เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 6 บทที่ 217.1
เล่ม 6 บทที่ 217.1
ตอนที่ 217
ในวันเดียวกัน ช่วงเวลาเช้ากว่าเล็กน้อย จักรพรรดินีราวีนีกำลังยืนอยู่หน้าห้องบรรทมขององค์จักรพรรดิ
ประตูห้องบรรทมปิดแน่น แต่ใบหน้าของราวีนีกลับแจ่มใสยิ่ง
ผ่านไปไม่นาน หัวหน้านางกำนัลก็เดินออกมาโค้งศีรษะให้นางอย่างสุภาพ
“เชิญเสด็จเข้าไปได้เลยเพคะ องค์จักรพรรดินี ฝ่าบาททรงอนุญาตแล้ว”
ริมฝีปากสีแดงสดของราวีนีวาดโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม จนถึงเมื่อไม่กี่วันมานี้นางยังถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าพบอยู่เลย แต่วันนี้กลับอนุญาตให้นางเข้าพบได้แล้ว
“งั้นหรือ ขอบใจนะ หัวหน้านางกำนัลโอทัวร์”
หัวหน้านางกำนัลรับคำขอบคุณจากจักรพรรดินี นางก้มหน้านิ่งไม่ยอมสบตา และท่าทีที่ได้เห็นก็ยิ่งทำให้อารมณ์ของจักรพรรดินีดียิ่งกว่าเดิม
“ฝ่าบาท”
จักรพรรดินีเดินเข้าไปข้างในห้องบรรทม นางเอ่ยเรียกโยบาเนสเสียงอ่อนหวาน
“มาแล้วหรือ”
คล้ายกับเพิ่งตื่นบรรทมได้ไม่นาน โยบาเนสยังคงสวมชุดนอนอยู่ พระองค์กำลังรับการปรนนิบัติจากเหล่านางกำนัล ในขณะที่เอ่ยตอบกลับไปเสียงเฉยชา
ใบหน้าหยาบกร้านดูไม่ได้ ใต้ตาหมองคล้ำจากการอดหลับอดนอน และเอาแต่ดื่มเหล้า
“ได้ยินว่าฝ่าบาทประชวร หม่อมฉันกำลังเป็นห่วงอยู่ทีเดียว โล่งอกไปทีนะเพคะที่ดูเหมือนจะทรงพระพลานามัยแข็งแรงดี”
โยบาเนสก็แค่อ้างออกไปมั่วๆ ว่า ‘ไม่ค่อยสบาย’ เพราะไม่อยากพบหน้าจักรพรรดินีเท่านั้น และราวีนีเองก็ไม่มีทางไม่รู้เรื่องพวกนั้น
แต่จักรพรรดินีกลับเดินเข้าไปหาโยบาเนส ทั้งยังพูดอย่างสนิทสนมราวกับเป็นห่วงโยบาเนสจากใจจริง
“มีธุระอะไร จักรพรรดินี”
โยบาเนสเบื่อท่าทีเสแสร้งของราวีนีเต็มทน เขาเอ่ยถามกลับไปด้วยเสียงติดจะหงุดหงิดอยู่บ้าง
“ถ้ามาขอร้องเรื่องอาสทาน่าแล้วละก็…”
“หม่อมฉันมาด้วยเรื่องของเจ้าชายลำดับที่สองเพคะ ฝ่าบาท”
โยบาเนสเหลือบมองราวีนี ก่อนจะเอนกายไปทางอ่างสำหรับล้างหน้าที่นางกำนัลยกเข้ามาให้พอดีโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
ท่าทีที่ได้เห็นทำให้ราวีนีแน่ใจว่า จักรพรรดิทราบเรื่องระหว่างเฟเรสกับนังเด็กฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย นั่นอยู่ก่อนแล้ว
แต่อย่างไรนางก็ต้องแสร้งทำเป็นเหมือนไม่รู้ว่าพระองค์ทรงทราบ
“ยังไม่ทราบข่าวหรือเพคะ เช้าวันนี้เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียแต่งตั้งเด็กฟีเรนเทียที่เป็นคู่หมั้นกับเจ้าชายลำดับที่สอง ให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลอย่างเป็นทางการเพคะ ฝ่าบาท”
“…มีเรื่องแบบนั้นด้วยนี่เอง”
โยบาเนสเอ่ยเสียงเรียบ แล้ววักน้ำใส่หน้าตนเอง
ราวีนีคาดการณ์ได้ถูกต้องแล้ว
ทันทีที่จักรพรรดิตื่นจากบรรทม ก็ได้ทราบข่าวเรื่องการตัดสินใจของรูลลักเป็นอันดับแรก
ตอนแรกพระองค์ก็ตกใจอยู่บ้าง ทั้งยังโมโหด้วยรู้สึกเหมือนถูกคนพวกนั้นรวมหัวกันหลอกเขา แต่พอมาลองครุ่นคิดดูอย่างถี่ถ้วน โยบาเนสก็คิดได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายต่อพระองค์อะไรขนาดนั้นเสียหน่อย
อย่างไรความสัมพันธ์ระหว่างลอมบาร์เดียกับราชวงศ์ก็เป็นความสัมพันธ์เกื้อกูลซึ่งกันและกัน ไม่มีวันแยกจากกันได้อยู่ดี
พูดอีกแง่ก็คือ ลอมบาร์เดียเป็นตัวคานอำนาจไม่ให้จักรพรรดิดื่มด่ำกับอำนาจมากเกินควร
โยบาเนสเองก็เกลียดเรื่องนั้นจนแทบทนไม่ไหว
แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยมีจักรพรรดิองค์ใดสามารถหลุดพ้นจากโซ่ตรวนที่ล่ามขาพวกเขาเอาไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นอดีตจักรพรรดิที่เขาเคยหวาดกลัวนักหนา หรือตัวโยบาเนสเองก็ตาม
แม้จะพยายามดึงตัวเองให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของลอมบาร์เดีย สุดท้ายก็มีแต่จะโดนแก้แค้นกลับมาหนักกว่าเก่า
“เป็นอะไรหรือเปล่าเพคะ ฝ่าบาท”
ราวีนีเอ่ยถามด้วยเสียงเป็นห่วงเป็นใย เพื่อที่จะลอบสังเกตปฏิกิริยาของโยบาเนส
“…”
จักรพรรดิแสร้งใช้ผ้าขนหนูเช็ดน้ำออกจากใบหน้า เพื่อเก็บซ่อนสีหน้าและแววตาของตนเอง
เพราะใบหน้าข้างหลังผ้าขนหนูผืนนั้นกำลังยิ้ม
‘รูลลัก เจ้าเฒ่านั่นได้มอบของขวัญชั้นยอดให้ข้าในรอบหลายปีทีเดียว’
เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียคนใหม่เป็นหญิงที่ยังเยาว์วัยและไร้ซึ่งประสบการณ์ในโลกการเมืองอย่างนั้นหรือ
รับมือง่ายกว่ารูลลัก ลอมบาร์เดีย เยอะ
“ไม่เป็นไร”
โยบาเนสตอบกลับไปแบบนั้น แต่จักรพรรดินีราวีนีกลับส่ายหน้า
“สีหน้าดูไม่ดีเลยนะเพคะ ฝ่าบาท”
จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงกันเล่า ตอนนี้โยบาเนสดีใจมากจนต้องกลั้นไม่ให้เผลอหลุดหัวเราะ และตบมือเสียงดังอยู่เนี่ย
นี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้บั่นทอนอำนาจของพวกลอมบาร์เดียเสียที แต่เพื่อการนั้นเขายังจำเป็นต้องเก็บอังเกนัสเอาไว้ใช้รองมือรองเท้าเช่นกัน
หากอังเกนัสหายไปในตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าจะสร้างตัวแทนที่มีอำนาจมากพอจะขึ้นมาคานอำนาจพวกขุนนางกับลอมบาร์เดียได้
“คงโกรธเรื่องเจ้าชายลำดับที่สองมากเลยใช่มั้ยเพคะ”
โยบาเนสลอบมองจักรพรรดินีที่ยังคงพูดพล่ามไปเรื่อยผ่านทางกระจก
เพราะภาพของอาสทาน่าที่กำมีดพุ่งกระโจนเข้าใส่พระองค์ยังคงตามหลอกหลอนไม่หยุด ทำให้พระองค์ฝันร้ายอยู่แทบทุกคืน
แต่ถ้าหากสามารถช่วยกดจมูกที่เชิดรั้นของลอมบาร์เดียลงมาได้แล้วละก็ ต่อให้เป็นอาสทาน่าที่เหิมเกริมก่อเรื่องพวกนั้น เขาก็พอจะช่วยหลับตาลงข้างหนึ่งได้เหมือนกัน
ไหนๆ ก็มีข่าวลือแพร่ไปทั่วว่า ตอนนั้นอาสทาน่าครองสติไว้ไม่อยู่ แถมยังถูกคนจงใจใส่ร้ายป้ายสีอีกด้วยอยู่แล้ว
‘แต่จะปล่อยตัวไปเฉยๆ ก็ไม่ได้’
อย่างน้อยนั่นก็โทษกบฏเชียวนะ ต้องมีใครสักคนเป็นแพะรับบาปนั่นแทน
“เฮ้อ ช่วงนี้หม่อมฉันเองก็ไม่ค่อยสบายใจเลยเพคะ ฝ่าบาท”
ในตอนนั้นเอง ราวีนีก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยพูดต่อ
“เจ้าชายลำดับที่หนึ่งได้รับบาดเจ็บหนักมิใช่หรือเพคะ แต่เจ้าชายลำดับที่สองกลับสั่งห้ามไม่ให้มารดาอย่างหม่อมฉันได้พบหน้าเขาบ้างเลย…”
ราวกับอ่านใจของโยบาเนสออก จักรพรรดินีสะอึกสะอื้นเล่าเรื่องอาสทาน่า
“เจ้าชายลำดับที่หนึ่งผู้น่าสงสารของหม่อมฉันต้องถูกใส่ความแน่เพคะ ฝ่าบาท”
“นั่นเป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น”
“แต่ถ้าหากนั่นเป็นเรื่องจริงล่ะเพคะ ฝ่าบาท”
จักรพรรดินีราวีนีใช้ผ้าเช็ดหน้าซับหยาดน้ำตา
“เจ้าชายลำดับที่หนึ่งถูกคุมขังไว้หลายวันแล้วนะเพคะ แถมยังสูญเสียมือข้างขวาไปอีกด้วย”
เสียงของราวีนีสั่นเทาราวกับเป็นห่วงอาสทาน่าจากใจจริง
“แน่นอนว่าเขาเองก็ทำความผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้ต่อฝ่าบาท แต่แค่นี้ก็ถือว่าได้รับโทษที่เหมาะสมแล้วมิใช่หรือเพคะ”
“จักรพรรดินี”
ในที่สุดโยบาเนสก็หันไปเรียกราวีนี
“นั่นเป็นเรื่องที่จะพูดคุยกันได้ หากมีคนร้ายตัวจริงอีกคนมิใช่หรือไง”
ทว่านั่นไม่ใช่คำตำหนิจักรพรรดินี แต่เป็นคำบอกใบ้ที่ทำให้คนต้องเอียงหูตั้งใจรับฟังต่างหากล่ะ
“ในฐานะบิดาแล้ว ข้าเองก็เสียใจเช่นกันที่อาสทาน่าต้องลำบากเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ต้องหาตัวคนร้ายให้เจอ”
“คนร้าย…”
จักรพรรดินีมองจ้องลึกเข้าไปในนัยน์ตาของโยบาเนส นางเอ่ยถามย้ำให้แน่ใจ
“หากมีการเปิดเผยว่าใครคือคนร้ายตัวจริง อาสทาน่าก็จะถูกปล่อยตัวออกจากคุกหรือเพคะ”
“ไม่มีเหตุผลใดให้ต้องคุมขังอีกต่อไป”
“เป็นเช่นนั้นเพคะ”
จักรพรรดินีพยักหน้า นางก้าวถอยหลังห่างไปหลายก้าว
“ด้านนอกคงกำลังรอฝ่าบาทเตรียมตัวอยู่ อย่างไรก็ร่วมเสวยมื้อเช้ากับหม่อมฉันเสียหน่อยดีมั้ยเพคะ”
“…ทำตามเจ้าว่าเถอะ”
จักรพรรดินีหันหลังเดินออกไปจากห้องนอนก่อนที่โยบาเนสจะทันได้เอ่ยจบประโยคด้วยซ้ำ
ถึงแม้จะรู้สึกสงสัยก็เถอะว่าจะรีบร้อนไปไหนกันแน่ แต่องค์จักรพรรดิก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไป เขาเพียงแค่ยืนยิ้มอยู่เงียบๆ เท่านั้น
“จักรพรรดิคนแรกที่สามารถต่อกรกับลอมบาร์เดียได้งั้นหรือ”
ช่างเป็นความสำเร็จที่ถูกใจเขาเสียจริง
* * *