เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 6 บทที่ 247.2
เล่ม 6 บทที่ 247.2
“อืมมมม ก็จริง ถ้าเป็นที่นี่ยังไงก็ไม่มีใครแน่”
ดูเหมือนวันนี้คงไม่มีวันหลุดพ้นจากป่าแล้วละมั้ง
สถานที่ที่เฟเรสพาเธอมาก็คือ ป่าบริเวณใกล้ๆ กับวังเล็กที่เฟเรสเคยอาศัยอยู่
“ที่นี่เป็นที่ที่พวกเราพบกันครั้งแรกใช่มั้ย”
เธอพูดพลางชี้ไปยังพุ่มไม้เตี้ยที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
“เฟเรส ตอนนั้นเจ้ากำลังเด็ดหญ้าพวกนั้นกินอยู่ตรงนั้นไม่ใช่เหรอ”
“อื้อ ถ้าเป็นที่นี่ละก็ คงไม่มีใครโผล่มารบกวนแน่”
เฟเรสพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
เป็นเด็กที่แปลกจริงๆ
เธอเผลอหลุดขำออกไปโดยไม่รู้ตัว
เฟเรสขยับเข้ามาใกล้ใบหน้าของเธอที่กำลังหัวเราะ ก่อนจะเอ่ยพูด
“ที่จริงแล้วข้ามีของอยากให้เทียเห็นน่ะ”
“ของที่อยากให้ข้าเห็น”
แล้วเฟเรสก็ยื่นมือมาหาเธอ
“เดินเล่นกันหน่อยดีมั้ย”
“มือนี่…”
ให้จับมือเหรอ
พอลองมองมือของเฟเรสที่ยื่นออกมาตรงหน้า ถึงได้เห็นว่าปลายนิ้วของเขากำลังสั่นเทาเบาๆ
ตื่นเต้นสินะ
เพราะอย่างนั้นเธอจึงจับมือของเด็กหนุ่มเอาไว้แน่น
“ทะ…เทีย”
เฟเรสดูตื่นตระหนกอย่างไม่เคยเป็น
คงไม่คาดคิดว่าเธอจะยอมจับมือเขาอย่างไม่ลังเล
ในเมื่อเธอตั้งมั่นอย่างจริงจังแล้ว ก็ย่อมไม่คิดที่จะลังเลอีกต่อไป
“ทำไม อะไร”
เธอเชิดหน้าขึ้นอย่างมั่นใจ เป็นฝ่ายจูงมือเดินนำเขาไปก่อน
ใบหูของเฟเรสขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย เด็กหนุ่มเดินตามมาด้วยเรียวขายาวๆ นั่น ไม่กี่ก้าวก็เดินตามเธอมาทันแล้ว
“อะแฮ่ม”
มือที่กอบกุมกันไว้ให้ความรู้สึกแปลกกว่าที่คิด
หัวใจเต้นโครมคราม ภายในป่านอกจากพวกเราสองคนแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงใครอื่น
มือที่กอบกุมกันอยู่ขยุกขยิกไปมา รู้สึกอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก แต่มือใหญ่ของเฟเรสที่กอบกุมมือเธอเอาไว้อย่างมั่นคงช่วยให้รู้สึกปลอดภัยขึ้นมา
เพราะอากาศหนาวหรือไงกันนะ
มือของเฟเรสถึงได้เย็นเฉียบพอๆ กันกับมือของเธอที่ตื่นเต้นจะตายอยู่แล้ว
สถานที่ที่เฟเรสพาเธอมาคือซากปรักหักพังที่เด็กหนุ่มเคยอาศัยอยู่
ไม่สิ ตอนนี้มันไม่ได้ผุพังอีกต่อไปแล้ว
มีแต่วังเล็กแสนงดงามที่ถูกบูรณะขึ้นอย่างดีเท่านั้น
“นี่สร้างขึ้นมาใหม่ในเวลาแค่ไม่กี่สัปดาห์เหรอ”
เฟเรสพยักหน้าตอบคำถามเธอ
“เพราะมันไม่ใช่สถานที่ที่ข้าอยากลืมเลือนอีกต่อไปแล้ว แต่กลับอยากให้มันเหลือค้างอยู่ในความทรงจำต่อไปนานๆ เสียมากกว่า”
“ว่าแล้วเชียว”
อำนาจกับเงินนี่มันสุดยอดจริงๆ
ถึงแม้จะยังไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทเต็มตัวก็เถอะ แต่ในความเป็นจริงเขาก็ไม่ได้แตกต่างจากเป็นรัชทายาทไปแล้วนั่นแหละ
พอคิดถึงพวกคนงานทั้งหลายที่ต้องทำงานกันอย่างแข็งขันท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ก็รู้สึกสงสารพวกเขาขึ้นมา แต่เธอเองก็ดีใจจากใจจริงเหมือนกัน
“คิดได้ดีแล้วละ เฟเรส”
เธอตบหลังเฟเรสเบาๆ เป็นการชมเชย
วังเล็กแห่งนี้เป็นสถานที่ไม่ต่างจากการตอกย้ำช่วงเวลาอันแสนมืดมนและโหดร้ายที่สุดในชีวิตของเฟเรส
การที่วังเล็กที่ถูกทิ้งร้างอยู่อย่างนั้นหลังจากเฟเรสย้ายออกไปได้ถูกบูรณะขึ้นใหม่อย่างงดงามแบบนี้ มันทำเอารู้สึกราวกับบาดแผลในใจของเด็กหนุ่มเองก็ถูกรักษาให้ทุเลาลงไปแล้วบ้างเลยไม่ใช่หรือ
สัมผัสได้ถึงความรู้สึกแบบนั้นจางๆ
“พามาที่นี่เพราะอยากให้ข้าดูนี่งั้น…!”
เธอยิ้มพลางหมุนตัวหันหลังกลับไปหาเฟเรส แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก พูดต่อจนจบประโยคไม่ได้
“นั่นเจ้ากำลังทำอะไรน่ะ เฟเรส”
เฟเรสปล่อยมือของเธอที่กอบกุมกันไว้อย่างอ้อยอิง เขาก้าวขาข้างหนึ่งถอยไปข้างหลัง และค่อยๆ ย่อเข่าลงอย่างช้าๆ ในขณะที่สายตาจับจ้องอยู่ที่เธอ
“หรือว่าเจ้า…”
ในตอนนั้นเอง เฟเรสก็หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากอกเสื้อ
มันเป็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกพับครึ่งอย่างประณีต เขาส่งกระดาษแผ่นนั้นให้เธอ
“นี่อะไรน่ะ”
เธอกางมันออกอ่านอย่างรวดเร็ว ในกระดาษแผ่นนั้นมีตราประทับขององค์จักรพรรดิประทับอยู่
และข้างใต้นั่นก็ถูกเขียนไว้อย่างชัดเจน ถึงแม้ลายมือจะแย่จนอ่านยากก็ตาม
[ข้า โยบาเนส องค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรแลมบลู มีราชพินัยกรรมดังถ้อยคำต่อไปนี้
ประการแรก จักรพรรดินีสามารถจะรักษาอำนาจและสิทธิ์ที่พึงมีในการสืบทอดตระกูลเดิม
ประการที่สอง จักรพรรดินีสามารถรักษานามสกุลของตระกูลไว้ได้
ประการที่สาม จักรพรรดินีมีสิทธิ์ในการถือครองทรัพย์สินที่ได้จากตระกูลเดิม
ทั้งหมดนี่เป็นราชพินัยกรรมของข้า ดังนั้นเหล่าข้าราชบริพารทั้งหลายของอาณาจักรจงอย่าได้คิดขัดขวาง]
ราชพินัยกรรมขององค์จักรพรรดิ
ความปรารถนาสุดท้ายก่อนสวรรคต คำสั่งเสียที่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจโต้แย้งได้
“เฟเรส เจ้า…ได้มันมาได้ยังไง”
เสียงของเธอสั่นเทา
ลำคอตีบตันจนเสียงแทบไม่อาจหลุดออกมาให้ได้ยิน แต่ความตกตะลึงของเธอยังไม่จบแค่นั้น
“เทีย”
เฟเรสเอ่ยเรียกชื่อเธอ
ในตอนที่สายตามองสบกับนัยน์ตาสีแดงของเด็กหนุ่ม
วินาทีนั้นเอง เธอถึงได้ตระหนักขึ้นมาได้ว่าเฟเรสกำลังอยู่ในท่าทางใด
ขาข้างหนึ่งคุกเข่าลงชันไว้กับพื้น นัยน์ตาคู่นั้นยังคงจับจ้องอยู่ที่เธอ
หัวใจเริ่มเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรงยิ่งกว่าเดิม เพราะรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่ากำลังจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ในตอนนั้นเอง เฟเรสก็ดึงมือข้างหนึ่งของเธอเข้าหาตัวอย่างช้าๆ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงทุ้ม
“เจ้าตระกูลฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย ให้เกียรติแต่งงานกับข้าได้มั้ยครับ”