เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 5 บทที่ 196.1
เล่ม 5 บทที่ 196.1
ตอนที่ 196
ตอนที่มองตามอาสทาน่าซึ่งเริ่มเมามายอย่างฉุดไม่อยู่ด้วยนัยน์ตาพึงพอใจก็พลันสังเกตเห็นคนสี่คนเดินตามประกบหลังทุกครั้งที่อาสทาน่าย้ายที่
พวกนั้นเป็นกองกำลังอัศวินส่วนพระองค์
นอกจากพวกนั้นแล้ว ก็ยังมีอัศวินคนอื่นที่ยืนเฝ้าระวังอยู่รอบๆ งานเลี้ยงด้านนอกโดยถืออาวุธไว้ในมือข้างหนึ่งอยู่ด้วย
“นึกแล้วเชียว”
เธอแลบลิ้นเลียริมฝีปากและมองพวกเขาไม่ละสายตา
เพราะเหยื่อที่เธอต้องการจะล่าในวันนี้คือจักรพรรดินีกับกองกำลังอัศวินส่วนพระองค์พวกนั้น
วันนี้เธอถึงได้ตั้งใจส่งบรรดาอัศวินตระกูลลอมบาร์เดียไปทั่วงานเลี้ยงเพื่อที่จะล่อให้กองกำลังอัศวินส่วนพระองค์เข้ามาคอยประกบอยู่ข้างกายอาสทาน่า
พอทำแบบนั้นพวกเขาก็เริ่มวนเวียนกันมาอารักขาอาสทาน่า และเฝ้ารักษาความปลอดภัยรอบงานเลี้ยงราวกับตั้งใจจะบอกว่า ไม่คิดที่จะยอมแพ้หรอก
“คาดการณ์เอาไว้ถูกเป๊ะ”
กองกำลังอัศวินส่วนพระองค์กับกองกำลังอัศวินลอมบาร์เดีย แต่ไหนแต่ไรก็เป็นคู่แข่งกันอยู่แล้ว
เพราะในบรรดาตระกูลชั้นสูงทั่วไป ไม่มีตระกูลใดมีกองกำลังที่ยิ่งใหญ่เทียบเท่ากองกำลังอัศวินส่วนพระองค์เท่าลอมบาร์เดีย และยิ่งเวลาผ่านไป ความสามารถของกองกำลังอัศวินส่วนพระองค์ก็มีแต่จะยิ่งเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ
บางคนก็พูดด้วยซ้ำว่าสาเหตุเป็นเพราะ ‘วิชาดาบประจำอาณาจักร’ ที่กองกำลังอัศวินส่วนพระองค์ใช้ในการฝึกฝน เป็นวิชาดาบที่มีปัญหา ดังนั้นพวกอัศวินก็เลยมีขีดจำกัดในการพัฒนาความสามารถ
แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่กระซิบกระซาบนินทาเล่าลือกันไปว่า การที่ความสามารถของกองกำลังอัศวินส่วนพระองค์ถดถอยไปแบบนี้ ทั้งหมดมันเริ่มตั้งแต่สมัยที่ตระกูลบราวน์ถูกกวาดล้างต่างหากล่ะ
พวกเขามองว่า สาเหตุเกิดจากการล่มสลายของตระกูลบราวน์ที่เคยรับหน้าที่หัวหน้ากองกำลังอัศวินส่วนพระองค์มาทุกยุคทุกสมัย
แต่สาเหตุจะเกิดจากอะไรก็ช่าง
ความจริงที่ว่า กองกำลังอัศวินส่วนพระองค์กำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อนนั่นเป็นความจริงที่ทุกคนต่างก็เห็นด้วยทั้งสิ้น
“เพราะอย่างนั้นแต่ละคนถึงได้ดูร้อนใจกันนัก”
คนเป็นนักดาบอย่างไรก็ย่อมต้องอยากจะแข็งแกร่งให้มากยิ่งขึ้น
เธอยิ้มพลางมองพวกอัศวินจากกองกำลังส่วนพระองค์ที่เอาแต่อารักขาอยู่ข้างกายอาสทาน่าพวกนั้น
“เทีย”
“มาแล้วเหรอ”
ไม่ต้องหันหลังกลับไปมองก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่เดินเข้ามาทางด้านหลังคือเฟเรส
“ชุดเหมาะดีนะ”
เธอมองชุดสีแดงที่เฟเรสสวมอยู่พลางเอ่ยชม
“แน่นอนสิ ก็เจ้าเป็นคนช่วยเลือกให้นี่นา”
“นั่นก็จริง”
เธอช่วยปัดเศษฝุ่นเล็กๆ ที่เลอะติดเสื้อของเฟเรสออกให้เขายิ้มๆ
“ชุดสำหรับงานเลี้ยงวันนี้ก็สีแดง ชุดป้องกันที่ต้องสวมตั้งแต่วันพรุ่งนี้ก็สีแดง”
เฟเรสยิ้มตาหยีเมื่อได้ยินคำหยอกเย้าจากเธอ
“จะว่าไป ดูเหมือนเรื่องราวจะคลี่คลายได้ง่ายดายเลยนะ”
ราวกับโชคชะตาอยู่ข้างฝ่ายพวกเรา
“ฝ่าบาทถึงกับเสนอตัวว่าจะเข้าร่วมการแข่งล่าสัตว์ด้วยตัวเองเลยไม่ใช่เหรอ ส่วนอาสทาน่า…”
เธอกับเฟเรสหันไปมองอาสทาน่าที่ยืนอยู่ไกลๆ พร้อมกัน
เหล้าแคลโรก้าเป็นเหล้าที่มีฤทธิ์แรงเป็นอันดับต้นๆ
แก้วเหล้าว่างเปล่าหลายใบวางอยู่ตรงหน้าอาสทาน่าที่ตาเริ่มเยิ้มและปรือลงเล็กน้อย
“ว่าแล้วเชียว เจ้าน่ะ มีชะตาที่จะได้บรรลุในสิ่งที่ต้องการทุกเรื่อง เฟเรส”
ทั้งการแก้แค้น ทั้งการก้าวขึ้นสู่บัลลังก์
แต่เฟเรสที่เธอนึกว่าเขาจะตอบรับมุกของเธอกลับไม่พูดอะไรสักคำ
พอหันหน้าไปมอง ถึงได้เห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังมองเธอด้วยนัยน์ตาแปลกพิลึก
“ทำไมมองข้าแบบนั้น”
“เทีย บางครั้งเจ้าก็ดูแปลกๆ”
“แปลกเหรอ”
“จะว่ายังไงดีล่ะ เหมือนคนที่รู้อนาคตอยู่ก่อนแล้วก็ได้ละมั้ง”
ไอ้เซนส์ไวของเด็กนี่บางทีก็ไม่ควรมีนะ
“…เหรอ”
เธอแอบเบือนหน้าหลบสายตาเด็กหนุ่ม ลากเสียงยาวแสร้งเฉไฉไปเรื่อยเปื่อย
“เจ้าพูดผิดไปอย่าง”
เฟเรสพูด
“ไม่ใช่ข้าหรอก ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า เทีย เพราะเจ้า ข้าถึงได้มาอยู่ตรงนี้ในตอนนี้ได้”
นัยน์ตาสีแดงของเด็กหนุ่มมองสบตาเธอ
และค่อยๆ ขยับใบหน้าเข้ามาอย่างช้าๆ ก่อนจะประทับริมฝีปากจุมพิตลงบนแก้มของเธอ
มันเป็นการแสดงออกที่เปี่ยมไปด้วยความรัก
รู้สึกได้ถึงสายตาของผู้คนรอบด้านที่จับจ้องมาที่พวกเรา แต่เฟเรสก็ยังเอาแต่มองเธอเหมือนไม่รู้สึกถึงสายตาพวกนั้น
“ไม่หลบแฮะ”
“ก็คนอื่นๆ มองอยู่”
“เพราะเหตุผลแค่นั้นจริงหรือ”
เสียงของเฟเรสดูจะเจือแววขบขันอยู่เล็กน้อย
“…เชิญคิดตามใจเจ้าเถอะ”
พอเห็นว่าเธอตอบกลับไปด้วยความขวยเขินเล็กน้อย เฟเรสก็ยิ่งหัวเราะเสียงทุ้มอย่างอารมณ์ดี
ในตอนนั้นเอง สายตาเธอก็พลันมองไปเห็นราโมนาเข้า
“มาแล้วหรือคะ”
เธอเอ่ยทักพลางก้าวถอยหลังห่างจากเฟเรสไปครึ่งก้าว
เฟเรสเองก็หันหน้าไปมองราโมนาเหมือนกัน
“ชุดอัศวินเหมาะมากเลยนะ ราโมนา”
“ขอบพระทัยเพคะ เจ้าชาย”
ราโมนาตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเขินอาย แล้วหันมามองเธอ ก่อนจะเอ่ยพูดขึ้น
“ข้าเพิ่งเคยได้ใส่ชุดอัศวินดีๆ แบบนี้เป็นครั้งแรกเลย ขอบคุณมากนะคะ คุณหนูลอมบาร์เดีย”
“เรื่องเล็กน้อยค่ะ อีกอย่าง ข้าบอกแล้วไงคะว่าให้เรียกเป็นกันเองก็ได้ อายุก็ไม่ได้ห่างกันเท่าไหร่สักหน่อย”
“ไม่ได้หรอกค่ะ”
ราโมนาส่ายหน้ายืนกรานหนักแน่น
“ข้าจะไปทำตัวแบบนั้นกับคุณหนูลอมบาร์เดียได้ยังไงกันล่ะคะ”
ดูเหมือนไม่ว่ายังไงราโมนาก็คงจะรู้สึกติดค้างเธอมากอยู่ดี
ก็นะ ช่างเถอะ
การฝืนบังคับให้คนที่ไม่อยากให้ความสนิทสนมพูดจาเป็นกันเอง มันเป็นเรื่องเสียมารยาทพอควรด้วย
เธอถอนหายใจเสียงแผ่ว แล้วหันไปพูดกับเฟเรสแทน
“เจ้าไปได้แล้ว เฟเรส ถ้าเจ้าอยู่ข้างกายข้า…”
อาสทาน่าคงได้พยายามหลบหน้าเธอแน่
ไม่ต้องพูดจนจบประโยค เฟเรสก็เข้าใจคำพูดประโยคที่เหลือดี เขาพยักหน้าตกลง ก่อนจะจุมพิตลงบนหลังมือของเธอ
“ถ้ามีเรื่องด่วนก็เรียกข้านะ ข้าจะอยู่แถวๆ นี้แหละ”
“เข้าใจแล้ว ไปทำธุระของเจ้าเถอะ”
เธอโบกมือให้เฟเรสที่เริ่มเดินห่างออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็แอบเหลือบมองราโมนา
แต่ราโมนาก็แค่จัดชุดอัศวินที่นางสวมอยู่ด้วยใบหน้าตึงเครียดเท่านั้น ไม่ได้สนใจอะไรกับพฤติกรรมของเฟเรสเท่าไหร่
“เตรียมพร้อมหรือยังคะ คุณราโมนา”
“ค่ะ คุณหนูลอมบาร์เดีย”
ราโมนาตอบคำถามเธอสั้นๆ อย่างหนักแน่น
“หวังว่าจะลับดาบไว้แล้วนะคะ”
พอเธอพูดหยอกเย้าเล่นตลก ราโมนาเองก็หัวเราะเบาๆ ตามเธอไปด้วย
“อา ดูเหมือนเจ้าตระกูลบราวน์จะมาถึงแล้วนะคะ”
เธอพูดขึ้น ขณะเดียวกันก็มองการเคลื่อนไหวของผู้คนที่เริ่มทยอยกันไปยังฝั่งหนึ่งของงานเลี้ยงทีละคนสองคน เหมือนกับได้ยินข่าวอะไรบางอย่างมา
“พวกเราก็รีบไปกันเถอะค่ะ”
เธอเดินนำหน้าไปก่อน
“ฉากดีๆ แบบนี้จะพลาดได้ยังไงล่ะคะ”
ยังไงก็ต้องได้เห็นใบหน้าตื่นตระหนกของจักรพรรดินีให้ได้
จะรอดูอยู่แถวหน้าสุดเลยด้วย
เธอกับราโมนาพากันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังสถานที่ที่ผู้คนมากมายมารวมตัวกันอยู่
* * *