เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 5 บทที่ 196.2
เล่ม 5 บทที่ 196.2
“โอ๊ย แม่ง!”
อาสทาน่าตะโกนใส่เบเลซักด้วยความหงุดหงิด
ใบหน้าแดงก่ำด้วยความเมามายจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ไปเสียแล้ว
“ไสหัวไปให้หมด!”
อาสทาน่าตวาดเสียงดังลั่นใส่เบเลซัก รวมถึงพวกบุตรหลานตระกูลชั้นสูงที่ห้อมล้อมอยู่รอบตัวเขา
‘ไอ้พวกตัวน่ารำคาญ’
คนอื่นๆ อาจจะเรียกเจ้าพวกนี้ว่า ‘คนสนิทของเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง’ ก็จริง แต่สำหรับอาสทาน่าแล้ว คนพวกนี้ไม่ได้ต่างอะไรจากแมลงที่บินว่อนอยู่ข้างหูจนสร้างความรำคาญใจให้ไม่หยุดเลยสักนิด
มองหน้าไอ้พวกนี้ที่ขนาดเขาหงุดหงิดใส่ ก็ยังเอาแต่ลังเลไม่ยอมถอยห่างไปสักที สุดท้ายอาสทาน่าก็ยกเหล้าขึ้นดื่มลงคออีกอึก
หลังจากแอลกอฮอล์ดีกรีร้อนแรงแผ่ซ่านสู่สมอง ก็ค่อยช่วยให้ความหงุดหงิดงุ่นง่านที่เต็มตื้นอยู่ในหัวพอจะจางหายลงไปได้บ้าง
“ไอ้พวกปรสิต…”
อาสทาน่าพึมพำพลางใช้แขนเสื้อเช็ดเหล้าที่เลอะเปรอะริมฝีปากออกลวกๆ
ไอ้พวกที่วางแผนว่าถ้าเขาได้เป็นจักรพรรดิเมื่อไหร่ อย่างน้อยพวกมันก็ต้องได้ประโยชน์อะไรบ้างพวกนี้
ขนาดได้ยินเสียงสบถด่าของเขาแต่ก็ไม่มีใครมีท่าทีไม่พอใจเลยสักคน
ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเขาต่างก็คุ้นชินกับการปฏิบัติอันแสนย่ำแย่ของอาสทาน่าที่มีต่อพวกเขากันแล้วนั่นเอง
“แค่นี้ก็หงุดหงิดจะตายอยู่แล้ว ไม่ต้องมายุ่ง ถอยออกไป!”
อาสทาน่าผลักไหล่เบเลซักอย่างแรง
และนัยน์ตาเหม่อลอยเสียจุดโฟกัสก็เหม่อมองจับจ้องไปยังป่ามืดมิดที่ตั้งอยู่ค่อนข้างไกลจากบริเวณที่พวกเขาอยู่
พอตกกลางคืนหมอกก็เริ่มก่อตัวหนาขึ้นอีกระดับ สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านส่งเสียงดังหวีดหวิวออกมาจากป่าวิกลจริต
อึก
อาสทาน่าลอบกลืนน้ำลายด้วยความตึงเครียด
เขาไม่เคยนึกฝันเลยว่าเทศกาลแข่งล่าสัตว์จะจัดขึ้นในรูปแบบนี้
หากรู้ก่อนหน้านี้ละก็ เขาคงจะไม่วางท่าเสียใหญ่โตเกทับใส่ไอ้เฟเรสมันไปแบบนั้นหรอก
“เบเลซัก เจ้าก็น่าจะบอกข้าก่อนไม่ใช่หรือไงว่าเทศกาลแข่งล่าสัตว์ของลอมบาร์เดียเป็นแบบนี้น่ะ!”
อาสทาน่าระบายอารมณ์ใส่เบเลซักที่ยืนนิ่งไม่รู้จะทำตัวยังไงอยู่ข้างๆ
“กะ…กระหม่อมก็ไม่ทราบมาก่อนเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ไร้ประโยชน์”
แถมฝ่าบาทก็ดันเสด็จมาด้วย
ทั้งยังมีคนมาร่วมงานมากมายเสียจนไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า นี่เป็นแค่งานเทศกาลแข่งล่าสัตว์จริงๆ
ถ้าแพ้มันที่นี่ อย่าว่าแต่เสียหน้าเลย เขาคงไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดที่ไหนด้วยซ้ำ
อีกอย่าง ช่วงนี้เขาได้ยินมาว่า พวกชนชั้นสูงต่างก็พนันกันเสียสนุกปากว่าระหว่างเจ้าชายลำดับที่หนึ่งกับเจ้าชายลำดับที่สอง ใครจะเป็นผู้ชนะการแข่งขันครั้งนี้
“นี่มันไม่ยุติธรรมชัดๆ !”
อาสทาน่าสบถ
“ไอ้ชั้นต่ำนั่นมันเป็นถึงนักดาบระดับมาสเตอร์ที่ใช้ออร่าได้เชียวนะ! แล้วยังจะมาท้าแข่งกับข้าอีก!”
ในหัวสมองของอาสทาน่าได้ลบความจริงที่ว่า ตัวเขาเองเป็นฝ่ายท้าทางนั้นก่อนไปจนหมดสิ้นแล้ว
“ไปเอาเหล้ามาเพิ่มอีก!”
อาสทาน่าตะโกนใส่เบเลซัก
“พ่ะย่ะค่ะ เจ้าชาย”
แต่แล้วในจังหวะที่เบเลซักตอบรับ แล้วหมุนตัวเพื่อที่จะมองหาพวกข้ารับใช้
“อะไรกัน เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หนึ่งในบรรดาคนสนิทของอาสทาน่าก็พูดขึ้นด้วยความสงสัย
อาสทาน่าเองปรือตาที่พร่ามัวเสียจนเริ่มมองภาพตรงหน้าได้ไม่ค่อยชัดนักไปยังทิศทางที่ฝูงชนรวมตัวกันอยู่
“มีอะไรกันแน่ ทำไมวุ่นวายกันขนาดนั้น”
สิ่งที่ปรากฏเข้าสู่ห้วงสายตาก็คือ ชนชั้นสูงมากมายหลายคนยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกตะลึง ท่าทางจะตกใจกันเป็นอย่างมาก
* * *
“ใครกันหรือครับ คนที่อยากจะแนะนำให้ข้ารู้จัก”
จักรพรรดิโยบาเนสเอ่ยถามรูลลัก
ใบหน้าแฝงไปด้วยความใคร่รู้อย่างเต็มเปี่ยม
ตอนที่พวกเขากำลังสนทนากันอยู่ในห้องเบื้องหลังเฉกเช่นงานเลี้ยงอื่นๆ จู่ๆ รูลลักก็เสนอกับโยบาเนสขึ้นมา
ว่า ‘มีคนอยากแนะนำให้รู้จัก ให้ออกไปด้านนอกด้วยกันสักครู่’
ถึงแม้เขาจะบอกให้เรียกตัวคนที่ว่าเข้ามาในห้องก็ได้ แต่รูลลักก็แค่ตอบบ่ายเบี่ยงว่า ‘จำนวนคนค่อนข้างเยอะ’ เท่านั้น
ในระหว่างที่รูลลักนำทางเขาไปยังบริเวณใจกลางงานเลี้ยง ความสงสัยของจักรพรรดิจึงยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
และในที่สุดรูลลักก็หยุดเดิน เขาจึงพบว่าสถานที่ที่พวกเขาเดินมาถึงคือใจกลางบริเวณงานเลี้ยงที่จัดขึ้นด้านนอกอาคารนั่นเอง
ทั้งยังเป็นสถานที่ที่คุณหญิงคุณนายทั้งหลายต่างก็กำลังจับจองที่นั่งจิบไวน์กันไปพลางสนทนากันไปพลางอีกด้วย
“ฝ่าบาท?”
ขนาดจักรพรรดินีราวีนียังเดินเข้ามาหาด้วยความสงสัย
“ทำไมถึงเสด็จกลับออกมาอีกล่ะเพคะ”
“พอดีเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียบอกว่ามีคนอยากจะแนะนำให้รู้จัก…”
“อ๊ะ มาทางด้านนั้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
รูลลักเอ่ยพลางยิ้มกว้างราวกับรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
สายตาของจักรพรรดิโยบาเนสเองก็มองตามไปทางด้านนั้นโดยธรรมชาติ
“พวกนั้น…”
โยบาเนสหรี่ตาลง
คนที่กำลังเดินเข้ามาทางด้านนี้เป็นชายกลุ่มใหญ่
ใบหน้าของคนกลุ่มนั้นไม่ใช่ใบหน้าที่คุ้นเคยนัก แต่ความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ มันแล่นวาบไปทั่วแนวกระดูกสันหลังของโยบาเนส
ใบหน้าของชายวัยกลางคนที่เดินนำหัวขบวนนั้นดูคุ้นตาแปลกๆ ชอบกล
จะว่าท่าทางที่เดินตรงเข้ามาอย่างองอาจนั่นดูน่าประทับใจด้วยก็ส่วนหนึ่ง
และยิ่งพวกเขาเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นเท่าไหร่ สายตาก็พลันสังเกตเห็นจุดร่วมเพียงหนึ่งเดียวที่คนกลุ่มนั้นต่างก็เป็นเหมือนกันหมด
“ทั้งหมดไม่มีมือขวานี่เอง”
จักรพรรดิโยบาเนสพึมพำเสียงแผ่วโดยไม่รู้ตัว
ในวินาทีนั้นเขาก็ตระหนักขึ้นมาได้ถึงตัวตนที่แท้จริงของคนกลุ่มนั้นในทันที
“…พวกคนจากตระกูลบราวน์”