เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 6 บทที่ 243.2
เล่ม 6 บทที่ 243.2
ณ เวลาเดียวกัน
ทางคฤหาสน์ลอมบาร์เดียกำลังเปิดประชุมเจ้าตระกูลกันอยู่
เพราะเป็นการประชุมที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือนอยู่แล้ว จึงไม่มีเรื่องอะไรแปลกเป็นพิเศษ
ลอมบาร์เดียในวันนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
“ดียิ่ง”
รูลลักฟังรายงานจากเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคนแล้วก็ต้องพูดขึ้นด้วยความพึงพอใจ
ใบหน้าของเจ้าตระกูลจากตระกูลใต้บังคับบัญชาแต่ละคนเองก็มองรูลลักด้วยความภาคภูมิใจเช่นกัน
“วันนี้สีหน้าดูดีเป็นพิเศษเลยนะครับ ท่านเจ้าตระกูล”
เลอมาเบาว์ วิลเคย์ เอ่ยพูดกับรูลลักที่ดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
“หืม อย่างนั้นหรือ”
พอรูลลักถามแบบนั้น ผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นๆ ต่างก็พยักหน้าลงอย่างเห็นด้วย
“สงสัยคงเป็นเพราะที่ผ่านมาเทียช่วยทำงานแทนข้า ถึงได้มีโอกาสพักผ่อนอย่างคนอื่นบ้างกระมัง ฮ่าฮ่า”
รูลลักหัวเราะด้วยความพอใจอีกครั้ง
“โล่งอกไปทีนะครับ ท่านเจ้าตระกูล”
“ใช่ ใช่ โล่งอกมากทีเดียว โล่งอกจริงๆ”
รูลลักเงยหน้ามองเหล่าเจ้าตระกูลที่นั่งล้อมโต๊ะตัวยาวเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้น
“วันนี้จะเป็นการประชุมเจ้าตระกูลครั้งสุดท้ายของข้า”
ความละอายใจ ความโศกเศร้า ความเสียดาย อารมณ์หลาหลายพาดพ่านขึ้นบนใบหน้าของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา
“สามารถทำงานได้จนจบด้วยร่างกายและสติที่เป็นปกติดี ช่างเป็นเรื่องที่น่าโล่งอกจริงๆ”
รูลลักพูดจากใจจริง
“ฮ่าฮ่า ทุกคนอย่างทำหน้าแบบนั้นกันสิ”
“แต่ท่านเจ้าตระกูล…”
“ข้าไม่อาจมีความสุขไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว แต่นี่พวกเจ้ากลับทำหน้าตาอะไรกันเนี่ย!”
รูลลักเอ่ยพูดต่อเสียงแผ่ว
“มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ข้ารู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง กลัวว่าหากข้าล้มไปแล้วลอมบาร์เดียจะล้มตามไปด้วยหรือเปล่า เพราะคิดเช่นนั้น จึงไม่มีวันใดที่ใจสามารถผ่อนคลายลงได้เลยสักวัน”
นึกถึงวันในอดีตขึ้นมาแล้ว รูลลักก็ได้แต่ยิ้มจาง
“แต่ตอนนี้ข้าไม่ต้องแบกรับภาระอันน่าหนักใจพวกนั้นอีกต่อไปแล้ว”
ใจของรูลลักเบาโหวงจนแทบจะโบยบิน
ภาพของเทียที่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรักษาการเจ้าตระกูลได้อย่างสมบูรณ์แบบตลอดระยะเวลาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มันทำให้ใจของเขาผ่อนคลายลงไปได้มากหลายเท่า
ตอนนี้ไม่ต้องหวาดกลัว ไม่ต้องกังวลที่จะลงจากตำแหน่งเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียอีกต่อไป
‘ข้าช่างโชคดีมากจริงๆ’
รูลลักคิดว่าตัวเองเป็นคนเช่นนั้น
คนที่โชคดียิ่ง
‘ในบรรดาเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียทุกยุคสมัย จะมีใครสามารถลงจากตำแหน่งได้อย่างสบายใจเท่าข้าอีกล่ะ’
รูลลักครุ่นคิดเช่นนั้น มือจัดการเสื้อผ้าที่สวมใส่ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
“ข้าอยากจะบอกความรู้สึกของข้าให้พวกเจ้าได้รับรู้ในวันนี้ และอยากจะรบกวนให้ทุกคนช่วยดูแลหลานสาวของข้าในอนาคตด้วย”
วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้นั่งในที่ประชุมแห่งนี้
ตารางงานทั้งหลายที่สืบเนื่องมาหลายสิบปีเองก็สิ้นสุดลงในวันนี้ด้วยเช่นกัน
“ตลอดระยะเวลาอันแสนยาวนาน ข้าอยากจะบอกว่าข้าดีใจยิ่งที่ได้ร่วมงานกับพวกเจ้าทุกคน และขอบใจมาก”
รูลลักกล่าวเช่นนั้น ก่อนจะโค้งศีรษะลง
ด้วยความขอบคุณที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยแสดงออกไปให้เห็นได้หมด
และเมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง รูลลักก็ได้แต่นิ่งงัน พูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง
“…ลำบากมากแล้วนะครับ ท่านเจ้าตระกูล”
เพราะผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนต่างก็ลุกขึ้นจากที่นั่งและโค้งศีรษะเป็นการบอกลารูลลักโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว
รูลลักมองใบหน้าของผู้ใต้บังคับบัญชาทีละคนด้วยใบหน้าที่แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มจากใจ
“ขอบใจนะ ทุกคน”
การประชุมเจ้าตระกูลครั้งสุดท้ายของรูลลักจบลงเช่นนั้น
และเมื่อลุกขึ้นจากที่นั่ง รูลลักก็ต้องตกใจ
ร่างกายมันเบาโหวง ราวกับได้ปลดปล่อยภาระที่แบกรับไว้แล้วอย่างแท้จริง
“ฮ่าฮ่า”
รูลลักพยักหน้า ยืดหลังตรงเอามือไขว้หลัง สองขาก้าวตรงไปในขณะที่เอ่ยพูดขึ้นว่า
“ใครงานไม่ยุ่งก็เชิญมาร่วมมื้ออาหารด้วยกันกับข้าเถอะ”
เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างตามทางเดิน ก็เห็นทัศนียภาพของแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาให้ความอบอุ่นแก่คฤหาสน์
“วันนี้อากาศดียิ่งนัก”
* * *
“เตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยหรือยัง เทีย”
เสียงของท่านพ่อเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแฝงความระมัดระวังดังขึ้นจากห้องรับรอง
“ค่ะ เรียบร้อยแล้วค่ะ!”
เธอตอบกลับไปพลางมองตัวเองในกระจกเป็นครั้งสุดท้าย
สวมเสื้อผ้าธรรมดาทั่วไป ไม่เตะตา ดูแล้วไม่เหมือนชนชั้นสูง
นั่นเป็นสิ่งที่ท่านพ่อขอให้เธอทำ
เพราะอย่างนั้นวันนี้จึงไม่สวมเครื่องประดับอะไรสักชิ้น เพียงแค่เลือกเดรสสีน้ำตาลเรียบง่ายที่สุดจากเสื้อผ้าสำเร็จรูปของร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันออกมาสวมใส่
“ไปกันเถอะค่ะ พ่อ!”
“อา…”
แต่พอเธอออกมาที่ห้องรับรอง สีหน้าของท่านพ่อกลับดูแปลกพิลึก
นัยน์ตาสีเขียวขมวดนิ่วลงเล็กน้อยมองเธอด้วยความอ่อนระโหย
“ทำไมเหรอคะ”
“เห็นแบบนี้แล้ว เจ้าช่างคล้ายกับแม่ของเจ้าเสียจริงๆ”
“ข้าเหรอคะ”
เธอเคยเห็นภาพเหมือนของท่านแม่
ท่านเป็นคนที่งดงามมาก แต่เธอว่าหน้าตาเธอออกแนวคล้ายท่านพ่อมากกว่า
“อื้อ มากเลยละ”
แต่ดูจากความห่วงหาอาลัยที่เผยออกมาให้เห็นทางสีหน้าแล้ว ท่าทางในสายตาท่านพ่อ เธอคงจะเหมือนกับท่านแม่มากเสียจนสะท้อนภาพท่านออกมาให้เห็นละมั้ง
“เอาละ งั้นไปกันเลยดีมั้ย”
ท่านพ่อกล่าวเช่นนั้น ก่อนจะหมุนตัวกลับมากางแขนออก เพื่อให้เธอเดินเข้าไปคล้องแขนท่าน
“งั้นสั่งให้คนเตรียมรถม้า…”
“ไม่ต้องหรอก เทีย”
ท่านพ่อยกยิ้มอย่างมีเลศนัย
“เพราะวันนี้พวกเราจะเดินไปกันยังไงล่ะ”