เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 5 บทที่ 205.1
เล่ม 5 บทที่ 205.1
ตอนที่ 205
ทั่วอาณาจักรตกอยู่ในความโกลาหล
เจ้าชายลำดับที่หนึ่งคิดสังหารองค์จักรพรรดิ แล้วถูกกองกำลังอัศวินส่วนพระองค์จับกุมตัวได้ แน่นอนว่าย่อมจะเกิดเรื่องวุ่นวายตามมาอยู่แล้ว
สังคมชั้นสูงเองก็วุ่นวายไม่แพ้กัน
เหล่าขุนนางที่เคยเลือกข้างอาสทาน่า ต่างพากันตกใจจนหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำตัวให้ดูดีในสายตาเฟเรสถึงจะสายไปหน่อยก็ตาม
เจ้าชายลำดับที่หนึ่งอาจจะเป็นโอรสที่ถือกำเนิดจากองค์จักรพรรดินีก็จริง แต่เมื่อมีความผิดโทษฐานพยายามลอบสังหารองค์จักรพรรดิและก่อกบฏนั่น ฐานะที่ว่าอย่างไรก็กลายเป็นเรื่องไร้ค่า
“หน้าวังโฟอิรัคของเจ้าชายลำดับที่สองมีพวกขุนนางมากมายมาต่อแถวขอเข้าพบทุกวันเลยครับ”
เบ๊ตรายงานให้เธอฟัง
“ถึงจะสายไปหน่อย แต่ก็คงคิดที่จะเลือกข้างเฟเรสแทนนั่นแหละค่ะ แต่จะได้รับการยอมรับหรือเปล่าก็เป็นอีกเรื่อง”
เฟเรสไม่ได้ผลักไสคนพวกนั้น
ไม่มีองค์รัชทายาทคนไหนคิดตัดสายสัมพันธ์กับคนที่คิดจะติดตามตนเองหรอก
แต่ถ้าคิดจะต่อต้านละก็ ยังไงก็คงต้องตัดศีรษะคนพวกนั้นนั่นแหละ
“ตอนนี้ยังเหลือคนที่เลือกข้างฝ่ายจักรพรรดินีอยู่เท่าไหร่เหรอคะ”
“มากกว่าที่คิดครับ”
เบ๊ตตอบพลางยักไหล่ไม่ยี่หระอะไรกับคำถามของเธอ
“ก่อนอื่นอำนาจของอังเกนัสรวมถึงตระกูลใต้บังคับบัญชาของพวกเขาค่อนข้างมากครับ อีกอย่างก็มีหลายคนด้วยที่สานสัมพันธ์กับอังเกนัสผ่านการแต่งงานจากการจัดการของจักรพรรดินีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา”
“พวกที่ตอนนี้จะถอนตัวหันหลังกลับก็สายเกินไปแล้วพวกนั้น ยังคงยืนกรานหนักแน่นไม่เปลี่ยนสินะคะเนี่ย”
“มีข่าวลือกระจายไปทั่วว่า ตอนพยายามลอบสังหารองค์จักรพรรดิ เจ้าชายลำดับที่หนึ่งไม่ได้อยู่ในสภาวะครองสติได้สมบูรณ์ครับ เพราะอย่างนั้นก็เลยยังมีพวกที่คาดหวังว่าจะมีการลดหย่อนโทษอยู่ไม่น้อยทีเดียว แต่อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้มิใช่หรือครับ”
“งั้นจะบอกว่าเป็นบ้าเหรอคะ”
เธอยังจำใบหน้าของอาสทาน่าที่ถือมีดวิ่งตรงเข้ามาในวันนั้นได้อย่างชัดแจ้งเต็มสองตาอยู่เลย
ดูท่าก็ไม่น่าจะเป็นบ้าเต็มร้อยไปเสียทีเดียว
ว่าแล้วเชียว
เบ๊ตส่ายหน้าปฏิเสธ
“โดนหมอกเวทกลืนกินน่ะครับ ขนาดที่จดจำไม่ได้ทั้งบิดาและมารดาเลยทีเดียว”
“แต่แทบจะไม่เคยมีกรณีที่ถูกพลังเวทกลืนกินจนจำไม่ได้ขนาดนั้นเลยใช่มั้ยล่ะคะ”
คราวนี้เบ๊ตพยักหน้าลง
ถึงแม้จะถูกเรียกว่าป่าวิกลจริตก็เถอะ แต่แค่จับมอนสเตอร์น่ะ ก็ไม่ใช่ว่าพลังเวทจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายๆ ขนาดนั้น
แถมยังเป็นแค่บริเวณชายป่าวิกลจริตด้วย
“ข้าคิดว่าน่าจะดื่มยาที่ช่วยดูดซึมพลังเวทลงไปมากกว่าครับ”
ดูจากที่เบ๊ตบอกใบ้ให้ถึงแค่นั้น แสดงว่าเขาต้องไปได้ข้อมูลอะไรบางอย่างมา ถึงจะเปิดเผยที่มาแน่ชัดให้เธอรู้ไม่ได้ก็เถอะ
“ยางั้นเหรอ…”
เฟเรสสินะ
ตั้งแต่แรกแล้ว คนที่เสนอให้จัดงานเทศกาลแข่งล่าสัตว์ขึ้นในป่าวิกลจริตก็เป็นเด็กคนนั้น
ทั้งยังขอให้เธอช่วยจัดเตรียมชุดป้องกันสีทองให้จักรพรรดิด้วย
“ตรวจสอบมอนสเตอร์ที่ข้าบอกเมื่อคราวก่อนแล้วหรือยังคะ”
“ครับ มันเป็นมอนสเตอร์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เป็นพวกมีเขี้ยวเล็บแหลมคม และมีสัญชาตญาณในการบุกโจมตีใส่พวกของแวววาวหรือเป็นประกายเหมือนพวกนกกาครับ”
ว่าแล้วเชียว เป็นอย่างที่เธอคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด
เฟเรสจงใจนำทางจักรพรรดิไปบนเส้นทางนั้น แล้วก็จัดการวางแผนให้จักรพรรติต้องเปลี่ยนชุดป้องกันกับของตัวเอง
“เริ่มแล้วสินะ”
การแก้แค้นของเฟเรส
ในชีวิตก่อน การแก้แค้นของเด็กหนุ่มกินเวลายืดยาวและซับซ้อนมาก
เริ่มจากการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งองค์รัชทายาท หลังจากนั้นก็จัดการคืนความเจ็บปวดที่เคยได้รับกลับให้พวกนั้น
เธอไม่คิดที่จะขัดขวางเฟเรสหรอก
ไม่สิ วางแผนที่จะช่วยเหลือเขาด้วยซ้ำไป
เธอหันไปมองเครย์ลีบัน ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“คุณเครย์ลีบัน ท่าทางคงใกล้จะถึงเวลาต้องใช้ ‘สิ่งนั้น’ แล้วละค่ะ ช่วยเตรียมการให้พร้อมด้วยนะคะ”
“ครับ ข้าจะจัดการย้ายมันไปที่คฤหาสน์ลอมบาร์เดียครับ”
เครย์ลีบันตอบพลางแย้มรอยยิ้มผ่อนคลาย
* * *
จักรพรรดิโยบาเนสนอนไม่หลับ จึงมานั่งเทเหล้าลงแก้วคริสตัลดื่มด้วยสีหน้าซีดเซียวแทน
ดื่มเหล้าเมามายจนผล็อยหลับไปเองด้วยฤทธิ์เหล้า
และพอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็ถือขวดเหล้าเอาไว้ในมืออีกครั้ง
นี่เป็นชีวิตประจำวันขององค์จักรพรรดิที่วนเวียนเป็นเช่นนี้อยู่ซ้ำๆ ทุกวันหลังจากกลับมาจากเทศกาลแข่งล่าสัตว์
สุดท้ายราชเลขาก็ไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป จึงตัดสินใจติดต่อรูลลักเพื่อแจ้งสถานการณ์ให้ทางนั้นทราบเรื่อง
“ดื่มสักแก้วสิครับ”
โยบาเนสเอ่ยพลางวางแก้วเหล้าลงตรงหน้ารูลลัก
“ดื่มเหล้าดีกรีสูงเช่นนี้ทุกวันเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
รูลลักขมวดคิ้วแน่นเอ่ยถาม
“ถ้าไม่ดื่มเจ้านี่ ข้าก็นอนไม่หลับเลยครับ”
โยบาเนสตอบอย่างไร้เรี่ยวแรง
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังกรอกเหล้าสีทองใส่ปากอย่างรวดเร็ว
“กระหม่อมเองก็หวังว่าจะสามารถแจ้งข่าวดีให้ฝ่าบาททรงทราบได้ แต่ว่า…”
รูลลักปล่อยแก้วเหล้าทิ้งไว้อย่างนั้น ไม่คิดที่จะหยิบมันขึ้นมาแตะปาก ก่อนจะพูดเรื่องสำคัญตรงประเด็นทันที
“คงจะต้องสนใจกระแสสังคมนอกวังเสียหน่อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดตรงไปตรงมาของรูลลัก ทำให้จักรพรรดิโยบาเนสขมวดคิ้วแน่น มือยกขึ้นนวดขมับ
ท่าทางไม่อยากฟังเลยสักนิด
แต่รูลลักก็ยังพูดต่อไปอย่างไม่แยแส
“มีข่าวลือแพร่ออกไปว่า เจ้าชายลำดับที่หนึ่งพยายามลอบสังหารฝ่าบาท กระแสสังคมตอนนี้จึงอลหม่านเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่าง…”
รูลลักจงใจลากเสียงยืดยาวเพื่อให้โยบาเนสรู้สึกอยากรู้ขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยพูดต่อ
“เรื่องตระกูลบราวน์เองก็กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ตระกูลบราวน์?”
โยบาเนสที่กำลังกระดกเหล้าแก้วที่สองลงคอถึงกับสร่างเมาทันที
“ข่าวลืออะไรกันแน่ครับ”
“ข่าวลือล้าสมัยอย่างเรื่องตระกูลที่เป็นผู้สังหารเจ้าตระกูลบราวน์ และบุกเข้าโจมตีตระกูลเมื่อ 40 ปีก่อน แท้จริงแล้วคือตระกูลอังเกนัสพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วข่าวลือเรื่องเก่าพวกนั้นทำไมถึง…!”
รูลลักมองหน้าโยบาเนสแทนความหมายว่า ‘อยากทราบจริงหรือ’ ก่อนจะเปิดปากพูดหลังทิ้งช่วงเงียบไปครู่หนึ่ง
“การที่เจ้าชายผู้สืบสายเลือดตามกฎหมายอย่างเจ้าชายลำดับที่หนึ่งคลั่งจนพยายามลอบสังหารองค์จักรพรรดิ แท้จริงแล้วมิใช่ว่าได้รับโทษจากการทรยศหักหลังตระกูลบราวน์ผู้จงรักภักดีต่อราชวงศ์มาหลายยุคหลายสมัยหรอกหรือ…ข่าวลืออะไรเทือกนั้นพ่ะย่ะค่ะ”