เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 6 บทที่ 231.1
เล่ม 6 บทที่ 231.1
ตอนที่ 231
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!”
ท่านปู่ตวาดเสียงดัง ในขณะที่เดินตรงไปบนทางเดินที่อัศวินเปิดทางให้
แรงกดดันหนักหน่วงแผ่ซ่านไปทั่ว
กระทั่งบรรดาอัศวินยังได้แต่ก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาท่านปู่เลยสักคน
“มาแล้วหรือครับ”
เฟเรสเป็นฝ่ายกล่าวทักทายก่อน
ไม่ลืมที่จะแอบส่งสายตาทักทายเธอที่เดินตามหลังท่านปู่มาด้วย
ในสถานการณ์ดุเดือดแบบนี้ เฟเรสกลับดูผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
มากเสียจนแปลกเกินไปหน่อย
ในตอนนั้นเอง เสียงแหลมก็ตะโกนแทรกขึ้นมาระหว่างเฟเรสกับท่านปู่
“นี่เป็นเรื่องของราชวงศ์ค่ะ! คนนอกไม่เกี่ยว!”
“คนนอก”
ท่านปู่เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น
“นั่นก็ถูกอยู่หรอก แต่ว่า”
แล้วหันไปถามเฟเรส
“อธิบายมาหน่อยได้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าชาย”
ก็นะ ถ้าจักรพรรดินีไม่คิดที่จะบอก ก็แค่ถามเฟเรสแทนก็หมดเรื่อง
“ฝ่าบาทหมดสติไป แต่ตอนนี้พ้นวิกฤตแล้ว และกำลังพักฟื้นอย่างปลอดภัยครับ”
“เป็นเรื่องดี แล้วทำไมถึงได้เกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นได้ล่ะ”
“เป็นรับสั่งของฝ่าบาทไม่ให้ผู้ใดเข้าไปในห้องบรรทมครับ”
“แต่จักรพรรดินีพยายามที่จะเข้าไปข้างในให้ได้สินะ”
“เป็นเช่นนั้นครับ”
ท่านปู่ฟังคำอธิบายจากเฟเรสในขณะที่ลูบเครายาวไปพลาง ก่อนจะเหลือบมองไปที่จักรพรรดินี แล้วเอ่ยขึ้น
“กลับไปที่วังจักรพรรดินีก่อนสักครู่ รอให้เฟเรสเรียกตัวอาจจะดีกว่าหรือเปล่า จักรพรรดินี”
“ข้ามีสิทธิ์ที่จะตรวจสอบพระพลานามัยของฝ่าบาทค่ะ”
จักรพรรดินีตอบกลับมาโดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองท่านปู่
“แน่นอนว่าจักรพรรดินีย่อมมีสิทธิ์เช่นนั้นอยู่แล้ว”
ท่านปู่พยักหน้า ก่อนจะพูดต่อ
“เฉพาะเวลาที่ฝ่าบาทสวรรคตแล้วเท่านั้น”
ชะงัก
แม้แต่เธอเองก็ยังเห็นอย่างชัดเจนว่าไหล่ของจักรพรรดินีสะดุ้งเฮือก
ท่านปู่มองจักรพรรดินีด้วยสายตาเย็นชา ในขณะที่เอ่ยพูดขึ้น
“พอจะเข้าใจได้อยู่หรอกว่าเหตุใดเรื่องราวจึงเป็นเช่นนี้”
คำพูดประโยคนั้นแฝงไว้ด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“แพทย์หลวง”
“ครับ ท่านเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย”
แพทย์หลวงผู้ยืนตัวสั่นเทาอยู่ระหว่างเฟเรสกับจักรพรรดินีรีบตอบรับทันที เมื่อได้ยินเสียงเรียกของท่านปู่
“ในสายตาเจ้า อาการของฝ่าบาทเป็นเช่นไรบ้าง”
“ผะ…ผ่านพ้นวิกฤตแล้ว ตอนนี้อาการทรงตัว และกำลังพักผ่อนอยู่ครับ”
“หลังจากนี้ล่ะ คิดว่าอาการจะเป็นเช่นไร”
“…ว่าตามตรง หลังจากนี้คงต้องรักษาตัวอีกพักใหญ่ เพราะเกือบจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วจริงๆ …”
“ช่างเป็นเรื่องโชคดีเหลือเกิน ไม่คิดเช่นนั้นหรือ จักรพรรดินี”
แต่จักรพรรดินีกลับไม่ได้ตอบอะไร
ในตอนนั้นเอง
เสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามาด้วยความเร่งรีบก็ดังขึ้น พร้อมกับพลทหารประจำราชวงศ์คนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาในโถงทางเดินอย่างร้อนรน
“กะ…กองกำลังตระกูลอังเกนัสกำลังบุกเข้ามาที่พระราชวังพ่ะย่ะค่ะ!”
บ้าไปแล้วสินะ
เธอขมวดคิ้วนิ่วหน้าไปทางจักรพรรดินีโดยไม่รู้ตัว
ในสถานการณ์ที่องค์จักรพรรดิหมดสติไปแบบนี้ กองกำลังอังเกนัสกลับเคลื่อนไหวเนี่ยนะ
มันมากพอจะตัดสินว่าเป็นการก่อกบฏได้เลย
เพียงพริบตาบรรยากาศรอบด้านที่ดูจะอ่อนตัวลงไปบ้างก็พลันดุเดือดขึ้นมาอีกครั้ง
“จักรพรรดินี…!”
ท่านปู่ถลึงตาจ้องราวีนีเขม็ง ทำท่าเหมือนต้องการจะกล่าวเตือน แต่จักรพรรดินีกลับเมินเฉยท่านปู่
นางหันไปเรียกอัศวินจากกองกำลังส่วนพระองค์ที่ยืนอยู่ข้างกายฝ่ายตัวเอง
“รองหัวหน้า จัดการคนที่ขวางทางข้าให้หมด”
ในเมื่อกำลังเสริมมาถึงแล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องรออะไรอีกต่อไป
แต่กองกำลังอัศวินกลับไม่อาจชักดาบออกมาได้ง่ายๆ ถึงแม้จะเป็นคำสั่งของจักรพรรดินีก็ตาม เพราะพวกเขาต่างก็ทราบดีว่า หากชักดาบออกมาเมื่อไหร่ นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่อาจย้อนกลับได้อีกต่อไป
“ยังไม่รีบลงมืออีก มัวทำอะไรอยู่!”
สุดท้ายเสียงตวาดลั่นก็ดังออกมาจากปากของจักรพรรดินี
“…หะ…ให้ตายสิวะ”
เคร้ง
สุดท้ายรองหัวหน้าหน่วยก็ชักดาบออกมาจนได้
เริ่มด้วยรองหัวหน้า หลังจากนั้นเสียงโลหะแหลมคมเสียดหูก็ดังก้องไปทั่วทางเดิน
จากนั้น ความเงียบเข้าครอบคลุมไปทั่วบริเวณจนน่าขนลุก มันเงียบเสียจนหากมีเข็มตกสักเล่มคงได้ยินกันถ้วนหน้า
ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าบุ่มบ่ามลงมือ
แอ๊ด
สิ่งที่ทำลายความเงียบอันแสนน่าอึดอัดกลับกลายเป็นเสียงประตูที่จู่ๆ ก็ถูกเปิดออก
ประตูห้องบรรทมของจักรพรรดิโยบาเนส
สายตาของทุกคนมองจ้องไปทางด้านนั้นทันที
“ฝะ…ฝ่าบาท…”
มหาดเล็กเบิกตากว้างมองสถานการณ์ด้านนอกด้วยความตกใจ ก่อนจะเปิดปากพูดจนจบประโยคได้สำเร็จในที่สุด
“ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เข้ามาได้พ่ะย่ะค่ะ”
* * *