เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 5 บทที่ 204.2
เล่ม 5 บทที่ 204.2
อัศวินแต่ละคนต่างก็รีบเข้ามาอารักขาอยู่ด้านหน้าจักรพรรดิอย่างรวดเร็ว
และหลายคนในนั้นก็เริ่มวิ่งออกไปขวางอาสทาน่าเอาไว้
“หยุดมือด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
แต่อาสทาน่าลงมือรวดเร็วเกินกว่าจะขวางไว้ได้ทัน
นัยน์ตาเหม่อลอยราวกับตกอยู่ในมนตร์สะกด อาสทาน่าหลุดจากการสกัดของพวกอัศวินได้สำเร็จ และวิ่งตรงเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
เรี่ยวแรงมหาศาลราวกับอสุรกาย
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
อาสทาน่าคำรามก้อง เจ้านั่นพุ่งเข้ามาอยู่ไม่ไกลแล้ว
“ให้ตายเถอะ”
สุดท้ายหัวหน้ากองกำลังอัศวินที่อารักขาอยู่ข้างกายฝ่าบาทก็ต้องชักดาบขึ้นมาถือไว้จนได้
การชักดาบขึ้นมาเล็งไปทางเจ้าชายของอาณาจักร เป็นวิธีการสุดท้ายที่อัศวินกองกำลังส่วนพระองค์จะลงมือทำ
หัวหน้ากองกำลังอัศวินกัดฟันแน่น ก่อนที่จะยกดาบขึ้นปัดดาบของอาสทาน่า
เคร้ง!
ดาบปลิวกระเด็นหลุดไปไกล ตอนนี้อาสทาน่าเหลือเพียงแค่มือเปล่าแล้ว
“เจ้าชาย ตั้งสติหน่อยพ่ะย่ะค่ะ!”
เบเลซักทิ้งดาบลงเมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่าอัศวินจากกองกำลังส่วนพระองค์ เขาหอบแฮกตะโกนเสียงดัง ในขณะที่วิ่งไล่ตามหลังอาสทาน่าเข้ามา
และในวินาทีนั้นเอง
“ตายซะ!”
อาสทาน่าตะโกนเสียงดังลั่น ในขณะที่แทงของสิ่งหนึ่งลงมา
ฉับ!
เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นอย่างชัดเจนจนได้ยินมาถึงหูของเธอ
ทว่าสิ่งที่ตามหลังเสียงนั้นมากลับไม่ใช่เสียงกรีดร้องขององค์จักรพรรดิ
“อ๊ากกก!อ๊ากกกก!”
อาสทาน่าร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด ในขณะที่เกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นอย่างไร้สติ
“มือข้า! อ๊ากกกก เจ็บ! มือข้า!”
มือข้างขวาของอาสทาน่าไม่มีอีกแล้ว
บริเวณที่เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมานั่น ไม่เหลือสิ่งใดเลย
“อ๊ะ อ๊ะ…”
มือที่ถูกฟันขาดไปนั่น มันตกอยู่ข้างปลายเท้าของเบเลซัก
ทั้งๆ ที่ยังคงกำมีดสั้นแหลมคมเอาไว้
ในจังหวะที่ทุกคนต่างก็ตกตะลึงจนได้แต่ยืนแข็งทื่ออยู่กับที่
“หัวหน้ากอง อารักขาฝ่าบาท”
เฟเรสออกคำสั่งเสียงทุ้ม
ในขณะที่หลุบตามองอาสทาน่าที่เกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นอย่างเย็นชา
“…พ่ะย่ะค่ะ”
หัวหน้าอัศวินตอบกลับไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะก้มลงหยิบมีดสั้นที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา
พร้อมกับมือข้างขวาของอาสทาน่า
และเอ่ยพูดในขณะที่ส่งมันให้อัศวินคนสนิท
“เก็บรักษามันไว้ให้ดี นี่เป็นหลักฐานในการลอบสังหารองค์จักรพรรดิ”
วินาทีนี้อาสทาน่าได้กลายเป็นคนร้ายไปเสียแล้ว
ในตอนนั้นเอง เฟเรสก็เดินเข้ามาหาเธอ
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นมาหาใบหน้าของเธอ
“เลอะเลือด”
“อา…”
เพราะเธอยืนอยู่ข้างกายจักรพรรดิ เลือดของอาสทาน่าเลยกระเด็นมาเลอะเธอด้วย
มือของเฟเรสแตะลงบนแก้มของเธอ
เขาช่วยเช็ดเลือดที่เลอะใบหน้าให้อย่างระมัดระวัง
“ขอโทษนะ”
เด็กหนุ่มที่ฟันมือของอาสทาน่าขาดอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรคนนั้นกำลังขมวดคิ้วแน่นจนหน้าผากยับย่น
“ขอโทษนะ เทีย”
เฟเรสกล่าวเสียงทุ้ม
“อ๊ากกกก!”
ได้ยินเสียงกรีดร้องของอาสทาน่าที่ยังร้องคร่ำครวญไม่หยุด กับเสียงหัวหน้ากองกำลังอัศวินพูดว่า ‘ต้องไว้ชีวิตไปก่อน ยังต้องเค้นถามคนสั่งการเบื้องหลังอีก’
“เหอะ”
นั่นเป็นเสียงของจักรพรรดิโยบาเนสที่เธอเผลอลืมพระองค์ไปเสียสนิท
“ฮะ ฮะ…”
จักรพรรดิหัวเราะเสียงแผ่ว ในขณะที่ยกมือขึ้นลูบชุดป้องกันสีแดงบนหน้าอกของตัวเอง
นั่นเป็นบริเวณที่ดาบของอาสทาน่าทิ้งรอยเอาไว้
“สุดท้ายก็เป็นแบบนี้…”
จักรพรรดิโยบาเนสพึมพำอะไรบางอย่างที่ไม่อาจรู้ความหมายได้ ในขณะที่สายตายังคงจดจ้องอยู่ที่อาสทาน่า
เฟเรสเองก็ก้มหน้ามองอาสทาน่า ก่อนจะเปิดปากพูดเรื่องบางอย่างที่ทุกคนไม่ทันคาดคิด
“บางทีอาจจะเป็นเพราะพลังเวทก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“พลังเวท?”
“เลือดของมอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่ในป่าวิกลจริตมีพลังเวทเข้มข้นไหลเวียนอยู่พะย่ะค่ะ ว่ากันว่ามันจะดึงเอากิเลสที่เก็บซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของมนุษย์เราออกมา หากถูกมันกลืนกินละก็ จะไม่ต่างอันใดจากโดนพลังเวทนั่นช่วงชิงสติสัมปชัญญะไปพ่ะย่ะค่ะ”
“กิเลส กิเลสอย่างนั้นหรือ”
นัยน์ตาของจักรพรรดิโยบาเนสที่พึมพำเสียงแผ่วเช่นนั้นเริ่มเย็นชาลงเรื่อยๆ
“เจ้าชายลำดับที่สอง”
โยบาเนสเอ่ยเรียกเฟเรส
และมีรับสั่ง
“ควบคุมตัวเจ้าชายลำดับที่หนึ่งกลับพระราชวัง”
* * *
ขบวนเดินทางขององค์จักรพรรดิกำลังเดินทางกลับจากงานเทศกาลแข่งล่าสัตว์
จักรพรรดินีราวีนีออกมารอต้อนรับองค์จักรพรรดิอยู่หน้าวัง
จักรพรรดิโยบาเนสก้าวลงจากรถม้าคันที่หรูหราที่สุดในขบวน
และเฟเรสก็ก้าวลงมาจากรถม้าที่ขับมาตามหลังรถม้าคันนั้น
ทว่ามันมีอะไรบางอย่างแปลกๆ ชอบกล
รถม้าของอาสทาน่าว่างเปล่า ไม่มีใครก้าวลงมาเลยสักคน
“ฝ่าบาท เจ้าชายลำดับที่หนึ่งอยู่ที่ใด…”
แต่แล้วในตอนที่จักรพรรดินีราวีนีตั้งใจจะเอ่ยถามออกไปเช่นนั้น
“เสด็จแม่! เสด็จแม่!”
ใครบางคนก็ระเบิดร้องไห้เสียงดังมาจากท้ายขบวน
ใบหน้าของจักรพรรดินีราวีนีที่หันไปมองทางด้านนั้นอย่างไม่คิดอะไรกลับเต็มไปด้วยความตกตะลึง
“อะ เจ้าชาย! เจ้าชาย เพราะเหตุใดกัน…!”
ทั่วร่างของอาสทาน่าเลอะเทอะไปด้วยคราบเลือดแห้งกรังและดินโคลน ทันทีที่เขาเห็นจักรพรรดินีราวีนี ก็ส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญไม่หยุด
“เสด็จแม่! ฮืออออ เสด็จแม่!”
“เฮือก!”
ราวีนีได้แต่กรีดร้องเสียงหลงเมื่อสังเกตเห็นมือข้างขวาของอาสทาน่าที่ถูกพันแน่นด้วยผ้าพันแผล
“นี่มันเรื่องอะไรกันเพคะ ฝ่าบาท! ทำไมถึง…!”
แต่จักรพรรดิโยบาเนสกลับไม่ตอบอะไรสักคำ
พระองค์เพียงแค่ปัดมือของจักรพรรดินีทิ้ง แล้วออกคำสั่งเท่านั้น
“ลากตัวเจ้าชายลำดับที่หนึ่งไป”
“ไม่ได้เพคะ!”
จักรพรรดินีราวีนีร้องตะโกน นางพุ่งออกไปขวางหน้าอาสทาน่าเอาไว้
“เจ้าชายทำความผิดอันใดกันแน่ ถึงได้ต้องทำกันถึงขนาดนี้เพคะ! แถมเจ้าชายยังได้รับบาดเจ็บอีก…”
“ความผิดฐานคิดก่อกบฏและลอบสังหารจักรพรรดิยังไงล่ะ”
นัยน์ตาทั้งสองข้างของจักรพรรดินีเบิกกว้าง
หลังจากตอบออกไปอย่างเย็นชา จักรพรรดิก็ก้าวขึ้นไปบนบันได
โดยทิ้งจักรพรรดินีที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่เอาไว้คนเดียว
“ปล่อยข้า! เสด็จแม่! เสด็จแม่!”
อาสทาน่ากรีดร้องเรียกจักรพรรดินีเสียงดังลั่นในขณะที่ถูกเหล่าอัศวินลากตัวไป
ทว่าคราวนี้แม้แต่จักรพรรดินีราวีนีเองก็ไม่อาจขวางไว้ได้
“เป็นไป…ไม่ได้…”
เฟเรสเดินผ่านหน้าจักรพรรดินีที่ได้แต่พึมพำไม่อยากจะเชื่อในเรื่องที่เกิดขึ้นนี่
ชั่วขณะ นัยน์ตาสีฟ้าของราวีนีก็พลันสบเข้ากับนัยน์ตาสีแดงของเฟเรส
“จะ…เจ้า…”
เฟเรสเดินผ่านจักรพรรดินีที่เริ่มจะประเมินสถานการณ์ออกบ้างแล้ว เขาออกคำสั่งกับหัวหน้ากองกำลังอัศวินเสียงเรียบ
“เอาตัวคนร้ายไปขังไว้ในคุกเสีย ข้าจะไต่สวนด้วยตัวเอง”
มุมปากของเฟเรสกระตุกยิ้มชั่วร้ายโดยไม่มีใครเห็น ในขณะที่ก้าวเดินขึ้นบนบันไดตามหลังจักรพรรดิโยบาเนสไป