ำจนตัวเล็กมากเมื่อเทียบกับเด็กรุ่นเดียวกันในตอนนั้น กลับเติบโตขึ้นมาสูงใหญ่ได้ขนาดนี้
เรื่องอื่นเธอไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่ แต่ตอนช่วยพาลาลาเน่หนีไป เธอตกใจมากจริงๆ
ร่างกายของเฟเรสแข็งแกร่งมากจนอุ้มเธอไว้ได้ด้วยแขนข้างเดียว แถมยังพาเธอกระโดดขึ้นไปบนระเบียงได้ตัวเปล่าเลยด้วย
รู้สึกภูมิใจขึ้นมาหน่อยๆ เหมือนกันนะเนี่ย
คนที่ลำบากดูแลตอนเด็กอาจจะเป็นแคทเธอรีนกับคาอิลรัสก็จริง
แต่ถึงแม้เธอจะไม่ได้เลี้ยงดูเขามาโดยตรง มันก็ไม่ต่างอะไรกับเป็นคนฟูมฟักเขามานั่นแหละ
โดยเฉพาะแขนแกร่งที่โอบกอดเธอเอาไว้แน่นจนไม่รู้สึกหวาดกลัวสิ่งใดนั่น…
ตึ้กตั้ก
พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนนั้นขึ้นมา จู่ๆ หัวใจก็เต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง
ในขณะเดียวกันก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
“อะแฮ่ม”
เธอกระแอมไอพลางละสายตาออกจากป่ามืดมิด
โล่งอกที่ในที่สุดรถม้าก็เคลื่อนตัวมาถึงด้านหน้าวังจักรพรรดินีเสียที
“ฮึบ”
สูดลมหายใจเข้าลึก เพื่อเรียกสติของตัวเองกลับคืนมา
ตอนนี้ต้องเก็บความคิดเรื่องเฟเรสไปก่อน
เพราะว่า
แกรก
รถม้าจอดลง ประตูเปิดออก
และจักรพรรดินีผู้แต่งกายงดงามด้วยเดรสตัวหรูก็รีบเดินเข้ามาใกล้ก่อนที่เธอจะทันได้ก้าวลงจากรถม้าด้วยซ้ำไป
“ลำบากเดินทางหน่อยนะคะ คุณหนูลอมบาร์เดีย”
จักรพรรดินีออกมารอต้อนรับด้วยตัวเองถึงหน้าวังจักรพรรดินีแบบนี้
เป็นการต้อนรับที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก
และมุมปากที่ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยนั่นของจักรพรรดินีก็กำลังบอกให้เธอจงปลาบปลื้มกับการต้อนรับของนางเสีย
“ขอบพระทัยที่เชิญหม่อมฉันมาร่วมรับประทานมื้อเย็นเพคะ องค์จักรพรรดินี”
แต่เธอเพียงแค่กล่าวทักทายตอบกลับไปเสียงเรียบเท่านั้น
‘ถึงกับส่งรถม้ามารับแบบนี้ หม่อมฉันดีใจจนวางตัวไม่ถูกเลยเพคะ เพราะพระองค์แท้ๆ ถึงได้เดินทางมาได้อย่างสะดวกสบาย…’
ไม่ได้พูดสรรเสริญเยินยอต่อท้ายไปเหมือนอย่างที่คนทั่วไปจะทำกัน
นัยน์ตาของจักรพรรดินีส่องประกายเย็นชาด้วยความไม่พอใจ
แต่แค่นั้นเธอไม่รู้สึกสะทกสะท้านหรอก
จ้องกันด้วยสายตาเย็นชาแบบนั้นแล้วไง
เธอยืนสบตาจักรพรรดินีด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอยู่อย่างนั้น
จักรพรรดินีแต่งองค์ทรงเครื่องมาอย่างงดงามจัดเต็มมากจนใครได้เห็นก็ต้องร้องเฮือกกันทั้งนั้น ท่าทางคงจะทุ่มเทมากเป็นพิเศษ
เดรสราคาแพงหูฉี่ อัญมณีที่ประดับประดาอยู่ทั่วร่างก็ราคาแพงมากกว่าที่เคยเห็น
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่จักรพรรดินีขยับกาย อัญมณีพวกนั้นก็จะกระทบกันเสียงดังกริ๊งๆ จนน่าหนวกหูไปหมด
แล้วก็รู้สึกได้ว่านัยน์ตาสีฟ้าของจักรพรรดินีกวาดสายตามองเธอตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
สายตาดึงดันตั้งใจจะจับผิดเสื้อผ้าที่เธอใส่ หรือไม่ก็เครื่องประดับที่เธอสวมอยู่สักชิ้น
เธอเองก็ได้ยินมาและรู้อยู่ก่อนแล้วว่า นั่นเป็นวิธีการที่จักรพรรดินีใช้บ่อยๆ ในการยกตัวเองขึ้นและกดข่มคนอื่นในแวดวงสังคมชั้นสูง
“…”
แต่จักรพรรดินีก็ได้แต่ยืนเงียบขัดกับความตั้งใจของตัวเอง
เพราะต่อให้พยายามหาจุดบกพร่องยังไงก็หาไม่ได้ยังไงล่ะ
วันนี้เธอสมบูรณ์แบบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
แน่นอนว่าไม่ได้ประโคมอัญมณีทั้งตัวจนเว่อร์เหมือนอย่างจักรพรรดินีหรอก
เธอสวมเดรสสีแดงตกแต่งด้วยทองคำ และยังใช้แต่ของชั้นเลิศมีราคาจนทำให้มันดูหรูหรามีระดับ
จักรพรรดินีเองก็มีรสนิยมสูง มองแค่ปราดเดียวก็ย่อมต้องดูออกในทันที
ความจริงที่ว่า แสงที่ส่องประกายแวววาวจากเดรสของเธอตัวนี้ มันไม่ใช่การเล่นสีให้เกิดประกายแต่อย่างใด แต่เป็นอัญมณีชิ้นเล็กๆ ที่ช่างฝีมือเย็บติดลงไปบนชุดอย่างประณีตทีละชิ้นต่างหาก
บางทีอาจจะมีราคาแพงกว่าเดรสที่จักรพรรดินีใส่อยู่ด้วยซ้ำ
เพราะมันเป็นเดรสที่มีดีไซน์สวยกว่าและงดงามกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนต่างหูเรียบง่ายที่เธอใส่มานี่ก็เป็นผลงานชิ้นพิเศษที่ปู่โครอิลลี่ใช้เพชรจากร้านค้าเพลเลสเจียระไนขึ้นมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ
ส่วนรัดเกล้าที่ใช้ประดับผมยาวสยายนี่ก็เป็นเครื่องประดับโดยลูกศิษย์ผู้มีฝีมือดีที่สุดของปู่โครอิลลี่เป็นผู้ถักทอมันขึ้นมาอย่างประณีตจากเพชรและทองคำขาวบริสุทธิ์
แพขนตายาวของจักรพรรดินียามมองสำรวจเธอนั้นสั่นระริก
เจ้าตัวเองก็คงจะรู้สึกเหมือนกันว่าไอ้ของที่ดูงดงามทั้งหลายแหล่ห้อยโตงเตงอยู่นั่น มันทำให้ตัวนางมีสภาพดูน่าขบขันแค่ไหน
คงคิดที่จะเอาอัญมณีหรูกับเครื่องประดับชั้นยอดที่ใช้เงินทองเสาะหาเก็บไว้มากดข่มเธอ
แต่จะมาเอาชนะลอมบาร์เดียด้วยเงินทองไม่ได้หรอกนะจะบอกให้
เล่นผิดคนแล้วละ เรื่องนี้