เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 6 บทที่ 246.2
เล่ม 6 บทที่ 246.2
“อา”
ตอนที่เดินมาถึงบริเวณชายขอบงานเลี้ยง ก็พบเข้ากับคนสามคนที่มองเห็นจากไกลๆ
ไม่จำเป็นต้องสงสัยเลยว่าจะใช่คนกลุ่มนั้นหรือเปล่า เพราะพวกเขาดูโดดเด่นและแตกต่างจากทุกคนมาก
หญิงชราผู้ม้วนผมขาวโพลนขึ้นมัดไว้เป็นมวยเหนือศีรษะ เธอมองสบตากับท่านยายของเธอ ก่อนจะเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าท่านโดยที่สายตายังคงไม่ละห่างไปไหน
“สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้พบกันเป็นครั้งแรกนะคะ”
โค้งศีรษะลงช้าๆ กล่าวทักทายอย่างมีมารยาท หลังจากนั้นก็ได้รับเสียงเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นตอบกลับมา
“ยินดีที่ได้พบเจ้าเช่นกัน บุตรีแห่งชาห์น”
บุตรีแห่งชาห์น ที่พูดมาก็ถูกอยู่หรอก แต่มันเป็นคำเรียกที่ดูจะพิเศษเล็กน้อย ทว่าอย่างไรก็เป็นคำพูดที่ถูกใจเธอไม่น้อย
โดยเฉพาะท่าทางของท่านยายที่ดูหนักแน่นไม่สั่นคลอนแม้ว่าตอนนี้เธอจะได้ชื่อว่าเป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียก็ตาม ทั้งนัยน์ตาคู่นั้นก็ไม่คิดที่จะหลบสายตาของเธอ จึงยิ่งทำให้เธอมีความรู้สึกด้านบวกต่อพวกเขามากขึ้น
“สนทนากันสักครู่เถอะ”
ท่านยายกล่าวเช่นนั้น ก่อนจะเดินนำเข้าไปในป่าเขียวชอุ่มโดยไม่คิดที่จะแนะนำตัวหรือกล่าวทักทายอะไรกันให้ยุ่งยาก
เป็นคนที่แปลกไม่เหมือนใครจริงๆ
เธอครุ่นคิดพลางเดินตามหลังพวกเขาไปเงียบๆ
พอเธอกับท่านยายเดินมาหยุดอยู่กลางป่า ถึงเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าอีกสองคนไม่ได้ตามหลังพวกเรามาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
สวบ สวบ
เมื่อเหลือเพียงเสียงดินโคลนถูกเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้า ท่านยายก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดขึ้นก่อน
“บุตรีแห่งชาห์น นามของเจ้า…ฟีเรนเทียใช่หรือไม่”
“ค่ะ ถูกต้องแล้วละค่ะ ไม่ทราบว่าข้าขอทราบนามของท่านยายได้มั้ยคะ”
พอเธอเรียกขานหญิงชราว่า ‘ท่านยาย’ นัยน์ตาคู่นั้นก็เบิกกว้างเล็กน้อยคล้ายกับตกใจอยู่บ้าง แต่เพียงไม่นานก็ยิ้มยินดี
“นามของข้าคือ โซอูรา ภาษาของเผ่ามีความหมายแปลว่า ‘นัยน์ตา’ ”
“เผ่า…เหรอคะ”
“เผ่า ที่ข้าเป็นผู้นำตั้งอยู่บริเวณป่าหนาทึบติดกับทะเลชายแดนทางใต้อันแสนไกลโพ้น เจ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับพวกเราหรือไม่”
“อา…หรือว่า…”
ในหนังสือ ที่เธอได้อ่านตอนที่ย้อนกลับมายังอดีตมีบอกเล่าเรื่องราวพวกนั้นอยู่
ชนเผ่าที่นักเขียนโรพิลลี่ได้ทำการค้นพบ
“ไม่ทราบเลยค่ะว่าท่านแม่จะเป็นคนจากชนเผ่านั้น”
“หึหึ พวกเราไม่ค่อยเล่าเรื่องของชนเผ่าให้คนนอกได้รับรู้หรอก ไม่อย่างนั้นเกรงว่าจะมีแต่เรื่องยุ่งยากน่ารำคาญ”
ท่านยายหัวเราะเสียงแผ่ว
“ถ้าอย่างนั้นก็คงรู้ความจริงที่ว่า พวกเรามีความสามารถที่แตกต่างจากคนอื่นด้วยสินะ”
“จำได้ว่าเคยอ่านจากในหนังสือว่ามีพลังที่เรียกว่าเวทมนตร์อยู่ค่ะ”
“โอ้ งั้นหรือ ดูท่าเจ้าคงจะอ่านหนังสือที่โรพิลลี่เขียนขึ้น ใช่แล้วละ มันเป็นความสามารถที่ถ่ายทอดกันทางสายเลือดเท่านั้น”
แต่ถึงแม้จะมาได้ยินคำอธิบายโดยตรง ลึกๆ ในใจก็ยังรู้สึกสงสัยอยู่ดี
พลังแบบนั้นมีตัวตนอยู่จริงงั้นเหรอ
“ทั้งๆ ที่ตัวเจ้ารู้ดีที่สุดอยู่แล้วแท้ๆ แต่ก็ยังสงสัยอยู่อีก ช่างเป็นเด็กที่น่าสนใจนัก”
“…คะ”
“เคยสัมผัสพลังเวทมนตร์มาแล้วคราหนึ่งมิใช่หรือไร ฟีเรนเทียผู้ย้อนเวลากลับมายังอดีตอีกครั้ง”
ขนลุกชัน
“เรื่องนั้น…ทราบได้ยังไงกัน”
“นั่นเป็นพลังที่เจ้าครอบครองอย่างไรล่ะ”
นัยน์ตาพร่ามัวมองสบตาเธอ ขณะเดียวกันท่านยายก็เอ่ยพูดต่อ
“มองเห็นในสิ่งที่ผู้อื่นมองไม่เห็น บางคราก็เป็นเรื่องในอดีต บางคราก็เป็นความคิดของผู้คน บ้างก็เป็นเรื่องในอนาคตผ่านความฝัน”
พูดอะไรไม่ออกเลย
ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรออกไป
สมควรต้องทำตัวยังไงต่อหน้าคนที่รู้ความจริงว่าเธอย้อนเวลากลับมา หัวสมองพลันขาวโพลนคิดอะไรไม่ออก
ท่านยายมองหน้าเธอนิ่ง ก่อนจะเอ่ยพูดราวกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่
“หากเป็นคนของเผ่าซาราห์ละก็ ไม่ว่าใครต่างก็ต้องมีพลังพิเศษในครอบครองกันทั้งสิ้น อนทาร์ที่อยู่ตรงนั้นก็มีพลังในการรักษาผู้คน และเสกน้ำเป็นยา”
ท่านยายชี้ไปยังชายหนุ่มที่ยังคงยืนเฝ้ารออยู่ไกลๆ
“ส่วนอานาอีก็เคลื่อนกายได้รวดเร็วดุจสายลม ทั้งยังมีพลังแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปสิบเท่า”
“ถ้าอย่างนั้นท่านยายหมายความว่า…พลังของข้า…”
“บางทีเจ้าคงจะครอบครองพลังในการย้อนเวลา”
นี่มันพลังวิเศษเหมือนเป็นซูเปอร์ฮีโร่เลยนะ
“ถะ…ถ้าอย่างนั้นแม่ล่ะคะ”
“พลังของชาห์นคือ…การมองเห็นอนาคต ตั้งแต่สีของดอกไม้ที่พรุ่งนี้เจ้าตัวจะเด็ด จนถึงภัยน้ำหลากที่จะคร่าชีวิตผู้คนมากมาย มองเห็นทุกสิ่งล่วงหน้า พลังของชาห์นน่ะแข็งแกร่งยิ่ง ทุกคนเองก็คิดว่านางจะต้องขึ้นเป็นผู้นำเผ่าต่อจากข้าอย่างแน่นอน”
หัวสมองคิดอะไรไม่ออกเมื่อจู่ๆ ก็ได้ฟังเรื่องราวความลับเกี่ยวกับชาติกำเนิดของตัวเอง
ท่านยายกล่าวต่อ
“แต่เจ้าเป็นเพียงแค่เลือดผสมเท่านั้น มีเลือดของชนเผ่าซาราห์ไหลเวียนอยู่เพียงแค่ครึ่ง”
“คะ”
มันเป็นคำเรียกที่ในชีวิตก่อนเคยได้ยินบ่อยมาก
เลือดผสม
คำเหยียดยามดูหมิ่น ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน อย่างไรเธอก็เป็นได้แค่ลอมบาร์เดียเลือดผสม
ไม่ได้ยินมาตั้งนานก็ยังอดรู้สึกน้อยใจไม่ได้ แต่พอเห็นเธอเงียบไปไม่พูดอะไร ท่านยายก็หัวเราะเสียงดังหึหึอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยพูด
“อย่าได้อารมณ์เสียเลย มันเป็นเรื่องที่เจ้าควรดีใจด้วยซ้ำ”
“เรื่องดีหรือคะ”
“พลังของชนเผ่าชาราห์ย่อมมีค่าตอบแทน”
ท่านยายชี้ไปยังชายหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง
“อนทาร์อาจจะครอบครองพลังที่ช่วยรักษาได้กระทั่งคนที่กำลังจะตายก็จริง แต่เขาไม่อาจยิ้มได้ เพราะไม่อาจสัมผัสได้ถึงความรู้สึกยินดี”
คราวนี้ชี้ไปยังอานาอี
“อานาอีนั้นแข็งแกร่งและรวดเร็วยิ่งกว่าผู้ใด แต่กลับไม่อาจรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด ต่อให้โดนแทงจนท้องทะลุ เลือดไหลจนเกือบตายก็ยังไม่รู้ตัว และเพราะไม่อาจเข้าใจความเจ็บปวดของคนอื่น ตอนยังเด็กจึงก่อเรื่องให้เด็กคนอื่นต้องเจ็บตัวโดยไม่ได้ตั้งใจอยู่บ่อยครั้ง”
“ถ้าอย่างนั้นท่านยายจะไม่เป็นอะไรหรือคะ”
“ข้า…”
ท่านยายยิ้มขมขื่น
“ก็อย่างที่เห็น นัยน์ตาของข้าแทบจะมองไม่เห็นแล้ว และข้าก็ต้องสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตข้าไป”
สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของท่านยาย ถ้าอย่างนั้นหรือว่า
“ค่าตอบแทนของนัยน์ตาที่มองเห็นหลายสิ่งหลายอย่างมากมายก็คือ ชาห์น บุตรสาวของข้า ยิ่งพลังแข็งแกร่งเท่าไหร่ สิ่งที่สูญเสียไปก็จะยิ่งล้ำค่ามากเท่านั้น”
เมื่อครู่นี้ท่านยายกล่าวเอาไว้ว่า พลังของท่านแม่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
“ถ้าอย่างนั้นแม่…”
“อายุขัย ค่าตอบแทนที่ชาห์นต้องจ่ายคือ อายุขัยของตัวเอง”
ท่านยายตอบออกมาแบบนั้น แล้วเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะเงยหน้ามองเธอ
“ดังนั้นฟีเรนเทีย จงอย่าได้เศร้าใจที่เจ้าเป็นเพียงเลือดผสม จงมองว่ามันเป็นสิ่งที่ช่วยให้เจ้าหลุดพ้นจากข้อผูกมัดของชาราห์ได้”
ใบหน้าของท่านยายยามกล่าวเช่นนั้นมีความขื่นขมที่ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้พาดผ่าน
“ละ…โล่งอก…”
กำลังจะถอนหายใจออกไปด้วยความโล่งใจ แต่จู่ๆ ก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาเรื่องหนึ่ง
จะถามออกไปยังไงดีล่ะ
ท่านยายเอ่ยพูดกับเธอที่กำลังลังเล
“เจ้าคงจะมีเรื่องสงสัยมากมาย ถามมาเถอะ”
“ขออภัยคะ พอดีข้าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เมื่อครู่นี้บอกว่าท่านแม่สามารถมองเห็นอนาคตได้ไม่ใช่หรือคะ”
“ใช่แล้วละ นั่นเป็นพลังของชาห์น”
“แต่ถ้าอย่างนั้น…ทำไมท่านแม่ถึงยังให้กำเนิดข้าล่ะคะ ทั้งๆ ที่ท่านเองก็น่าจะทราบอยู่แล้วแท้ๆ”
ท่านแม่จากไปหลังคลอดเธอได้ประมาณหนึ่งร้อยวัน
ถ้าหากมองเห็นอนาคตของตัวเอง แล้วทำไมถึงยังยอมคลอดเธอล่ะ
“ชาห์นน่ะ รู้อนาคตของตัวเองดีอยู่แล้ว แน่นอนว่าฟีเรนเทีย ตัวตนของเจ้าก็ด้วย”
“หมายความว่า…”
“ชาห์นเลือกที่จะให้กำเนิดเจ้า ฟีเรนเทีย ทิ้งชนเผ่า ทิ้งครอบครัวไว้ในป่า แล้วติดตามโรพิลลี่ที่ศึกษาวิจัยเสร็จพอดี เดินทางมุ่งหน้าสู่อาณาจักรด้วยกัน และก็ได้พบกับบิดาของเจ้าที่เขตแดนลอมบาร์เดีย”
นัยน์ตาพร่ามัวของท่านยายหม่นแสง
“ถึงแม้จะรู้ดีว่าตัวเองจะต้องตายก็ตาม”